9:59:59.000,9:59:59.000 วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ดูแปลก ดูสงบผิดปกติ 9:59:59.000,9:59:59.000 ธรรมดามาฟังเทศน์วันเสาร์จะวอกแวกๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 เตรียมจะไปเที่ยวต่อ 9:59:59.000,9:59:59.000 พยายามศึกษาธรรมะเอาไว้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูพระไตรปิฎกได้ก็ดู 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูฉบับเต็มไม่ได้ดูฉบับย่อก็ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน 9:59:59.000,9:59:59.000 ของ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นเบื้องต้น 9:59:59.000,9:59:59.000 สนใจรายละเอียดตรงไหนก็ไปอ่านฉบับเต็มเอา 9:59:59.000,9:59:59.000 ก่อนหลวงพ่อจะเจอหลวงปู่ดูลย์ 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงพ่อพยายามแสวงหาหนทางปฏิบัติ 9:59:59.000,9:59:59.000 ตั้งแต่เด็กๆ ทำแต่สมาธิ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำอานาปานสติสงบเฉยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดว่าศาสนาพุทธมีอะไรมากกว่าความสงบ 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็พยายามช่วยตัวเอง[br]ตอนนั้นไม่มีครูบาอาจารย์ 9:59:59.000,9:59:59.000 ยังทำงานอยู่ 9:59:59.000,9:59:59.000 อ่านพระไตรปิฎก อ่านหลายรอบ 9:59:59.000,9:59:59.000 ได้เห็นธรรมะดีๆ มากมายในพระไตรปิฎก 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ว่าเราไม่รู้จะตั้งต้นอย่างไร 9:59:59.000,9:59:59.000 หลักของการปฏิบัติมีมากมายเหลือเกิน 9:59:59.000,9:59:59.000 ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จนมาเจอหลวงปู่ดูลย์ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านสอนให้หลวงพ่ออ่านจิตตัวเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 พื้นฐานเราเคยอ่านตำรับตำรา มา 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงปู่ดูลย์ท่านก็บอกว่า 9:59:59.000,9:59:59.000 “อ่านหนังสือมามากแล้ว[br]ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง” 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านทราบว่าอ่านมามาก 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วท่านก็แนะนำให้อ่านจิตตนเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็พยายามมาอ่านจิตตัวเองมาเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทีแรกอ่านไม่เป็นก็ไปแทรกแซงจิต 9:59:59.000,9:59:59.000 ไปฝึกจิตให้ว่างๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ยังติดคำว่าว่างอยู่ 9:59:59.000,9:59:59.000 อ่านหนังสือท่านอาจารย์พุทธทาส 9:59:59.000,9:59:59.000 มีคำว่า ว่างๆ เยอะ 9:59:59.000,9:59:59.000 อ่านหนังสือเซนก็มีแต่คำว่าว่างเยอะแยะเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 เลยไปทำจิตว่างๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไปเจอหลวงปู่ดูลย์ [br]ทำอยู่ 3 เดือนแล้วขึ้นไปกราบท่านอีกที 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านบอกทำผิดแล้วล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ให้ไปอ่านจิตไม่ได้ให้ไปแต่งจิต 9:59:59.000,9:59:59.000 ให้มันนิ่งๆ ว่างๆ นี้เป็นการปรุงแต่งเอาเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ให้อ่านเอาท่านบอกอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงพ่อก็มาเริ่มอ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 เวลาเราอ่านหนังสือ คิดถึงการอ่านหนังสือ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราไม่ใช่นักประพันธ์เราไม่ใช่คนแต่งหนังสือ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราเป็นแค่คนอ่าน เราไม่ใช่นักวิจารณ์ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราเป็นแค่คนอ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะฉะนั้นเวลาจะอ่านจิตตัวเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็อ่านเหมือนเราอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือดูเหมือนดูละคร 9:59:59.000,9:59:59.000 