ลองจินตนาการว่าคุณอยู่ในกรุงโรม และคุณกำลังเดินทางไปพิพิธภัณฑ์วาติกัน และคุณได้เดินลงไปตามระเบียงยาว ผ่านรูปปั้น ภาพเขียนบนผนัง สิ่งต่าง ๆ มากมาย คุณมุ่งหน้าไปยังโบสถ์น้อยซิสติน (Sistine Chapel) ในที่สุด หลังจากระเบียงยาว บันได และประตู คุณอยู่ที่จุดสุดยอดของโบสถ์น้อยซิสติน คุณคาดหวังอะไรคะ โดมสูงหรือเปล่า หรือคณะประสานเสียงของเหล่าทูตสวรรค์ อันที่จริงเราไม่มีอะไรพวกนั้นอยู่เลย แต่คุณอาจถามตัวเองว่า แล้วเรามีอะไรล่ะ เอาล่ะ เปิดม่านโบสถ์น้อยซิสติน และฉันหมายความอย่างนั้นจริง ๆ คุณถูกรายล้อมไปด้วยม่านวาด ของตกแต่งดั้งเดิมของโบสถ์น้อยนี้ ศาสนจักรใช้ผ้าปัก ไม่ใช่แค่เพื่อกันหนาว ระหว่างการชุมนุมกันที่ยาวนาน แต่เป็นวิธีที่จะแสดง ละครอันยิ่งใหญ่แห่งชีวิต ละครชีวิตของมนุษย์ ที่ซึ่งเราแต่ละคน เล่นแต่ละบทบาท เป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ เรื่องราวอัดรวมโลกทั้งใบ และเผยมันออกมาในสามช่วงตอน ของภาพวาดในโบสถ์น้อยซิสติน ทีนี้ ตึกนี้แต่แรกเป็นที่สำหรับกลุ่มเล็ก ๆ ของพระคริสเตียนที่ร่ำรวย และมีการศึกษา พวกเขาไปสวดมนต์ที่นั่น พวกเขาเลือกสันตะปาปาของพวกเขาที่นั่น ห้าร้อยปีก่อน มันเป็นสุดยอดถ้ำของมนุษย์ในทางศาสนา คุณอาจถามว่า เป็นไปได้อย่างไร ที่ทุกวันนี้มันดึงดูดและให้ความสุขใจ กับคนห้าล้านคนต่อปี ที่มีพื้นเพแตกต่างกันออกไป เพราะว่าในพื้นที่ที่อัดแน่นนั้น มันมีระเบิดความคิดสร้างสรรค์ ที่ถูกจุดประกายโดยความตื่นเต้น ของความก้าวหน้าใหม่ทางการเมืองภูมิภาค ซึ่งทำให้ขนบการเผยแพร่ศาสนาโบราณ ของศาสนจักรลุกเป็นไฟ และผลิตหนึ่งในงานศิลปะ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ตอนนี้ การพัฒนาเกิดขึ้น ในฐานะวิวัฒนาการที่ยิ่งใหญ่ ที่เคลื่อนจากการเริ่มต้น กับอภิชนจำนวนไม่มาก และในที่สุด สามารถพูดได้กับชนกลุ่มใหญ่ ที่มาจากทุกสารทิศในโลก วิวัฒนาการนี้เกิดขึ้นในสามช่วง แต่ละช่วงเชื่อมต่อกัน กับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ อันแรกค่อนข้างจะถูกจำกัดอยู่ในกรอบ มันสะท้อนทัศนะคติ ที่ค่อนข้างมีขอบเขตทางศาสนา อันที่สองเกิดขึ้นหลังจากมุมมองของโลก ถูกเปลี่ยนไปอย่างมาก หลังจากการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ ของโคลัมบัส และอันที่สาม เมื่อยุคแห่งการค้นพบกำลังดำเนินไปได้สวย และศาสนจักรก็เผชิญกับความท้าทาย ในการเผยแพร่ออกไปทั่วโลก การตกแต่งดั้งเดิมของโบสถ์นี้ สะท้อนโลกที่เล็กกว่า มันมีฉากที่วุ่นวาย