0:00:00.000,0:00:02.000 ไม่กี่เดือนก่อน 0:00:02.000,0:00:04.000 รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ 0:00:04.000,0:00:06.000 ถูกมอบให้ทีมนักดาราศาสตร์ 2 ทีม 0:00:06.000,0:00:09.000 สำหรับการค้นพบที่ได้รับการยกย่อง 0:00:09.000,0:00:11.000 ให้เป็นการค้นพบที่สำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีมา 0:00:11.000,0:00:13.000 ด้านการสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ 0:00:13.000,0:00:15.000 วันนี้ ผมจะเริ่มจากอธิบายให้ฟัง [br]เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาค้นพบ 0:00:15.000,0:00:18.000 แล้วต่อด้วยกรอบแนวคิดซึ่งเป็นที่ถกเถียง 0:00:18.000,0:00:21.000 ที่ใช้อธิบายการค้นพบนี้ 0:00:21.000,0:00:23.000 นั่นก็คือ ความเป็นไปได้ที่ 0:00:23.000,0:00:25.000 ไกลออกไปจากโลก 0:00:25.000,0:00:28.000 จากกาแล็กซีทางช้างเผือก และกาแล็กซีอื่นๆ 0:00:28.000,0:00:30.000 เราอาจพบว่าเอกภพ (universe) ของเรา 0:00:30.000,0:00:32.000 ไม่ได้เป็นเอกภพเดียวที่มีอยู่ 0:00:32.000,0:00:34.000 แต่เป็นเพียงแค่ 0:00:34.000,0:00:36.000 ส่วนหนึ่งของหลายเอกภพที่ซับซ้อน 0:00:36.000,0:00:38.000 ที่เราเรียกว่า "สหภพ" (multiverse) 0:00:38.000,0:00:41.000 แนวคิดของสหภพออกจะฟังดูแปลกสักหน่อย 0:00:41.000,0:00:43.000 พวกเราส่วนใหญ่โตมากับความเชื่อที่ว่า 0:00:43.000,0:00:46.000 คำว่า "เอกภพ" หมายถึง ทุกสิ่งอย่าง 0:00:46.000,0:00:49.000 และผมว่าพวกเราส่วนใหญ่ที่คิดรอบคอบ 0:00:49.000,0:00:52.000 เหมือนลูกสาวอายุ 4 ขวบของผม[br]ที่ได้ยินผมพูดแนวคิดเหล่านี้มาตั้งแต่เกิด 0:00:52.000,0:00:54.000 และเมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่ผมกำลังประคองเธออยู่ 0:00:54.000,0:00:56.000 ผมบอกเธอว่า "โซเฟีย, 0:00:56.000,0:00:59.000 พ่อรักลูกมากกว่าสิ่งอื่นใดในเอกภพเลยนะ" 0:00:59.000,0:01:01.000 เธอถามผมว่า "พ่อคะ 0:01:01.000,0:01:03.000 เอกภพ หรือ สหภพ กันแน่คะ?" 0:01:03.000,0:01:06.000 (เสียงหัวเราะ) 0:01:06.000,0:01:09.000 แม้ไม่นับการสอนลูกแบบแปลกๆ ของผม 0:01:09.000,0:01:11.000 มันก็ดูแปลกที่จะจินตนาการ 0:01:11.000,0:01:13.000 ถึงดินแดนอื่นๆ นอกเหนือจากของเรา 0:01:13.000,0:01:15.000 ที่มีลักษณะพื้นฐานแตกต่างอย่างสิ้นเชิง 0:01:15.000,0:01:18.000 ที่ซึ่งอาจมีสิทธิ์เรียกตัวเองว่าเป็นเอกภพได้เหมือนกัน 0:01:18.000,0:01:20.000 ถึงแม้ว่า 0:01:20.000,0:01:22.000 แนวความคิดนี้เป็นเพียงการคาดคะเน 0:01:22.000,0:01:24.000 ผมก็ยังมุ่งมั่นจะโน้มน้าวให้พวกคุณเชื่อ 0:01:24.000,0:01:26.000 ว่ามีเหตุผลมากพอที่จะจริงจังกับมัน 0:01:26.000,0:01:28.000 เพราะมันอาจเป็นแนวคิดที่ถูกต้อง 0:01:28.000,0:01:31.000 ผมจะแบ่งการอธิบายเรื่องของสหภพออกเป็นสามภาค 0:01:31.000,0:01:33.000 ในภาคแรก 0:01:33.000,0:01:35.000 ผมจะบรรยายการค้นพบที่ได้รางวัลโนเบล 0:01:35.000,0:01:37.000 และชี้ให้เห็นปริศนาอันน่าฉงน 0:01:37.000,0:01:39.000 ซึ่งถูกเปิดเผยโดยการค้นพบเหล่านั้น 0:01:39.000,0:01:41.000 ในภาคที่สอง 0:01:41.000,0:01:43.000 ผมจะเสนอคำตอบสำหรับปริศนานั้น 0:01:43.000,0:01:45.000 ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิด ทฤษฎีสตริง (string theory) 0:01:45.000,0:01:47.000 และนั่นคือตอน ที่แนวคิดเรื่องสหภพ 0:01:47.000,0:01:49.000 จะเข้ามาในเรื่องราวของเรา 0:01:49.000,0:01:51.000 และสุดท้าย ในภาคที่สาม 0:01:51.000,0:01:53.000 ผมจะบรรยายทฤษฎีของจักรวาลวิทยา 0:01:53.000,0:01:55.000 ที่เรียกว่า การขยายตัว (infllation) 0:01:55.000,0:01:58.000 ซึ่งจะดึงเอาเรื่องราวทั้งสามภาคมารวมเข้าด้วยกัน 0:01:58.000,0:02:02.000 ภาคแรก เริ่มต้นเมื่อปี 1929 0:02:02.000,0:02:04.000 เมื่อนักดาราศาสตร์ชื่อดัง เอ็ดวิน ฮับเบิล (Edwin Hubble) 0:02:04.000,0:02:07.000 ตระหนักว่ากาแล็กซีที่ห่างไกลออกไป 0:02:07.000,0:02:09.000 ต่างวิ่งห่างจากเราออกไปเรื่อยๆ 0:02:09.000,0:02:11.000 เขาก่อตั้งแนวคิดที่ว่าอวกาศนั้นยืดตัวออกเรื่อยๆ 0:02:11.000,0:02:13.000 มันกำลังขยายตัว 0:02:13.000,0:02:16.000 นี่เป็นการปฏิวัติด้านแนวคิดเลยทีเดียว 0:02:16.000,0:02:19.000 ความเข้าใจโดยทั่วไปในยุคนั้นคือ 0:02:19.000,0:02:21.000 เอกภพนั้นหยุดนิ่ง 0:02:21.000,0:02:23.000 แต่กระนั้น 0:02:23.000,0:02:26.000 มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนแน่ใจ นั่นก็คือ 0:02:26.000,0:02:29.000 การขยายตัวจะต้องช้าลง 0:02:29.000,0:02:32.000 เปรียบเสมือนแรงดึงดูดของโลก 0:02:32.000,0:02:35.000 ที่ชะลอการลอยตัวของผลแอปเปิลที่ถูกโยนขึ้น 0:02:35.000,0:02:37.000 ซึ่งแรงดึงดูด 0:02:37.000,0:02:39.000 ของแต่ละกาแล็กซีนี้ 0:02:39.000,0:02:41.000 มีผลให้การขยายตัวของห้วงอวกาศ 0:02:41.000,0:02:43.000 ชะลอลง 0:02:43.000,0:02:46.000 ทีนี้ เร่งเวลามาสู่ยุคปี 90 0:02:46.000,0:02:48.000 ในตอนที่นักดาราศาสตร์ 2 ทีม 0:02:48.000,0:02:50.000 ที่ผมกล่าวถึงเมื่อตอนต้น 0:02:50.000,0:02:52.000 เกิดแรงบันดาลใจจากเหตุผลดังกล่าว 0:02:52.000,0:02:54.000 พวกเขาจึงคิดวัดอัตรา 0:02:54.000,0:02:56.000 การขยายตัวเริ่มชะลอลง 0:02:56.000,0:02:58.000 พวกเขาทำการทดลอง 0:02:58.000,0:03:00.000 โดยใช้ความอุตสาหะในการเฝ้าสังเกตการณ์ 0:03:00.000,0:03:02.000 หลายๆ กาแล็กซีอันห่างไกล 0:03:02.000,0:03:04.000 ทำให้พวกเขาสามารถบันทึก 0:03:04.000,0:03:07.000 ว่าอัตราการขยายตัวนั้นเปลี่ยนแปลงตามเวลาไปอย่างไร 0:03:07.000,0:03:10.000 และนี่คือผลที่น่าประหลาดใจ 0:03:10.000,0:03:13.000 พวกเขาพบว่าอัตราการขยายตัวไม่ได้ค่อยๆ ชะลอลง 0:03:13.000,0:03:15.000 แต่กลับพบว่ามันกำลังเร่งความเร็วขึ้น 0:03:15.000,0:03:17.000 เร็วขึ้นเรื่อยๆ 0:03:17.000,0:03:19.000 มันเหมือนกับการโยนลูกแอปเปิลขึ้นในอากาศ 0:03:19.000,0:03:21.000 แล้วมันลอยสูงขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ 0:03:21.000,0:03:23.000 เวลาคุณเห็นแอปเปิลเป็นอย่างนั้น 0:03:23.000,0:03:25.000 คุณคงอยากรู้ว่า 0:03:25.000,0:03:27.000 อะไรกำลังผลักมันอยู่ 0:03:27.000,0:03:29.000 คล้ายกันครับ การค้นพบของนักดาราศาสตร์เหล่านั้น 0:03:29.000,0:03:32.000 สมควรได้รับรางวัลโนเบลอย่างแน่นอน 0:03:32.000,0:03:36.000 แต่พวกเขาก็สร้างคำถามเชิงเปรียบเทียบขึ้นมา 0:03:36.000,0:03:38.000 ว่าแรงอะไรที่กำลังผลักดันกาแล็กซีทั้งหลาย 0:03:38.000,0:03:41.000 ให้วิ่งออกห่างจากกัน 0:03:41.000,0:03:44.000 ด้วยอัตราที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ 0:03:44.000,0:03:46.000 ทีนี้ คำตอบที่เป็นไปได้มากที่สุด 0:03:46.000,0:03:49.000 มาจากแนวคิดเก่าแก่ของ ไอน์สไตน์ (Einstien) 0:03:49.000,0:03:51.000 คือว่า พวกเราเคยชินกับแรงโน้มถ่วง 0:03:51.000,0:03:54.000 ว่าเป็นแรงที่มีหน้าที่อย่างเดียว 0:03:54.000,0:03:56.000 คือดึงวัตถุเข้าหากัน 0:03:56.000,0:03:58.000 แต่ในทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของไอน์สไตน์ 0:03:58.000,0:04:00.000 หรือทฤษฎีสัมพัทธภาพ 0:04:00.000,0:04:03.000 แรงโน้มถ่วงก็สามารถผลักวัตถุออกจากกันได้ 0:04:03.000,0:04:06.000 ถ้าอธิบายตามคณิตศาสตร์ของไอน์สไตน์ 0:04:06.000,0:04:08.000 อวกาศนั้นเต็มไปด้วยพลังงานที่มองไม่เห็น 0:04:08.000,0:04:10.000 กระจายตัวอยู่อย่างสม่ำเสมอ 0:04:10.000,0:04:13.000 คล้ายๆ กับหมอกบางๆ ที่มองไม่เห็น 0:04:13.000,0:04:16.000 ทีนี้แรงโน้มถ่วงที่สร้างขึ้นจากหมอกพวกนั้น 0:04:16.000,0:04:18.000 จะเป็นแรงผลัก 0:04:18.000,0:04:20.000 เป็นแรงโน้มถ่วงชนิดผลัก 0:04:20.000,0:04:23.000 ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการ [br]ที่จะใช้อธิบายผลสังเกตการณ์เหล่านั้น 0:04:23.000,0:04:25.000 และเป็นเพราะแรงโน้มถ่วงชนิดผลัก 0:04:25.000,0:04:27.000 ของพลังงานที่มองไม่เห็นในอวกาศ 0:04:27.000,0:04:29.000 เราจึงเรียกมันว่า พลังงานมืด (dark energy) 0:04:29.000,0:04:32.000 ผมทำมันเป็นควันสีขาว เพื่อให้คุณเห็นมัน 0:04:32.000,0:04:34.000 แรงโน้มถ่วงชนิดผลัก 0:04:34.000,0:04:36.000 ทำให้แต่ละกาแล็กซีต่างผลักตัวออกจากกัน 0:04:36.000,0:04:38.000 ส่งผลให้การขยายตัวเพิ่มอัตราขึ้น 0:04:38.000,0:04:40.000 ไม่ใช่ช้าลง 0:04:40.000,0:04:42.000 และการอธิบายนี้ 0:04:42.000,0:04:44.000 ก็แสดงถึงความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ 0:04:44.000,0:04:47.000 ผมสัญญาพวกคุณว่าจะมีปริศนา 0:04:47.000,0:04:49.000 ในภาคแรกนี้ 0:04:49.000,0:04:51.000 เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ 0:04:51.000,0:04:53.000 เมื่อนักดาราศาสตร์กลุ่มนี้คำนวณได้ว่า 0:04:53.000,0:04:56.000 ต้องมีพลังงานมืด 0:04:56.000,0:04:58.000 แทรกตัวอยู่ในอวกาศมากแค่ไหน 0:04:58.000,0:05:00.000 