1 00:00:02,374 --> 00:00:12,056 วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ดูแปลก ดูสงบผิดปกติ 2 00:00:12,056 --> 00:00:15,496 ธรรมดามาฟังเทศน์วันเสาร์จะวอกแวกๆ 3 00:00:15,496 --> 00:00:30,605 เตรียมจะไปเที่ยวต่อ 4 00:00:30,605 --> 00:00:35,410 พยายามศึกษาธรรมะเอาไว้ 5 00:00:35,410 --> 00:00:39,598 ดูพระไตรปิฎกได้ก็ดู 6 00:00:39,598 --> 00:00:44,773 ดูฉบับเต็มไม่ได้ดูฉบับย่อก็ได้ 7 00:00:44,773 --> 00:00:47,745 พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน 8 00:00:47,745 --> 00:00:51,776 ของ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นเบื้องต้น 9 00:00:51,776 --> 00:00:59,006 สนใจรายละเอียดตรงไหนก็ไปอ่านฉบับเต็มเอา 10 00:00:59,006 --> 00:01:03,360 ก่อนหลวงพ่อจะเจอหลวงปู่ดูลย์ 11 00:01:03,360 --> 00:01:08,662 หลวงพ่อพยายามแสวงหาหนทางปฏิบัติ 12 00:01:08,662 --> 00:01:11,976 ตั้งแต่เด็กๆ ทำแต่สมาธิ 13 00:01:11,976 --> 00:01:16,011 ทำอานาปานสติสงบเฉยๆ 14 00:01:16,011 --> 00:01:21,302 คิดว่าศาสนาพุทธมีอะไรมากกว่าความสงบ 15 00:01:21,302 --> 00:01:25,934 ก็พยายามช่วยตัวเอง ตอนนั้นไม่มีครูบาอาจารย์ 16 00:01:25,934 --> 00:01:30,154 ยังทำงานอยู่ 17 00:01:30,154 --> 00:01:35,700 อ่านพระไตรปิฎก อ่านหลายรอบ 18 00:01:35,700 --> 00:01:42,439 ได้เห็นธรรมะดีๆ มากมายในพระไตรปิฎก 19 00:01:42,439 --> 00:01:47,540 แต่ว่าเราไม่รู้จะตั้งต้นอย่างไร 20 00:01:47,540 --> 00:01:50,601 หลักของการปฏิบัติมีมากมายเหลือเกิน 21 00:01:50,601 --> 00:01:57,119 ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ 22 00:01:57,119 --> 00:02:00,666 จนมาเจอหลวงปู่ดูลย์ 23 00:02:00,666 --> 00:02:08,421 ท่านสอนให้หลวงพ่ออ่านจิตตัวเอง 24 00:02:08,421 --> 00:02:15,916 พื้นฐานเราเคยอ่านตำรับตำรา มา 25 00:02:15,916 --> 00:02:17,977 หลวงปู่ดูลย์ท่านก็บอกว่า 26 00:02:17,977 --> 00:02:23,979 “อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง” 27 00:02:23,979 --> 00:02:29,369 ท่านทราบว่าอ่านมามาก 28 00:02:29,369 --> 00:02:34,154 แล้วท่านก็แนะนำให้อ่านจิตตนเอง 29 00:02:34,154 --> 00:02:39,297 ก็พยายามมาอ่านจิตตัวเองมาเรื่อยๆ 30 00:02:39,297 --> 00:02:43,873 ทีแรกอ่านไม่เป็นก็ไปแทรกแซงจิต 31 00:02:43,873 --> 00:02:47,846 ไปฝึกจิตให้ว่างๆ 32 00:02:47,846 --> 00:02:50,544 ยังติดคำว่าว่างอยู่ 33 00:02:50,544 --> 00:02:54,070 อ่านหนังสือท่านอาจารย์พุทธทาส 34 00:02:54,070 --> 00:02:56,930 มีคำว่า ว่างๆ เยอะ 35 00:02:56,930 --> 00:03:03,213 อ่านหนังสือเซนก็มีแต่คำว่าว่างเยอะแยะเลย 36 00:03:03,213 --> 00:03:07,147 เลยไปทำจิตว่างๆ 37 00:03:07,147 --> 00:03:12,935 ไปเจอหลวงปู่ดูลย์ ทำอยู่ 3 เดือนแล้วขึ้นไปกราบท่านอีกที 38 00:03:12,935 --> 00:03:15,620 ท่านบอกทำผิดแล้วล่ะ 39 00:03:15,620 --> 00:03:20,168 ให้ไปอ่านจิตไม่ได้ให้ไปแต่งจิต 40 00:03:20,168 --> 00:03:26,252 ให้มันนิ่งๆ ว่างๆ นี้เป็นการปรุงแต่งเอาเอง 41 00:03:26,252 --> 00:03:28,863 ให้อ่านเอาท่านบอกอย่างนี้ 42 00:03:28,863 --> 00:03:32,265 หลวงพ่อก็มาเริ่มอ่าน 43 00:03:32,265 --> 00:03:36,600 เวลาเราอ่านหนังสือ คิดถึงการอ่านหนังสือ 44 00:03:36,600 --> 00:03:40,180 เราไม่ใช่นักประพันธ์เราไม่ใช่คนแต่งหนังสือ 45 00:03:40,180 --> 00:03:44,443 เราเป็นแค่คนอ่าน เราไม่ใช่นักวิจารณ์ 46 00:03:44,443 --> 00:03:46,966 เราเป็นแค่คนอ่าน 47 00:03:46,966 --> 00:03:49,383 เพราะฉะนั้นเวลาจะอ่านจิตตัวเอง 48 00:03:49,383 --> 00:03:53,178 ก็อ่านเหมือนเราอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง 49 00:03:53,178 --> 00:03:56,300 หรือดูเหมือนดูละคร 50 00:03:56,300 --> 00:04:00,430 เวลาเราดูละครเราไม่ใช่คนแต่งบทละคร 51 00:04:00,430 --> 00:04:03,361 เราไม่ใช่ผู้กำกับ 52 00:04:03,361 --> 00:04:09,028 เราไม่ใช่นักวิจารณ์ เราเป็นแค่คนดู 53 00:04:09,028 --> 00:04:11,470 กว่าจะจับเคล็ดคำว่า “ดู” ได้ 54 00:04:11,470 --> 00:04:13,849 คำว่า “เห็นตามความเป็นจริง” ได้ 55 00:04:13,849 --> 00:04:18,319 ใช้เวลาเหมือนกัน ทำผิดอยู่ 3 เดือน 56 00:04:18,319 --> 00:04:23,656 พยายามไปปรุงแต่งจิตเป็น นักประพันธ์แต่งให้จิตมันดี 57 00:04:23,656 --> 00:04:28,215 เวลามันไม่ดีเราก็เป็น นักวิจารณ์บอกตอนนี้มันไม่ดี 58 00:04:28,215 --> 00:04:32,972 ไม่ใช่นักดู ไม่ใช่นักอ่าน 59 00:04:32,972 --> 00:04:36,960 พอมาอ่านทำอย่างไร ก็ดูไป 60 00:04:36,960 --> 00:04:42,997 จิตใจของเราแต่ละวันไม่เคยเหมือนกัน 61 00:04:42,997 --> 00:04:46,200 บางวันจิตใจเรามีความสุข 62 00:04:46,200 --> 00:04:49,448 บางวันจิตใจเรามีความทุกข์ 63 00:04:49,448 --> 00:04:51,885 บางวันจิตเราเป็นกุศลเยอะ 64 00:04:51,885 --> 00:04:54,928 บางวันเป็นอกุศลเยอะ 65 00:04:54,928 --> 00:04:58,434 บางวันสงบ บางวันฟุ้งซ่าน 66 00:04:58,434 --> 00:05:03,298 ภาวนาแล้วเห็นแต่ละวัน จิตเราไม่เคยเหมือนกันเลย 67 00:05:03,298 --> 00:05:06,883 เราก็ภาวนาไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ 68 00:05:06,883 --> 00:05:10,366 เดินจงกรมเหมือนกันทุกวัน 69 00:05:10,366 --> 00:05:13,700 แต่จิตเราไม่เหมือนกัน 70 00:05:13,700 --> 00:05:17,008 เห็นแต่ละวันไม่เหมือนกัน 71 00:05:17,008 --> 00:05:19,599 อย่างหลวงพ่อเวลาอยู่ที่บ้าน 72 00:05:19,599 --> 00:05:23,127 จะไหว้พระสวดมนต์แล้วก็นั่งสมาธิ ไม่ได้เดิน 73 00:05:23,127 --> 00:05:26,028 เพราะบ้านเป็นบ้านโบราณบ้านไม้ 74 00:05:26,028 --> 00:05:30,378 เวลาเดินแล้วมันร้องเอี๊ยดๆ หนวกหูคนอื่นเขา 75 00:05:30,378 --> 00:05:35,077 แต่เวลาออกมาจากบ้าน ทุกก้าวที่เดิน 76 00:05:35,077 --> 00:05:37,802 รู้สึกไปเรื่อยๆ 77 00:05:37,802 --> 00:05:42,766 ตามรู้ตามเห็นไปเรื่อยๆ 78 00:05:42,766 --> 00:05:47,376 พอมาอ่านเราก็จะเห็นเลย แต่ละวันจิตเราไม่เหมือนกัน 79 00:05:47,376 --> 00:05:50,275 ทั้งๆ ที่ภาวนาเหมือนกัน 80 00:05:50,275 --> 00:05:53,453 ต่อมาดูได้ละเอียดมากขึ้น 81 00:05:53,453 --> 00:05:55,334 ไม่ได้ดูเป็นวันๆ หรอก 82 00:05:55,334 --> 00:05:58,248 ดูเป็นช่วงเวลา 83 00:05:58,248 --> 00:06:02,911 ตอนเช้าตอนตื่นนอนจิตใจเราเป็นแบบนี้ 84 00:06:02,911 --> 00:06:06,452 ตอนสายๆ หน่อยเป็นอย่างนี้ 85 00:06:06,452 --> 00:06:08,860 ตอนเที่ยงจิตใจเราเป็นอย่างนี้ 86 00:06:08,860 --> 00:06:11,451 ตอนบ่ายจิตใจเป็นอย่างนี้ 87 00:06:11,451 --> 00:06:14,738 ตอนเย็นๆ จิตใจเป็นอย่างนี้ 88 00:06:14,738 --> 00:06:20,052 ตอนค่ำๆ ตอนดึกๆ จิตใจไม่เหมือนกันสักที 89 00:06:20,052 --> 00:06:23,503 ทั้งๆ ที่เป็นวันเดียวกัน 90 00:06:23,503 --> 00:06:28,682 ก่อนจะมาเห็นตรงนี้ได้ก็ เห็นแต่ละวันไม่เหมือนกัน 91 00:06:28,682 --> 00:06:33,914 พอภาวนามากเข้าๆ เราเห็นว่าแต่ละห้วงเวลาไม่เหมือนกัน 92 00:06:33,914 --> 00:06:40,051 อย่างตอนเช้าตื่นมา แล้วเช้าแต่ละวันก็ยังไม่เหมือนกันอีก 93 00:06:40,051 --> 00:06:44,557 อย่างเช้าวันจันทร์ตอนนั้นรับราชการ 94 00:06:44,557 --> 00:06:49,826 เช้าวันจันทร์เบื่อ ขี้เกียจ 95 00:06:49,826 --> 00:06:52,959 เช้าวันอังคารก็เบื่อมาก 96 00:06:52,959 --> 00:06:57,323 เช้าวันพุธชักจะอุเบกขาแล้ว เฉยๆ แล้ว 97 00:06:57,323 --> 00:07:00,341 เช้าวันพฤหัสเริ่มสดชื่น 98 00:07:00,341 --> 00:07:03,412 พอเช้าวันศุกร์นี้กระดี๊กระด๊า 99 00:07:03,412 --> 00:07:05,431 แต่ละวันไม่เหมือนกัน 100 00:07:05,431 --> 00:07:07,228 ทั้งๆ ที่เป็นห้วงเวลาเดียวกัน 101 00:07:07,228 --> 00:07:11,187 แต่ละวันก็ยังไม่เหมือนกันอีก 102 00:07:11,187 --> 00:07:15,221 ตอนสายๆ แต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน 103 00:07:15,221 --> 00:07:19,470 ตอนเที่ยงก็ไม่เหมือนกัน สังเกตไป 104 00:07:19,470 --> 00:07:24,826 ตอนเย็นๆ หลวงพ่อสังเกตตัวเอง 105 00:07:24,826 --> 00:07:27,628 จิตหลวงพ่อจะมีกำลังมาก 106 00:07:27,628 --> 00:07:30,803 ตอนเป็นโยมจิตจะมีกำลังมาก 107 00:07:30,803 --> 00:07:34,535 ตอนสัก 4 โมงเย็นไปแล้ว 108 00:07:34,535 --> 00:07:39,533 คล้ายๆ ทำงานใกล้จะเลิกงานแล้ว 109 00:07:39,533 --> 00:07:42,058 จิตใจเริ่มสดชื่น 110 00:07:42,058 --> 00:07:45,095 ตอนทำงานก็เครียดไม่ใช่ไม่เครียด 111 00:07:45,095 --> 00:07:50,037 เพราะงานที่ทำนี้ งานที่เครียดมากๆ เลย 112 00:07:50,037 --> 00:07:53,273 งานอยู่สภาความมั่นคง 113 00:07:53,273 --> 00:07:59,534 วันๆ ก็เป็นเรื่องหาข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 114 00:07:59,534 --> 00:08:03,523 หาทางออกในการแก้ปัญหาแต่ละเรื่อง 115 00:08:03,523 --> 00:08:06,925 เรื่องปวดหัวทั้งนั้นล่ะ 116 00:08:06,925 --> 00:08:11,833 พอได้เวลาจะเลิกงานใจเริ่มผ่อนคลาย 117 00:08:11,833 --> 00:08:15,507 ฉะนั้นเวลาสังเกตตัวเอง 118 00:08:15,507 --> 00:08:19,612 ตอนเย็นๆ ตอนเลิกงานจิตจะมีกำลัง 119 00:08:19,612 --> 00:08:27,503 จิตจะสดชื่นเกิดสมาธิโดยที่ไม่ต้องนั่งสมาธิ 120 00:08:27,503 --> 00:08:33,362 ฉะนั้นตรงนี้เป็นนาทีทองสำหรับหลวงพ่อ 121 00:08:33,362 --> 00:08:36,435 พวกเราก็ต้องไปดูตัวเอง 122 00:08:36,435 --> 00:08:39,654 เวลาช่วงไหนในแต่ละวัน 123 00:08:39,654 --> 00:08:44,437 เป็นช่วงที่สติของเราดีสมาธิของเราดี 124 00:08:44,437 --> 00:08:50,215 ช่วงเวลานั้นเป็นเวลานาทีทองของวันนั้น 125 00:08:50,215 --> 00:08:57,553 เราควรจะสงวนควรจะรักษา