เวลาเราดูละครเราไม่ใช่คนแต่งบทละคร 9:59:59.000,9:59:59.000 เราไม่ใช่ผู้กำกับ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราไม่ใช่นักวิจารณ์ เราเป็นแค่คนดู 9:59:59.000,9:59:59.000 กว่าจะจับเคล็ดคำว่า “ดู” ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 คำว่า “เห็นตามความเป็นจริง” ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ใช้เวลาเหมือนกัน ทำผิดอยู่ 3 เดือน 9:59:59.000,9:59:59.000 พยายามไปปรุงแต่งจิตเป็น[br]นักประพันธ์แต่งให้จิตมันดี 9:59:59.000,9:59:59.000 เวลามันไม่ดีเราก็เป็น[br]นักวิจารณ์บอกตอนนี้มันไม่ดี 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ใช่นักดู ไม่ใช่นักอ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 พอมาอ่านทำอย่างไร ก็ดูไป 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตใจของเราแต่ละวันไม่เคยเหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 บางวันจิตใจเรามีความสุข 9:59:59.000,9:59:59.000 บางวันจิตใจเรามีความทุกข์ 9:59:59.000,9:59:59.000 บางวันจิตเราเป็นกุศลเยอะ 9:59:59.000,9:59:59.000 บางวันเป็นอกุศลเยอะ 9:59:59.000,9:59:59.000 บางวันสงบ บางวันฟุ้งซ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 ภาวนาแล้วเห็นแต่ละวัน[br]จิตเราไม่เคยเหมือนกันเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 เราก็ภาวนาไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ 9:59:59.000,9:59:59.000 เดินจงกรมเหมือนกันทุกวัน 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่จิตเราไม่เหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นแต่ละวันไม่เหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างหลวงพ่อเวลาอยู่ที่บ้าน 9:59:59.000,9:59:59.000 จะไหว้พระสวดมนต์แล้วก็นั่งสมาธิ ไม่ได้เดิน 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะบ้านเป็นบ้านโบราณบ้านไม้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เวลาเดินแล้วมันร้องเอี๊ยดๆ หนวกหูคนอื่นเขา 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่เวลาออกมาจากบ้าน ทุกก้าวที่เดิน 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้สึกไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ตามรู้ตามเห็นไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 พอมาอ่านเราก็จะเห็นเลย[br]แต่ละวันจิตเราไม่เหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ทั้งๆ ที่ภาวนาเหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ต่อมาดูได้ละเอียดมากขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ได้ดูเป็นวันๆ หรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูเป็นช่วงเวลา 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนเช้าตอนตื่นนอนจิตใจเราเป็นแบบนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนสายๆ หน่อยเป็นอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนเที่ยงจิตใจเราเป็นอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนบ่ายจิตใจเป็นอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนเย็นๆ จิตใจเป็นอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนค่ำๆ ตอนดึกๆ จิตใจไม่เหมือนกันสักที 9:59:59.000,9:59:59.000 ทั้งๆ ที่เป็นวันเดียวกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ก่อนจะมาเห็นตรงนี้ได้ก็[br]เห็นแต่ละวันไม่เหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 พอภาวนามากเข้าๆ [br]เราเห็นว่าแต่ละห้วงเวลาไม่เหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างตอนเช้าตื่นมา[br]แล้วเช้าแต่ละวันก็ยังไม่เหมือนกันอีก 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างเช้าวันจันทร์ตอนนั้นรับราชการ 9:59:59.000,9:59:59.000 เช้าวันจันทร์เบื่อ ขี้เกียจ 9:59:59.000,9:59:59.000 เช้าวันอังคารก็เบื่อมาก 9:59:59.000,9:59:59.000 เช้าวันพุธชักจะอุเบกขาแล้ว เฉยๆ แล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 เช้าวันพฤหัสเริ่มสดชื่น 9:59:59.000,9:59:59.000 พอเช้าวันศุกร์นี้กระดี๊กระด๊า 