ที่บอกเรื่องราวของชีวิตของพระเยซูและโมเสส ที่สะท้อนการพัฒนาของชาวยิว และชาวคริสเตียน ชายผู้ที่ได้รับหน้าที่นี้ คือ สันตะปาปา ซิกตัส ที่สี่ ที่ได้รวบรวมหัวกะทิทางศิลปะจากฟลอเรน รวมถึงชายอย่าง ซานโดร บอตติเซลลิ และชายผู้จะกลายเป็นอาจารย์ในอนาคต ผู้สอนวาดภาพให้กับไมเคิลแอนเจโล กีร์ลันดาโย ชายเหล่านี้ พวกเขาห่มผนัง ด้วยการสลักเสลาสีบริสุทธิ์ และในเรื่องราวเหล่านั้น คุณจะเห็นสถานที่ที่คุ้นเคย ศิลปินใช้รูปปั้นโรมัน หรือสถานที่ทัสคัน เพื่อปรับเรื่องราวที่ห่างไกล ให้เป็นอะไรบางอย่างที่ใกล้ตัว ด้วยการเพิ่มเติมของภาพ ของเพื่อนและครอบครัวของสันตะปาปา นี่เป็นการตกแต่งที่สมบูรณ์แบบ สำหรับที่เล็ก ๆ ที่เหมาะสมแต่กับภาคพื้นทวีปยุโรป แต่ใน ค.ศ. 1492 โลกใหม่ถูกค้นพบ เส้นขอบฟ้าได้ถูกขยายออกไป และโลกเล็ก ๆ ที่มีขนาด 133 คูณ 46 ฟุต ก็ต้องถูกขยายออกเช่นกัน และมันก็เป็นเช่นนั้น ต้องขอบคุณอัจฉริยะผู้สร้างสรรค์ ทัศนวิสัยและเรื่องราวที่น่าทึ่ง ตอนนี้ อัจฉริยะผู้สร้างสรรค์คือ ไมเคิลแอนเจโล บอนนารอตตี เขาอายุได้ 33 ปี เมื่อเข้าไปตกแต่งเพดาน ที่มีความสูง 12,000 ตารางฟุต และฝ้าเพดานก็ถูกตั้งประจันหน้าเขา เขาถูกสอนมาให้วาดภาพ แต่เขาก็ทิ้งมันไปเพื่อไปทำงานแกะสลักหิน มีผู้อุปถัมภ์หลายคนในฟลอเรนซ์โกรธ เพราะเขาทิ้งงานที่เขารับผิดชอบ ทั้งที่ยังทำไม่เสร็จ เขาถูกดึงตัวไปยังกรุมโรมพร้อมกับความหวัง ในโครงการสลักหินรูปปั้นที่ยิ่งใหญ่ และโครงการนั้นก็พัง และเขาก็ถูกทิ้งให้รับผิดชอบ วาดรูปสาวก 12 คน ไว้บนเพดานที่พื้นหลังที่มีการตกแต่ง ของโบสถ์น้อยซิสติน ซึ่งก็น่าจะเหมือนกับทุก ๆ เพดานในอิตาลี แต่อัจฉริยะก็รับคำท้า ในยุคที่มนุษย์กล้าที่จะแล่นเรือ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนด์ติก ไมเคิลแอนเจโลกล้าที่จะสำรวจ น่านน้ำใหม่ทางวงการศิลปะ เช่นกัน เขาได้เล่าเรื่องราว มันไม่ได้เกี่ยวกับสาวกทั้งหลาย แต่เป็นเรื่องราว ของการเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่ เรื่องราวจากหนังสือปฐมกาล เรื่องราวบนเพดาน ไม่ได้รับความนิยมง่ายสักเท่าไร คุณจะดูฉากที่ยุ่งเหยิง ที่อยู่สูงขึ้นไป 62 ฟุต รู้เรื่องหรือเปล่า เทคนิคการวาดภาพที่ตกทอดมา 200 ปี ในสตูดิโอในฟลอเรนซ์ ไม่ได้มีเรื่องเล่าอะไรแบบนี้ แต่อันที่จริง ไมเคิลแอนเจโลไม่ได้เป็นนักวาดภาพ เขาก็เลยลองเล่นกับความสามารถของเขา แทนที่จะเติมที่ว่างด้วยความยุ่งเหยิง อย่างที่คุ้นเคย เขาเอาค้อนและสิ่วสกัดไปที่ชิ้นส่วนของหินอ่อน