ช่วงเวลานี้เอาไว้ภาวนา 126 00:08:57,553 --> 00:09:01,577 เพราะฉะนั้นหลวงพ่อ พอเลิกงานแล้วไม่ทำอะไรหรอก 127 00:09:01,577 --> 00:09:03,733 กลับบ้าน 128 00:09:03,733 --> 00:09:08,529 ไม่เอานาทีทองตัวนี้ไปทำลายทิ้ง ไปเที่ยว 129 00:09:08,529 --> 00:09:12,342 คนเขาก็ชวนไปเที่ยว ผับเที่ยวบาร์อะไรอย่างนี้ 130 00:09:12,342 --> 00:09:15,785 ไม่ไป บอกไม่ชอบ 131 00:09:15,785 --> 00:09:19,233 แล้วจริงๆ ก็คือไม่ชอบไม่ได้โกหก 132 00:09:19,233 --> 00:09:23,827 เคยหลุดเข้าไปในบาร์หรือในผับอะไรทีหนึ่ง 133 00:09:23,827 --> 00:09:27,029 นี่มันนรกชัดๆ เลย 134 00:09:27,029 --> 00:09:32,928 เสียงก็ดัง ไฟก็วูบๆ วาบๆ คนก็หลง 135 00:09:32,928 --> 00:09:35,912 แล้วก็ดื่มน้ำทองแดงกัน 136 00:09:35,912 --> 00:09:40,034 เข้าไปเห็นครั้งเดียวเข็ดเลย หนีตลอด ไม่ยอม 137 00:09:40,034 --> 00:09:42,421 ใครชวนอย่างไรก็ไม่ไป 138 00:09:42,421 --> 00:09:48,696 เรื่องอะไรอยู่ดีๆ เป็นมนุษย์ดีๆ ไปตกนรกเล่น 139 00:09:48,696 --> 00:09:52,696 ฉะนั้นพอเลิกงานตกเย็นตกค่ำ 140 00:09:52,696 --> 00:09:57,308 หลวงพ่อภาวนา 141 00:09:57,308 --> 00:10:02,102 ขึ้นรถเมล์กลับบ้านก็ภาวนา 142 00:10:02,102 --> 00:10:05,748 ตอนเช้าขึ้นรถเมล์ไปทำงานก็ภาวนา 143 00:10:05,748 --> 00:10:07,579 ตอนจะกินข้าวก็ภาวนา 144 00:10:07,579 --> 00:10:11,626 ภาวนาไม่ใช่ไปนั่งพุทโธๆ อะไรหรอก 145 00:10:11,626 --> 00:10:16,978 มีสติอ่านจิตใจตัวเองไปไม่หยุด 146 00:10:16,978 --> 00:10:20,543 จิตใจเรามีความสุขก็รู้ จิตใจเราทุกข์ก็รู้ 147 00:10:20,543 --> 00:10:23,182 จิตสงบก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ 148 00:10:23,182 --> 00:10:26,222 ฝึกไปเรื่อยๆ 149 00:10:26,222 --> 00:10:31,374 ต่อมาสติแข็งแรงมากขึ้นๆ สมาธิดีขึ้น 150 00:10:31,374 --> 00:10:36,494 คราวนี้ไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ของจิตตามห้วงเวลาแล้ว 151 00:10:36,494 --> 00:10:40,460 ถ้าอ่อนที่สุดก็เห็นว่าแต่ละวันไม่เหมือนกัน 152 00:10:40,460 --> 00:10:45,073 ถ้าพัฒนาขึ้นมาแล้วเห็นว่า แต่ละเวลาไม่เหมือนกัน 153 00:10:45,073 --> 00:10:49,195 พอสติเราเร็วจริงๆ สมาธิเราดีจริงๆ 154 00:10:49,195 --> 00:10:53,642 เราจะเห็นว่าแต่ละขณะไม่เหมือนกัน 155 00:10:53,642 --> 00:10:55,835 อย่างตอนเช้านี้ 156 00:10:55,835 --> 00:10:59,254 จิตเราเปลี่ยนไป ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว 157 00:10:59,254 --> 00:11:01,997 แค่ช่วงเช้าแป๊บเดียวนั้น 158 00:11:01,997 --> 00:11:04,564 ค่อยๆ สังเกตเอา 159 00:11:04,564 --> 00:11:08,585 อย่างออกจากบ้านหรืออยู่ในบ้าน 160 00:11:08,585 --> 00:11:11,252 ตอนเช้าจะไปทำงาน 161 00:11:11,252 --> 00:11:16,155 พยายามจะขับถ่ายกลัวไปปวดท้องกลางทาง 162 00:11:16,155 --> 00:11:18,408 วันนี้ขับถ่ายสะดวก 163 00:11:18,408 --> 00:11:21,943 จิตใจสบายรู้สึกผ่อนคลาย 164 00:11:21,943 --> 00:11:26,330 วันนี้ท้องผูกไม่ยอมถ่าย กลุ้มใจ 165 00:11:26,330 --> 00:11:29,731 ไม่ได้รู้แค่ว่าถ่ายได้ไม่ได้ 166 00:11:29,731 --> 00:11:32,340 รู้เข้ามาถึงจิตถึงใจเลย 167 00:11:32,340 --> 00:11:36,022 จิตใจยินดีพอใจหรือจิตใจกลุ้มใจ 168 00:11:36,022 --> 00:11:38,602 นี่คือการปฏิบัติ 169 00:11:38,602 --> 00:11:44,580 ถ้าปฏิบัติเก่งเฉพาะตอนนั่งสมาธิ เดินจงกรมถือว่ายังอ่อนหัดมากเลย 170 00:11:44,580 --> 00:11:49,929 ต้องฝึกให้ได้ มีสติอยู่ทุกขณะ 171 00:11:49,929 --> 00:11:55,718 คำว่า “ทุกขณะ” ไม่ถึงขณะตามตำราอภิธรรม 172 00:11:55,718 --> 00:11:59,226 ตำราอภิธรรมบอกว่าลัดนิ้วมือหนึ่ง 173 00:11:59,226 --> 00:12:02,452 จิตเกิดดับแสนโกฏิขณะ 174 00:12:02,452 --> 00:12:05,034 ลัดนิ้วมือ ดีดนิ้วทีหนึ่ง 175 00:12:05,034 --> 00:12:09,055 จิตเกิดดับแสนโกฏิขณะ อันนั้นตำรา 176 00:12:09,055 --> 00:12:12,858 ทางวิทยาศาสตร์ก็พบว่า 177 00:12:12,858 --> 00:12:17,060 มันมีช่วงเวลากว่าที่จิตจะ ขึ้นมารับอารมณ์แต่ละครั้ง 178 00:12:17,060 --> 00:12:20,911 แล้วรู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร ใช้เวลา 179 00:12:20,911 --> 00:12:27,302 แต่ไม่ถึงวินาทีผุดความรู้สึกขึ้นมาแล้ว 180 00:12:27,302 --> 00:12:31,141 เราก็ดูจากความเป็นจริงที่เราเห็น 181 00:12:31,141 --> 00:12:33,459 ไม่ได้ดูจากตำรา 182 00:12:33,459 --> 00:12:35,872 ตำราก็อาจจะถูกก็ได้ 183 00:12:35,872 --> 00:12:39,014 แต่สติเราไม่ละเอียดพอที่จะเห็น 184 00:12:39,014 --> 00:12:41,930 ต้องตีความอย่างนี้ไว้ก่อน ไม่ใช่ 185 00:12:41,930 --> 00:12:44,490 ทำได้ไม่เหมือนตำราบอกตำราผิด 186 00:12:44,490 --> 00:12:48,211 อันนั้นเซลฟ์จัดเกินไปแล้ว 187 00:12:48,211 --> 00:12:51,211 เราดูเท่าที่เราดูได้ 188 00:12:51,211 --> 00:12:53,833 หลวงพ่อเห็นว่าจิตมันเปลี่ยนอยู่ทุกขณะ 189 00:12:53,833 --> 00:12:56,356 ขณะอะไรไม่ใช่ขณะจิตหรอก 190 00:12:56,356 --> 00:13:02,011 ขณะที่ตาเห็นรูปก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิต 191 00:13:02,011 --> 00:13:06,553 ขณะที่หูได้ยินเสียง ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิต 192 00:13:06,553 --> 00:13:11,029 ขณะที่จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรสกายกระทบสัมผัส 193 00:13:11,029 --> 00:13:14,746 ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิต 194 00:13:14,746 --> 00:13:17,343 ขณะที่จิตมันคิด 195 00:13:17,343 --> 00:13:20,984 จิตมันคิดนึกปรุงแต่งก็เกิดความเปลี่ยนแปลง 196 00:13:20,984 --> 00:13:24,337 คิดเรื่องนี้เกิดสุข คิดเรื่องนี้เกิดทุกข์ 197 00:13:24,337 --> 00:13:28,687 คิดเรื่องนี้เกิดราคะ คิดเรื่องนี้เกิดโทสะ 198 00:13:28,687 --> 00:13:32,080 อยู่เฉยๆ จะมีโทสะได้ไหม ไม่ได้หรอก 199 00:13:32,080 --> 00:13:36,118 ต้องตามหลังความคิดเรียกพยาบาทวิตกมาก่อน 200 00:13:36,118 --> 00:13:39,571 อยู่ๆ จะเกิดราคารุนแรงอะไรได้ไหม ไม่ได้ 201 00:13:39,571 --> 00:13:42,343 ต้องมีกามวิตกมาก่อน 202 00:13:42,343 --> 00:13:44,563 แล้วทั้งหมดต้องหลง 203 00:13:44,563 --> 00:13:47,350 ทีแรกเราไม่เห็นขนาดนั้น 204 00:13:47,350 --> 00:13:51,553 เราภาวนาเราเห็นว่าจิตเราเปลี่ยนทุกขณะ 205 00:13:51,553 --> 00:13:56,308 ขณะที่กระทบอารมณ์นั่นล่ะ ไม่ใช่ขณะจิตหรอก 206 00:13:56,308 --> 00:13:58,358 ตาเห็นรูป 207 00:13:58,358 --> 00:14:02,186 ทีแรกบอกเห็นรูปใจก็โกรธขึ้นมาอะไรอย่างนี้ 208 00:14:02,186 --> 00:14:06,764 ดูละเอียดลงไปอีก ไม่ต้องตั้งใจดู 209 00:14:06,764 --> 00:14:11,147 แต่เราฝึกสติของเราไปเรื่อยๆ ฝึกสมาธิของเราไปเรื่อยๆ 210 00:14:11,147 --> 00:14:15,187 มันจะเห็นได้ละเอียดๆๆ เข้าไปอีก 211 00:14:15,187 --> 00:14:17,413 ขณะที่ตาเห็นรูป 212 00:14:17,413 --> 00:14:20,823 จิตไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์ 213 00:14:20,823 --> 00:14:24,500 จิตเฉยๆ ขณะที่ตามองเห็น 214 00:14:24,500 --> 00:14:29,127 จะเกิดสุขเกิดทุกข์ เกิดกุศลอกุศลมาเกิดทีหลัง 215 00:14:29,127 --> 00:14:33,075 พอตาเห็นรูปปุ๊บมันจะมีการแปล 216 00:14:33,075 --> 00:14:36,796 เราจะเห็นการแปลความหมายของรูป 217 00:14:36,796 --> 00:14:39,080 รูปนี้คืออะไร 218 00:14:39,080 --> 00:14:44,271 แล้วอนุสัยความคุ้นเคยมันก็ให้ค่าออกมา 219 00:14:44,271 --> 00:14:48,941 พอใจรูปนี้สวยงาม เห็นดอกไม้สวย 220 00:14:48,941 --> 00:14:53,844 ตรงที่ตาเห็นดอกไม้สวยไม่มีคำว่าสวยหรอก 221 00:14:53,844 --> 00:14:58,121 ตาเห็นรูปเฉยๆ ตาไม่เห็นของสวยหรอก 222 00:14:58,121 --> 00:15:03,639 ตาเห็นแล้วก็จิตมันแปล ว่านี่ดอกไม้นี่ดอกกุหลาบ 223 00:15:03,639 --> 00:15:06,484 สวยเชียว ดอกก็โตสวย 224 00:15:06,484 --> 00:15:09,113 พอมีการให้ค่าขึ้นมา 225 00:15:09,113 --> 00:15:13,200 ใจก็ยินดีพอใจ ราคะก็เกิด 226 00:15:13,200 --> 00:15:19,409 ตามหลังความคิดมา ความคิดที่เป็นกามวิตก 227 00:15:19,409 --> 00:15:25,252 กระบวนการมันจะค่อย ยิ่งภาวนามันยิ่งละเอียดๆๆ เข้าไป 228 00:15:25,252 --> 00:15:29,893 เราจะรู้เลยว่าขณะที่ตามองเห็นไม่มีกิเลส 229 00:15:29,893 --> 00:15:33,126 แล้วจิตก็เป็นอุเบกขา 230 00:15:33,126 --> 00:15:38,877 ขณะหูได้ยินเสียงก็ไม่มีกิเลส 231 00:15:38,877 --> 00:15:42,925 ขณะที่จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส 232 00:15:42,925 --> 00:15:45,580 ก็ยังไม่มีกิเลส 233 00:15:45,580 --> 00:15:49,699 ตรงที่ใจมันกระทบความคิดแล้วความคิดมันนำไป 234 00:15:49,699 --> 00:15:53,365 กิเลสมันก็ทำงานขึ้นมาได้ 235 00:15:53,365 --> 00:15:58,485 คอยรู้คอยดูค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ 236 00:15:58,485 --> 00:16:01,297 แล้ววันหนึ่งก็เข้าใจหรอก 237 00:16:01,297 --> 00:16:04,770 สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ 238 00:16:04,770 --> 00:16:09,643 ไม่มีสิ่งใดที่เกิด แล้วสิ่งนั้นไม่ดับ ไม่มีเลย 239 00:16:09,643 --> 00:16:13,969 เราภาวนาเรื่อยๆ เราก็เห็นสุขเกิดแล้วสุขก็ดับ 240 00:16:13,969 --> 00:16:15,917 ทุกข์เกิดแล้วทุกข์ก็ดับ 241 00:16:15,917 --> 00:16:18,230 กุศลเกิดแล้วกุศลก็ดับ 242 00:16:18,230 --> 00:16:22,273 อกุศล โลภ โกรธ หลงเกิดแล้วมันก็ดับ 243 00:16:22,273 --> 00:16:27,814 จิตที่ไปดูรูปเกิดแล้วก็ดับ ตรงนี้ละเอียด 244 00:16:27,814 --> 00:16:32,505 ละเอียดกว่าที่จะรู้ จิตสุขจิตทุกข์จิตดีจิตชั่ว 245 00:16:32,505 --> 00:16:37,060 คือเห็นจิตมันเกิดดับทางอายตนะทั้ง 6 246 00:16:37,060 --> 00:16:42,958 จิตเกิดที่ตาดับที่ตา จิตเกิดที่หูดับที่หู 247 00:16:42,958 --> 00:16:46,161 จิตเกิดที่จมูกดับที่จมูก เกิดที่ลิ้นดับที่ลิ้น 248 00:16:46,161 --> 00:16:50,545 เกิดที่ร่างกายดับที่กาย จิตเกิดที่ใจก็ดับที่ใจ 249 00:16:50,545 --> 00:16:55,205 จิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั้น จิตไม่ได้มีดวงเดียว 250 00:16:55,205 --> 00:16:58,435 หัดภาวนาทีแรกเรารู้สึกจิตมีดวงเดียว 251 00:16:58,435 --> 00:17:02,219 แล้วก็เที่ยวร่อนเร่ไปทางทวารทั้ง 6 252 00:17:02,219 --> 00:17:05,065 คิดว่าจิตมีดวงเดียว 253 00:17:05,065 --> 00:17:10,300 ดวงนี้หลงไปดูพอรู้ทันมันก็วิ่งกลับมา 254 00:17:10,300 --> 00:17:14,342 มันหลงไปฟังพอรู้ทันมันก็วิ่งกลับมา 255 00:17:14,342 --> 00:17:18,289 เข้าฐาน เห็นจิตเหมือนตัวแมงมุม 256 00:17:18,289 --> 00:17:21,158 เดี๋ยวก็วิ่งไปข้างซ้าย เดี๋ยวก็วิ่งไปข้างขวา 257 00:17:21,158 --> 00:17:24,450 เดี๋ยวขึ้นข้างบนเดี๋ยวลงข้างล่าง 258 00:17:24,450 --> 00:17:29,833 แมงมุมมีตัวเดียววิ่งไปวิ่งมา 259 00:17:29,833 --> 00:17:34,446 พอเราภาวนาละเอียดเข้าๆ เราเห็น 260 00:17:34,446 --> 00:17:37,795 จิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั้น 261 00:17:37,795 --> 00:17:42,102 จิตเสวยอารมณ์อันไหนก็ดับพร้อมอารมณ์อันนั้น 262 00:17:42,102 --> 00:17:45,975 เกิดดับไปด้วยกัน 263 00:17:45,975 --> 00:17:50,210 มันถี่ยิบขึ้นมา จะเห็น 264 00:17:50,210 --> 00:17:52,873 ทีแรกเรายังไม่เห็นหรอก 265 00:17:52,873 --> 00:17:57,056 เราต้องฝึกให้มีจิตที่เป็นผู้รู้ก่อน 266 00:17:57,056 --> 00:18:00,316 จิตตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา 267 00:18:00,316 --> 00:18:05,778 เป็นมหากุศลจิตประกอบด้วยปัญญา 268 00:18:05,778 --> 00:18:08,763 เกิดขึ้นโดยไม่ได้จงใจ 269 00:18:08,763 --> 00:18:12,422 ต้องเป็นจิตชนิดนี้ถึงจะมีกำลังมากพอ 270 00:18:12,422 --> 00:18:15,652 ที่จะเดินปัญญาได้จริง 271 00:18:15,652 --> 00:18:19,856 ไม่อย่างนั้นยังเป็นปัญญาพื้นๆ คิดๆ เอา 272 00:18:19,856 --> 00:18:22,996 แต่ถ้าจะขึ้นวิปัสสนาปัญญา 273 00:18:22,996 --> 00:18:28,295 จิตต้องตั้งมั่นอัตโนมัติมีกำลัง 274 00:18:28,295 --> 00:18:32,499 ของฟรีไม่มีก็ต้องฝึก 275 00:18:32,499 --> 00:18:39,112 วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่นทำอะไรดี 276 00:18:39,112 --> 00:18:45,575 ทำได้ 2 วิธี หนึ่ง ฝึกเข้าฌานที่ประกอบด้วยสติ 277 00:18:45,575 --> 00:18:52,815 อันที่สอง อาศัยสัมมาสติ หรือสติระลึกรู้รูปนามกายใจ 278 00:18:52,815 --> 00:18:56,391 พอสติเราระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม 279 00:18:56,391 --> 00:19:01,026 ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง 280 00:19:01,026 --> 00:19:05,905 จิตที่ตั้งมั่นก็จะเกิดขึ้นเอง 281 00:19:05,905 --> 00:19:12,735 เพราะฉะนั้นเจริญสัมมาสติให้มาก แล้วสัมมาสมาธิจะเกิดร่วมด้วย 282 00:19:12,735 --> 00:19:15,804 เกิดด้วยกันกับสัมมาสติ 283 00:19:15,804 --> 00:19:17,802 ขาดสตินี่ 284 00:19:17,802 --> 00:19:22,635 สัมมาสัมมาทั้งหลายหายหมดเลยไม่เหลือเลย 285 00:19:22,635 --> 00:19:26,694 ฉะนั้นต้องฝึกสติให้ดี 286 00:19:26,694 --> 00:19:33,521 วิธีฝึกสติอยู่ในหลักสูตร ชื่อการเจริญสติปัฏฐาน 287 00:19:33,521 --> 00:19:37,668 มี 4 อย่าง กาย เวทนา จิต ธรรม 288 00:19:37,668 --> 00:19:41,225 ถนัดอันไหนเอาอันนั้น แล้วได้ทุกอัน 289 00:19:41,225 --> 00:19:44,455 สุดท้ายได้ทั้งหมดล่ะ 290 00:19:44,455 --> 00:19:47,150 อย่างเราหัดรู้สึกร่างกาย 291 00:19:47,150 --> 00:19:51,987 ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึกไปเรื่อยๆ 292 00:19:51,987 --> 00:19:53,916 ต่อมาจิตเราหลงไป 293 00:19:53,916 --> 00:19:58,064 ร่างกายเราขยับปุ๊บเรารู้เลยว่าจิตหลงไปแล้ว 294 00:19:58,064 --> 00:20:01,343 มันก็เข้ามารู้จิตได้ 295 00:20:01,343 --> 00:20:04,557 สติปัฏฐาน 4 มันก็ เหมือนโต๊ะตัวเดียวกันนี้ล่ะ 296 00:20:04,557 --> 00:20:07,485 แต่มันมี 4 มุม 297 00:20:07,485 --> 00:20:11,224 แข็งแรงหน่อยก็ยกมุมใด มุมหนึ่งมันก็ขึ้นมาหมดแล้ว 298 00:20:11,224 --> 00:20:16,884 ได้หมดล่ะ ไม่ยาก 299 00:20:16,884 --> 00:20:22,178 ชาวพุทธเราอย่าทิ้งการเจริญสติปัฏฐาน 300 00:20:22,178 --> 00:20:25,796 ตราบใดที่ยังมีการเจริญสติปัฏฐานอยู่ 301 00:20:25,796 --> 00:20:30,859 การบรรลุมรรคผลนิพพานยังมีความเป็นไปได้ 302 00:20:30,859 --> 00:20:37,380 ไม่เจริญสติปัฏฐาน ไม่มีทางบรรลุมรรคผลอะไรหรอก 303 00:20:37,380 --> 00:20:44,521 วิชาสติปัฏฐานเป็นวิชาที่ดี 304 00:20:44,521 --> 00:20:47,896 ส่วนวิชาที่จะอยู่กับโลก 305 00:20:47,896 --> 00:20:52,767 เขาเรียก เดรัจฉานวิชา 306 00:20:52,767 --> 00:20:57,142 พระพุทธเจ้าไม่ได้ด่าเดรัจฉานวิชา 307 00:20:57,142 --> 00:20:59,756 อย่าเข้าใจผิด 308 00:20:59,756 --> 00:21:03,387 ตัวอย่างเดรัจฉานวิชาคืออะไร 309 00:21:03,387 --> 00:21:06,949 แพทยศาสตร์นี้เดรัจฉานวิชา 310 00:21:06,949 --> 00:21:11,680 รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ 311 00:21:11,680 --> 00:21:17,279 ทันตแพทยศาสตร์ นิเทศศาสตร์ 312 00:21:17,279 --> 00:21:18,864 เดรัจฉานวิชาทั้งนั้นเลย 313 00:21:18,864 --> 00:21:21,999 วิชาหมอนวดก็เดรัจฉานวิชา 314 00:21:21,999 --> 00:21:27,000 คำว่าเดรัจฉานวิชาไม่ได้แปลว่า วิชาของสัตว์เดรัจฉาน 315 00:21:27,000 --> 00:21:33,446 ดิรัจฉาน ตัวนี้แบบไปทางขวางไปทางนี้ ขวาง 316 00:21:33,446 --> 00:21:35,461 สัตว์เดรัจฉาน สังเกตไหม 317 00:21:35,461 --> 00:21:40,062 กระดูกสันหลังมักจะขวาง คือขนานกับโลก 318 00:21:40,062 --> 00:21:43,877 เดรัจฉานวิชาคือวิชาที่จะอยู่กับโลก 319 00:21:43,877 --> 00:21:47,297 จำเป็นต้องมีไหม จำเป็น 320 00:21:47,297 --> 00:21:53,827 ถ้าขืนไม่มีเดรัจฉานวิชาทำมาหากินไม่เป็น 321 00:21:53,827 --> 00:21:56,441 รู้วิธีเลี้ยงเด็กก็เดรัจฉานวิชา 322 00:21:56,441 --> 00:22:00,193 รู้วิธีเลี้ยงเสือ ตอนนี้หมูเด้งจืดแล้ว 323 00:22:00,193 --> 00:22:05,036 ตอนนี้มีเสือชื่ออะไร น้องเอวา 324 00:22:05,036 --> 00:22:08,931 คนเลี้ยงเสือได้เขาก็มีวิชาของเขา 325 00:22:08,931 --> 00:22:12,280 ให้เราไปเลี้ยง เสือเอาไปกิน 326 00:22:12,280 --> 00:22:16,912 ฉะนั้นเดรัจฉานวิชาไม่ใช่วิชาต่ำต้อย 327 00:22:16,912 --> 00:22:21,328 เป็นวิชาที่ต้องเอาไว้อยู่กับโลก 328 00:22:21,328 --> 00:22:27,616 สิ่งที่ตรงข้ามกับเดรัจฉานวิชา คือวิชาทางตั้ง แนวตั้ง 329 00:22:27,616 --> 00:22:31,925 เดรัจฉานวิชามันแนวขนาน ขนานไปกับโลก 330 00:22:31,925 --> 00:22:36,461 แนวตั้งคือการปฏิบัติธรรมนั่นล่ะ 331 00:22:36,461 --> 00:22:41,348 พัฒนาไตรสิกขาศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา 332 00:22:41,348 --> 00:22:45,153 แล้วลงท้ายไปเจริญสติปัฏฐานให้ได้ 333 00:22:45,153 --> 00:22:47,872 ในที่สุดก็จะพ้นโลก 334 00:22:47,872 --> 00:22:51,301 เหมือนยิงจรวด ยิงจรวดขึ้นไปอย่างนี้ 335 00:22:51,301 --> 00:22:54,789 ถ้าเครื่องบินมันขนานกับโลกมันก็ไปอย่างนี้ 336 00:22:54,789 --> 00:22:59,057 ไปจากที่หนึ่งของโลกไปอีกที่หนึ่งของโลก 337 00:22:59,057 --> 00:23:04,000 ถ้าเป็นทางจิตใจก็คือ จากภพนี้ก็ย้ายไปอีกภพหนึ่ง 338 00:23:04,000 --> 00:23:07,482 ก็เวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่ 339 00:23:07,482 --> 00:23:11,418 แต่วิชาโลกุตตระ วิชาแนวตั้ง 340 00:23:11,418 --> 00:23:15,439 เหมือนจรวดลอยขึ้นไปพ้นจากโลก 341 00:23:15,439 --> 00:23:25,402 อยู่เหนือโลกก็คือคำว่า โลกุตตระ 342 00:23:25,402 --> 00:23:29,245 คนยุคนี้ไม่เรียนธรรมะ ก็ 343 00:23:29,245 --> 00:23:36,646 ชอบวิจารณ์ตัดสินพระบ้าง ตัดสินฆราวาสบ้าง 344 00:23:36,646 --> 00:23:39,046 ว่าทำไม่ถูกอะไร อย่างนี้ 345 00:23:39,046 --> 00:23:46,945 อย่างวิชาหมอดูเป็นเดรัจฉานวิชา 346 00:23:46,945 --> 00:23:49,700 พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไร 347 00:23:49,700 --> 00:23:52,614 ที่ท่านห้ามมีอันเดียว 348 00:23:52,614 --> 00:23:57,486 ห้ามพระประกอบอาชีพทางเดรัจฉานวิชา 349 00:23:57,486 --> 00:23:59,289 ท่านห้ามตัวนี้ต่างหากล่ะ 350 00:23:59,289 --> 00:24:04,477 ท่านไม่ได้ห้ามฆราวาส อย่ามั่ว 351 00:24:04,477 --> 00:24:09,012 ถ้าพระไปรักษาโรค 352 00:24:09,012 --> 00:24:13,150 พระสมัยโบราณจะรักษาโรค 353 00:24:13,150 --> 00:24:16,142 คนไม่สบายไม่รู้จะไปไหน โรงพยาบาลไม่มี 354 00:24:16,142 --> 00:24:20,682 หามกันไปหาพระ กระดูกหักให้พระต่อให้ 355 00:24:20,682 --> 00:24:23,931 พระทำเดรัจฉานวิชาไหม ทำ 356 00:24:23,931 --> 00:24:26,780 อาบัติไหมไม่อาบัติ 357 00:24:26,780 --> 00:24:29,045 เพราะไม่ได้เอาไว้ทำมาหากิน 358 00:24:29,045 --> 00:24:31,450 ทำเพื่อสงเคราะห์โลก 359 00:24:31,450 --> 00:24:37,910 ไม่มีความละเอียดรอบคอบไม่เข้าใจ เรื่องธรรมวินัยแล้วชอบตัดสิน 360 00:24:37,910 --> 00:24:41,605 พระทำอย่างนี้ไม่ถูก อันนี้ก็ไม่ถูก นั่นก็ไม่ถูก 361 00:24:41,605 --> 00:24:44,523 พระดีๆ ก็คือพระพุทธรูป 362 00:24:44,523 --> 00:24:48,215 ห้ามกระดุกกระดิกทำอะไรไม่ได้เลย 363 00:24:48,215 --> 00:24:50,538 พอไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาแล้วก็ 364 00:24:50,538 --> 00:24:56,507 ชอบมั่วชอบตีความชอบตัดสิน มั่วมาก 365 00:24:56,507 --> 00:25:03,826 ทำให้พระธรรมวินัยศาสนาอยู่ยาก อยู่ลำบาก 366 00:25:03,826 --> 00:25:06,298 ธรรมะจริงๆ สูญหายไป 367 00:25:06,298 --> 00:25:08,698 สัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นมาแทนที่ 368 00:25:08,698 --> 00:25:11,389 บางทีพูดแล้วโก้เก๋ดี 369 00:25:11,389 --> 00:25:15,028 พูดแล้วแหมดูดีจังเลย 370 00:25:15,028 --> 00:25:20,375 คนที่พูดแล้วดูดีที่มีชื่อเสียงที่สุดเลย 371 00:25:20,375 --> 00:25:22,906 คือเทวทัต 372 00:25:22,906 --> 00:25:26,157 เทวทัตเป็นคนเสนอพระพุทธเจ้า 373 00:25:26,157 --> 00:25:29,370 บอกต่อไปนี้พระต้องมักน้อยสันโดษ 374 00:25:29,370 --> 00:25:33,862 ต้องดำรงชีวิตด้วยอาหารบิณฑบาตเท่านั้น 375 00:25:33,862 --> 00:25:37,169 ต้องใช้ผ้าบังสุกุลจีวรเท่านั้น 376 00:25:37,169 --> 00:25:40,405 ต้องไม่มีกุฏิไม่มีอะไร 377 00:25:40,405 --> 00:25:43,517 ไม่สร้างวัดสร้างวาอะไร 378 00:25:43,517 --> 00:25:47,223 อยู่ตามธรรมชาติธรรมดา 379 00:25:47,223 --> 00:25:52,147 ต้องกินมังสวิรัติ ฟังแล้วดี 380 00:25:52,147 --> 00:25:54,898 พวกคนไม่ฉลาดก็เคลิ้ม 381 00:25:54,898 --> 00:25:59,114 เทวทัตเคร่งครัดกว่าพระพุทธเจ้าอีก 382 00:25:59,114 --> 00:26:02,340 ส่วนหนึ่งพวกพระก็ยังตามไปเลย 383 00:26:02,340 --> 00:26:06,579 ตามเทวทัตไปเป็นร้อยๆ เลย 384 00:26:06,579 --> 00:26:09,560 แล้วต่อมาพระโมคคัลลานะ สารีบุตร 385 00:26:09,560 --> 00:26:12,867 ท่านไปอธิบายธรรมะให้ฟัง 386 00:26:12,867 --> 00:26:17,261 ตอนที่ท่านเข้าไปสำนักของเทวทัต 387 00:26:17,261 --> 00:26:20,257 เทวทัตกำลังเทศน์ให้ลูกศิษย์ฟังอยู่ 388 00:26:20,257 --> 00:26:24,818 พอเห็นพระโมคคัลลานะ สารีบุตรเข้าไปก็ดีใจ 389 00:26:24,818 --> 00:26:32,513 นึกว่าแปรพักตร์จากพระพุทธเจ้า มาเป็นสาวกของเทวทัตแล้ว 390 00:26:32,513 --> 00:26:35,625 เทวทัตก็บอกว่าช่วยเทศน์แทนหน่อย 391 00:26:35,625 --> 00:26:39,203 เมื่อยแล้วจะไปนอน 392 00:26:39,203 --> 00:26:41,891 พอตื่นมาลูกศิษย์หายไปหมดแล้ว 393 00:26:41,891 --> 00:26:44,889 มาฟังเทศน์พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร 394 00:26:44,889 --> 00:26:49,584 รู้ผิดชอบชั่วดีถอยออกมาเลย 395 00:26:49,584 --> 00:26:54,481 เหลือที่ไม่ถอยออกมาไม่มาก 396 00:26:54,481 --> 00:26:58,217 พวกที่ถอยออกมาก็มาภาวนา 397 00:26:58,217 --> 00:27:03,214 จำไม่ได้ว่าออกมาแล้วภาวนาแล้วผลเป็นอย่างไร 398 00:27:03,214 --> 00:27:05,782 แต่มีเรื่องเล่าอันหนึ่ง 399 00:27:05,782 --> 00:27:10,381 อันนี้ต้องใช้วิจารณญาณในการฟัง 400 00:27:10,381 --> 00:27:13,279 สำนวนนี้เคยคุ้นๆ ไหม 401 00:27:13,279 --> 00:27:16,593 ต้องใช้วิจารณญาณในการฟัง 402 00:27:16,593 --> 00:27:22,192 เมื่อก่อนหลวงพ่อเคยรู้จักพระองค์หนึ่ง ตอนหลวงพ่อยังไม่บวช 403 00:27:22,192 --> 00:27:25,360 ท่านพิการมือนิ้วท่านติดกันอย่างนี้ 404 00:27:25,360 --> 00:27:28,278 ติดกันหมดเลย 405 00:27:28,278 --> 00:27:32,409 แล้วท่านบอกท่านพิการมาแต่เด็กเลย 406 00:27:32,409 --> 00:27:36,792 สงสัยบาปกรรมอะไรทำให้พิการอย่างนี้ 407 00:27:36,792 --> 00:27:39,806 ท่านก็ระลึกๆ ไป จริงหรือเปล่าไม่รู้ 408 00:27:39,806 --> 00:27:43,834 อันนี้ท่านเล่าพิสูจน์ไม่ได้ 409 00:27:43,834 --> 00:27:46,997 ท่านบอกท่านเคยเป็นลูกศิษย์เทวทัต 410 00:27:46,997 --> 00:27:50,496 แต่กลับใจแล้ว กลับใจแล้ว 411 00:27:50,496 --> 00:27:57,430 ตอนเป็นลูกศิษย์เทวทัตก็ประกาศ ว่าต่อไปนี้จะไม่ไหว้พระพุทธเจ้าแล้ว 412 00:27:57,430 --> 00:28:00,997 แล้วต่อมาก็เปลี่ยนใจกลับเข้ามา 413 00:28:00,997 --> 00:28:05,448 บอกว่าอกุศลนี่ นิ้วของท่านเป็นแบบนี้ 414 00:28:05,448 --> 00:28:09,971 แยกออกจากกันไม่ได้ ทำได้แค่นี้ 415 00:28:09,971 --> 00:28:11,995 จริงหรือเปล่าไม่รู้ 416 00:28:11,995 --> 00:28:16,079 อันนี้เรื่องของกรรมเป็นเรื่องอจินไตย 417 00:28:16,079 --> 00:28:22,297 แต่การกระทำทั้งหลายทั้งปวงย่อมมีผลแน่นอน 418 00:28:22,297 --> 00:28:27,908 ลูกศิษย์เทวทัตปรามาสพระพุทธเจ้า ปรามาสพระสาวก 419 00:28:27,908 --> 00:28:34,560 ก็ต้องรับวิบาก เทวทัตก็ต้องรับวิบาก 420 00:28:34,560 --> 00:28:38,504 เพราะฉะนั้นเวลาเราได้ยินใครเขาเสนอวาทะ 421 00:28:38,504 --> 00:28:43,299 คมคายดูดีเหลือเกินเลย 422 00:28:43,299 --> 00:28:48,099 ต้องทบทวนว่ามันตรงกับพระไตรปิฎกหรือเปล่า 423 00:28:48,099 --> 00:28:51,877 บางทีการเสนออะไรที่เข้มมากๆ 424 00:28:51,877 --> 00:28:54,373 พระพุทธเจ้าท่านไม่เอา ท่านบอก 425 00:28:54,373 --> 00:29:00,043 เดี๋ยวศาสนาจะอยู่ยาก ศาสนาจะอันตรธานเร็ว 426 00:29:00,043 --> 00:29:04,043 อย่างเป็นพระบอกต้องฉันเจอย่างเดียว 427 00:29:04,043 --> 00:29:05,566 ชาวบ้านเขาไม่ได้กินเจ 428 00:29:05,566 --> 00:29:09,362 ใครเขาจะมาหาอาหารเจให้ทุกวันๆ 429 00:29:09,362 --> 00:29:13,778 สุดท้ายพระอาหารไม่พอแล้วก็อยู่ไม่ได้ 430 00:29:13,778 --> 00:29:18,228 ศาสนาก็หายไป พระหายไปไม่มีใครสืบทอด 431 00:29:18,228 --> 00:29:23,420 ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจะไม่สุดโต่งๆ 432 00:29:23,420 --> 00:29:30,044 ศาสนาถึงได้ยืนยาวมาถึงทุกวันนี้ 433 00:29:30,044 --> 00:29:32,768 ทำไมมาเรื่องนี้ได้ก็ไม่รู้ 434 00:29:32,768 --> 00:29:37,731 รวมความก็คือต้องเจริญสติปัฏฐาน 435 00:29:37,731 --> 00:29:42,336 หลวงพ่อสอนอยู่ทุกวี่ทุกวันก็เรื่องนี้ล่ะ 436 00:29:42,336 --> 00:29:46,646 แต่ก่อนที่เราจะมาเจริญสติปัฏฐานได้ 437 00:29:46,646 --> 00:29:50,878 บทเรียนของเราต้องครบ ไตรสิกขา 438 00:29:50,878 --> 00:29:53,453 ศีลต้องรักษา 439 00:29:53,453 --> 00:30:02,152 ตั้งใจไว้ก่อนจะรักษาศีล 5 ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ 440 00:30:02,152 --> 00:30:09,352 เรื่องรักษาศีลก็เคยมี คนถามหลวงปู่เทสก์กระมัง 441 00:30:09,352 --> 00:30:15,928 บอกว่า ถ้าท่านเดินไปแล้วเห็นผู้หญิงตกน้ำ 442 00:30:15,928 --> 00:30:17,821 พระจะกระโดดลงไปช่วย 443 00:30:17,821 --> 00:30:23,293 อาบัติไหมไปจับตัวผู้หญิง 444 00:30:23,293 --> 00:30:27,898 ไม่ช่วยจิตจะเศร้าหมองไหม 445 00:30:27,898 --> 00:30:30,274 ถ้าจิตเศร้าหมองแสดงว่า 446 00:30:30,274 --> 00:30:33,539 ตรงนั้นเราต้องทำชั่วอะไรสักอย่างแล้ว 447 00:30:33,539 --> 00:30:39,761 อย่างเราเห็นผู้หญิงตกน้ำ แล้วเราก็อุเบกขา 448 00:30:39,761 --> 00:30:43,693 จริงๆ แล้วจิตจะไม่ดีเลย จิตจะกระด้าง 449 00:30:43,693 --> 00:30:46,981 เห็นสัตว์ลำบากแล้วเฉยเมย 450 00:30:46,981 --> 00:30:51,107 คิดว่าความเฉยเมยคืออุเบกขา ไม่ใช่ 451 00:30:51,107 --> 00:30:54,658 เป็นความใจไม้ไส้ระกำ 452 00:30:54,658 --> 00:30:57,348 ท่านบอกว่าท่านก็ใช้วิธีนี้สิ 453 00:30:57,348 --> 00:31:01,261 ท่านกระโดดลงไปในน้ำไปอยู่ใกล้ๆ เขา 454 00:31:01,261 --> 00:31:03,753 เดี๋ยวเขาก็เกาะท่านท่านก็ว่ายเข้าฝั่ง 455 00:31:03,753 --> 00:31:10,307 ท่านว่าอย่างนี้ แต่หลวงพ่อคงไม่เอา 456 00:31:10,307 --> 00:31:13,559 ขืนมาเกาะเราก็พากันจมแน่เลย 457 00:31:13,559 --> 00:31:22,873 หาไม้หาอะไรโยนให้ ให้เกาะ ก็ต้องช่วย 458 00:31:22,873 --> 00:31:25,672 จำเป็นจริงๆ 459 00:31:25,672 --> 00:31:33,136 ก็ลงไปลากขึ้นมาแล้วมาปลงอาบัติเอา 460 00:31:33,136 --> 00:31:37,674 บางทีก็ต้องคิดต้องพิจารณา 461 00:31:37,674 --> 00:31:42,741 ถือศีลเคร่งๆ ไปเลยแบบงมงายก็ใช้ไม่ได้ 462 00:31:42,741 --> 00:31:46,675 ศีลรักษาไปเพื่อให้จิตใจเป็นปกติ 463 00:31:46,675 --> 00:31:50,693 เพื่อให้หมู่สงฆ์สงบสุข 464 00:31:50,693 --> 00:31:53,566 เพื่อให้คนที่ยังไม่เลื่อมใสเกิดเลื่อมใส 465 00:31:53,566 --> 00:31:56,137 เพื่อให้คนที่เลื่อมใสแล้ว 466 00:31:56,137 --> 00:32:02,106 มีความมั่นคงในพระศาสนา เลื่อมใสมั่นคง 467 00:32:02,106 --> 00:32:04,505 ศีลไม่ได้ถือเอาไว้ทรมานตัวเอง 468 00:32:04,505 --> 00:32:09,354 ศีลไม่ได้ถือไว้ใจร้ายกับคนอื่น 469 00:32:09,354 --> 00:32:18,352 เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้จักอะไรควรอะไรไม่ควร 470 00:32:18,352 --> 00:32:25,129 เห็นมีพระมีข่าวเรื่อยเลย ดูแลแม่ 471 00:32:25,129 --> 00:32:29,200 เช็ดอึเช็ดฉี่อาบน้ำให้อะไรให้ 472 00:32:29,200 --> 00:32:34,098 ถามว่าถูก ไม่ถูก ก็ไม่ถูก 473 00:32:34,098 --> 00:32:37,745 ถ้าไม่มีใครทำให้ก็ต้องทำ 474 00:32:37,745 --> 00:32:42,790 อาบัติร้ายแรงไหม อาบัติไม่ร้ายแรง 475 00:32:42,790 --> 00:32:47,851 อาบัติที่ร้ายแรงคือภิกษุมี ความกำหนัดจับต้องกายหญิง 476 00:32:47,851 --> 00:32:51,950 ไม่ได้มีความกำหนัดมีแต่ความเมตตา 477 00:32:51,950 --> 00:32:54,235 ดีกรีมันมี 478 00:32:54,235 --> 00:32:57,034 ว่ามันผิดร้ายแรงแค่ไหน 479 00:32:57,034 --> 00:32:59,600 ไม่ใช่เห็นอะไรก็บอกจับสึกๆ 480 00:32:59,600 --> 00:33:08,091 ทุกวันนี้ง่ายเหลือเกิน เจอพระไม่ชอบใจ บอกจับสึก 481 00:33:08,091 --> 00:33:12,079 เพราะฉะนั้นต้องเรียน ขอแนะนำ 482 00:33:12,079 --> 00:33:19,921 อ่านพระไตรปิฎกดีที่สุดเลยหัดอ่านไป 483 00:33:19,921 --> 00:33:22,285 พระวินัย พระสูตรพวกนี้ อ่าน 484 00:33:22,285 --> 00:33:24,368 อภิธรรมอ่านไม่รู้เรื่อง 485 00:33:24,368 --> 00:33:35,725 ต้องไปเรียนอภิธัมมัตถสังคหะอะไรพวกนั้นก่อน 