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ละวันไม่เหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ทั้งๆ ที่เป็นห้วงเวลาเดียวกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ละวันก็ยังไม่เหมือนกันอีก 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนสายๆ แต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนเที่ยงก็ไม่เหมือนกัน สังเกตไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนเย็นๆ หลวงพ่อสังเกตตัวเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตหลวงพ่อจะมีกำลังมาก 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนเป็นโยมจิตจะมีกำลังมาก 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนสัก 4 โมงเย็นไปแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 คล้ายๆ ทำงานใกล้จะเลิกงานแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตใจเริ่มสดชื่น 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนทำงานก็เครียดไม่ใช่ไม่เครียด 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะงานที่ทำนี้ งานที่เครียดมากๆ เลย 9:59:59.000,9:59:59.000 งานอยู่สภาความมั่นคง 9:59:59.000,9:59:59.000 วันๆ ก็เป็นเรื่องหาข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 9:59:59.000,9:59:59.000 หาทางออกในการแก้ปัญหาแต่ละเรื่อง 9:59:59.000,9:59:59.000 เรื่องปวดหัวทั้งนั้นล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 พอได้เวลาจะเลิกงานใจเริ่มผ่อนคลาย 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นเวลาสังเกตตัวเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนเย็นๆ ตอนเลิกงานจิตจะมีกำลัง 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตจะสดชื่นเกิดสมาธิโดยที่ไม่ต้องนั่งสมาธิ 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นตรงนี้เป็นนาทีทองสำหรับหลวงพ่อ 9:59:59.000,9:59:59.000 พวกเราก็ต้องไปดูตัวเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 เวลาช่วงไหนในแต่ละวัน 9:59:59.000,9:59:59.000 เป็นช่วงที่สติของเราดีสมาธิของเราดี 9:59:59.000,9:59:59.000 ช่วงเวลานั้นเป็นเวลานาทีทองของวันนั้น 9:59:59.000,9:59:59.000 เราควรจะสงวนควรจะรักษา[br]ช่วงเวลานี้เอาไว้ภาวนา 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะฉะนั้นหลวงพ่อ[br]พอเลิกงานแล้วไม่ทำอะไรหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 กลับบ้าน 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่เอานาทีทองตัวนี้ไปทำลายทิ้ง ไปเที่ยว 9:59:59.000,9:59:59.000 คนเขาก็ชวนไปเที่ยว[br]ผับเที่ยวบาร์อะไรอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ไป บอกไม่ชอบ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วจริงๆ ก็คือไม่ชอบไม่ได้โกหก 9:59:59.000,9:59:59.000 เคยหลุดเข้าไปในบาร์หรือในผับอะไรทีหนึ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่มันนรกชัดๆ เลย 9:59:59.000,9:59:59.000 เสียงก็ดัง ไฟก็วูบๆ วาบๆ คนก็หลง 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วก็ดื่มน้ำทองแดงกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 เข้าไปเห็นครั้งเดียวเข็ดเลย หนีตลอด ไม่ยอม 9:59:59.000,9:59:59.000 ใครชวนอย่างไรก็ไม่ไป 9:59:59.000,9:59:59.000 เรื่องอะไรอยู่ดีๆ[br]เป็นมนุษย์ดีๆ ไปตกนรกเล่น 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นพอเลิกงานตกเย็นตกค่ำ 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงพ่อภาวนา 9:59:59.000,9:59:59.000 ขึ้นรถเมล์กลับบ้านก็ภาวนา 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนเช้าขึ้นรถเมล์ไปทำงานก็ภาวนา 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนจะกินข้าวก็ภาวน 9:59:59.000,9:59:59.000 า ภาวนาไม่ใช่ไปนั่งพุทโธๆ อะไรหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 มีสติอ่านจิตใจตัวเองไปไม่หยุด 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตใจเรามีความสุขก็รู้ จิตใจเราทุกข์ก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตสงบก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ฝึกไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ต่อมาสติแข็งแรงมากขึ้นๆ สมาธิดีขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 คราวนี้ไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง[br]ของจิตตามห้วงเวลาแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าอ่อนที่สุดก็เห็นว่าแต่ละวันไม่เหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าพัฒนาขึ้นมาแล้วเห็นว่า[br]แต่ละเวลาไม่เหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 พอสติเราเร็วจริงๆ สมาธิเราดีจริงๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราจะเห็นว่าแต่ละขณะไม่เหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างตอนเช้านี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเราเปลี่ยนไป[br]ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 แค่ช่วงเช้าแป๊บเดียวนั้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ค่อยๆ สังเกตเอา 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างออกจากบ้านหรืออยู่ในบ้าน 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนเช้าจะไปทำงาน 9:59:59.000,9:59:59.000 พยายามจะขับถ่ายกลัวไปปวดท้องกลางทาง 9:59:59.000,9:59:59.000 วันนี้ขับถ่ายสะดวก 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตใจสบายรู้สึกผ่อนคลาย 9:59:59.000,9:59:59.000 วันนี้ท้องผูกไม่ยอมถ่ายกลุ้มใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ได้รู้แค่ว่าถ่ายได้ไม่ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้เข้ามาถึงจิตถึงใจเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตใจยินดีพอใจหรือจิตใจกลุ้มใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่คือการปฏิบัติ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าปฏิบัติเก่งเฉพาะตอนนั่งสมาธิ[br]เดินจงกรมถือว่ายังอ่อนหัดมากเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องฝึกให้ได้ มีสติอยู่ทุกขณะ 9:59:59.000,9:59:59.000 คำว่า “ทุกขณะ” ไม่ถึงขณะตามตำราอภิธรรม 9:59:59.000,9:59:59.000 ตำราอภิธรรมบอกว่าลัดนิ้วมือหนึ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเกิดดับแสนโกฏิขณะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ลัดนิ้วมือ ดีดนิ้วทีหนึ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเกิดดับแสนโกฏิขณะ อันนั้นตำรา 9:59:59.000,9:59:59.000 ทางวิทยาศาสตร์ก็พบว่า 9:59:59.000,9:59:59.000 มันมีช่วงเวลากว่าที่จิตจะ[br]ขึ้นมารับอารมณ์แต่ละครั้ง 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วรู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร ใช้เวลา 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ไม่ถึงวินาทีผุดความรู้สึกขึ้นมาแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 เราก็ดูจากความเป็นจริงที่เราเห็น 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ได้ดูจากตำรา 9:59:59.000,9:59:59.000 ตำราก็อาจจะถูกก็ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่สติเราไม่ละเอียดพอที่จะเห็น 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องตีความอย่างนี้ไว้ก่อน ไม่ใช่ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำได้ไม่เหมือนตำราบอกตำราผิด 9:59:59.000,9:59:59.000 อันนั้นเซลฟ์จัดเกินไปแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 เราดูเท่าที่เราดูได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงพ่อเห็นว่าจิตมันเปลี่ยนอยู่ทุกขณะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ขณะอะไรไม่ใช่ขณะจิตหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 ขณะที่ตาเห็นรูปก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิต 9:59:59.000,9:59:59.000 ขณะที่หูได้ยินเสียง[br]ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิต 9:59:59.000,9:59:59.000 ขณะที่จมูกได้กลิ่น[br]ลิ้นกระทบรสกายกระทบสัมผัส 