เพื่อเผยรูปร่างภายใน ไมเคิลแองเจลโลเป็นนักสารัตถนิยม เขาจะบอกเล่าเรื่องราวของเขา ในชิ้นงานขนาดใหญ่ที่มีชีวิตชีวา แผนการนี้ได้รับการต้อนรับสู่อ้อมกอด ของสันตะปาปา จูเลียส ที่สอง ผู้ยิ่งใหญ่ ชายผู้ไม่เกรงกลัวอัจฉริยภาพสุดก๋ากั่น ของไมเคิลแอนเจโล เขาเป็นหลานชายของสันตะปาปา ซิกตัส ที่สี่ และเขาก็ผูกพันอยู่กับศิลปะ มาเป็นเวลา 30 ปี และเขารู้ถึงอำนาจของมัน นักประวัติศาสตร์ได้ระบุชื่อเล่นของเขา สันตะปาปานักรบ แต่มรดกที่ชายคนนี้ให้ไว้กับวาติกัน ไม่ใช่ป้อมปราการหรือปืนใหญ่ แต่เป็นศิลปะ เขาทิ้งห้องราฟาเอล ไว้ให้กับโบสถ์น้อยซิสติน เขาทิ้งโบสถ์นิกายโรมันคาทอลิก เซนต์ปีเตอร์ เอาไว้ เช่นเดียวกันกับของสะสมรูปปั้นเกรโก-โรมัน ที่ไม่ธรรมดา พวกมันถูกตัดสินว่าเป็นงานที่ไม่เป็นคริสเตียน และอาจกลายเป็นการหว่านเมล็ด สำหรับพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่แห่งแรกในโลก ซึ่งก็คือ พิพิธภัณฑ์วาติกัน จูเลียสเป็นชายคนหนึ่ง ผู้ที่มีวิสัยทัศน์ต่อวาติกัน ว่ามันจะมีความสำคัญไปตลอดกาล ด้วยความสง่าและด้วยความสวยงาม และเขาก็คิดถูก การปะทะกันระหว่างสองยักษ์ใหญ่ ไมเคิลแอนเจโลและจูเลียสที่สอง ได้ให้โบสถ์น้อยซิสตีนกับเรา ไมเคิลแอนเจโลทุ่มเทให้กับโครงการนี้ และเขาก็ทำงานจนสำเร็จภายในสามปีครึ่ง โดยใช้คนของเขา และใช้เวลาส่วนใหญ่ เอื้อมขึ้นสูงเหนือศีรษะของเขา เพื่อวาดภาพเรื่องราวบนเพดาน เราลองมาดูเพดานกัน และดูเรื่องราวที่โด่งดังไปไกลทั่วโลก ไม่มีงานศิลปะใด ที่จะเป็นที่รู้จักไปมากกว่านี้แล้ว มันมีพื้นที่และโครงสร้างและพลังงาน โครงร่างที่ถูกวาดอย่างอลังการ ซึ่งเปิดเข้าสู่เก้าส่วน ที่มีรูปปั้นที่น่าดึงดูด มากกว่าจะเป็นสีสันที่วาดลงไป และเรายืนอยู่ที่ปลายสุดของทางเข้า ห่างจากแท่นบูชาและรั้วกั้น ที่มีไว้สำหรับนักบวช และมองเข้าไปลึก ๆ จากจุดเริ่มต้น และไม่ว่าจะเป็นคำถามทางวิทยาศาสตร์ หรือแนวปฏิบัติตามพระคำภีร์ เราคิดในแง่ของประกายแรกเริ่ม ไมเคิลแอนเจโลให้พลังงานเริ่มต้นกับเรา เมื่อเขาให้การแยกระหว่างแสงและความมืด รูปร่างวกวนที่ไม่ชัดเจนในระยะไกล ถูกอัดเข้ามาในพื้นที่แคบ ๆ รูปร่างถัดไปค่อนข้างใหญ่กว่า และคุณเห็นรูปร่างนี้พุ่งจากด้านหนึ่ง ไปอีกด้านหนึ่ง เขาตื่นขึ้นและออกไป ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, พืชพรรณ ไมเคิลแอนเจโลไม่ได้มุ่งความสนใจ ไปที่สิ่งที่กำลังถูกสร้าง ต่างกับศิลปินคนอื่น ๆ เขามุ่งความสนใจไปยังการสร้าง