486 00:33:35,725 --> 00:33:41,787 ศีลต้องรักษา สมาธิต้องฝึก 487 00:33:41,787 --> 00:33:45,260 ทุกวันแบ่งเวลาไว้เลย 488 00:33:45,260 --> 00:33:51,506 ถึงเวลาจะต้องปฏิบัติในรูปแบบ 489 00:33:51,506 --> 00:33:59,514 ทำไมหลวงพ่อไม่ใช้คำว่าถึงเวลา ให้ไปนั่งสมาธิให้ไปเดินจงกรม 490 00:33:59,514 --> 00:34:04,273 เพราะว่าแต่ละคนรูปแบบ ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน 491 00:34:04,273 --> 00:34:10,323 บางคนกวาดพื้นอยู่เป็นเครื่องอยู่ 492 00:34:10,323 --> 00:34:14,913 นั่นคือการทำในรูปแบบของเขา 493 00:34:14,913 --> 00:34:18,695 ตอนหลวงพ่อบวชครั้งแรกที่วัดชลประทาน 494 00:34:18,695 --> 00:34:22,042 หลวงพ่อปัญญาเป็นพระอุปัชฌาย์ 495 00:34:22,042 --> 00:34:27,470 มีพระผู้เฒ่าองค์หนึ่งกุฏิอยู่ติดๆ กัน 496 00:34:27,470 --> 00:34:32,290 ท่านกวาดวัด ฉันข้าวเสร็จตอนเช้าก็กวาดวัดไป 497 00:34:32,290 --> 00:34:34,644 กวาดจากหน้าวัดไปท้ายวัด 498 00:34:34,644 --> 00:34:35,945 ท้ายวัดกวาดมาหน้าวัด 499 00:34:35,945 --> 00:34:38,394 กวาดอยู่อย่างนั้นทั้งวัน 500 00:34:38,394 --> 00:34:41,997 หลวงพ่อตอนนั้นโง่ ก็ไปบอกท่าน 501 00:34:41,997 --> 00:34:47,251 บอกหลวงพ่อทำไมไม่นั่งสมาธิไม่เดินจงกรม 502 00:34:47,251 --> 00:34:49,449 ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมช่วยกวาด 503 00:34:49,449 --> 00:34:53,113 เราไปนั่งสมาธิกันดีกว่า 504 00:34:53,113 --> 00:34:57,681 ท่านก็ยิ้มหวานหลวงพ่อ ยังจำรอยยิ้มของท่านได้ 505 00:34:57,681 --> 00:35:03,309 ท่านบอกคุณบวชสั้นๆ คุณไปนั่งสมาธิเดินจงกรม 506 00:35:03,309 --> 00:35:05,963 เดี๋ยวผมกวาดเอง 507 00:35:05,963 --> 00:35:08,436 นี่ความโง่ของเรา 508 00:35:08,436 --> 00:35:12,139 ที่จริงท่านภาวนาทั้งวันเลย 509 00:35:12,139 --> 00:35:15,294 ร่างกายท่านเคลื่อนไหวท่านกวาดใบไม้ 510 00:35:15,294 --> 00:35:18,875 กวาดถนนกวาดใบไม้กวาดไปเรื่อยๆ 511 00:35:18,875 --> 00:35:21,255 ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก 512 00:35:21,255 --> 00:35:25,188 เห็นรูปเคลื่อนไหวใจเป็นคนรู้ 513 00:35:25,188 --> 00:35:27,870 เราภาวนาเป็นแล้วเราถึงนึกถึงท่านได้ 514 00:35:27,870 --> 00:35:29,496 โอ๊ยตายแล้ว 515 00:35:29,496 --> 00:35:32,763 เราไปบอกท่านด้วยความโง่ของเราแท้ๆ 516 00:35:32,763 --> 00:35:34,946 แต่ประกอบด้วยเมตตา 517 00:35:34,946 --> 00:35:37,539 ความโง่นั้นไม่ได้ประกอบด้วย 518 00:35:37,539 --> 00:35:41,967 ดูถูกว่าท่านไม่ยอมไปนั่งภาวนา 519 00:35:41,967 --> 00:35:47,564 เรามีความเมตตาอยากให้ ท่านได้ภาวนาบ้างมีเวลาบ้าง 520 00:35:47,564 --> 00:35:50,977 เพราะฉะนั้นหลวงพ่อจะใช้คำว่าทำในรูปแบบ 521 00:35:50,977 --> 00:35:53,487 รูปแบบแต่ละคนไม่เหมือนกัน 522 00:35:53,487 --> 00:35:58,802 แค่กวาดวัดก็เป็นการปฏิบัติในรูปแบบแล้ว 523 00:35:58,802 --> 00:36:02,126 ได้เห็นรูปเคลื่อนไหวใจเป็นคนรู้ 524 00:36:02,126 --> 00:36:04,221 อย่างบางคน 525 00:36:04,221 --> 00:36:08,044 หลวงพ่อไปที่บ้านจิตสบาย เห็นมีคนหนึ่งส่งการบ้าน 526 00:36:08,044 --> 00:36:12,341 หลวงพ่อดูแล้วคนนี้ ไม่เคยช่วยเมียทำงานบ้านเลย 527 00:36:12,341 --> 00:36:13,999 เมียก็ชักโมโห 528 00:36:13,999 --> 00:36:18,890 บอกไปช่วยเมียทำงาน ช่วยเมียซักผ้า ถูบ้าน 529 00:36:18,890 --> 00:36:24,125 เขาเชื่อเขาไปทำ แล้วจิตใจเขาก็สบาย 530 00:36:24,125 --> 00:36:27,309 สบายเพราะอะไร เพราะเมียไม่ด่า 531 00:36:27,309 --> 00:36:30,436 เมียไม่บ่นแล้วสบายใจ 532 00:36:30,436 --> 00:36:34,128 ก็รู้เนื้อรู้ตัว ทำงานไปรู้เนื้อรู้ตัวไป 533 00:36:34,128 --> 00:36:37,645 ในครอบครัวก็ดีจิตใจตัวเองก็ดี 534 00:36:37,645 --> 00:36:39,910 นี่ทำในรูปแบบ 535 00:36:39,910 --> 00:36:45,384 ไม่ใช่ทำในรูปแบบต้อง นั่งสมาธิท่านี้ต้องเดินท่านี้ 536 00:36:45,384 --> 00:36:50,495 บางทีเดินจงกรมต้องกำหนดโน้นกำหนดนี้ 537 00:36:50,495 --> 00:36:55,105 มีเท่านั้นจังหวะเท่านี้จังหวะ ทำแล้วเครียด 538 00:36:55,105 --> 00:36:57,954 ทำแล้วเครียดไม่ใช่การปฏิบัติหรอก 539 00:36:57,954 --> 00:36:59,904 ทำอกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด 540 00:36:59,904 --> 00:37:03,554 ทำอกุศลที่เกิดแล้วให้แรงขึ้น 541 00:37:03,554 --> 00:37:05,301 อย่างทำแบบเครียดๆ ไปเรื่อยๆ 542 00:37:05,301 --> 00:37:11,604 อกุศลอะไรจะแรง กูเก่ง กูดีกว่าคนอื่น 543 00:37:11,604 --> 00:37:14,938 อกุศลพวกนี้จะเด่นขึ้นมา 544 00:37:14,938 --> 00:37:16,861 เพราะฉะนั้นถึงเวลาไปทำในรูปแบบ 545 00:37:16,861 --> 00:37:20,542 ถนัดกรรมฐานอะไรเอานั้นล่ะ 546 00:37:20,542 --> 00:37:23,406 มีต้นไม้เยอะก็ไปรดต้นไม้ 547 00:37:23,406 --> 00:37:27,635 อย่างที่นี่ตกเย็นพระต้องไปรดต้นไม้ 548 00:37:27,635 --> 00:37:29,803 ต้นไม้มี 2 ส่วน 549 00:37:29,803 --> 00:37:34,209 ต้นไม้รอบๆ กุฏิอันนี้เช้าๆ เขาก็รดกันแล้ว 550 00:37:34,209 --> 00:37:38,474 ทางเดินก็แบ่งกันกวาดทั่ววัด 551 00:37:38,474 --> 00:37:41,773 แต่ฤดูนี้พอกวาดเสร็จคล้อยหลัง 552 00:37:41,773 --> 00:37:44,819 ลมพัดทีเดียวใบไม้ลงมาเต็มเหมือนเดิม 553 00:37:44,819 --> 00:37:47,101 แต่ไม่ต้องกวาดซ้ำแล้ว 554 00:37:47,101 --> 00:37:49,782 เพราะถ้ากวาดก็คือไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้ว 555 00:37:49,782 --> 00:37:51,271 อย่างน้อยก็รักษาข้อวัตร 556 00:37:51,271 --> 00:37:55,603 กวาดแล้ว ตั้งใจกวาด 557 00:37:55,603 --> 00:37:59,386 ตอนเช้าก็รดต้นไม้รอบๆ กุฏิ 558 00:37:59,386 --> 00:38:02,099 ตอนเย็นไปรดต้นไม้ฝั่งโน้น 559 00:38:02,099 --> 00:38:06,025 ไปปลูกป่ากันไว้ร่วมร้อยไร่ 560 00:38:06,025 --> 00:38:12,121 แบกน้ำตักน้ำใส่ถังเอาไปรดต้นไม้ 561 00:38:12,121 --> 00:38:14,379 รดทีละต้นทีละต้น 562 00:38:14,379 --> 00:38:18,639 ฝั่งโน้นไม่รู้ต้นไม้กี่พันต้น ฝั่งโน้น 563 00:38:18,639 --> 00:38:23,498 ถามว่าเสียเวลาภาวนาไหม ไม่เสีย 564 00:38:23,498 --> 00:38:28,232 เวลาตักน้ำรู้สึกตัวหิ้วน้ำไปรู้สึกตัว 565 00:38:28,232 --> 00:38:32,088 ถ้าไม่รู้สึกทำอะไร ไม่รู้สึกตัวก็ทำน้ำหก 566 00:38:32,088 --> 00:38:35,604 หรือเดินตกหลุมตกบ่อแข้งขาเคล็ด 567 00:38:35,604 --> 00:38:41,903 บางองค์ขาเส้นเอ็นพลิกเดินเผลอไปหน่อย 568 00:38:41,903 --> 00:38:47,480 นี่คือการปฏิบัติ ไปรดต้นไม้ 569 00:38:47,480 --> 00:38:51,954 ทุกวันทำอย่างนี้ล่ะ 570 00:38:51,954 --> 00:38:56,234 เห็นไหมต้องมีรักษาศีล 571 00:38:56,234 --> 00:39:00,026 ต้องทำในรูปแบบทุกวันๆ 572 00:39:00,026 --> 00:39:04,429 แล้วก็ต้องเจริญสติในชีวิตประจำวัน 573 00:39:04,429 --> 00:39:07,139 ถ้าทำได้อย่างที่บอก 3 อย่างนี้ 574 00:39:07,139 --> 00:39:09,322 มรรคผลไม่ไกลหรอก 575 00:39:09,322 --> 00:39:15,583 การเจริญสติในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่ก็คือการเจริญสติปัฏฐานนั่นล่ะ 576 00:39:15,583 --> 00:39:22,062 อย่างเรามีสติเห็นร่างกายหายใจออก มีสติเห็นร่างกายหายใจเข้า 577 00:39:22,062 --> 00:39:25,137 แล้ววันไหนจิตใจเราฟุ้งซ่าน 578 00:39:25,137 --> 00:39:28,352 เราเห็นร่างกายหายใจออกหายใจเข้าสักพักหนึ่ง 579 00:39:28,352 --> 00:39:34,002 จิตมันจะรวมลงไป จะพักผ่อนหายฟุ้งซ่าน 580 00:39:34,002 --> 00:39:39,008 วันไหนจิตเรามีกำลังอยู่แล้ว หายใจออกรู้สึกหายใจเข้ารู้สึก 581 00:39:39,008 --> 00:39:43,263 เราก็จะเห็นว่าร่างกายที่ หายใจเป็นคนละอันกับจิต 582 00:39:43,263 --> 00:39:45,706 ร่างกายกับจิตแยกออกจากกัน 583 00:39:45,706 --> 00:39:49,148 ขึ้นเจริญปัญญาแล้ว 584 00:39:49,148 --> 00:39:54,838 ฉะนั้นแค่เราหายใจมันมีทั้งสมถะทั้งวิปัสสนา 585 00:39:54,838 --> 00:40:01,216 อย่างเวลาจะทำสมาธิเราก็หายใจไป 586 00:40:01,216 --> 00:40:05,239 แล้วถ้าจิตมันต้องการพักผ่อนมันจะรวมสงบลงไป 587 00:40:05,239 --> 00:40:08,164 รวมเองไม่ต้องสั่งให้รวมเลย 588 00:40:08,164 --> 00:40:10,703 ยกเว้นมีวสีชำนาญแล้ว 589 00:40:10,703 --> 00:40:13,660 นึกอยากรวมเมื่อไรก็รวมได้ทันที 590 00:40:13,660 --> 00:40:16,993 แต่ถ้ายังรวมไม่ได้ก็อย่าไปตกใจ 591 00:40:16,993 --> 00:40:19,942 ถึงเวลาเราก็ทำกรรมฐานไป 592 00:40:19,942 --> 00:40:24,993 แล้วถ้าจิตมันต้องการพัก มันรวมเองมันเข้าเอง 593 00:40:24,993 --> 00:40:29,004 ตอนที่เกิดอริยมรรคอริยผลจิตก็รวมเอง 594 00:40:29,004 --> 00:40:31,165 ถ้าตั้งใจรวมไม่ค่อยได้เรื่องหรอก 595 00:40:31,165 --> 00:40:34,990 ยังเจือโลภเจตนาอยู่ 596 00:40:34,990 --> 00:40:37,411 อย่างเราหายใจไป หายใจไป 597 00:40:37,411 --> 00:40:39,599 วันนี้จิตเรามีกำลังแล้ว 598 00:40:39,599 --> 00:40:41,965 มันไม่รวม ไม่เคลิ้ม 599 00:40:41,965 --> 00:40:45,265 ตั้งมั่นทรงตัวขึ้นมา 600 00:40:45,265 --> 00:40:48,994 สติระลึกรู้กายก็เห็นไตรลักษณ์ของกาย 601 00:40:48,994 --> 00:40:54,660 ใครเป็นคนรู้กาย จิตเป็นคนรู้กาย แล้วก็เห็นไตรลักษณ์ของจิต 602 00:40:54,660 --> 00:40:56,420 เวทนาเกิดขึ้นในกาย 603 00:40:56,420 --> 00:40:59,812 เเล้วก็เห็นว่าเวทนาในกายกับกายก็คนละอันกัน 604 00:40:59,812 --> 00:41:02,511 แล้วเป็นคนละอันกับจิต 605 00:41:02,511 --> 00:41:05,477 เวทนาทางกายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ 606 00:41:05,477 --> 00:41:09,778 จิตที่รู้เวทนาทางกายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ 607 00:41:09,778 --> 00:41:13,209 เราเห็นสังขาร จิตสังขาร 608 00:41:13,209 --> 00:41:15,959 จิตที่เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง 609 00:41:15,959 --> 00:41:19,972 ทีแรกเราก็เห็นว่าจิตเราโลภจิตเราโกรธ 610 00:41:19,972 --> 00:41:23,253 พอเราภาวนามากเข้าๆ เราเห็นว่า 611 00:41:23,253 --> 00:41:28,188 ความโลภ ความโกรธ ความหลงกับจิตเป็นคนละอันกัน 612 00:41:28,188 --> 00:41:30,351 ความโลภกับจิตคนละอันกัน 613 00:41:30,351 --> 00:41:32,274 ความโกรธกับจิตเป็นคนละอันกัน 614 00:41:32,274 --> 00:41:35,211 เป็นองค์ธรรมคนละชนิดกัน 615 00:41:35,211 --> 00:41:38,677 ตัวโลภตัวโกรธตัวหลงเป็นสังขาร 616 00:41:38,677 --> 00:41:42,620 เรียกว่าสังขารขันธ์ อยู่ในสังขารขันธ์ 617 00:41:42,620 --> 00:41:46,387 จิตเป็นอีกขันธ์หนึ่งอยู่ในวิญญาณขันธ์ 618 00:41:46,387 --> 00:41:48,776 เป็นคนละอันกัน 619 00:41:48,776 --> 00:41:50,898 คนทั่วไปบอกเราโกรธ 620 00:41:50,898 --> 00:41:54,337 อันนี้โง่ที่สุดแต่ไม่โง่มากไม่ถึงที่สุด 621 00:41:54,337 --> 00:41:56,683 โง่ที่สุดคือไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโกรธ 622 00:41:56,683 --> 00:41:59,465 ไปอาละวาดใส่คนอื่นแล้ว 623 00:41:59,465 --> 00:42:02,905 ดีขึ้นมาหน่อยเห็นว่าเรากำลังโกรธ 624 00:42:02,905 --> 00:42:06,976 ดีกว่านั้นก็คือเห็นว่า ความโกรธกับจิตคนละอันกัน 625 00:42:06,976 --> 00:42:08,935 มันแยกออกจากกัน 626 00:42:08,935 --> 00:42:10,702 แล้วดีกว่านั้นก็คือเห็นว่า 627 00:42:10,702 --> 00:42:15,290 ความโกรธก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ 628 00:42:15,290 --> 00:42:20,170 จิตก็เดินปัญญาละเอียดๆๆ เข้าไปเรื่อยๆ 629 00:42:20,170 --> 00:42:22,317 สุดท้ายก็เข้ามาที่จิต 630 00:42:22,317 --> 00:42:28,349 ก็เห็นจิตนั้นเกิดดับ จิตเกิดที่ไหนจิตก็ดับที่นั้น 631 00:42:28,349 --> 00:42:30,937 ตอนที่หลวงพ่อเห็นตรงนี้ทีแรก 632 00:42:30,937 --> 00:42:34,032 จิตเกิดที่ตาแล้วก็ดับที่หูแล้วก็ดับ 633 00:42:34,032 --> 00:42:39,320 เลยเกิดสงสัยแล้ว เราจะเอาจิตไปตั้งไว้ที่ไหนดี 634 00:42:39,320 --> 00:42:41,816 ก็เข้าไปกราบหลวงปู่ดูลย์ 635 00:42:41,816 --> 00:42:45,018 หลวงปู่ครับ จิตมันตั้งอยู่ที่ไหน 636 00:42:45,018 --> 00:42:49,076 คิดว่ามันตั้งอยู่กลางอก คิดว่ามันอยู่ตรงนี้ 637 00:42:49,076 --> 00:42:51,879 แล้วมันเกิดที่ตา ตัวนี้หายไป 638 00:42:51,879 --> 00:42:54,900 เกิดที่ตาแล้วก็ดับ เกิดที่หูแล้วก็ดับ 639 00:42:54,900 --> 00:42:59,533 แล้วเข้ามาตรงนี้ เห็นตัวนี้มันไหวๆๆ อยู่ 640 00:42:59,533 --> 00:43:02,102 ก็เลยนึกว่าจิตมันอยู่ตรงนี้กระมัง 641 00:43:02,102 --> 00:43:04,703 แต่ไหนๆ เจอหลวงปู่แล้วถามหลวงปู่สักหน่อย 642 00:43:04,703 --> 00:43:06,525 หลวงปู่ครับจิตมันอยู่ที่ไหน 643 00:43:06,525 --> 00:43:08,731 จิตมันตั้งอยู่ที่ไหน 644 00:43:08,731 --> 00:43:11,730 หลวงปู่บอกจิตไม่มีที่ตั้ง 645 00:43:11,730 --> 00:43:15,574 บอกแค่นี้เราก็เข้าใจแล้ว 646 00:43:15,574 --> 00:43:18,669 เราไม่ต้องเอาจิตไปตั้งไว้ที่ไหนหรอก 647 00:43:18,669 --> 00:43:21,687 จิตตั้งอยู่กับอารมณ์ 648 00:43:21,687 --> 00:43:24,827 เกิดพร้อมกับอารมณ์ ดับพร้อมกับอารมณ์ 649 00:43:24,827 --> 00:43:26,014 จิตเกิดที่ไหน 650 00:43:26,014 --> 00:43:31,171 เกิดออกไปรู้อารมณ์ทางตา แล้วก็ดับพร้อมกับการรู้อารมณ์ทางตา 651 00:43:31,171 --> 00:43:34,695 ออกไปฟังเสียงแล้วก็ดับพร้อมกับเสียง 652 00:43:34,695 --> 00:43:37,319 พร้อมกับการฟังเสียง 653 00:43:37,319 --> 00:43:39,872 นี่มันเกิดดับ 654 00:43:39,872 --> 00:43:44,409 ภาวนาพอละเอียดๆ มันเข้ามาที่จิตนี่ล่ะ 655 00:43:44,409 --> 00:43:48,271 แล้วเห็นจิตมันสร้างภพสร้างชาติตลอดเวลาเลย 656 00:43:48,271 --> 00:43:53,588 แล้วภาวนาถ้าเราเข้าใจ ธรรมะประณีตขึ้น ประณีตขึ้น 657 00:43:53,588 --> 00:43:56,819 การปฏิบัติมันบีบวงมาที่จิต 658 00:43:56,819 --> 00:44:01,894 บางทีเราก็เห็นจิต บางทีเราก็ไม่เห็นจิต 659 00:44:01,894 --> 00:44:04,677 จิตตัวนี้คือจิตผู้รู้ 660 00:44:04,677 --> 00:44:08,935 อะไรทำให้เรามองจิตผู้รู้ไม่ออก 661 00:44:08,935 --> 00:44:12,870 อาสวกิเลสทั้ง 4 662 00:44:12,870 --> 00:44:19,161 อาสวกิเลสเกิดเมื่อไร หาจิตผู้รู้ไม่เจอแล้ว 663 00:44:19,161 --> 00:44:24,294 อาสวะที่ดูง่ายๆ อย่างตัวภพดูง่าย 664 00:44:24,294 --> 00:44:27,469 จิตสร้างภพเมื่อไร 665 00:44:27,469 --> 00:44:32,252 จิตก็หลุดเข้าไปอยู่ไปเกิดในภพนั้น 666 00:44:32,252 --> 00:44:36,303 ถ้ารู้ทันปุ๊บจิตหลุดออกจากภพ ภพดับ 667 00:44:36,303 --> 00:44:39,535 จิตผู้รู้ก็เด่นดวงขึ้นมา 668 00:44:39,535 --> 00:44:43,302 มันจะเข้ามารู้ที่ตัวจิตผู้รู้ได้ 669 00:44:43,302 --> 00:44:46,202 พอรู้ที่ตัวจิตผู้รู้ได้ 670 00:44:46,202 --> 00:44:52,401 สิ่งที่ปิดกั้นทำให้เรารู้จิตผู้รู้ไม่ได้ ก็คืออาสวกิเลสทั้ง 4 ตัวนั่นล่ะ 671 00:44:52,401 --> 00:44:56,377 กามาสวะเข้ามามาดึงจิตเราไป 672 00:44:56,377 --> 00:45:00,758 ดึงดูดจิตเราไปหากามคุณอารมณ์ 673 00:45:00,758 --> 00:45:05,509 ภวาสวะจิตไปสร้างภพแล้วหลงอยู่ในภพอันนั้น 674 00:45:05,509 --> 00:45:10,423 อวิชชาสวะมันไม่รู้แจ้งอริยสัจ 675 00:45:10,423 --> 00:45:14,827 ทิฏฐาสวะ เวลาเราติดในความคิดความเห็น 676 00:45:14,827 --> 00:45:17,491 ถูกความคิดความเห็นย้อมเมื่อไร 677 00:45:17,491 --> 00:45:21,256 ตัวจิตผู้รู้เราก็สูญหายไป 678 00:45:21,256 --> 00:45:26,677 พอไม่ถูกอาสวะทั้ง 4 ย้อม สติสมาธิเราดี 679 00:45:26,677 --> 00:45:30,753 อาสวะเข้ามาย้อมไม่ได้ จิตผู้รู้เด่นดวงขึ้นมา 680 00:45:30,753 --> 00:45:32,917 แล้ววันหนึ่งเราก็จะเห็น 681 00:45:32,917 --> 00:45:36,084 จิตผู้รู้เองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ 682 00:45:36,084 --> 00:45:38,957 จิตผู้รู้นั่นล่ะก็คือตัวทุกข์ 683 00:45:38,957 --> 00:45:41,470 แล้วคือหัวโจกของตัวทุกข์ 684 00:45:41,470 --> 00:45:44,690 ดูยากที่สุดเลยว่าคือตัวทุกข์ 685 00:45:44,690 --> 00:45:47,438 เพราะว่าถ้าเราภาวนาเรามีจิตผู้รู้ 686 00:45:47,438 --> 00:45:50,230 เรารู้สึกตัวนี้บรมสุข 687 00:45:50,230 --> 00:45:54,409 ถ้าเมื่อไรไม่ถูกอาสวะย้อม 688 00:45:54,409 --> 00:45:59,251 เห็นมันบ่อยๆ เนืองๆ รู้แจ้งแทงตลอด 689 00:45:59,251 --> 00:46:01,797 จิตผู้รู้นั่นล่ะคือตัวบรมทุกข์ 690 00:46:01,797 --> 00:46:05,197 ทุกข์ยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเลย 691 00:46:05,197 --> 00:46:09,276 พอรู้ทุกข์แจ่มแจ้งก็หมดความรักใคร่ยินดี 692 00:46:09,276 --> 00:46:12,309 หมดความอยาก หมดความยึดถือ 693 00:46:12,309 --> 00:46:15,274 เพราะฉะนั้นพอรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง 694 00:46:15,274 --> 00:46:19,815 สมุทัยคือตัณหาอุปาทาน อะไรพวกนี้ก็ถูกทำลายทันที 695 00:46:19,815 --> 00:46:21,829 ดับอัตโนมัติ 696 00:46:21,829 --> 00:46:25,310 เราไม่ต้องดับตัณหา 697 00:46:25,310 --> 00:46:27,795 รู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อไรตัณหาดับเอง 698 00:46:27,795 --> 00:46:29,671 ดับอัตโนมัติ 699 00:46:29,671 --> 00:46:34,454 สิ้นตัณหาเมื่อไร นิโรธคือ นิพพานปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา 700 00:46:34,454 --> 00:46:37,741 นิโรธคือสภาวะที่สิ้นตัณหา 701 00:46:37,741 --> 00:46:39,557 หลวงพ่อเคยภาวนาผิด 702 00:46:39,557 --> 00:46:42,213 กำหนดจิตลงไปแล้วว่างลงไป 703 00:46:42,213 --> 00:46:45,729 คิดว่าฝึกเข้านิโรธไปแล้ว 704 00:46:45,729 --> 00:46:49,261 หลวงปู่บุญจันทร์ท่านมาเจอ ท่านด่าเอา 705 00:46:49,261 --> 00:46:51,769 นิพพานอะไรมีเข้ามีออก 706 00:46:51,769 --> 00:46:53,906 เลยรู้เลยไม่ใช่แล้ว 707 00:46:53,906 --> 00:46:56,950 ถ้ายังกำหนดจิตอย่างโน้นกำหนดจิตอย่างนี้ 708 00:46:56,950 --> 00:46:58,950 ไม่ใช่ของจริงแล้ว 709 00:46:58,950 --> 00:47:01,905 ของจริงก็คือต้องรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง 710 00:47:01,905 --> 00:47:06,990 จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งว่ามันคือตัวทุกข์ 711 00:47:06,990 --> 00:47:11,495 จิตก็หมดความอยากหมดความยึดถือในตัวจิต 712 00:47:11,495 --> 00:47:13,902 สิ้นอยากเมื่อไรก็คือนิพพาน 713 00:47:13,902 --> 00:47:17,410 นิพพานคือสภาวะที่สิ้นตัณหา 714 00:47:17,410 --> 00:47:21,092 แล้วขณะนั้นอริยมรรคเกิดขึ้น 715 00:47:21,092 --> 00:47:23,822 นี่เส้นทาง เราทำไป 716 00:47:23,822 --> 00:47:29,404 เดินไปเรื่อยๆ มาตรงนี้ได้ด้วยการรักษาศีล 717 00:47:29,404 --> 00:47:34,004 ฝึกในรูปแบบให้จิตมีสมาธิขึ้นมา 718 00:47:34,004 --> 00:47:38,686 แล้วก็เอาจิตที่ตั้งมั่น มีสมาธิแล้วมาเดินปัญญา 719 00:47:38,686 --> 00:47:41,659 แยกธาตุแยกขันธ์แยกรูปแยกนามไป 720 00:47:41,659 --> 00:47:44,478 ทำสติปัฏฐาน 4 นั่นล่ะ 721 00:47:44,478 --> 00:47:47,244 ฝึกเรื่อยๆ 722 00:47:47,244 --> 00:47:50,394 สติปัฏฐานนั้นเป็นของวิเศษอีกอย่าง 723 00:47:50,394 --> 00:47:53,972 ในเบื้องต้นที่เราฝึกทำให้สติเราดีขึ้น 724 00:47:53,972 --> 00:47:56,389 ในเบื้องปลายทำให้เกิดปัญญา 725 00:47:56,389 --> 00:47:59,738 นี้หมดเวลาแล้ว เทศน์ละเอียดตรงนี้ไม่ทัน 726 00:47:59,738 --> 00:48:04,721 ไปหาฟังเอาก็แล้วกัน