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิต 9:59:59.000,9:59:59.000 ขณะที่จิตมันคิด 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตมันคิดนึกปรุงแต่งก็เกิดความเปลี่ยนแปลง 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดเรื่องนี้เกิดสุข คิดเรื่องนี้เกิดทุกข์ 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดเรื่องนี้เกิดราคะ คิดเรื่องนี้เกิดโทสะ 9:59:59.000,9:59:59.000 อยู่เฉยๆ จะมีโทสะได้ไหม ไม่ได้หรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องตามหลังความคิดเรียกพยาบาทวิตกมาก่อน 9:59:59.000,9:59:59.000 อยู่ๆ จะเกิดราคารุนแรงอะไรได้ไหม ไม่ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องมีกามวิตกมาก่อน 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วทั้งหมดต้องหลง 9:59:59.000,9:59:59.000 ทีแรกเราไม่เห็นขนาดนั้น 9:59:59.000,9:59:59.000 เราภาวนาเราเห็นว่าจิตเราเปลี่ยนทุกขณะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ขณะที่กระทบอารมณ์นั่นล่ะ ไม่ใช่ขณะจิตหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 ตาเห็นรูป 9:59:59.000,9:59:59.000 ทีแรกบอกเห็นรูปใจก็โกรธขึ้นมาอะไรอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูละเอียดลงไปอีก ไม่ต้องตั้งใจดู 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่เราฝึกสติของเราไปเรื่อยๆ [br]ฝึกสมาธิของเราไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 มันจะเห็นได้ละเอียดๆๆ เข้าไปอีก 9:59:59.000,9:59:59.000 ขณะที่ตาเห็นรูป 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเฉยๆ ขณะที่ตามองเห็น 9:59:59.000,9:59:59.000 จะเกิดสุขเกิดทุกข์[br]เกิดกุศลอกุศลมาเกิดทีหลัง 9:59:59.000,9:59:59.000 พอตาเห็นรูปปุ๊บมันจะมีการแปล 9:59:59.000,9:59:59.000 เราจะเห็นการแปลความหมายของรูป 9:59:59.000,9:59:59.000 รูปนี้คืออะไร 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วอนุสัยความคุ้นเคยมันก็ให้ค่าออกมา 9:59:59.000,9:59:59.000 พอใจรูปนี้สวยงาม เห็นดอกไม้สวย 9:59:59.000,9:59:59.000 ตรงที่ตาเห็นดอกไม้สวยไม่มีคำว่าสวยหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 ตาเห็นรูปเฉยๆ ตาไม่เห็นของสวยหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 ตาเห็นแล้วก็จิตมันแปล[br]ว่านี่ดอกไม้นี่ดอกกุหลาบ 9:59:59.000,9:59:59.000 สวยเชียว ดอกก็โตสวย 9:59:59.000,9:59:59.000 พอมีการให้ค่าขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจก็ยินดีพอใจ ราคะก็เกิด 9:59:59.000,9:59:59.000 ตามหลังความคิดมา ความคิดที่เป็นกามวิตก 9:59:59.000,9:59:59.000 กระบวนการมันจะค่อย[br]ยิ่งภาวนามันยิ่งละเอียดๆๆ เข้าไป 9:59:59.000,9:59:59.000 เราจะรู้เลยว่าขณะที่ตามองเห็นไม่มีกิเลส 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วจิตก็เป็นอุเบกขา 9:59:59.000,9:59:59.000 ขณะหูได้ยินเสียงก็ไม่มีกิเลส 9:59:59.000,9:59:59.000 ขณะที่จมูกได้กลิ่น[br]ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็ยังไม่มีกิเลส 9:59:59.000,9:59:59.000 ตรงที่ใจมันกระทบความคิดแล้วความคิดมันนำไป 9:59:59.000,9:59:59.000 กิเลสมันก็ทำงานขึ้นมาได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 คอยรู้คอยดูค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้ววันหนึ่งก็เข้าใจหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่มีสิ่งใดที่เกิด[br]แล้วสิ่งนั้นไม่ดับ ไม่มีเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 เราภาวนาเรื่อยๆ [br]เราก็เห็นสุขเกิดแล้วสุขก็ดับ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทุกข์เกิดแล้วทุกข์ก็ดับ 9:59:59.000,9:59:59.000 กุศลเกิดแล้วกุศลก็ดับ 9:59:59.000,9:59:59.000 อกุศล โลภ โกรธ หลงเกิดแล้วมันก็ดับ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตที่ไปดูรูปเกิดแล้วก็ดับ ตรงนี้ละเอียด 9:59:59.000,9:59:59.000 ละเอียดกว่าที่จะรู้[br]จิตสุขจิตทุกข์จิตดีจิตชั่ว 9:59:59.000,9:59:59.000 คือเห็นจิตมันเกิดดับทางอายตนะทั้ง 6 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเกิดที่ตาดับที่ตา