จึงจะส่งผลให้เกิดการขยายตัวของอวกาศเช่นที่เป็นอยู่ 0:05:00.000,0:05:02.000 นี่คือผลที่พวกเขาพบ 0:05:09.000,0:05:11.000 ตัวเลขที่ได้ มีค่าน้อยมาก 0:05:11.000,0:05:13.000 แม้จะแสดงในหน่วยที่เหมาะสมแล้ว 0:05:13.000,0:05:15.000 มันก็ยังดูน้อยมากอยู่ดี 0:05:15.000,0:05:18.000 และปริศนานั้นก็คือการที่จะอธิบายเจ้าเลขแปลกๆ ตัวนี้ 0:05:18.000,0:05:20.000 เราอยากให้ตัวเลขนี้ 0:05:20.000,0:05:22.000 ให้เป็นผลลัพธ์ของกฏฟิสิกส์ 0:05:22.000,0:05:25.000 แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครพบวิธีที่จะทำได้ 0:05:25.000,0:05:28.000 ทีนี้คุณอาจสงสัยว่า 0:05:28.000,0:05:30.000 ต้องสนใจมันด้วยเหรอ? 0:05:30.000,0:05:32.000 บางทีคำอธิบายเลขตัวนี้ 0:05:32.000,0:05:34.000 อาจเป็นแค่เรื่องทางเทคนิค 0:05:34.000,0:05:37.000 อาจเป็นรายละเอียดที่มีแต่ผู้เชี่ยวชาญสนใจ 0:05:37.000,0:05:39.000 แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครอื่น 0:05:39.000,0:05:42.000 มันก็เป็นเรื่องรายละเอียดทางเทคนิคจริงๆ แหละครับ 0:05:42.000,0:05:44.000 แต่รายละเอียดบางอย่าง ก็น่าสนใจ 0:05:44.000,0:05:46.000 บางรายละเอียด ชี้ให้เห็นประตู 0:05:46.000,0:05:48.000 สู่ดินแดนที่ไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน 0:05:48.000,0:05:51.000 และเลขแปลกๆ ตัวนี้อาจมีหน้าที่เช่นนั้น 0:05:51.000,0:05:54.000 และวิธีเดียวที่จะเข้าใกล้การอธิบายตัวเลขนี้ได้มากที่สุด 0:05:54.000,0:05:57.000 ก็ก่อให้เกิดความเป็นไปได้ของเอกภพอื่นๆ 0:05:57.000,0:06:00.000 เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นมาจากทฤษฎีสตริง 0:06:00.000,0:06:03.000 ซึ่งจะนำผมเข้าสู่ภาคสอง: ทฤษฎีสตริง 0:06:03.000,0:06:07.000 พักเรื่องปริศนาของพลังงานมืด 0:06:07.000,0:06:09.000 ไว้ในใจก่อนนะครับ 0:06:09.000,0:06:11.000 เพราะตอนนี้ผมจะเล่าให้คุณฟังเกี่ยวกับ 0:06:11.000,0:06:14.000 สิ่งสำคัญสามอย่างเกี่ยวกับทฤษฎีสตริง 0:06:14.000,0:06:16.000 อย่างแรกเลย 0:06:16.000,0:06:19.000 มันคือวิธีการทำฝันของไอน์สไตน์ให้เป็นจริง 0:06:19.000,0:06:22.000 ซึ่งก็คือทฤษฎีเอกภาพทางฟิสิคส์ 0:06:22.000,0:06:24.000 เป็นกรอบแนวคิดใหญ่ 0:06:24.000,0:06:26.000 ที่จะสามารถอธิบาย 0:06:26.000,0:06:28.000 แรงทุกอย่างที่มีในเอกภพ 0:06:28.000,0:06:30.000 และแก่นความคิดหลักของทฤษฎีสตริง 0:06:30.000,0:06:32.000 ก็ตรงไปตรงมา 0:06:32.000,0:06:34.000 มันกล่าวว่าถ้าคุณพิจารณา 0:06:34.000,0:06:36.000 สสารชิ้นใดก็ตามให้ละเอียด 0:06:36.000,0:06:38.000 ตอนแรกคุณจะพบโมเลกุล 0:06:38.000,0:06:41.000 จากนั้นคุณจะพบอะตอมและอนุภาคย่อยของอะตอม 0:06:41.000,0:06:43.000 แต่ทฤษฎีกล่าวไว้ว่า ถ้าคุณสามารถมองเห็นสิ่งที่เล็กลงไปอีก 0:06:43.000,0:06:46.000 เล็กกว่าความสามารถของเทคโนโลยีที่เรามีอยู่ 0:06:46.000,0:06:49.000 คุณจะพบสิ่งอื่นๆ ในอนุภาคเหล่านี้ 0:06:49.000,0:06:52.000 มันคือสายใยขนาดจิ๋วของพลังงานที่กำลังสั่น 0:06:52.000,0:06:55.000 เส้นด้ายเล็กๆ ที่กำลังสั่น 0:06:55.000,0:06:57.000 และเช่นเดียวกับสายไวโอลิน 0:06:57.000,0:06:59.000 พวกมันสามารถสั่นได้หลายรูปแบบ 0:06:59.000,0:07:01.000 สร้างโน้ตดนตรีต่างๆ กัน 0:07:01.000,0:07:03.000 เมื่อเส้นด้ายพื้นฐานเล็กๆ เหล่านี้ 0:07:03.000,0:07:05.000 สั่นในรูปแบบต่างๆ 0:07:05.000,0:07:07.000 พวกมันจะผลิตอนุภาคที่แตกต่างกัน 0:07:07.000,0:07:09.000 ดังนั้นอิเล็กตรอน ควาร์ก นิวตริโน โฟตอน 0:07:09.000,0:07:11.000 และ อนุภาคอื่น ๆ 0:07:11.000,0:07:13.000 จะถูกรวมอยู่ในกรอบเดียวกัน 0:07:13.000,0:07:16.000 เพราะพวกมันล้วนเกินจากเส้นด้ายที่สั่น 0:07:16.000,0:07:19.000 มันเป็นภาพที่สวยจับใจ 0:07:19.000,0:07:21.000 คล้ายกับเป็นซิมโฟนีจักรวาล 0:07:21.000,0:07:23.000 ที่ซึ่งความอิ่มเอิบ 0:07:23.000,0:07:25.000 ที่เราเห็นในโลกรอบตัวเรา 0:07:25.000,0:07:27.000 ก่อกำเนิดขึ้นมาจากบทเพลง 0:07:27.000,0:07:30.000 ที่เส้นด้ายจิ๋วเหล่านี้สามารถเล่นได้ 0:07:30.000,0:07:32.000 แต่ก็มีต้นทุน 0:07:32.000,0:07:34.000 เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นเอกภาพที่เริศหรูนี้ 0:07:34.000,0:07:36.000 เพราะจากการวิจัยหลายปี 0:07:36.000,0:07:39.000 แสดงให้เห็นว่าคณิตศาสตร์ของทฤษฎีสตริง[br]ทำงานไม่สมบูรณ์นัก 0:07:39.000,0:07:41.000 มันมีความไม่สอดคล้องภายในอยู่บางอย่าง 