และเมื่อการเคลื่อนไหวหยุด เหมือนกับจังหวะหยุดในบทกลอน และผู้สร้างก็เหาะอยู่บนฟ้า ผู้สร้างทำอะไร เขากำลังสร้างพื้นดินหรือเปล่า เขากำลังสร้างทะเลหรือเปล่า หรือเขากำลังมองย้อนกลับไปดูงานของเขา จักรวาลและสิ่งมีค่าของเขา อย่างที่ไมเคิลแอนเจโลจะต้องทำ มองกลับไปดูงานของเขาเองบนเพดาน และประกาศก้องว่า "มันเจ๋ง" ตอนนี้ฉากก็ถูกจัดวาง และคุณก็ได้การรวมตัวของการสร้าง ซึ่งก็คือมนุษย์ อดัมปรากฏสู่สายตา ภาพสว่างที่ต่างกับฉากมืด แต่ลองสังเกตใกล้ ๆ ขาของเขาที่อ่อนเปลี้ยอยู่บนพื้น แขนที่วางพักไว้บนเข่า อดัมขาดการจุดประกายจากภายใน ที่จะกระตุ้นให้เขามีความยิ่งใหญ่ ประกายนั้นจะถูกมอบให้อดัม โดยผู้สร้างผ่านทางปลายนิ้ว ซึ่งห่างไปจากมือของอดัมเพียงหนึ่งมิลลิเมตร มันทำเอาเรานั่งไม่ติด เพราะเราอยู่ห่างจากวินาทีนั้นไปนิดเดียว ก่อนที่ชายคนนั้น จะค้นพบความหมายของชีวิต ลุกขึ้นและเล่นบทบาท ในจุดสุดยอดของการสร้าง และจากนั้นไมเคิลแอนเจโลก็แสดงลีลา ใครอยู่ที่แขนทางด้านนอกนั่น อีฟ ผู้หญิงคนแรก ไม่ เธอไม่ใช่แผนสำรอง เธออยู่ในแผนการมาแต่ต้น เธออยู่ในความคิดของเขามาตลอด มองดูเธอสิ คล้องแขนของเธอไว้กับพระเจ้า ดูสนิทสนมใกล้ชิดกับพระเจ้า และสำหรับฉัน นักประวัติศาสตร์ศิลปะ ชาวอเมริกัน จากศตวรรษที่ 21 มันเป็นช่วงที่ภาพวาดสื่อสารกับฉัน เพราะฉันตระหนักว่า การแสดงละครชีวิตมนุษย์นี้ เกี่ยวกับชายและหญิงเสมอ -- ใจกลางของเพดานนั้น เป็นการสร้างผู้หญิง ไม่ใช่อดัม และอันที่จริง เมื่อคุณเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน ในสวนอีเดน พวกเขาตกสวรรค์ด้วยกัน และอากัปกริยาอันภาคภูมิของพวกเขา ก็กลายเป็นความอับอาย คุณอยู่ที่จุดเชื่อมต่อที่สำคัญบนเพดานนี้ คุณกำลังอยู่ตรงที่คุณและฉัน ไม่อาจเข้าไปต่อได้ในโบสถ์ รั้วปิดกั้นพวกเรากับส่วนด้านใน และพวกเราถูกไล่ ไม่ต่างอะไรจากอดัมและอีฟ ฉากที่เหลืออยู่บนเพดาน พวกมันสะท้อนความโกลาหนอลหม่าน ของโลกรอบ ๆ ตัวเรา คุณเห็นโนอาห์และเรือของเขาและน้ำท่วม คุณเห็นโนอาห์ เขาบวงสรวง และทำสัญญากับพระเจ้า บางที เขาอาจเป็นผู้ช่วยให้รอด โอ้ แต่ไม่ใช่เลย โนอาห์เป็นคนที่ปลูกองุ่น และคิดค้นการหมักไวน์ ดื่มซะเมามายและสลบไปในยุ้งฉาง ทั้งที่เปล่าเปลือยอย่างนั้น มันเป็นวิธีที่ต้องด้วยชั้นเชิง ในการออกแบบเพดาน เริ่มด้วยการสร้างชีวิตโดยพระเจ้า จบลงที่ชายคนหนึ่ง ที่เมาไม่รู้เรืองในยุ้งฉาง และเมื่อเปรียบเทียบกับอดัม คุณอาจคิดว่า ไมเคิลแอนเจโลกำลังล้อเราเล่น แต่เขากำลังขจัดความมืด