จิตเกิดที่หูดับที่หู 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเกิดที่จมูกดับที่จมูก[br]เกิดที่ลิ้นดับที่ลิ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 เกิดที่ร่างกายดับที่กาย [br]จิตเกิดที่ใจก็ดับที่ใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั้น[br]จิตไม่ได้มีดวงเดียว 9:59:59.000,9:59:59.000 หัดภาวนาทีแรกเรารู้สึกจิตมีดวงเดียว 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วก็เที่ยวร่อนเร่ไปทางทวารทั้ง 6 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดว่าจิตมีดวงเดียว 9:59:59.000,9:59:59.000 ดวงนี้หลงไปดูพอรู้ทันมันก็วิ่งกลับมา 9:59:59.000,9:59:59.000 มันหลงไปฟังพอรู้ทันมันก็วิ่งกลับมา 9:59:59.000,9:59:59.000 เข้าฐาน เห็นจิตเหมือนตัวแมงมุม 9:59:59.000,9:59:59.000 เดี๋ยวก็วิ่งไปข้างซ้าย[br]เดี๋ยวก็วิ่งไปข้างขวา 9:59:59.000,9:59:59.000 เดี๋ยวขึ้นข้างบนเดี๋ยวลงข้างล่าง 9:59:59.000,9:59:59.000 แมงมุมมีตัวเดียววิ่งไปวิ่งมา 9:59:59.000,9:59:59.000 พอเราภาวนาละเอียดเข้าๆ เราเห็น 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั้น 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเสวยอารมณ์อันไหนก็ดับพร้อมอารมณ์อันนั้น 9:59:59.000,9:59:59.000 เกิดดับไปด้วยกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 มันถี่ยิบขึ้นมา จะเห็น 9:59:59.000,9:59:59.000 ทีแรกเรายังไม่เห็นหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 เราต้องฝึกให้มีจิตที่เป็นผู้รู้ก่อน 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 เป็นมหากุศลจิตประกอบด้วยปัญญา 9:59:59.000,9:59:59.000 เกิดขึ้นโดยไม่ได้จงใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องเป็นจิตชนิดนี้ถึงจะมีกำลังมากพอ 9:59:59.000,9:59:59.000 ที่จะเดินปัญญาได้จริง 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่อย่างนั้นยังเป็นปัญญาพื้นๆ คิดๆ เอา 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ถ้าจะขึ้นวิปัสสนาปัญญา 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตต้องตั้งมั่นอัตโนมัติมีกำลัง 9:59:59.000,9:59:59.000 ของฟรีไม่มีก็ต้องฝึก 9:59:59.000,9:59:59.000 วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่นทำอะไรดี 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำได้ 2 วิธี หนึ่ง[br]ฝึกเข้าฌานที่ประกอบด้วยสติ 9:59:59.000,9:59:59.000 อันที่สอง อาศัยสัมมาสติ[br]หรือสติระลึกรู้รูปนามกายใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 พอสติเราระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม 9:59:59.000,9:59:59.000 ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตที่ตั้งมั่นก็จะเกิดขึ้นเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะฉะนั้นเจริญสัมมาสติให้มาก[br]แล้วสัมมาสมาธิจะเกิดร่วมด้วย 9:59:59.000,9:59:59.000 เกิดด้วยกันกับสัมมาสติ 9:59:59.000,9:59:59.000 ขาดสตินี่ 9:59:59.000,9:59:59.000 สัมมาสัมมาทั้งหลายหายหมดเลยไม่เหลือเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นต้องฝึกสติให้ดี 9:59:59.000,9:59:59.000 วิธีฝึกสติอยู่ในหลักสูตร[br]ชื่อการเจริญสติปัฏฐาน 9:59:59.000,9:59:59.000 มี 4 อย่าง กาย เวทนา จิต ธรรม 9:59:59.000,9:59:59.000 ถนัดอันไหนเอาอันนั้น แล้วได้ทุกอัน 9:59:59.000,9:59:59.000 สุดท้ายได้ทั้งหมดล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างเราหัดรู้สึกร่างกาย 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก[br]ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึกไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ต่อมาจิตเราหลงไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายเราขยับปุ๊บเรารู้เลยว่าจิตหลงไปแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 มันก็เข้ามารู้จิตได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 สติปัฏฐาน 4 มันก็[br]เหมือนโต๊ะตัวเดียวกันนี้ล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่มันมี 