0:07:41.000,0:07:43.000 ยกเว้นว่าเราอนุญาตให้มี 0:07:43.000,0:07:46.000 บางสิ่งที่ เราไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิง 0:07:46.000,0:07:49.000 นั่นคือ มิติเพิ่มเติมของพื้นที่ 0:07:49.000,0:07:52.000 เราทุกคนทราบเกี่ยวกับพื้นที่สามมิติปกติของเรา 0:07:52.000,0:07:54.000 และคุณสามารถนึกถึงมัน 0:07:54.000,0:07:57.000 ในแง่ความสูง ความกว้าง และความลึก 0:07:57.000,0:08:00.000 แต่ทฤษฎีสตริงกล่าวว่าว่า ในระดับที่เล็กมากๆ 0:08:00.000,0:08:02.000 จะมีมิติเพิ่มเติม 0:08:02.000,0:08:04.000 ที่ถูกบีบอัดขนาดให้เล็กมาก 0:08:04.000,0:08:06.000 กระทั่งเราไม่สามารถตรวจพบได้ 0:08:06.000,0:08:08.000 แม้ว่ามิติเหล่านี้จะถูกซ่อน ไว้ 0:08:08.000,0:08:11.000 พวกมันก็ส่งผลกระทบ[br]ต่อสิ่งที่เราสามารถสังเกตได้ 0:08:11.000,0:08:14.000 เนื่องจากมิติพิเศษเหล่านี้ 0:08:14.000,0:08:17.000 บังคับพฤติกรรมการสั่นของเส้นด้าย 0:08:17.000,0:08:19.000 และในทฤษฎีสตริง 0:08:19.000,0:08:22.000 การสั่นสะเทือนกำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง 0:08:22.000,0:08:24.000 ดังนั้น มวลของอนุภาค แรงต่างๆ 0:08:24.000,0:08:27.000 และที่สำคัญมากที่สุดคือ ปริมาณของพลังงานมืด 0:08:27.000,0:08:29.000 จะถูกกำหนด 0:08:29.000,0:08:31.000 โดยรูปร่างของมิติพิเศษ 0:08:31.000,0:08:34.000 ดังนั้นถ้าเรารู้รูปร่างของมิติพิเศษ 0:08:34.000,0:08:37.000 เราน่าจะคำนวณคุณลักษณะต่างๆ ได้ 0:08:37.000,0:08:40.000 คำนวณปริมาณของพลังงานมืดได้ 0:08:40.000,0:08:42.000 ความท้าทาย 0:08:42.000,0:08:44.000 คือ เราไม่รู้ 0:08:44.000,0:08:47.000 รูปร่างของมิติพิเศษ 0:08:47.000,0:08:49.000 ทั้งหมดที่เรามี 0:08:49.000,0:08:51.000 คือ รายการของรูปร่างที่เป็นไปได้ 0:08:51.000,0:08:54.000 ที่คณิตศาสตร์จะอนุญาตให้มี 0:08:54.000,0:08:56.000 ตอนนี้ เมื่อความคิดเหล่านี้ถูกแรกพัฒนา 0:08:56.000,0:08:58.000 มีรูปร่างต่างๆ ที่เข้าข่าย เพียงแค่ห้าแบบ 0:08:58.000,0:09:00.000 คุณคงพอนึกออกว่า 0:09:00.000,0:09:02.000 การวิเคราะห์พวกมันทีละรูปร่าง 0:09:02.000,0:09:04.000 เพื่อดูว่ารูปร่างใด ให้ผลลัพธ์ 0:09:04.000,0:09:06.000 เป็นคุณลักษณะทางกายภาพที่เราสังเกตเห็นได้ 0:09:06.000,0:09:08.000 แต่เมื่อเวลาผ่านไป รายการก็ยาวขึ้น 0:09:08.000,0:09:10.000 เมื่อนักวิจัยพบรูปร่างอื่นที่เข้าข่าย 0:09:10.000,0:09:13.000 จากห้ารูปร่าง เพิ่มเป็นหลักร้อย และหลักพัน 0:09:13.000,0:09:16.000 กลายเป็นรายการขนาดใหญ่[br]แต่ก็พอที่จะทำการวิเคราะห์ไหว 0:09:16.000,0:09:18.000 เพราะยังไงก็แล้วแต่ 0:09:18.000,0:09:21.000 เหล่านักศึกษาป.โท ก็ยังต้องหาหัวข้อทำวิจัย 0:09:21.000,0:09:23.000 แต่แล้ว รายการก็ยังเพิ่มขึ้นอีก 0:09:23.000,0:09:26.000 เป็นหลักล้าน พันล้าน จนทุกวันนี้ 0:09:26.000,0:09:28.000 รายการรูปร่างที่เข้าข่าย 0:09:28.000,0:09:33.000 มีสูงถึงประมาณ 10 ยกกำลัง 500 0:09:33.000,0:09:36.000 แล้วเราจะทำอย่างไรดี 0:09:36.000,0:09:39.000 นักวิจัยบางคนก็ถอดใจ 0:09:39.000,0:09:42.000 สรุปเอาว่า มีจำนวนรูปร่างของมิติพิเศษ[br]ที่เป็นไปได้มากเกินไป 0:09:42.000,0:09:45.000 แต่ละอันก่อให้เกิดลักษณะทางกายภาพแตกต่างกัน 0:09:45.000,0:09:47.000 ทฤษฎีสตริงคงไม่สามารถ 0:09:47.000,0:09:49.000 ให้การทำนายที่ชัดเจนและทดสอบได้ 0:09:49.000,0:09:53.000 แต่มีคนที่เปลี่ยนวิธีมองปัญหานี้โดยสิ้นเชิง 0:09:53.000,0:09:55.000 นำเราไปสู่ความเป็นไปได้ ของสหภพ 0:09:55.000,0:09:57.000 และนี่คือแนวคิดที่ว่า 0:09:57.000,0:10:00.000 บางที รูปร่างเหล่านี้อาจมีศักดิ์ศรี[br]เท่าเทียมกับรูปร่างอื่นๆ 0:10:00.000,0:10:02.000 แต่ละรูปร่างก็มีอยู่จริงเหมือนกับรูปร่างอื่นๆ 0:10:02.000,0:10:04.000 ในเชิงที่ว่า 0:10:04.000,0:10:06.000 มีเอกภพอยู่มากมาย 0:10:06.000,0:10:09.000 แต่ละเอกภพ มีรูปร่างมิติพิเศษที่แตกต่างกัน 0:10:09.000,0:10:11.000 และข้อเสนอที่สุดโต่งนี้ 0:10:11.000,0:10:14.000 มีผลกระทบลึกซึ้งต่อปริศนา 0:10:14.000,0:10:17.000 เรื่องปริมาณพลังงานมืดจากผลลัพธ์[br]ของทีมผู้ได้รับรางวัลโนเบล 0:10:17.000,0:10:19.000 เพราะว่า 0:10:19.000,0:10:22.000 ถ้ามีเอกภพอื่นๆ 0:10:22.000,0:10:24.000 และหากเอกภพเหล่านั้น 0:10:24.000,0:10:28.000 แต่ละเอกภพมีรูปร่างของมิติพิเศษที่แตกต่างกัน 0:10:28.000,0:10:30.000 