โดยการใช้สีสดใสใต้โนอาห์ เขียวมรกต, เหลืองบุษราคัม, แดงเลือดหมู บนศาสดาเศคาริยาห์ เศคาริยาห์เล็งเห็นได้ถึง แสงที่จะมาจากทางตะวันออก และพวกเราเลี้ยวที่จุดเปลี่ยน ไปยังปลายทางใหม่ กับผู้ทำนายและศาสดา ผู้จะนำเราไปสู่สวรรค์ เราเห็นวีรบุรุษและวีรสตรี ทำให้หนทางนั้นปลอดภัย และเราก็ตามบิดาและมารดา พวกเขาเป็นผู้ผลักดันที่ยิ่งใหญ่ ที่ดันให้มนุษย์เดินหน้า และตอนนี้ เรามาถึงหินหลักยอดโค้ง ของเพดานนี้ ที่เป็นการรวมกันของทุกอย่าง ด้วยรูปร่างที่เหมือนกับว่า เขาจะตกลงมาจากที่ของเขา สู่ที่ของเรา ล่วงล้ำลงมายังที่ของเรา มันเป็นการเชื่อมต่อที่สำคัญ อดีตปะทะกับปัจจุบัน ภาพของจอห์น ผู้ที่ใช้เวลาสามวัน ในท้องของปลาวาฬ สำหรับชาวคริสเตียน มันเป็นสัญลักษณ์ ของการเกิดใหม่ของมนุษยชาติ ผ่านการอุทิศตนของพระเยซู แต่สำหรับผู้เข้าชมจำนวนมากของพิพิธภัณฑ์ ที่มีความเชื่อหลากหลาย ที่เข้ามาเยี่ยมชมที่นี่ทุกวัน เขาเป็นวินาทีที่อดีตอันห่างไกล มาปะทะกับปัจจุบัน ณ เวลานี้ ทั้งหมดนี้ นำเราไปยัง ส่วนโค้งของกำแพงแท่นบูชา ที่ซึ่งเราจะเห็นภาพงาน วันโลกาวินาศ ของไมเคิลแอนเจโล ที่ถูกวาดในปี ค.ศ. 1534 หลังจากโลกเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ยุคสมัยการปฏิรูปทำให้ศาสนจักรแตกแยก จักรวรรดิออตโตมานทำให้ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาหลักของโลก และแมกเจลแลนได้เดินทาง ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ศิลปินอายุ 59 ที่ไม่เคยไปไหนไกลกว่าเวนิส จะพูดกับโลกใหม่อย่างไร ไมเคิลแอนเจโลเลือกที่จะวาดเป้าหมาย ที่เป็นความปรารถนาสากล สำหรับพวกเราทุกคน เพื่อที่จะทิ้งมรดกอันยอดเยี่ยมเอาไว้ ด้วยการบอกเล่าการพิพากษาครั้งสุดท้าย ผ่านมุมมองของชาวคริสเตียน มันคือจุดจบของโลก ไมเคิลแอนเจโลให้ภาพชุด ของบุคคลที่มีรูปร่างงดงาม พวกเขาไม่มีอะไรปกปิดอีกต่อไป เว้นแต่คู่หนึ่ง มันเป็นการผสมผสาน ที่เกิดมาจากร่างกายล้วน ๆ 391 บุคคล ที่ไม่เหมือนกันเลย มีความเป็นเอกลักษณ์เหมือนพวกเราแต่ละคน พวกเขาเริ่มจากมุมล่าง ขึ้นไปจากพื้น พยายามและตะกายขึ้นไป พวกที่ขึ้นไปได้เอื้อมมือลงมา เพื่อช่วยคนอื่น และในภาพลวดลายเล็ก ๆ หนึ่งที่น่าทึ่ง คุณจะเห็นชายผิวดำและชายผิวขาว ถูกดึงขึ้นไปด้วยกัน ในมุมมองเอกภาพแห่งมนุษยชาติ ในโลกใหม่นี้ พื้นที่ขนาดใหญ่ถูกให้กับบรรดาผู้ชนะ ตรงนั้น คุณจะเห็นชายหญิงเปลือยกาย เหมือนกับนักกีฬา พวกเขาคือพวกที่พ้นเคราะห์กรรม และมุมมองของไมเคิลแอนเจโล