4 มุม 9:59:59.000,9:59:59.000 แข็งแรงหน่อยก็ยกมุมใด[br]มุมหนึ่งมันก็ขึ้นมาหมดแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ได้หมดล่ะ ไม่ยาก 9:59:59.000,9:59:59.000 ชาวพุทธเราอย่าทิ้งการเจริญสติปัฏฐาน 9:59:59.000,9:59:59.000 ตราบใดที่ยังมีการเจริญสติปัฏฐานอยู่ 9:59:59.000,9:59:59.000 การบรรลุมรรคผลนิพพานยังมีความเป็นไปได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่เจริญสติปัฏฐาน[br]ไม่มีทางบรรลุมรรคผลอะไรหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 วิชาสติปัฏฐานเป็นวิชาที่ดี 9:59:59.000,9:59:59.000 ส่วนวิชาที่จะอยู่กับโลก 9:59:59.000,9:59:59.000 เขาเรียก เดรัจฉานวิชา 9:59:59.000,9:59:59.000 พระพุทธเจ้าไม่ได้ด่าเดรัจฉานวิชา 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่าเข้าใจผิด 9:59:59.000,9:59:59.000 ตัวอย่างเดรัจฉานวิชาคืออะไร 9:59:59.000,9:59:59.000 แพทยศาสตร์นี้เดรัจฉานวิชา 9:59:59.000,9:59:59.000 รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทันตแพทยศาสตร์ นิเทศศาสตร์ 9:59:59.000,9:59:59.000 เดรัจฉานวิชาทั้งนั้นเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 วิชาหมอนวดก็เดรัจฉานวิชา 9:59:59.000,9:59:59.000 คำว่าเดรัจฉานวิชาไม่ได้แปลว่า [br]วิชาของสัตว์เดรัจฉาน 9:59:59.000,9:59:59.000 ดิรัจฉาน ตัวนี้แบบไปทางขวางไปทางนี้ ขวาง 9:59:59.000,9:59:59.000 สัตว์เดรัจฉาน สังเกตไหม 9:59:59.000,9:59:59.000 กระดูกสันหลังมักจะขวาง คือขนานกับโลก 9:59:59.000,9:59:59.000 เดรัจฉานวิชาคือวิชาที่จะอยู่กับโลก 9:59:59.000,9:59:59.000 จำเป็นต้องมีไหม จำเป็น 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าขืนไม่มีเดรัจฉานวิชาทำมาหากินไม่เป็น 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้วิธีเลี้ยงเด็กก็เดรัจฉานวิชา 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้วิธีเลี้ยงเสือ ตอนนี้หมูเด้งจืดแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนนี้มีเสือชื่ออะไร น้องเอวา 9:59:59.000,9:59:59.000 คนเลี้ยงเสือได้เขาก็มีวิชาของเขา 9:59:59.000,9:59:59.000 ให้เราไปเลี้ยง เสือเอาไปกิน 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นเดรัจฉานวิชาไม่ใช่วิชาต่ำต้อย 9:59:59.000,9:59:59.000 เป็นวิชาที่ต้องเอาไว้อยู่กับโลก 9:59:59.000,9:59:59.000 สิ่งที่ตรงข้ามกับเดรัจฉานวิชา[br]คือวิชาทางตั้ง แนวตั้ง 9:59:59.000,9:59:59.000 เดรัจฉานวิชามันแนวขนาน ขนานไปกับโลก 9:59:59.000,9:59:59.000 แนวตั้งคือการปฏิบัติธรรมนั่นล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 พัฒนาไตรสิกขาศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วลงท้ายไปเจริญสติปัฏฐานให้ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ในที่สุดก็จะพ้นโลก 9:59:59.000,9:59:59.000 เหมือนยิงจรวด ยิงจรวดขึ้นไปอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเครื่องบินมันขนานกับโลกมันก็ไปอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไปจากที่หนึ่งของโลกไปอีกที่หนึ่งของโลก 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเป็นทางจิตใจก็คือ[br]จากภพนี้ก็ย้ายไปอีกภพหนึ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็เวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่วิชาโลกุตตระ วิชาแนวตั้ง 9:59:59.000,9:59:59.000 เหมือนจรวดลอยขึ้นไปพ้นจากโลก 9:59:59.000,9:59:59.000 อยู่เหนือโลกก็คือคำว่า โลกุตตระ 9:59:59.000,9:59:59.000 คนยุคนี้ไม่เรียนธรรมะ ก็ 9:59:59.000,9:59:59.000 ชอบวิจารณ์ตัดสินพระบ้าง ตัดสินฆราวาสบ้าง 9:59:59.000,9:59:59.000 ว่าทำไม่ถูกอะไร อย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างวิชาหมอดูเป็นเดรัจฉานวิชา 9:59:59.000,9:59:59.000 พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไร 9:59:59.000,9:59:59.000 ที่ท่านห้ามมีอันเดียว 9:59:59.000,9:59:59.000 ห้ามพระประกอบอาชีพทางเดรัจฉานวิชา 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านห้ามตัวนี้ต่างหากล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านไม่ได้ห้ามฆราวาส