แล้ว คุณสมบัติทางกายภาพของแต่ละเอกภพจะแตกต่างกัน 0:10:30.000,0:10:32.000 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 0:10:32.000,0:10:34.000 ปริมาณของพลังงานมืดในแต่ละเอกภพ 0:10:34.000,0:10:36.000 จะแตกต่างกันไปด้วย 0:10:36.000,0:10:38.000 ซึ่งหมายความว่าปริศนา 0:10:38.000,0:10:40.000 ในการอธิบายปริมาณพลังงานมืดที่เราวัดได้ตอนนี้ 0:10:40.000,0:10:43.000 จะเปลี่ยนวิธีไปโดยสิ้นเชิง 0:10:43.000,0:10:45.000 ในบริบทนี้ 0:10:45.000,0:10:48.000 กฎฟิสิกส์ไม่สามารถอธิบาย[br]ค่าพลังงานมืดค่าใดค่าหนึ่งได้ 0:10:48.000,0:10:51.000 เนื่องจากมันไม่ได้มีเพียงค่าเดียว 0:10:51.000,0:10:53.000 มีค่าพลังงานมืดหลายค่า 0:10:53.000,0:10:55.000 ซึ่งแปลว่า 0:10:55.000,0:10:58.000 เราตั้งคำถามผิดมาโดยตลอด 0:10:58.000,0:11:00.000 คำถามที่ถูกควรจะเป็น 0:11:00.000,0:11:03.000 ทำไมมนุษย์เราเกิดขึ้นมาในเอกภพหนึ่ง 0:11:03.000,0:11:06.000 ที่มีปริมาณพลังงานมืด เท่าที่เราวัดได้อยู่นี้ 0:11:06.000,0:11:09.000 แทนที่จะเกิดขึ้นในเอกภพอื่นๆ 0:11:09.000,0:11:11.000 ที่มีอยู่มากมาย 0:11:11.000,0:11:14.000 และนั่นคือคำถามสำคัญที่ควรหยิบขึ้นมาพิจารณา 0:11:14.000,0:11:16.000 และคำตอบก็คือ เหล่าเอกภพ 0:11:16.000,0:11:18.000 ที่มีพลังงานมืดมากกว่าของเรา 0:11:18.000,0:11:21.000 เมื่อใดก็ตามที่สสารพยายามก่อตัว 0:11:21.000,0:11:24.000 แรงโน้มถ่วงแบบผลักของพลังงานมืดจะรุนแรงมาก 0:11:24.000,0:11:26.000 จนระเบิดสสารนั้นออกเป็นเสี่ยงๆ 0:11:26.000,0:11:28.000 กาแล็กซีจึงไม่ก่อเป็นรูปร่าง 0:11:28.000,0:11:31.000 ส่วนเอกภพที่มีพลังงานมืดน้อยไป 0:11:31.000,0:11:33.000 พวกมันจะยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว 0:11:33.000,0:11:36.000 จนกาแล็กซีไม่ก่อเกิดเป็นรูปร่างเช่นกัน 0:11:36.000,0:11:39.000 และถ้าไม่มีเอกภพ ก็ไม่มีดาวฤกษ์ ไม่มีดาวเคราะห์ 0:11:39.000,0:11:41.000 และไม่มีโอกาส 0:11:41.000,0:11:43.000 สำหรับสิ่งมีชีวิตแบบเรา 0:11:43.000,0:11:45.000 ที่จะเกิดในเอกภพเหล่านั้น 0:11:45.000,0:11:47.000 ดังนั้นเราจึงพบตัวเราในเอกภพ 0:11:47.000,0:11:50.000 ที่มีปริมาณพลังงานมืด ดังที่เราวัดได้ 0:11:50.000,0:11:53.000 ก็เพียงเพราะเอกภพของเรามีเงื่อนไข 0:11:53.000,0:11:57.000 ที่เหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิตแบบเรา 0:11:57.000,0:11:59.000 และมันก็เป็นเช่นนี้เอง 0:11:59.000,0:12:01.000 ปริศนาได้ถูกตอบแล้ว 0:12:01.000,0:12:03.000 เราค้นพบสหภพ 0:12:03.000,0:12:08.000 บางคนยังคิดว่าคำอธิบายเหล่านี้ยังไม่น่าพอใจ 0:12:08.000,0:12:10.000 เราเคยชินกับฟิสิกส์ 0:12:10.000,0:12:13.000 ที่ให้คำอธิบายสำหรับสิ่งต่างๆ ที่เราสังเกตได้ 0:12:13.000,0:12:15.000 แต่ประเด็น คือ 0:12:15.000,0:12:18.000 ถ้าคุณลักษณะที่คุณกำลังเฝ้าสังเกต 0:12:18.000,0:12:20.000 สามารถมี 0:12:20.000,0:12:22.000 ค่าต่างๆ ที่หลากหลาย 0:12:22.000,0:12:25.000 มากมายเท่าที่จะเป็นไปได้ 0:12:25.000,0:12:27.000 การพยายามหาคำอธิบาย 0:12:27.000,0:12:29.000 สำหรับค่าเฉพาะเจาะจงหนึ่งค่า 0:12:29.000,0:12:32.000 จึงเป็นความคิดที่ผิด 0:12:32.000,0:12:34.000 ตัวอย่างแรกๆ 0:12:34.000,0:12:37.000 มาจากนักดาราศาสตร์ชื่อ โยฮันเนส เคปเลอร์[br](Johannes Kepler) 0:12:37.000,0:12:39.000 ผู้ซึ่งหมกมุ่น กับการพยายามเข้าใจ 0:12:39.000,0:12:41.000 ตัวเลขอีกตัวหนึ่ง 0:12:41.000,0:12:45.000 ทำไมดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลก 93 ล้านไมล์ 0:12:45.000,0:12:48.000 และเขาได้ทำงานเป็นสิบปี พยายามอธิบายเลขตัวนี้ 0:12:48.000,0:12:51.000 แต่ไม่เคยสำเร็จ และเราก็รู้ว่าทำไม 0:12:51.000,0:12:53.000 เคปเลอร์ ได้ถาม 0:12:53.000,0:12:55.000 ผิดคำถาม 0:12:55.000,0:12:58.000 ตอนนี้ เรารู้แล้วว่ามีดาวเคราะห์หลายดวง 0:12:58.000,0:13:01.000 ที่ระยะทางต่างๆ กัน จากดาวฤกษ์ของตนเอง 0:13:01.000,0:13:04.000 ดังนั้น การหวังว่ากฎฟิสิกส์ 0:13:04.000,0:13:07.000 จะอธิบายถึงเลขเจาะจง 93 ล้านไมล์ 0:13:07.000,0:13:10.000 เป็นความคิดที่ผิด 0:13:10.000,0:13:12.000 คำถามที่ถูกคือ 0:13:12.000,0:13:15.000 ทำไมมนุษย์จึงอยู่บนดาวเคราะห์ 0:13:15.000,0:13:17.000 ที่ระยะห่างนี้โดยเฉพาะ 0:13:17.000,0:13:20.000 แทนที่เป็นระยะห่างอื่นๆ 0:13:20.000,0:13:23.000 และนั่นเป็นคำถามที่เราตอบได้ 