กับคนที่ต่อสู้กับเคราะห์กรรม เอาชนะอุปสรรค -- พวกเขาก็เหมือนกับนักกีฬา คุณจะเห็นชายหญิงกำลังอวดกล้าม อวดโฉม ในแสงไฟที่ไม่ธรรมดา ผู้ที่เผ้าดูการรวมตัวกันนี้คือพระเยซู ที่ตอนแรก เป็นชายที่รับทุกข์ทรมานบนกางเขน ตอนนี้เป็นผู้ปกครองทรงสง่าบนสวรรค์ และอย่างที่ไมเคิลแอนเจโล พิสูจน์ให้เห็นในภาพวาด ความยากลำบาก ความล้มเหลว และอุปสรรค พวกมันไม่ได้จำกัดความเป็นเลิศ พวกมันหล่อหลอมความเป็นเลิศ ตอนนี้ มันนำเราเข้าสู่สิ่งหนึ่งที่ดูประหลาด นี่คือโบสถ์ส่วนตัวของสันตะปาปา และวิธีที่ดีที่สุด ที่คุณจะอธิบายถึงสิ่งนั้น ก็คือกลุ่มคนเปลือย แต่ไมเคิลแอนเจโลพยายาม ที่จะใช้ภาษาศิลปะที่ดีที่สุด ภาษาศิลปะที่เป็นสากลที่สุดที่เขาคิดออก คือร่างกายของมนุษย์ และแทนที่จะเป็นการแสดงคุณสมบัติ เช่นพละกำลัง หรือความรู้ของตนเอง เขายืมรูปปั้นที่สวยงามมาจาก จูเลียส ที่สอง เพื่อที่จะแสดงความเข้มแข็งจากข้างใน ในฐานะที่มันเป็นพลังภายนอก ตอนนี้ มีนักเขียนยุคใหม่เขียนไว้ว่า โบสถ์น้อยนั้นสวยเกินกว่า ที่จะไม่มีเรื่องขัดแย้ง และมันก็เป็นเช่นนั้น ต้องขอขอบคุณสำนักพิมพ์ ไม่นานไมเคิลแอนเจโลก็พบว่า การพร่ำบ่นด่า เกี่ยวกับการโป๊เปลือยกระจายไปทั่ว และไม่นาน ผลงานชิ้นเอกของเขาที่เกี่ยวกับ ละครมนุษย์ก็ถูกตีตราว่าเป็นงานลามก ถึงจุดที่ว่าเขาเติมภาพบุคคลอีกสองคน หนึ่งในนั้นคือคนที่วิจารณ์เขา คือข้าหลวงของสันตะปาปา และอีกคนหนึ่งคือเขาเอง ที่แห้งเป็นแกลบ ดูไม่เป็นนักกีฬา อยู่ในมือของผู้ยอมพลีชีพเพื่อศาสนา ที่เป็นทุกข์มานาน ปีที่เขาเสียชีวิต เขาเห็นรูปบางรูปถูกปกปิด เหมือนเป็นชัยของความไขว้เขว เหนือการกระตุ้นสู่ความรุ่งโรจน์ของเขา และตอนนี้ เราก็ยืนอยู่ ที่นี่และตอนนี้ เราอยู่ท่ามกลางพื้นที่ ระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ของประสบการณ์ทั้งหมดของมนุษย์ ที่ยิ่งใหญ่ โบสถ์น้อยซิสตินบังคับให้เรามองไปรอบ ๆ ราวกับว่ามันเป็นกระจก ฉันเป็นใครในกระจกนั่น ฉันเป็นหนึ่งในกลุ่มคนนั้นหรือเปล่า ฉันเป็นคนขี้เมาหรือเปล่า ฉันเป็นนักกีฬาหรือเปล่า และเมื่อเราออกจากสวรรค์ แห่งความงามที่เฟื่องฟูแห่งนี้ เราได้รับแรงบันดาลใจให้ถาม คำถามแห่งชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ฉันเป็นใคร และบทบาทไหนที่ฉันแสดง ในโรงมหรสพแห่งชีวิตนี้ ขอบคุณค่ะ (เสียงปรบมือ) บรูโน กูสซานิ: เอลิซาเบท ลีฟ ขอบคุณครับ เอลิซาเบท คุณกล่าวถึง ประเด็นเรื่องงานลามก มีการโป๊เปลือย ฉากชีวิตประจำวัน