พิธีกร: ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ เข้าสู่ TEDxChulalongkornU ครับ ขอเชิญทุกท่าน พบกับ อาจารย์อุ๊ อุไรวรรณ ศิวะกุล กับทอล์คที่มีชื่อว่า "ศรัทธาราคาสิบบาท" ครับ (เสียงปรบมือ) เป็นไงคะ ฟังเพลงแล้ว กำลังระลึกถึงใครอยู่รึเปล่า มีมั้ย ครูในดวงใจ ครูที่เป็นแรงบันดาลใจ ครูที่เปลี่ยนชีวิตเรา ครูในที่นี้ครูไม่ได้หมายถึง คนที่สอนหนังสือในห้องเรียนเท่านั้นนะ เราพบเขาได้ทุกที่ แต่แค่ว่าเข้ามาในชีวิตเราเมื่อไหร่ เขานี่แหละจะหยิบยื่นสิ่งเล็ก ๆ สิ่งหนึ่งให้กับคุณ และเจ้าสิ่งนี้แหละ มันจะจุดประกายบางอย่างในตัวคุณ แล้วทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปเลย ครูขอเรียกสิ่งนี้ว่า ศรัทธา คุณรู้มั้ย อาจารย์อุ๊ที่มายืนอยู่บนเวทีแห่งนี้ ไม่ใช่คนเก่งแล้วก็คนดีเลิศมาตั้งแต่เกิดนะ ตอนเด็ก ๆ คนรอบข้างเขามองครูว่ายังไงรู้เปล่า เป็นเด็กไม่มีอนาคต เป็นยังไง ครูเกเรเหรอ หรือครูติดยา เปล่านะ ครูไม่ใช่เป็นคนแบบนั้น แต่ครูเป็นเด็กที่ไม่เรียนหนังสือเลย แล้วเรียนหนังสือไม่เก่ง วัน ๆ ครูก็เอาแต่เล่น เล่น แล้วก็เล่น พอครูจบป.7 ปั๊บ ครูไปบอกแม่เลย แม่ หนูไม่เรียนต่อแล้วนะ หนูไม่อยากเรียน หนูเบื่อมากเลย แม่ดูมั้ย เพื่อนหนูทุกคนเขาลาออกกันหมดเลย แล้วแม่เขาก็ให้ออกด้วย แม่ก็บอกว่า แล้วเราล่ะ เราจะออกมาทำอะไร ครูก็บอก ค้าขายไงแม่ ช่วยแม่ค้าขายไง แม่บอกไม่ต้อง ไปเรียนต่อ ครูก็เลยจำใจ ก็ได้ เพราะครูเป็นเด็กไม่ดื้อ ครูก็ไปสอบเข้าโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ม.หนึ่งนะ แล้วผลเป็นไง สอบไม่ติด ก็นำความเดือดร้อนมาให้แม่ แม่ก็เลยไปฝาก เขาก็รับนะ เขาใจดีมาก เขารับทุกคน เพราะเด็กที่สอบตก มีไม่กี่คน แล้วครูก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ แล้วเขาก็บอกว่า ให้แม่ช่วยทำโต๊ะเก้าอี้ไปให้เด็กเรียน เพราะว่าโต๊ะเก้าอี้ไม่เพียงพอกับจำนวนเด็ก แม่ก็อะ รับปาก แล้วโต๊ะที่ทำไปนะ มันทาเชลแลค สีมันมันวับเลย แล้วพอครูเข้าไปเรียนวันแรกนะ ครูหันไปดูรอบห้อง โอโห สีโต๊ะเรา ทำไมมันดันไปแดงกว่าทุก ๆ คนเลย พออาจารย์ดุ อาจารย์โมโห ชี้มาที่พวกเราเลย พวกเราไอ้กลุ่มหลังห้องนะ ไอ้เด็กโต๊ะแดง เป็นที่รู้แล้ว ไอ้เด็กเรียนอ่อนไง ไอ้เด็กส่วนเกินไง ไอ้เด็กฝากไง ถึงแม้ว่าตอนเด็ก ๆ นี่ ครูจะเป็นเด็กที่เรียนหนังสือไม่เก่ง แต่ครูก็อยากได้การยอมรับนะ อยากได้ความรัก อยากได้การชื่นชมจากครูบาอาจารย์บ้าง แต่รู้มั้ย ครูแทบจะไม่ได้สิ่งนั้นจากโรงเรียนเลย กิจกรรมหลาย ๆ อย่างที่โรงเรียนจัดขึ้นนี่ ครูอยากมาก อยากจะได้มีส่วนร่วมกับเขา แต่เชื่อมั้ย คนไม่เก่งแบบเรานี่อย่าหวัง อย่าหวังที่จะได้เป็นตัวแทนทำอะไรกับเขาทั้งสิ้น แม้กระทั่งกิจกรรมง่าย ๆ นะ ใคร ๆ ก็ทำได้ เชิญธงตอนเช้าอะ ครูยังอยากทำเลยนะ เชื่อมั้ย เขายังคัดเด็กเก่งทำ วนเวียนกันอยู่ไม่กี่คู่น่ะ ครูก็นั่งรอ รอ รอ เมื่อไหร่จะถึงคิวเรา เขามองว่าเราเป็นเด็กไม่เก่งไง ให้ทำมันคงทำไม่ได้หรอก ครูก็อยากถามว่าแล้วมันยากตรงไหน มันยากตรงไหน กับไอ้ที่มีเชือกมาแล้วจับมันมาดึง ดึง ดึงอะ มันยากนักเหรอ ลองคิดดู แค่นี้เขายังไม่ให้ทำ เรียนตั้งสิบปีอะ ไม่ได้ทำเลยนะ นั่นครูมานั่งคิดนะ ถ้าสมมติว่าครูเรียนเก่ง แล้วครูสอบได้ที่หนึ่ง แล้วหน้าตาสวย ๆ อย่างนี้ มีเหรอจะไม่ได้ทำ ลองคิดดู ใช่มั้ยคะ นี่ไงคะ ครูว่าโรงเรียนนะ เขามีเส้นกั้น เด็กเก่ง เด็กอ่อน ชัดเจน แล้วความรู้สึกอันนี้ พอนานวันมันไม่ได้อยู่เฉพาะในห้องเรียนนะ มันเข้ามาอยู่ในชีวิตจริงนะ แล้วมันก็ติดตัวครูไปทุกหนทุกแห่ง เหมือนครูโดนตัดสิน ตีตราไปเรียบร้อยละ ไอ้เด็กคนนี้มันทำอะไรไม่ได้หรอก ครูได้ยินได้ฟัง ได้ถูกการกระทำซ้ำ ๆ จนครูเชื่อ ใช่ เราทำไม่ได้หรอก เราดีไม่ได้หรอก เราเก่งไม่ได้หรอก เราเป็นได้แค่นี้แหละ ความรู้สึกเชื่อมั่นในตัวครูนะ ถดถอยลงทุกวัน คุณเคยรู้สึกอย่างนี้มั้ย เคยมีมั้ยซักครั้ง เคยมั้ยคะ สมมติว่าอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัย อยากได้มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ชั้นนำของโลก แต่อย่า อย่าคาดหวังเลย เราไม่ใช่คนเก่งและหัวดีขนาดนั้น นี่ไง นี่แหละ ความคิดของคนที่ขาดศรัทธาในตัวเอง จุดเปลี่ยนในชีวิตครูนะ เกิดขึ้นตอนครูอยู่ม. 2 เมื่อก่อนนะ ครูไม่เคยอ่านหนังสือไปสอบเลยซักครั้งเดียว ครูไม่สนใจด้วยซ้ำไปว่าเขาสอบกันเมื่อไหร่ ครูใช้ชีวิตสบาย ๆ ชิล ๆ ไปวัน ๆ มีความสุขมาก เป็นไง อิจฉามั้ย แล้วครูไม่เคยคิดอะไรเลยนะ วัน ๆ ครูอยู่อย่างนี้ของครูทุกวัน จนมีอยู่ครั้งนึงนะ ตอนครูอยู่ม. 2 วันนั้นครูตั้งใจมาก ตั้งใจไม่ใช่ตั้งใจเรียนนะ ตั้งใจจะไปนั่งเล่นบ้านเพื่อน เพราะบ้านเขาติดกันนะ พอไปปึ๊บ เพื่อนเขานัดกันมาติวในวิชาภาษาไทย ครูก็เลยไม่มีเพื่อนเล่น อ้ะ นั่งติวด้วยก็ได้ ครูก็ไปนั่งร่วมกลุ่มกับเขา แล้วเขาติวกันโดยการถามกันไป ถามกันมา ซ้ำอยู่นั่นแหละ เชื่อมั้ย เขาไม่หันมาถามครูเลย แต่เราต้องคิดบวกถูกมั้ย ใช่มั้ยคะ ที่เขาไม่ถามเรานี่นะ เพราะเขาคิดว่า เขาให้เกียรติเรา ถ้าถามแล้วเราตอบไม่ได้ เดี๋ยวเราก็อายสิคะ นี่เห็นมั้ย ครูมีเพื่อนดี ๆ ทั้งนั้น แล้วบรรยากาศในการติววันนั้น อื้อหือมันดีมาก เป็นกันเอง ไม่กดดัน และที่สำคัญมาก ไม่มีครูดุ อื้อหือครูชอบมาก เรียนสนุก แล้วก็ครูก็เลยจดจำได้ดี พอครูไปสอบ โอ้โห ทำไมทำได้เยอะจังเลย ยังไม่เคยทำได้แบบนี้มาก่อนในชีวิตเลยนะ ผล ครูได้คะแนนสูงสุดในห้องเรียน วันนั้นครูดีใจมาก ครูไม่เล่นแล้วที่โรงเรียน ครูรีบกลับบ้านเลย พอครูลงจากรถปั๊บครูวิ่งไปหาแม่ แล้วก็กอดแม่ แล้วเล่าให้แม่ฟัง ครูจำได้ แม่ดีใจมาก แม่คงคิดไม่ถึงว่าลูกคนที่ทำให้แม่ทุกข์ใจ เรื่องการเรียนมาตลอดจะทำได้ แม่กอดนะ แล้วน้ำตาแม่ก็ไหล ตอนนั้นครูรู้สึกผิดมาก ที่ครูไม่ได้ตั้งใจเรียนมาตลอด ครูอยากขอโทษแม่ แต่แปลก ครูไม่กล้าทำ แล้ววันนี้ ตอนนี้ มันอยากจะทำ แต่ไม่มีโอกาส วันนั้นนะ แม่ให้รางวัลเป็นเงินสิบบาท แต่สิ่งที่แม่ให้วันนั้นมันมีค่ายิ่งใหญ่มาก มันคือศรัทธาที่แม่ยื่นให้กับเรา จากเด็กที่ไม่มีใครเห็นคุณค่าเลย แล้วกำลังขาดความเชื่อมั่นตัวเองไปแล้วอะนะ แต่แม่กลับเชื่อมั่นว่า เราจะประสบความสำเร็จได้ ถ้าเป็นคนที่ตั้งใจ แล้วหลังจากนั้น แม่นี่ไปเล่าเพื่อนบ้านหมดนะ ไปเล่าหมดนะ ครูรู้ได้ไง พอครูเดินไปไหน มีแต่คนทัก อุ๊ยอุ๊เรียนเก่งแล้ว อุ๊สอบได้ที่หนึ่งเหรอ ทั้ง ๆ ที่ครูไม่ได้สอบได้ที่หนึ่งนะ อุ๊สอบได้ที่หนึ่งเหรอ อุ๊เก่งมาก จนครูรู้สึกว่า เฮ้ย ครูเก่งนะ แม่ไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่แม่ทำในวันนั้น มันได้จุดประกายบางอย่างในตัวครู ทำให้ครูศรัทธาในตัวเอง เราเก่งนะ นี่แหละมันคือจุดเปลี่ยนในชีวิตของครูเลย ครูเริ่มคิด ครูทำได้ ครูดีได้ และครูเก่งได้ และสิ่งที่ตามมาคืออะไร ครูกล้าที่จะฝัน ครูตั้งจุดมุ่งหมายไว้สูงมาก ครูต้องไปตามฝันให้ได้ ครูกล้าที่จะทำ ครูกล้าสู้ ไม่กลัวอุปสรรคอะไรทั้งสิ้นแล้ว และผลสุดท้าย ครูก็ประสบความสำเร็จ จากไอ้เด็กโต๊ะแดง