หลวงพ่อเทศน์เอาไว้เยอะแยะแล้ว 727 00:48:04,721 --> 00:48:11,681 ต่อไปตรวจการบ้าน 728 00:48:11,681 --> 00:48:18,277 เบอร์ 1: ในรูปแบบเดินจงกรม และรู้สึกกายที่เคลื่อนไหว 729 00:48:18,277 --> 00:48:23,016 เมื่อจิตใจหลงไปคิดแล้วรู้ 730 00:48:34,056 --> 00:48:41,077 เบอร์ 1: ในรูปแบบเดินจงกรม และรู้สึกกายที่เคลื่อนไหว 731 00:48:41,077 --> 00:48:43,635 เมื่อจิตใจหลงไปคิดแล้วรู้ 732 00:48:43,635 --> 00:48:48,189 ถ้าดูจิตไม่ได้จะทำสมถะโดยคิดถึงพระพุทธเจ้า 733 00:48:48,189 --> 00:48:52,577 และครูบาอาจารย์พร้อมกับรู้สึกถึงร่างกาย 734 00:48:52,577 --> 00:48:57,661 ในชีวิตประจำวันเจริญสติโดยการรู้สึกกาย 735 00:48:57,661 --> 00:49:00,443 บางครั้งรู้ใจที่หลงไป 736 00:49:00,443 --> 00:49:03,394 ถ้าอยู่กับผู้อื่นจะหลงไปกับโลก 737 00:49:03,394 --> 00:49:05,746 นานๆ จะรู้สึกตัว 738 00:49:05,746 --> 00:49:08,060 ที่ปฏิบัติอยู่นี้ถูกต้องไหมคะ 739 00:49:08,060 --> 00:49:12,097 ถูก แล้วเรารู้ว่าตรงไหน เป็นจุดอ่อนเราก็เลี่ยงเสีย 740 00:49:12,097 --> 00:49:15,815 ยุ่งกับโลกน้อยๆ ยุ่งกับคนอื่นน้อยๆ 741 00:49:15,815 --> 00:49:18,481 ใช้ได้ ภาวนาไป 742 00:49:18,481 --> 00:49:20,842 เบอร์ 2 743 00:49:20,842 --> 00:49:24,797 เบอร์ 1 ตรงนี้จิตไม่เข้าฐาน ดูออกไหม 744 00:49:24,797 --> 00:49:28,039 จิตอยู่ข้างนอกนิดหนึ่ง 745 00:49:28,039 --> 00:49:30,070 อย่าดึงๆ 746 00:49:30,070 --> 00:49:33,536 หลวงพ่อบอกไว้เฉยๆ ไม่ต้องดึงจิตเข้ามา 747 00:49:33,536 --> 00:49:38,304 หายใจสิ หายใจสบายๆ 748 00:49:38,304 --> 00:49:47,231 เก่งๆ หายใจไป 749 00:49:47,231 --> 00:49:51,451 รู้สึกไหมตรงนี้กับเมื่อกี้ไม่เหมือนกัน 750 00:49:51,451 --> 00:49:55,148 เมื่อกี้จิตไม่ตั้งมั่นไม่ถึงฐาน 751 00:49:55,148 --> 00:49:59,675 จำตัวนี้ได้ก็โอเค แต่ว่าตรงนี้จงใจทำไม่ได้ 752 00:49:59,675 --> 00:50:03,216 พอเรารู้ว่าจิตเราไม่เข้าฐาน เราก็ทำกรรมฐานของเราไป 753 00:50:03,216 --> 00:50:05,567 เดี๋ยวมันก็เข้าเองล่ะ 754 00:50:05,567 --> 00:50:10,743 แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าจิตเราไม่ เข้าฐานทำอย่างไรมันก็ไม่เข้า 755 00:50:10,743 --> 00:50:15,142 เบอร์ 2 756 00:50:15,142 --> 00:50:17,794 ในรูปแบบทำทุกวัน 757 00:50:17,794 --> 00:50:21,843 เดินรู้สึกตัว ดูจิตหลงคิด รู้ 758 00:50:21,843 --> 00:50:26,719 นั่งสมาธิ ดูจิตหลง รู้ เพ่ง รู้ 759 00:50:26,719 --> 00:50:29,301 หลังๆ หลงบ่อยกว่าเพ่ง 760 00:50:29,301 --> 00:50:33,114 บางครั้งเห็นเหมือน เราดูการนั่งสมาธินั้นอยู่ 761 00:50:33,114 --> 00:50:37,684 จิตทำงานเอง จนจิตสงบแต่ไม่นิ่งเฉย 762 00:50:37,684 --> 00:50:39,891 บางครั้งก็มีเคลิ้มไปบ้าง 763 00:50:39,891 --> 00:50:42,074 ขอหลวงพ่อตรวจการบ้านค่ะ 764 00:50:42,074 --> 00:50:46,974 ใช้ได้ ดี ต้องเพิ่มนั่นนิดหนึ่ง 765 00:50:46,974 --> 00:50:50,225 ทำความสงบเข้ามาเป็นระยะๆ 766 00:50:50,225 --> 00:50:55,131 กำลังสมาธิไม่พอ ใจมันจะฟุ้งง่าย 767 00:50:55,131 --> 00:51:01,512 ทำในรูปแบบแล้วก็ไม่เดินปัญญาตอนนั้น 768 00:51:01,512 --> 00:51:04,530 เช่น พุทโธๆๆ ไป 769 00:51:04,530 --> 00:51:06,799 สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่างทำไปเรื่อยๆ 770 00:51:06,799 --> 00:51:10,344 เดี๋ยวมันสงบเอง แล้วจิตมันจะมีแรง 771 00:51:10,344 --> 00:51:12,793 ของเบอร์ 2 จิตมันยังไม่ค่อยมีแรง 772 00:51:12,793 --> 00:51:15,575 ที่ดูที่อะไรดูถูกแล้วล่ะ 773 00:51:15,575 --> 00:51:18,575 แต่มันดูด้วยจิตที่ไม่ค่อยมีแรง 774 00:51:18,575 --> 00:51:24,739 ฉะนั้นเรารู้ตรงนี้เป็นจุดอ่อน เราก็เพิ่มสมาธิขึ้น 775 00:51:24,739 --> 00:51:29,240 เบอร์ 3 776 00:51:29,240 --> 00:51:31,741 ทำในรูปแบบสม่ำเสมอ 777 00:51:31,741 --> 00:51:34,758 เมื่อก่อนคาดหวังจากการปฏิบัติ 778 00:51:34,758 --> 00:51:37,090 เดี๋ยวนี้คาดหวังน้อยลง 779 00:51:37,090 --> 00:51:39,740 เข้าใจความยึดมากขึ้น 780 00:51:39,740 --> 00:51:42,740 เห็นจิตใจทำงานได้เองบ่อยขึ้น 781 00:51:42,740 --> 00:51:46,223 รู้เผลอ รู้หลงมากกว่าเดิม 782 00:51:46,223 --> 00:51:51,106 โดยรวมมั่นใจในการปฏิบัติ มีความเห็นถูกขึ้น 783 00:51:51,106 --> 00:51:53,473 ตัวเราไม่มีอยู่จริง 784 00:51:53,473 --> 00:51:56,756 ชีวิตประจำวันอยู่กับอิริยาบถ 4 785 00:51:56,756 --> 00:52:00,248 เดิน ยืน นั่ง นอน คอยรู้สึก 786 00:52:00,248 --> 00:52:03,533 ทำไปเรื่อยๆ ไม่ท้อไม่เลิก 787 00:52:03,533 --> 00:52:05,531 ขอหลวงปู่ชี้แนะค่ะ 788 00:52:05,531 --> 00:52:07,807 ดี ที่ทำอยู่ใช้ได้ 789 00:52:07,807 --> 00:52:13,006 แต่ปัญหาใหญ่ของนักปฏิบัติ ก็คือสมาธิมันไม่ค่อยพอกัน 790 00:52:13,006 --> 00:52:16,539 ของโยมสมาธิเยอะ เบอร์ 3 791 00:52:16,539 --> 00:52:19,972 แต่มันไม่เข้าที่มันไม่เข้าฐาน 792 00:52:19,972 --> 00:52:23,789 ขณะนี้จิตยังอยู่ข้างนอกรู้สึกไหม 793 00:52:23,789 --> 00:52:27,645 มองเห็นไหมว่า จิตมันไม่เข้ามาไม่เข้าหาตัวเอง 794 00:52:27,645 --> 00:52:31,905 ไม่โอปนยิโกน้อมเข้ามา น้อมเข้ามา 795 00:52:31,905 --> 00:52:36,790 สังเกตลงไปในร่างกายนี้ รู้สึกลงไปในร่างกายบ่อยๆ 796 00:52:36,790 --> 00:52:40,884 เห็นแต่ความเป็นปฏิกูล อสุภะ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา 797 00:52:40,884 --> 00:52:44,345 ดูบ่อยๆ ดูอย่างนี้บ่อยๆ 798 00:52:44,345 --> 00:52:49,392 เบอร์ 4 799 00:52:49,392 --> 00:52:51,314 ภาวนาในรูปแบบ 800 00:52:51,314 --> 00:52:54,899 ดูการเคลื่อนไหวของร่างกายทุกวันเป็นหลัก 801 00:52:54,899 --> 00:53:00,729 ในชีวิตประจำวันดูร่างกาย เคลื่อนไหวสลับกับลมหายใจเข้าออก 802 00:53:00,729 --> 00:53:03,812 มีความคิดแทรกตอนที่ภาวนา 803 00:53:03,812 --> 00:53:06,545 ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวในอดีต 804 00:53:06,545 --> 00:53:09,470 พยายามไม่สนใจความคิดเหล่านั้น 805 00:53:09,470 --> 00:53:13,147 และกลับมาดูที่อาการเคลื่อนไหวทางกายแทน 806 00:53:13,147 --> 00:53:15,364 ตอนนี้ทำถูกหรือไม่คะ 807 00:53:15,364 --> 00:53:19,940 ทำถูก แต่ตั้งใจมากไปหน่อย 808 00:53:19,940 --> 00:53:26,858 ตั้งใจใจจะเครียด จะแน่นๆ จะหนักๆ 809 00:53:26,858 --> 00:53:32,246 ถ้าภาวนาแล้วมันหนักมันแน่น แสดงว่าเราจงใจเยอะไป 810 00:53:32,246 --> 00:53:37,041 มันไม่ธรรมดา ตั้งใจเยอะไป 811 00:53:37,041 --> 00:53:43,665 ภาวนาใช้ใจธรรมดาๆ อย่าตั้งใจแรง รู้สึกไป 812 00:53:43,665 --> 00:53:46,377 คิดเยอะ อย่าคิดเยอะ 813 00:53:46,377 --> 00:53:49,773 เห็นไหมร่างกายขยับ 814 00:53:49,773 --> 00:53:53,480 รู้ว่าร่างกายขยับรู้ด้วยจิตธรรมดา 815 00:53:53,480 --> 00:53:55,653 จิตธรรมดาเลย 816 00:53:55,653 --> 00:53:59,737 ตรงนี้ไม่ธรรมดาแล้ว เมื่อกี้ธรรมดา 817 00:53:59,737 --> 00:54:03,821 ตรงนี้จิตหลง หลงคิด 818 00:54:03,821 --> 00:54:05,398 ยิ้มหวาน 819 00:54:05,398 --> 00:54:09,151 เห็นร่างกาย ยิ้มอย่างนี้ไม่เอา ยิ้มจอมปลอม 820 00:54:09,151 --> 00:54:11,915 ยิ้มแต่หน้า 821 00:54:11,915 --> 00:54:17,014 ใจมันแน่นรู้สึกไหม ใจมันยังแน่นอยู่ 822 00:54:17,014 --> 00:54:19,443 ใจที่แน่นเกิดจากอยาก 823 00:54:19,443 --> 00:54:25,271 อยากปฏิบัติ อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ อยากดี 824 00:54:25,271 --> 00:54:29,305 อยากไม่ขาดสติ อยากเจริญ 825 00:54:29,305 --> 00:54:34,027 มีความอยากมาเมื่อไรใจจะแน่นๆ 826 00:54:34,027 --> 00:54:37,440 ใจที่ดีคือใจธรรมดา 827 00:54:37,440 --> 00:54:41,199 จิตธรรมดานั้นประภัสสรผ่องใส 828 00:54:41,199 --> 00:54:44,253 จิตธรรมดานั่นล่ะคือจิตผู้รู้ 829 00:54:44,253 --> 00:54:48,762 แต่พอมีกิเลสมันเลยกลายเป็นจิตผู้หลงไป 830 00:54:48,762 --> 00:54:52,373 เพราะฉะนั้นจิตโดยตัวมันประภัสสรผ่องใส 831 00:54:52,373 --> 00:54:55,426 เศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา 832 00:54:55,426 --> 00:55:00,496 เราไม่ต้องทำอะไร รู้ทันกิเลสที่จรมาก็แล้วกัน 833 00:55:00,496 --> 00:55:04,902 อย่างอยากปฏิบัติ รู้ทันว่าอยาก 834 00:55:04,902 --> 00:55:09,136 รู้ว่าอยากปฏิบัติ ความอยากปฏิบัติดับแล้ว 835 00:55:09,136 --> 00:55:13,982 ทำอย่างไร ก็ปฏิบัติไปด้วยใจที่ไม่ต้องอยาก 836 00:55:13,982 --> 00:55:19,494 ให้เป็นธรรมดาอย่างนี้ 837 00:55:25,704 --> 00:55:30,234 เบอร์ 4 ตึงไป 838 00:55:30,234 --> 00:55:43,500 รู้สึกไหม มันจงใจมากไป ตั้งใจแรงไป 839 00:55:43,500 --> 00:55:46,571 เบอร์ 4 คอยเคลื่อนไหวกระดุกกระดิก 840 00:55:46,571 --> 00:55:48,821 แล้วก็เห็นร่างกายเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ 841 00:55:48,821 --> 00:55:50,714 ไม่ต้องแกล้งทำ 842 00:55:50,714 --> 00:55:52,856 เราเคลื่อนไหวอยู่แล้วโดยธรรมชาติ 843 00:55:52,856 --> 00:55:56,185 เราหายใจร่างกายมันก็เคลื่อนไหว 844 00:55:56,185 --> 00:55:59,624 เคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติธรรมดา 845 00:55:59,624 --> 00:56:02,450 มีหน้าที่ใช้ร่างกายทำอะไรก็ทำไป 846 00:56:02,450 --> 00:56:05,780 แต่มีสติรู้ไปเรื่อยๆ 847 00:56:05,780 --> 00:56:09,199 ไม่ไปเพ่งเอาไว้ให้นิ่งๆ 848 00:56:09,199 --> 00:56:13,676 เบอร์ 5 849 00:56:13,676 --> 00:56:15,190 เห็นการเกิด 850 00:56:15,190 --> 00:56:19,265 แต่ไม่เห็นการดับของความโลภและความโกรธ 