WEBVTT 00:00:07.054 --> 00:00:10.208 คุณเคยสงสัยไหมว่าเกิดอะไรขึ้น กับยาแก้ปวดอย่าง ไอบูโพรเฟน 00:00:10.208 --> 00:00:11.964 หลังจากที่คุณกลืนมันลงไป 00:00:11.964 --> 00:00:14.972 ยาที่ไหลผ่านคอของคุณลงไป ช่วยบำบัดอาการปวดหัว 00:00:14.972 --> 00:00:16.054 ปวดหลัง 00:00:16.054 --> 00:00:17.934 หรืออาการปวดเคล็ดขัดยอกที่ข้อเท้าได้ 00:00:17.934 --> 00:00:20.833 แต่มันไปยังที่เหล่านั้นได้อย่างไร 00:00:20.833 --> 00:00:24.715 คำตอบก็คือ มันขอติดตามไปกับ ระบบไหลเวียนโลหิตของคุณ 00:00:24.715 --> 00:00:27.445 ที่หมุนเวียนไปทั่วร่างกาย เพื่อทำตามหน้าที่ของมัน 00:00:27.445 --> 00:00:31.145 ก่อนที่มันจะถูกจับเอาไว้โดยอวัยวะ และโมเลกุลที่ถูกออกแบบมา 00:00:31.145 --> 00:00:33.926 เพื่อทำให้สารแปลกปลอมเป็นกลาง และถูกกำจัดออกไปได้ 00:00:33.926 --> 00:00:36.605 กระบวนการนี้เริ่มขึ้นในระบบย่อยอาหารของคุณ 00:00:36.605 --> 00:00:40.845 สมมติว่าคุณกลืนเม็ดยาไอบูโพรเฟนลงไป เพื่อแก้ปวดข้อ 00:00:40.845 --> 00:00:44.125 ภายในไม่กี่นาที เม็ดยาก็เริ่มที่จะละลาย ในของไหลที่เป็นกรด 00:00:44.125 --> 00:00:45.736 ที่อยู่ในกระเพาะของคุณ 00:00:45.736 --> 00:00:48.552 ไอบูโพรเฟนที่ละลายแล้ว จะเดินทางไปยังลำไส้เล็ก 00:00:48.552 --> 00:00:53.276 และจากนั้นก็จะเดินทางผ่านผนังลำไส้ เข้าสู่ระบบเส้นเลือด 00:00:53.276 --> 00:00:56.005 เส้นเลือดเหล่านี้ต่อไปยังเส้นเลือดดำ 00:00:56.005 --> 00:00:59.845 ซึ่งนำส่งเลือดและอะไรก็ตามในนั้นไปยังตับ 00:00:59.845 --> 00:01:02.526 ขั้นต่อไปคือการทำให้มันผ่านตับ 00:01:02.526 --> 00:01:07.775 เมื่อเลือดและโมเลกุลของยา เดินทางผ่านหลอดเลือดของตับ 00:01:07.775 --> 00:01:11.195 เอนไซม์ต่าง ๆ พยายามที่จะเข้าไปหา โมเลกุลของไอบูโพรเฟน 00:01:11.195 --> 00:01:13.305 เพื่อทำให้มันเป็นกลาง 00:01:13.305 --> 00:01:16.769 โมเลกุลของไอบูโพรเฟนที่ได้รับความเสียหาย ที่เรียกว่า เมตาบอไลท์ 00:01:16.769 --> 00:01:19.837 ไม่อาจทำหน้าที่เป็นยาแก้ปวดได้อีกต่อไป 00:01:19.837 --> 00:01:24.396 ณ สถานะนี้ ไอบูโพรเฟนส่วนใหญ่ จะผ่านตับออกไปโดยไม่ได้รับความเสียหาย 00:01:24.396 --> 00:01:26.527 มันเดินทางออกจากตับ 00:01:26.527 --> 00:01:27.766 ผ่านเส้นเลือดดำ 00:01:27.766 --> 00:01:30.206 เข้าสู่ระบบการไหลเวียนโลหิตของร่างกาย 00:01:30.206 --> 00:01:32.176 ครึ่งชั่วโมงหลังจากที่คุณกลืนยาลงไป 00:01:32.176 --> 00:01:36.987 โดสบางส่วนก็ได้ไปถึงระบบไหลเวียนโลหิต 00:01:36.987 --> 00:01:39.698 เลือดที่เดินทางเป็นวงจรนี้ เดินทางไปยังทุกระยางค์และอวัยวะ 00:01:39.698 --> 00:01:44.674 รวมถึง หัวใจ สมอง ไต และกลับมายังตับอีกครั้ง 00:01:44.674 --> 00:01:47.218 เมื่อโมเลกุลของไอบูโพรเฟนพบกับตำแหน่ง 00:01:47.218 --> 00:01:50.084 ที่ความเจ็บปวดของร่างกาย ตอบสนองถึงขีดสุด 00:01:50.084 --> 00:01:54.611 พวกมันจับกับโมเลกุลเป้าหมายจำเพาะ ที่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิกิริยานั้น 00:01:54.611 --> 00:01:57.681 ยาแก้ปวดอย่างไอบูโพรเฟน ขัดขวางการผลิตสารประกอบ 00:01:57.681 --> 00:02:00.859 ที่ช่วยให้ร่างกายส่งผ่านสัญญาณความเจ็บปวด 00:02:00.859 --> 00:02:02.758 เมื่อโมเลกุลยาเข้ามาสะสมมากขึ้น 00:02:02.758 --> 00:02:05.388 ผลที่ต้านความเจ็บปวดก็เพิ่มขึ้น 00:02:05.388 --> 00:02:09.084 จนถึงขึดสุดภายในหนึ่งถึงสองชั่วโมง 00:02:09.084 --> 00:02:11.948 จากนั้น