กลายเป็นเด็กที่สอบได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และเป็นอาจารย์อุ๊ ที่มีลูกศิษย์หลายล้านคน นี่คือจุดที่ครูประสบความสำเร็จ คุณจำเส้นกั้นเด็กเก่งเด็กอ่อนได้มั้ย วันที่ครูก้าวผ่านพ้นมันไป ชีวิตครูเปลี่ยนไปเลยนะ ครูเหมือนมาอยู่ในโลกอีกใบนึง โลกที่เต็มไปด้วยการชื่นชม การยอมรับ รางวันต่าง ๆ เข้ามาหาครูเพียบ แต่ว่าครูว่ามันมาช้าไป ในวันที่เราขาดสิ่งนั้น เราต้องการใครซักคนนึงเขาหยิบยื่นให้เราหน่อย มันกลับไม่มีเลยนะ ไม่มีใครหยิบยื่นให้เราเลย ณ วันนั้น ถ้าไม่มีแม่เป็นผู้ให้โอกาสและผลักดัน ครูจะมีวันนี้มั้ย นี่นะ คุณเคยมั้ย คุณเคยได้ยินมั้ย นั่นเป็นคติในการสอนของครูมาตลอดนะ มันเลยกลายเป็นคติในการสอนของครูมาตลอด ว่า เด็กทุกคนที่ครูสอน ครูจะต้องรักเขา ครูจะต้องให้โอกาสเขาทุกคน ผู้ปกครองนี่ชอบถามครูบ่อยมาก อาจารย์อุ๊ ทำไม เวลาอาจารย์สอนใคร ทำไมเด็กถึงรักมาก ทำไมพูดอะไรเด็กก็เชื่อ อาจารย์มีเคล็ดลับอะไรรึเปล่า ครูก็บอกเลย เคล็ดลับของครูอะเหรอ นอกจากเนื้อหาทางวิชาการแล้ว นี่ไงคะ เหรียญสิบ ที่แม่เคยหยิบยื่นให้กับครู ครูจะยื่นศรัทธานี้แหละ ให้กับลูกศิษย์ครูทุกคน ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นเด็กที่เรียนเก่ง หรือเรียนอ่อนก็ตาม เพราะนั่นคือคติในการสอนของครู ที่ครูยึดมั่นมาตลอด คุณเคยได้ยินมั้ยคะ ที่เขาเปรียบเทียบว่าเด็กคือผ้าขาว เคยได้ยินมั้ยคะ เคยใช่มั้ย เขาชอบบอกว่าเด็กน่ะคือผ้าขาว ส่วนผู้ใหญ่ก็ทำหน้าที่แต่งแต้มสีลงไปในผ้า เพื่อให้ได้ภาพที่ออกมาสวยงาม คุณเชื่อแนวคิดนี้มั้ย แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเกิดผ้าผืนนึง กว่ามันจะถึงมือคุณ มันไม่ใช่สีขาวแล้ว มันเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปแล้ว คุณจะเอาผ้าผืนนั้นกลับมาวาดใหม่ ให้สวยงามไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ย แล้วคุณจะเอาผ้าผืนนั้นไปไว้ที่ไหน หรือคุณจับมันโยนทิ้งไป เหมือนกับเด็กเรียนอ่อนที่ถูกทิ้ง สำหรับครูแล้ว ครูว่าเด็กไม่ใช่ผ้าขาว ถ้าให้ครูเปรียบเทียบเด็กเป็นผ้า ครูว่าเขาเป็นผ้าหลากหลายสีสันมาก และหลากหลายชนิดที่ไม่ได้ซ้ำกันเลย ทุกชนิดมีจุดเด่นของมันเอง หน้าที่ของผู้ใหญ่ ต้องมอง มองให้เห็นคุณค่า แล้วให้โอกาสกับผ้าทุก ๆ ผืน หยิบมันขึ้นมาดูหน่อย นี่ผ้าฝ้าย เหมาะกับอากาศร้อนนะ นี่ผ้าไหม สีสันสวยสดดีไม่ใช่เหรอ แม้กระทั่งผ้ายืดนะ ก็ดี ซักง่าย แห้งเร็ว แล้วก็ไม่ต้องรีด เห็นมั้ยคะ ทุกอย่างมันมีจุดเด่นของมันเอง มอง มองให้เห็นจุดเด่นของมัน แล้วดึงจุดนั้นออกมา นั่นคือหน้าที่ของพวกเรา เพราะความจริงแล้วเด็กทุกคนไม่ได้เกิดออกมา แล้วสมบูรณ์แบบเหมือนกันหมด แต่เด็กทุกคน ควรได้รับความรัก ความเมตตา และมีใครซักคนเชื่อมั่นในตัวเขา ในแบบที่เขาเป็น หน้าที่ของผู้ใหญ่ไม่ใช่ไปตีกรอบ ให้เขาอยู่ในแม่พิมพ์ที่ผู้ใหญ่ต้องการ ถ้าเด็กคนไหนไม่อยู่ในกรอบล่ะก็ เขาคือความล้มเหลวเหรอ ครูว่าไม่ใช่ หน้าที่ของผู้ใหญ่ ต้องส่งเสริม ผลักดัน ให้เขาเติบโตไปตามศักยภาพที่แท้จริง ของเขาต่างหากล่ะ เราโตมาถึงทุกวันนี้แล้ว ครูเชื่อนะ เราต่างก็มีคน ๆ นั้น คนที่เชื่อมั่นในตัวเรา ในยามที่อาจจะไม่มีใครเชื่อเราเลย คนที่ปลุกให้เราศรัทธาในตัวเอง จนเราอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้น แต่ถ้าในชีวิตนี้ ยังไม่มีใครเลย ที่เขาเคยหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้กับคุณ คุณไม่ต้องไปรอคน ๆ นั้นแล้ว คุณยื่นศรัทธาให้ตัวคุณเองเถอะ อย่ากลัวที่จะลงมือทำ เพราะไม่มีใครที่เกิดมา แล้วสมบูรณ์แบบไปเสียหมด แล้วก็ไม่มีใครเช่นกัน ที่เกิดมาแล้วแย่ไปเสียทุกอย่าง เชื่อเถอะว่าทุกคนมีดีทั้งนั้นแหละ ให้เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วบอกตัวเองว่า ตั้งแต่วินาทีนี้ไป ฉันทำได้ ฉันดีได้ ฉันเก่งได้ แล้วลงมือทำเสีย ดูสิคะ เด็กคนนึงที่ถูกใครต่อใครเขาตราหน้า ว่าเป็นเด็กไม่มีอนาคต เพียงเพราะเหรียญสิบเหรียญเดียว กับคำพูดชื่นชมไม่กี่ประโยค ณ วันนี้ เขายังมายืนถึงจุดนี้ได้ เราลองคิดดูนะ ถ้าเราต่างคนต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน ให้เกียรติซึ่งกันละกัน เชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ถามว่าสังคมเรานี่จะไปได้ดีขนาดไหน วันนี้ในใจของคุณมีเหรียญสิบ ที่จะหยิบยื่นให้ใครรึยัง ลองให้สิ แล้วคุณจะพบกับสิ่งที่มหัศจรรย์มาก เหรียญเดียวนี้ คุณจะให้ได้ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ไม่มีวันสิ้นสุด เหมือนกับที่ครูให้กับลูกศิษย์ มาตลอดสามสิบกว่าปีของการเป็นครู สิ่งเล็ก ๆ สิ่งเดียวนี้ ที่ครูเรียกว่า ศรัทธา ราคาสิบบาท แต่คุณค่ามหาศาล (เสียงปรบมือ)