851 00:56:19,265 --> 00:56:24,646 เมื่อปวดกายก็ฝึกแยกใจกับ กายความปวดออกจากกัน 852 00:56:24,646 --> 00:56:28,115 โดยมีใจเห็นความปวดแทรกอยู่ในกาย 853 00:56:28,115 --> 00:56:30,215 อยากเดินปัญญาเป็น 854 00:56:30,215 --> 00:56:34,787 แต่ไม่รู้ว่าจิตตั้งมั่นมากพอ และพร้อมที่จะเดินปัญญาไหมคะ 855 00:56:55,193 --> 00:57:00,934 ภาวนาได้ดี จิตตั้งมั่น 856 00:57:00,934 --> 00:57:07,993 เดินปัญญาได้แต่จิตมันไม่ค่อยชอบเดินปัญญา 857 00:57:07,993 --> 00:57:10,973 ชอบเฉยๆ มากกว่า 858 00:57:10,973 --> 00:57:15,846 พอเวลาภาวนาพอจิตตั้งมั่นแล้ว 859 00:57:15,846 --> 00:57:22,989 มันกลัวจิตตั้งมั่นจะหายไปพยายามรักษาเอาไว้ 860 00:57:22,989 --> 00:57:26,484 เวลาจิตตั้งมั่นแล้ว เบอร์ 5 861 00:57:26,484 --> 00:57:30,504 พิจารณาเข้าไปในร่างกายเลย 862 00:57:30,504 --> 00:57:31,615 พิจารณาเข้าไปเลย 863 00:57:31,615 --> 00:57:35,830 หัวกะโหลกเราเป็นอย่างนี้ มีตาโบ๋ๆ อย่างนี้ 864 00:57:35,830 --> 00:57:41,577 มีปากงับๆๆ ได้ ข้างล่างนะ ข้างบนไม่เป็นอย่างนี้ 865 00:57:41,577 --> 00:57:48,857 ขากรรไกรอย่างนี้ ดูไปเรื่อยๆ ในร่างกาย 866 00:57:48,857 --> 00:57:52,171 พิจารณาลงไปให้ถึงกระดูกเลย 867 00:57:52,171 --> 00:57:55,565 เห็นกระดูก กระดูกมันหมุนแล้ว 868 00:57:55,565 --> 00:57:59,301 กระดูกตัวนี้หมุน 869 00:57:59,301 --> 00:58:02,527 คอยรู้สึกอย่างนี้ รู้สึกบ่อยๆ 870 00:58:02,527 --> 00:58:12,066 ดีไม่ใช่ไม่ดี 871 00:58:12,066 --> 00:58:15,706 เก่ง เบอร์ 5 ใช้ได้ 872 00:58:15,706 --> 00:58:18,743 แต่ว่าเดินปัญญาดูเข้าไปในกายเลย 873 00:58:18,743 --> 00:58:23,446 ดูเข้าไปเลย ดูเข้าไปที่กระดูกเลยก็ได้ 874 00:58:23,446 --> 00:58:26,422 เห็นไหมกระดูกมันเคลื่อน 875 00:58:26,422 --> 00:58:30,464 กระดูกมันขยับ เวลาปาก 876 00:58:30,464 --> 00:58:36,208 เวลากินข้าวเราขยับขากรรไกรบนหรือขากรรไกรล่าง 877 00:58:36,208 --> 00:58:39,056 ขยับอย่างนี้ เราก็รู้ 878 00:58:39,056 --> 00:58:40,639 บางคนไม่รู้ 879 00:58:40,639 --> 00:58:44,381 คิดว่าขยับข้างบน คิดว่าตัวนี้ขยับ 880 00:58:44,381 --> 00:58:49,018 วิธีพิสูจน์ง่ายๆ เอาคางไปเกยโต๊ะไว้ 881 00:58:49,018 --> 00:58:53,715 แล้วจะพูดไม่ได้ 882 00:58:53,715 --> 00:58:57,655 ดูเข้าไปถึงกระดูกดูเข้าไป 883 00:58:57,655 --> 00:59:02,447 เบอร์ 6 884 00:59:02,447 --> 00:59:04,366 รักษาศีล 5 885 00:59:04,366 --> 00:59:09,808 ภาวนาในรูปแบบด้วยการสวดมนต์ ทำวัตรเช้าเย็นทุกวัน 886 00:59:09,808 --> 00:59:11,842 เพิ่งหยุดทำงานประจำ 887 00:59:11,842 --> 00:59:15,193 จึงใช้เวลาศึกษาในเรื่องขันธ์ 5 888 00:59:15,193 --> 00:59:18,008 ทุกข์ และการเดินอริยสัจ 889 00:59:18,008 --> 00:59:22,642 ใช้โยนิโสมนสิการในการพิจารณากายใจ 890 00:59:22,642 --> 00:59:26,357 เห็นทุกข์และกิเลสได้ละเอียดขึ้น 891 00:59:26,357 --> 00:59:29,021 รู้ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง 892 00:59:29,021 --> 00:59:32,907 เห็นขันธ์แยกขณะผ่ารากฟันเทียม 893 00:59:32,907 --> 00:59:35,124 เลยเข้าใจที่หลวงพ่อสอนว่า 894 00:59:35,124 --> 00:59:37,690 แยกขันธ์แล้วให้ดูไตรลักษณ์ 895 00:59:37,690 --> 00:59:39,623 เห็นถูกต้องไหมคะ 896 00:59:39,623 --> 00:59:46,306 ถูก ดี 897 00:59:46,306 --> 00:59:48,804 จุดอ่อนยังมีนิดหนึ่ง 898 00:59:48,804 --> 00:59:55,491 เราอย่าคิด ความคิดมันล้ำไป ปัญญามันล้ำไป 899 00:59:55,491 --> 01:00:00,009 ตามรู้ตามเห็นสภาวะไปเรื่อยๆ 900 01:00:00,009 --> 01:00:02,441 ไม่อย่างนั้นมันล้ำหน้าไป 901 01:00:02,441 --> 01:00:07,787 คอยคิดแต่เรื่องไตรลักษณ์ไปเรื่อยๆ 902 01:00:07,787 --> 01:00:13,790 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องสมดุลกัน 903 01:00:13,790 --> 01:00:19,739 ถ้าปัญญาล้ำหน้าไป สมาธิไม่พอ ใจมันจะฟุ้ง 904 01:00:19,739 --> 01:00:25,141 เบอร์ 6 สังเกตไหมใจมันยังฟุ้งเล็กๆ อยู่ 905 01:00:25,141 --> 01:00:31,421 เพราะฉะนั้นอย่าทิ้งการทำความสงบ ต้องทำ 906 01:00:31,421 --> 01:00:35,920 เดินปัญญามากไป จิตจะฟุ้งซ่าน 907 01:00:35,920 --> 01:00:38,257 เป็นคนปัญญาเยอะ 908 01:00:38,257 --> 01:00:43,154 พวกปัญญาเยอะมีจุดอ่อนสมาธิคือไม่ค่อยพอ 909 01:00:43,154 --> 01:00:45,319 ไปทำสมาธิเพิ่มขึ้น 910 01:00:45,319 --> 01:00:49,011 ทำความสงบให้จิตอยู่กับเนื้อกับตัว 911 01:00:49,011 --> 01:00:50,713 สงบ พักผ่อน 912 01:00:50,713 --> 01:00:55,230 จิตมีกำลังแล้วค่อยถอยออกมาเดินปัญญาต่อ 913 01:00:55,230 --> 01:00:57,893 ไม่น่าห่วงเรื่องเดินปัญญา 914 01:00:57,893 --> 01:01:01,145 จิตมันเดินปัญญาเก่ง 915 01:01:01,145 --> 01:01:06,025 เบอร์ 7 916 01:01:06,025 --> 01:01:13,224 ปฏิบัติในรูปแบบทุกวันโดยทำ อานาปานสติอย่างน้อย 30 นาที 917 01:01:13,224 --> 01:01:17,723 ระหว่างวันเฝ้ารู้เวทนาที่เกิดขึ้นในร่างกาย 918 01:01:17,723 --> 01:01:21,906 เห็นทุกข์มากขึ้นและมักหลงคิดบ่อยๆ 919 01:01:21,906 --> 01:01:26,140 บางครั้งก็หลงคิดไปนานแล้วถึงจะรู้สึกตัว 920 01:01:26,140 --> 01:01:31,679 ขอหลวงปู่ช่วยแนะนำ วิธีการปฏิบัติที่เหมาะกับจริตค่ะ 921 01:01:31,679 --> 01:01:34,330 จิตมันชอบคิด 922 01:01:34,330 --> 01:01:39,899 ถ้าจิตมันชอบคิดเราจะไปฝืน บอกมันอย่าคิดมันไม่เชื่อ 923 01:01:39,899 --> 01:01:42,097 พามันคิดไปเลยคิดอะไรก็ได้ 924 01:01:42,097 --> 01:01:44,359 คิดเรื่องโลกๆ ก็ยังได้เลย 925 01:01:44,359 --> 01:01:48,055 แต่คิดแล้วต้องลงไตรลักษณ์ให้ได้ 926 01:01:48,055 --> 01:01:51,748 อย่างเราคิดถึงอะไรสวยๆ งามๆ 927 01:01:51,748 --> 01:01:56,822 คิดว่าเราไปเดินสวนสาธารณะดูดอกไม้งาม 928 01:01:56,822 --> 01:01:59,930 ดูทุ่งทานตะวัน ดูอะไรอย่างนี้ 929 01:01:59,930 --> 01:02:02,533 ดูไปแหมใจมีความสุข 930 01:02:02,533 --> 01:02:07,015 แล้วลงท้าย ดอกไม้มันเหี่ยวลงไป 931 01:02:07,015 --> 01:02:10,898 มันก็ไม่ยั่งยืน ของสวยของงามอะไรอย่างนี้ 932 01:02:10,898 --> 01:02:12,866 ฉะนั้นคิดอะไรก็ได้ 933 01:02:12,866 --> 01:02:15,998 แต่ให้ลงไตรลักษณ์ให้ได้ 934 01:02:15,998 --> 01:02:19,348 ลองไปทำดู เพราะจิตมันชอบคิด 935 01:02:19,348 --> 01:02:24,385 จิตมันชอบคิดไปฝืนไม่ให้คิดมันทำไม่ได้หรอก 936 01:02:24,385 --> 01:02:27,126 ส่วนที่กรรมฐานทำอยู่แล้ว 937 01:02:27,126 --> 01:02:30,223 ดีอยู่แล้วทำต่อไป 938 01:02:30,223 --> 01:02:34,339 ทำอานาปานสติ ทำอะไรไม่ผิดหรอก ทำไปเถอะ 939 01:02:34,339 --> 01:02:37,640 แต่เวลาช่วงไหนที่จิตมันฟุ้งซ่านมากๆ 940 01:02:37,640 --> 01:02:40,557 พามันคิดแล้วลงไตรลักษณ์ 941 01:02:40,557 --> 01:02:43,728 ถ้าเป็นช่วงปกติก็หายใจไปรู้สึกไป 942 01:02:43,728 --> 01:02:49,462 อย่างที่ทำอยู่ถูกแล้ว 943 01:02:49,462 --> 01:02:53,377 แยกออกไหม หมายถึงเวลาปกติก็ทำอย่างที่ทำนี้ 944 01:02:53,377 --> 01:02:56,236 แต่ช่วงไหนที่ใจมันฟุ้งมาก 945 01:02:56,236 --> 01:02:58,489 คิดพิจารณาลงไปเลย 946 01:02:58,489 --> 01:03:03,685 คิดอะไรก็ได้แล้วลงไตรลักษณ์ให้ได้ก็แล้วกัน 947 01:03:03,685 --> 01:03:08,026 เบอร์ 8 948 01:03:08,026 --> 01:03:12,510 เดินจงกรมวันละ 1.30 - 2 ชั่วโมง 949 01:03:12,510 --> 01:03:15,877 ระหว่างวันดูกายและจิตทำงาน 950 01:03:15,877 --> 01:03:20,211 ถ้าฟุ้งซ่านจะบริกรรมระลึกถึงพระรัตนตรัย 951 01:03:20,211 --> 01:03:23,178 หลวงพ่อให้ดูความเป็นอนัตตา 952 01:03:23,178 --> 01:03:26,293 คิดว่าพอจะเห็นว่ากายไม่ใช่เรา 953 01:03:26,293 --> 01:03:28,852 แต่จิตยังคงเป็นเราอยู่ 954 01:03:28,852 --> 01:03:32,301 เวลานั่งจะเพ่งมากเลยต้องเดิน 955 01:03:32,301 --> 01:03:35,180 หรือใช้การพิจารณากายเคลื่อนไหว 956 01:03:35,180 --> 01:03:36,955 แล้วรู้สึกตัวแทน 957 01:03:36,955 --> 01:03:40,771 ไม่แน่ใจว่าดูความเป็นอนัตตาได้จริงไหมคะ 958 01:03:40,771 --> 01:03:43,556 จริง ไปดูอีก ทำไป 959 01:03:43,556 --> 01:03:49,344 ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึกไป ดี ที่ทำอยู่ 960 01:03:49,344 --> 01:03:52,194 ไปทำต่อทำอีก 961 01:03:52,194 --> 01:03:59,153 เบอร์ 7 อย่างนี้จงใจเยอะไปแล้วเบอร์ 7 962 01:03:59,153 --> 01:04:01,453 คิดเอาเป็นเอาตาย 963 01:04:01,453 --> 01:04:04,652 ใจมันไม่สบาย จะไม่ได้สมาธิ 964 01:04:04,652 --> 01:04:07,835 คิดที่มันไม่รุนแรงนัก 965 01:04:07,835 --> 01:04:11,892 คิดๆๆ ไป อันนี้เป็นอุบาย 966 01:04:11,892 --> 01:04:18,446 เป็นอุบายในการแก้เรื่อง จิตมันช่างคิดไม่ยอมหยุด 967 01:04:18,446 --> 01:04:19,859 มันคิดไม่ยอมหยุด 968 01:04:19,859 --> 01:04:21,921 ไปห้ามมันไม่ได้ก็พามันคิดไป 969 01:04:21,921 --> 01:04:24,795 แล้วลงไตรลักษณ์ให้ได้ เดี๋ยวมันหยุดเองล่ะ 970 01:04:24,795 --> 01:04:29,913 แต่ถ้าตอนไหนมันไม่ได้ ฟุ้งซ่านไม่ต้องไปคิดเยอะ รู้สึกไป 971 01:04:29,913 --> 01:04:31,597 เดี๋ยวสับสน 972 01:04:31,597 --> 01:04:34,779 ภาวนาอยู่ดีๆ บอกหลวงพ่อให้ไปนั่งคิด 973 01:04:34,779 --> 01:04:36,530 เละเลย เสีย 974 01:04:36,530 --> 01:04:41,328 แล้วมาโทษหลวงพ่อสอนยังอย่างไร ฟุ้งไปเลย 975 01:04:41,328 --> 01:04:49,403 แค่อุบายไว้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เวลามันคิดหนักๆ คิดไม่เลิก 976 01:04:49,403 --> 01:04:53,231 วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ 977 01:05:00,731 --> 01:05:02,579 เชิญ