ร่างกายก็เริ่มกำจัดไอบูโพรเฟน อย่างมีประสิทธิภาพ 00:02:11.948 --> 00:02:16.299 โดยโดสในเลือดจะลดลงโดยเฉลี่ยคิดเป็น ครึ่งหนึ่งในทุก ๆ สองชั่วโมง 00:02:16.299 --> 00:02:19.238 เมื่อโมเลกุลไอบูโพรเฟนพบกับเป้าหมายของมัน 00:02:19.238 --> 00:02:22.828 การหมุนเวียนของเลือดที่เป็นระบบ จะนำมันออกไป 00:02:22.828 --> 00:02:26.412 กลับมายังตับ ส่วนเล็ก ๆ อีกส่วนหนึ่ง ของปริมาณทั้งหมดของยา 00:02:26.412 --> 00:02:29.169 ถูกเปลี่ยนไปเป็นเมตาบอไลท์ 00:02:29.169 --> 00:02:32.728 ซึ่งสุดท้ายแล้วจะถูกกรอง ออกไปสู่ปัสสาวะโดยไต 00:02:32.728 --> 00:02:35.530 วงจรจากตับสู่ร่างกายสู่ไต ดำเนินต่อเนื่องกันไป 00:02:35.530 --> 00:02:38.220 ด้วยอัตราประมาณหนึ่งรอบการไหลเวียนโลหิต ต่อหนึ่งนาที 00:02:38.220 --> 00:02:42.398 ด้วยยาที่ถูกทำให้เป็นกลางทีละน้อย และที่ถูกกรองออกไปในแต่ละรอบ 00:02:42.398 --> 00:02:45.570 ขั้นตอนที่เรียบง่ายเหล่านี้ก็เหมือน ๆ กัน สำหรับยาใด ๆ ก็ตามที่ใช้รับประทาน 00:02:45.570 --> 00:02:47.119 แต่ความเร็วของกระบวนการ 00:02:47.119 --> 00:02:50.086 และปริมาณตัวยาสำคัญ ที่เข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิตของคุณนั้น 00:02:50.086 --> 00:02:51.538 แตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับยา 00:02:51.538 --> 00:02:52.456 ตัวบุคคล 00:02:52.456 --> 00:02:54.709 และวิถีที่มันเข้าสู่ร่างกาย 00:02:54.709 --> 00:02:57.320 คำแนะนำเรื่องปริมาณการให้โดส บนฉลากยาสามารถช่วยได้ 00:02:57.320 --> 00:03:00.109 แต่พวกมันเป็นค่าเฉลี่ยตามกลุ่มตัวอย่าง 00:03:00.109 --> 00:03:02.933 ที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้บริโภคทุกราย 00:03:02.933 --> 00:03:05.201 และการให้โดสได้อย่างถูกต้องนั้น ก็เป็นเรื่องสำคัญ 00:03:05.201 --> 00:03:07.989 ถ้าให้น้อยเกินไป ยานั้นก็อาจไม่ได้ผล 00:03:07.989 --> 00:03:12.210 ถ้าให้มากเกินไป ยาและเมตาบอไลท์ของมันก็อาจเป็นพิษได้ 00:03:12.210 --> 00:03:14.151 นั่นเป็นข้อเท็จจริงสำหรับยาทุกชนิด 00:03:14.151 --> 00:03:18.350 กลุ่มผู้ป่วยที่กำหนดปริมาณโดสให้ยากที่สุด ก็คือเด็ก ๆ 00:03:18.350 --> 00:03:22.930 นั่นเป็นเพราะว่าการตอบสนองต่อยาเปลี่ยนแปลง ไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับร่างกาย 00:03:22.930 --> 00:03:26.629 ยกตัวอย่างเช่น ระดับของเอนไซม์ในตับ ที่จำให้ตัวยาสำคัญเป็นกลาง 00:03:26.629 --> 00:03:29.781 เปลี่ยนแปลงขึ้นลง ระหว่างช่วงที่เป็นทารกและเด็ก 00:03:29.781 --> 00:03:32.590 และนั่นก็เป็นเพียง หนึ่งในหลาย ๆ ปัจจัยที่ซับซ้อน 00:03:32.590 --> 00:03:33.461 พันธุกรรม 00:03:33.461 --> 00:03:34.201 อายุ 00:03:34.201 --> 00:03:34.941 การบริโภคอาหาร 00:03:34.941 --> 00:03:35.685 โรคภัยไข้เจ็บ 00:03:35.685 --> 00:03:40.700 และแม้แต่ภาวะตั้งครรภ์ ก็ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการนำยาไปใช้ 00:03:40.700 --> 00:03:45.841 สักวันหนึ่ง การตรวจดีเอ็นเอที่รวดเร็ว อาจสามารถปรับโดสยาได้อย่างแม่นยำ 00:03:45.841 --> 00:03:49.570 ให้เข้ากับประสิทธิภาพตับ และปัจจัยอื่น ๆ ของแต่ละบุคคลได้ 00:03:49.570 --> 00:03:50.702 แต่ระหว่างนี้ 00:03:50.702 --> 00:03:52.341 สิ่งที่คุณทำได้ดีที่สุดคือการอ่านฉลากยา 00:03:52.341 --> 00:03:54.263 หรือปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร 00:03:54.263 --> 00:03:57.922 และใช้ยาในปริมาณและระยะเวลา ที่ได้รับคำแนะนำ