0:13:23.000,0:13:26.000 เหล่าดาวเคราะห์ซึ่งอยู่ใกล้มากเกินไป จากดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์ 0:13:26.000,0:13:28.000 จะร้อนมาก 0:13:28.000,0:13:30.000 จนสิ่งมีชีวิตอย่างเราอยู่ไม่ได้ 0:13:30.000,0:13:33.000 และดาวเคราะห์ที่อยู่ไกลจากดาวฤกษ์มากเกินไป 0:13:33.000,0:13:35.000 ก็จะเย็นมาก 0:13:35.000,0:13:37.000 จนสิ่งมีชีวิตอย่างเราก็ทนไม่ได้เช่นกัน 0:13:37.000,0:13:39.000 ดังนั้น เราจึงเกิดขึ้น 0:13:39.000,0:13:41.000 บนดาวเคราะห์ในระยะห่างนี้โดยเฉพาะ 0:13:41.000,0:13:43.000 เพียงแค่ เพราะมันมีสภาพ 0:13:43.000,0:13:46.000 ที่สำคัญต่อสิ่งมีชีวิตแบบเรา 0:13:46.000,0:13:49.000 และเมื่อพูดถึงดาวเคราะห์และระยะห่างของมัน 0:13:49.000,0:13:53.000 นี่คือการให้เหตุผลอย่างถูกต้อง 0:13:53.000,0:13:55.000 ประเด็นก็คือ 0:13:55.000,0:13:58.000 เมื่อพูดถึงเอกภพ และพลังงานมืดที่มากับมัน 0:13:58.000,0:14:02.000 มันอาจเป็นการให้เหตุผลที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน 0:14:02.000,0:14:05.000 แน่นอน ความแตกต่างสำคัญ 0:14:05.000,0:14:07.000 คือ เรารู้แน่นอนแล้วว่ามีดาวฤกษ์อื่นๆ อยู่ 0:14:07.000,0:14:10.000 แต่จนถึงตอนนี้ เราได้เพียงแต่คาดคะเนว่ามีความน่าจะเป็น 0:14:10.000,0:14:12.000 ที่จะมีเอกภพอื่นๆ อยู่ 0:14:12.000,0:14:14.000 ถ้าจะสรุป 0:14:14.000,0:14:16.000 เราจำเป็นต้องมีกลไก 0:14:16.000,0:14:19.000 ที่สามารถให้กำเนิดเอกภพอื่นๆ ได้ 0:14:19.000,0:14:22.000 และนั่นนำผมไปสู่ภาคสาม ภาคสุดท้าย 0:14:22.000,0:14:25.000 เนื่องจากกลไกดังกล่าวถูกค้นพบแล้ว 0:14:25.000,0:14:28.000 โดยนักดาราศาสตร์ที่พยายามศึกษา บิ๊กแบง (Big Bang) 0:14:28.000,0:14:30.000 เมื่อเราพูดถึงบิ๊กแบง 0:14:30.000,0:14:32.000 เรามักจะนึกถึง 0:14:32.000,0:14:34.000 การระเบิดของจักรวาล 0:14:34.000,0:14:36.000 ที่สร้างเอกภพของเรา 0:14:36.000,0:14:39.000 และเริ่มทำให้อวกาศพุ่งขยายตัวทุกทิศทาง 0:14:39.000,0:14:41.000 แต่ยังมีความลับเล็กน้อยอยู่ 0:14:41.000,0:14:44.000 บิ๊กแบง ได้ทิ้งบางสิ่งที่สำคัญมากเอาไว้ 0:14:44.000,0:14:46.000 นั่นคือ การระเบิด 0:14:46.000,0:14:49.000 มันบอกถึงวิวัฒนาการของเอกภพหลังการระเบิด 0:14:49.000,0:14:51.000 แต่มันไม่ให้ข้อมูลเชิงลึกกับเราเลย 0:14:51.000,0:14:55.000 ว่าอะไรเป็นแหล่งพลังงานของการระเบิด 0:14:55.000,0:14:57.000 และสุดท้ายคำถามนี้ก็ได้รับคำตอบ 0:14:57.000,0:14:59.000 โดยทฤษฎีบิ๊กแบง ฉบับปรับปรุงใหม่ 0:14:59.000,0:15:02.000 ซึ่งถูกเรียกว่า จักรวาลวิทยาแบบขยายตัว[br](inflationary cosmology) 0:15:02.000,0:15:06.000 ซึ่งระบุถึงชนิดเชื้อเพลิง 0:15:06.000,0:15:08.000 ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว จะสร้าง 0:15:08.000,0:15:10.000 แรงผลักออกของอวกาศ 0:15:10.000,0:15:13.000 เชื้อเพลิงนี้มีรากฐานอยู่บนสิ่งที่เรียกว่า[br]สนามควอนตัม (quantum field) 0:15:13.000,0:15:16.000 แต่รายละเอียดเดียวที่สำคัญกับเรา 0:15:16.000,0:15:19.000 นั่นคือ เชื้อเพลิงชนิดนี้ [br]ถูกพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก 0:15:19.000,0:15:21.000 จนเกือบจะเป็นไปไม่ได้ 0:15:21.000,0:15:23.000 ที่จะใช้มันจนหมด 0:15:23.000,0:15:25.000 ซึ่งแปลว่าในทฤษฎีการขยายตัว 0:15:25.000,0:15:28.000 การที่บิ๊กแบงให้กำเนิดเอกภพของเรา 0:15:28.000,0:15:31.000 อาจไม่ได้เป็นเหตุการณ์เพียงครั้งเดียว 0:15:31.000,0:15:34.000 หากแต่ว่า เชื้อเพลิงไม่เพียงแต่สร้างบิ๊กแบงของเรา 0:15:34.000,0:15:40.000 แต่มันยังสร้าง บิ๊กแบง อีกนับไม่ถ้วน 0:15:40.000,0:15:43.000 แต่ละครั้งให้กำเนิดเอกภพของมันเอง 0:15:43.000,0:15:45.000 ซึ่งมีเอกภพของเรา เป็นเพียงแค่หนึ่งฟอง 0:15:45.000,0:15:48.000 ในอ่างอาบน้ำฟองสบู่แห่งเอกภพ 0:15:48.000,0:15:50.000 ทีนี้ เมื่อเรารวมสิ่งนี้เข้ากับทฤษฎีสตริง 0:15:50.000,0:15:52.000 นี่คือภาพที่เราพบ 0:15:52.000,0:15:54.000 แต่ละเอกภพมีมิติพิเศษที่หลากลาย 0:15:54.000,0:15:57.000 มิติพิเศษเหล่านี้มีรูปร่างที่แตกต่างกัน 0:15:57.000,0:16:00.000 รูปร่างที่แตกต่างกันมีผลต่อ[br]คุณลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกัน 0:16:00.000,0:16:03.000 และเราพบตัวเราในเอกภพหนึ่งแทนที่จะเป็นที่อื่นๆ 0:16:03.000,0:16:06.000 เพียงเพราะในเอกภพของเรานั้น 0:16:06.000,0:16:09.000 