และสิ่งไม่เหมาะสมมากเกินไป ในสายตาของคนในยุคนั้น แต่อันที่จริงเรื่องราวนั้นยิ่งใหญ่กว่านั้น มันไม่ใช่แค่ถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว และถูกปกปิด งานศิลปะเหล่านี้เกือบที่จะถูกทำลาย ด้วยเหตุนั้น เอลิซาเบธ ลีฟ: ผลจากภาพวันโลกาวินาศ มันยิ่งใหญ่มาก สำนักพิมพ์ต้องการให้ทุกคนเห็นมัน ฉะนั้น นี่ไม่ใช่แค่อะไรบางอย่าง ที่เกิดขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์ มันเป็นอะไรบางอย่าง ที่เกิดขึ้นในช่วง 20 ปี ที่มีการแก้ไขทำซ้ำและบ่นวิจารณ์ บอกกับศาสนจักรว่า "คุณไม่สามารถที่จะมาบอกพวกเรา ว่าเราจะต้องใช้ชีวิตอย่างไร คุณไม่เห็นหรือว่า คุณมีงานลามก อยู่ในศาสนจักรน้อยของสันตะปาปาด้วยน่ะ" และหลังจากการบ่นและยืนกราน ว่างานพวกนี้จะต้องถูกทำลาย ในที่สุด มันก็เป็นปี ที่ไมเคิลแอนเจโลเสียชีวิต ที่ในที่สุดศาสนจักร ก็ได้พบกับวิธีประนีประนอม เพื่อที่จะรักษาภาพวาดเอาไว้ และนั่นก็คือ การนำสิ่งปกปิดเพิ่ม 30 ชิ้นไปวาง และนั่นก็คือใบฟิกซ์ที่มีมาแต่เดิม นั่นเป็นที่มาของมัน และมันมาจากการที่ศาสนจักร พยายามรักษางานศิลปะเอาไว้ ไม่ได้เข้าไปเผชิญหน้าปกป้องมัน หรือทำลายมัน บรูโน: สิ่งที่คุณเพิ่งมอบให้กับเรา ไม่ใช่การท่องเที่ยวคลาสสิก ที่ทุกคนได้ในปัจจุบัน เมื่อไปยังโบสถ์น้อยซิสติน (เสียงหัวเราะ) เอลิซาเบธ: ไม่รู้สิคะ นั่นเป็นการโฆษณาหรือเปล่าเนี่ย (เสียงหัวเราะ) บรูโน: ไม่ครับไม่ ไม่จำเป็นนะครับ มันเป็นแค่แถลงการณ์น่ะครับ ประสบการณ์เกี่ยวกับศิลปะในปัจจุบัน กำลังเผชิญหน้ากับปัญหา มีคนอยากดูมันมากเกินไป และผลก็คือคนห้าล้านคน เดินผ่านประตูเล็ก ๆ นี่ และได้รับประสบการณ์ ในแบบที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับที่เราได้ เอลิซาเบธ: ใช่ค่ะ ฉันเห็นด้วย มันดีมาก ๆ ที่จะสามารถหยุดและดู แต่ขอให้ตระหนักไว้ว่า ถึงแม้ว่าคุณจะอยู่ในนี่นั่นในวันนั้น กับคน 28,000 คน แม้ว่าในวันนั้น ที่คุณอยู่กับคนอื่น ๆ มองไปรอบ ๆ ตัว และคิดว่า มันน่าอัศจรรย์จริง ๆ ที่ภาพปูนเปียกบางภาพ จากเมื่อ 500 ปีก่อน ยังคงดึงดูดผู้คนเหล่านี้ ให้มายื่นอยู่เคียงข้างคุณ มองขึ้นไป ในขณะที่พวกเขาอ้าปากค้าง มันเป็นการประกาศที่ยอดเยี่ยม ว่าความงามสื่อสารกับเราอย่างไร ผ่านกาลเวลา และผ่านพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ บรูโน: ลิซ กราซี [ขอบคุณ] เอลิซาเบท: กราซี อะ ที [ขอบคุณค่ะ] บรูโน: ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)