ที่มีคุณลักษณะกายภาพ เช่น ปริมาณของพลังงานมืด 0:16:09.000,0:16:13.000 เหมาะสมสำหรับรูปแบบสิ่งมีชีวิตอย่างเราจะดำรงอยู่ได้ 0:16:13.000,0:16:16.000 และนี่คือภาพที่น่าดึงดูด[br]แต่ยังเป็นข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง 0:16:16.000,0:16:18.000 ของจักรวาลในมุมกว้าง 0:16:18.000,0:16:20.000 ซึ่ง การเฝ้าสังเกตการณ์[br]ด้วยทฤษฎี และเครื่องมือทันสมัย 0:16:20.000,0:16:24.000 ทำให้เราเริ่มใคร่ครวญอย่างจริงจัง 0:16:24.000,0:16:28.000 แน่นอน คำถามใหญ่ที่เหลืออยู่คือ 0:16:28.000,0:16:31.000 เราจะสามารถยืนยัน 0:16:31.000,0:16:34.000 การมีอยู่จริงของเอกภพอื่นๆ ได้หรือไม่ 0:16:34.000,0:16:36.000 ผมว่า 0:16:36.000,0:16:39.000 ทางหนึ่งคือ วันนั้นอาจมาถึงในที่สุด 0:16:39.000,0:16:41.000 ทฤษฎีการขยายตัว 0:16:41.000,0:16:43.000 ก็มีข้อมูลการเฝ้าสังเกตการณ์[br]เป็นหลักฐานสนับสนุนที่หนักแน่นแล้ว 0:16:43.000,0:16:45.000 เนื่องจากทฤษฎีทำนายว่า 0:16:45.000,0:16:47.000 บิ๊กแบง น่าจะเกิดขึ้นรุนแรงมาก 0:16:47.000,0:16:50.000 จนในขณะที่อวกาศขยายอย่างรวดเร็ว 0:16:50.000,0:16:52.000 การสั่นไหวเล็กน้อยทางควอนตัมจากโลกใบเล็กๆ 0:16:52.000,0:16:55.000 จะต้องถูกยืดออกไปยังโลกขนาดใหญ่ 0:16:55.000,0:16:58.000 ส่งผลให้ทิ้งร่องรอยที่เป็นเอกลักษณ์ 0:16:58.000,0:17:00.000 เป็นรูปแบบของจุดที่ร้อนกว่า และจุดที่เย็นกว่าจุดอื่นๆ 0:17:00.000,0:17:02.000 แผ่ทั่วทั้งอวกาศ 0:17:02.000,0:17:05.000 ที่ซึ่งกล้องโทรทัศน์กำลังสูงทุกวันนี้[br]สามารถตรวจวัดได้แล้ว 0:17:05.000,0:17:08.000 ในอนาคต หากมีเอกภพอื่นๆ 0:17:08.000,0:17:10.000 ทฤษฎีทำนายไว้ว่า บ่อยครั้ง 0:17:10.000,0:17:12.000 ที่เอกภพเหล่านั้นสามารถชนกันได้ 0:17:12.000,0:17:14.000 และ ถ้าเอกภพถูกชนโดยอีกเอกภพ 0:17:14.000,0:17:16.000 การชนนั้น 0:17:16.000,0:17:18.000 จะทำให้เกิดรูปแบบที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้น 0:17:18.000,0:17:20.000 ของความแปรปรวนของอุณหภูมิทั่วทั้งอวกาศ 0:17:20.000,0:17:22.000 ความแปรปรวนซึ่งวันหนึ่ง 0:17:22.000,0:17:24.000 เราอาจตรวจพบ 0:17:24.000,0:17:27.000 และแม้ภาพของอวกาศนี้จะดูแปลกประหลาด 0:17:27.000,0:17:29.000 วันหนึ่งอาจมีหลักฐานที่หนักแน่น 0:17:29.000,0:17:31.000 จากการเฝ้าสังเกต 0:17:31.000,0:17:34.000 ที่ยืนยันว่าเอกภพอื่นมีอยู่จริง 0:17:34.000,0:17:36.000 ผมจะกล่าวปิด 0:17:36.000,0:17:39.000 ด้วยการตีความที่น่าสนใจ 0:17:39.000,0:17:41.000 ของความคิดเหล่านี้ทั้งหมด 0:17:41.000,0:17:43.000 สำหรับในอนาคตอันไกล 0:17:43.000,0:17:45.000 เราได้เรียนรู้ 0:17:45.000,0:17:47.000 ว่าเอกภพของเรานั้นไม่คงที่ 0:17:47.000,0:17:49.000 รู้ว่าอวกาศขยายตัวออกเรื่อยๆ 0:17:49.000,0:17:51.000 รู้ว่าการขยายตัวนั้น เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ 0:17:51.000,0:17:53.000 และรู้ว่าอาจมีเอกภพอื่นๆอีก 0:17:53.000,0:17:55.000 ทั้งหมดนี้ จากการตรวจสอบ 0:17:55.000,0:17:57.000 แสงเล็กๆ อันริบหรี่ของดวงดาว 0:17:57.000,0:18:00.000 ที่เดินทางมาจากกาแล็กซีอันไกลโพ้น 0:18:00.000,0:18:03.000 แต่เนื่อง จากการขยายตัวนั้นเร่งความเร็วขึ้น 0:18:03.000,0:18:05.000 ในอนาคตอันไกล 0:18:05.000,0:18:08.000 กาแล็กซีเหล่านั้นจะพุ่งออกห่าง อย่างไกลมากและเร็วมาก 0:18:08.000,0:18:11.000 จนเรามองเห็นมันไม่ได้ 0:18:11.000,0:18:13.000 ไม่ใช่เพราะข้อจำกัดของเทคโนโลยี 0:18:13.000,0:18:15.000 แต่เนื่องจากกฎฟิสิกส์ 0:18:15.000,0:18:17.000 แสงที่วิ่งออกจากกาแล็กซีเหล่านั้น 0:18:17.000,0:18:20.000 แม้เดินทางด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด [br]หรือความเร็วของแสง 0:18:20.000,0:18:22.000 จะไม่สามารถเอาชนะ 0:18:22.000,0:18:25.000 ช่องว่างที่ขยายตัวออกเรื่อยๆ ระหว่างกาแล็กซีได้ 0:18:25.000,0:18:27.000 นักดาราศาสตร์ในอนาคตอันไกล 0:18:27.000,0:18:29.000 ที่ค้นหาลึกลงไปในอวกาศ 0:18:29.000,0:18:32.000 จะไม่พบอะไรนอกจากความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด 0:18:32.000,0:18:36.000 มีแต่ความแน่นิ่ง ที่ดำมืดสนิท 0:18:36.000,0:18:38.000 และพวกเขาจะสรุป 0:18:38.000,0:18:40.000 ว่า เอกภพเป็นนั้นคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง 0:18:40.000,0:18:43.000 และมีสสารอยู่เป็นกลุ่มก้อน[br]ณ ใจกลางเพียงจุดเดียว 0:18:43.000,0:18:45.000 ที่ซึ่งพวกเขาอาศัยอยู่ 0:18:45.000,0:18:47.000 นั่นคือภาพของจักรวาล 0:18:47.000,0:18:50.000 ที่เรารู้อย่างแน่นอนว่าผิด 0:18:50.000,0:18:53.000 ถึงตอนนั้น บางทีนักดาราศาสตร์ในอนาคตอาจได้รับบันทึก 0:18:53.000,0:18:55.000 ที่ตกทอดจากยุคก่อนหน้า 0:18:55.000,0:18:57.000 เช่นยุคของเรา 0:18:57.000,0:18:59.000 บันทึกที่ยืนยันการขยายตัวของจักรวาล 0:18:59.000,0:19:01.000 พราวสะพรั่งไปด้วยกาแล็กซี 0:19:01.000,0:19:03.000 แต่นักดาราศาสตร์ในอนาคตเหล่านั้น 0:19:03.000,0:19:06.000 จะเชื่อว่าความรู้โบราณดังกล่าวไหม? 0:19:06.000,0:19:08.000 หรือพวกเขาจะเลือกเชื่อ 0:19:08.000,0:19:11.000 ในเอกภพสีดำอันว่างเปล่า 0:19:11.000,0:19:15.000 ที่ซึ่งเครื่องมือตรวจสอบอันล้ำยุคของพวกเขาเผยให้เห็น 0:19:15.000,0:19:17.000 ผมคิดว่าพวกเขาเลือกอย่างหลัง 0:19:17.000,0:19:19.000 ซึ่งหมายความว่า เรากำลังมีชีวิต 0:19:19.000,0:19:22.000 ผ่านยุคที่มีความพิเศษอย่างเหลือเชื่อ 0:19:22.000,0:19:24.000 ยุคที่ความจริงอันลักลับเกี่ยวกับจักรวาล 0:19:24.000,0:19:26.000 ยังอยู่ในระยะที่เอื้อมถึง 0:19:26.000,0:19:28.000 ของจิตใจรักสำรวจของมนุษย์ 0:19:28.000,0:19:33.000 เป็นที่ปรากฏแล้วว่า มันคงไม่อยู่แบบนี้เสมอไป 0:19:33.000,0:19:35.000 เนื่องจากวันนี้นักดาราศาสตร์ 0:19:35.000,0:19:38.000 โดยการหันกล้องโทรทัศน์กำลังสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า 0:19:38.000,0:19:41.000 ได้ตรวจจับโฟตอนมากมาย[br]ที่ซ่อนข้อมูลเอาไว้อย่างบรรจง 0:19:41.000,0:19:44.000 เสมือนดั่งโทรเลขจักรวาล 0:19:44.000,0:19:46.000 เดินทางมานับพันล้านปี 0:19:46.000,0:19:50.000 และข้อความที่สะท้อนข้ามกาลเวลามานั้นก็ชัดเจน 0:19:50.000,0:19:53.000 บางครั้งธรรมชาติก็เก็บความลับไว้ 0:19:53.000,0:19:55.000 ด้วยกำมือที่แน่นหนา 0:19:55.000,0:19:57.000 ของกฏฟิสิกส์ 0:19:57.000,0:20:01.000 บางครั้งธรรมชาติของความจริง ก็กวักมือเรียกเรา 0:20:01.000,0:20:04.000 เพียงแค่จากสุดขอบฟ้า 0:20:04.000,0:20:06.000 ขอบคุณมากครับ 0:20:06.000,0:20:10.000 (เสียงปรบมือ) 0:20:10.000,0:20:12.000 คริส แอนเดอร์สัน: ไบรอัน ขอบคุณครับ 0:20:12.000,0:20:14.000 แนวคิดที่หลากหลายที่คุณได้พูดไป 0:20:14.000,0:20:17.000 มันช่างน่าตื้นเต้น น่าชื่นใจอย่างไม่น่าเชื่อเลย 0:20:17.000,0:20:19.000 คุณคิดว่า 0:20:19.000,0:20:21.000 ดาราศาสตร์ปัจจุบันนี้อยู่จุดไหนครับ 0:20:21.000,0:20:23.000 ในแง่ของประวัติศาสตร์? 0:20:23.000,0:20:26.000 คือเรากำลังอยู่ระหว่างเหตุการณ์ไม่ปกติ[br]ในประวัติศาสตร์หรือเปล่า 0:20:26.000,0:20:28.000 ไบรอัน: คือ มันก็ยากที่จะพูดนะครับ 0:20:28.000,0:20:31.000 เมื่อเรารู้ว่านักดาราศาสตร์ในอนาคตอันไกล 0:20:31.000,0:20:34.000 อาจไม่มีข้อมูลเพียงพอจะอธิบายอะไร 0:20:34.000,0:20:37.000 คำถามที่ตามมาคือ บางทีเราอาจอยู่ในสถานการณ์นั้นแล้วก็ได้ 0:20:37.000,0:20:40.000 และคุณลักษณะบางอย่างลึกซึ้ง[br]และสำคัญของจักรวาล 0:20:40.000,0:20:43.000 ก็ได้อยู่เกินเอื้อมที่เราจะเข้าใจได้แล้ว 0:20:43.000,0:20:45.000 เป็นเพราะลักษณะที่จักรวาลวิทยาเปลี่ยนไป 0:20:45.000,0:20:47.000 ดังนั้นจากมุมมองที่ว่า 0:20:47.000,0:20:49.000 บางทีเราจะต้องคอยตั้งคำถามไปตลอด 0:20:49.000,0:20:51.000 และไม่สามารถหาคำตอบได้อย่างเต็มรูปแบบ 0:20:51.000,0:20:53.000 ในอีกทางหนึ่ง เดี๋ยวนี้เราสามารถรู้ได้ 0:20:53.000,0:20:55.000 ว่าจักรวาลอายุเท่าไหร่ 0:20:55.000,0:20:57.000 เรารู้จัก 0:20:57.000,0:21:00.000 วิธีการทำความเข้าใจข้อมูล[br]จากการแผ่รังสีไมโครเวฟพื้นหลัง 0:21:00.000,0:21:03.000 ซึ่งถูกปล่อยออกมาเมื่อ 13.72 พันล้านปีมาแล้ว 0:21:03.000,0:21:05.000 กระนั้น เราสามารถทำการคำนวณ ณ วันนี้ [br]เพื่อทำนายว่ามันจะมีหน้าตาอย่างไร 0:21:05.000,0:21:07.000 และได้ผลตรงกัน 0:21:07.000,0:21:09.000 นั่นมันน่าอัศจรรย์ที่สุด! 0:21:09.000,0:21:12.000 ดังนั้น ในทางกลับกัน มันก็น่าเหลือเชื่อ [br]ที่เรามาถึง ณ จุดนี้ 0:21:12.000,0:21:16.000 แต่ใครจะรู้ ว่าเราจะเจออุปสรรคอะไรในอนาคต 0:21:16.000,0:21:19.000 คริส: หวังว่าคุณคงยังไม่ไปไหนในช่วงสองสามวันนี้นะครับ 0:21:19.000,0:21:21.000 บางทีบทสนทนาเหล่านี้อาจจะมีต่อ 0:21:21.000,0:21:23.000 ขอบคุณครับ ขอบคุณ ไบรอัน (ไบรอัน: ยินดีครับ) 0:21:23.000,0:21:26.000 (เสียงปรบมือ)