อย่ามั่ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าพระไปรักษาโรค 9:59:59.000,9:59:59.000 พระสมัยโบราณจะรักษาโรค 9:59:59.000,9:59:59.000 คนไม่สบายไม่รู้จะไปไหน โรงพยาบาลไม่มี 9:59:59.000,9:59:59.000 หามกันไปหาพระ กระดูกหักให้พระต่อให้ 9:59:59.000,9:59:59.000 พระทำเดรัจฉานวิชาไหม ทำ 9:59:59.000,9:59:59.000 อาบัติไหมไม่อาบัติ 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะไม่ได้เอาไว้ทำมาหากิน 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำเพื่อสงเคราะห์โลก 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่มีความละเอียดรอบคอบไม่เข้าใจ[br]เรื่องธรรมวินัยแล้วชอบตัดสิน 9:59:59.000,9:59:59.000 พระทำอย่างนี้ไม่ถูก [br]อันนี้ก็ไม่ถูก นั่นก็ไม่ถูก 9:59:59.000,9:59:59.000 พระดีๆ ก็คือพระพุทธรูป 9:59:59.000,9:59:59.000 ห้ามกระดุกกระดิกทำอะไรไม่ได้เลย 9:59:59.000,9:59:59.000 พอไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาแล้วก็ 9:59:59.000,9:59:59.000 ชอบมั่วชอบตีความชอบตัดสิน มั่วมาก 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำให้พระธรรมวินัยศาสนาอยู่ยาก อยู่ลำบาก 9:59:59.000,9:59:59.000 ธรรมะจริงๆ สูญหายไป 9:59:59.000,9:59:59.000 สัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นมาแทนที่ 9:59:59.000,9:59:59.000 บางทีพูดแล้วโก้เก๋ดี 9:59:59.000,9:59:59.000 พูดแล้วแหมดูดีจังเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 คนที่พูดแล้วดูดีที่มีชื่อเสียงที่สุดเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 คือเทวทัต 9:59:59.000,9:59:59.000 เทวทัตเป็นคนเสนอพระพุทธเจ้า 9:59:59.000,9:59:59.000 บอกต่อไปนี้พระต้องมักน้อยสันโดษ 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องดำรงชีวิตด้วยอาหารบิณฑบาตเท่านั้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องใช้ผ้าบังสุกุลจีวรเท่านั้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องไม่มีกุฏิไม่มีอะไร 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่สร้างวัดสร้างวาอะไร 9:59:59.000,9:59:59.000 อยู่ตามธรรมชาติธรรมดา 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องกินมังสวิรัติ ฟังแล้วดี 9:59:59.000,9:59:59.000 พวกคนไม่ฉลาดก็เคลิ้ม 9:59:59.000,9:59:59.000 เทวทัตเคร่งครัดกว่าพระพุทธเจ้าอีก 9:59:59.000,9:59:59.000 ส่วนหนึ่งพวกพระก็ยังตามไปเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ตามเทวทัตไปเป็นร้อยๆ เลย 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วต่อมาพระโมคคัลลานะ สารีบุตร 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านไปอธิบายธรรมะให้ฟัง 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนที่ท่านเข้าไปสำนักของเทวทัต 9:59:59.000,9:59:59.000 เทวทัตกำลังเทศน์ให้ลูกศิษย์ฟังอยู่ 9:59:59.000,9:59:59.000 พอเห็นพระโมคคัลลานะ สารีบุตรเข้าไปก็ดีใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 นึกว่าแปรพักตร์จากพระพุทธเจ้า[br]มาเป็นสาวกของเทวทัตแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 เทวทัตก็บอกว่าช่วยเทศน์แทนหน่อย 9:59:59.000,9:59:59.000 เมื่อยแล้วจะไปนอน 9:59:59.000,9:59:59.000 พอตื่นมาลูกศิษย์หายไปหมดแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 มาฟังเทศน์พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้ผิดชอบชั่วดีถอยออกมาเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 เหลือที่ไม่ถอยออกมาไม่มาก 9:59:59.000,9:59:59.000 พวกที่ถอยออกมาก็มาภาวนา 9:59:59.000,9:59:59.000 จำไม่ได้ว่าออกมาแล้วภาวนาแล้วผลเป็นอย่างไร 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่มีเรื่องเล่าอันหนึ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 อันนี้ต้องใช้วิจารณญาณในการฟัง 9:59:59.000,9:59:59.000 สำนวนนี้เคยคุ้นๆ ไหม 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องใช้วิจารณญาณในการฟัง 9:59:59.000,9:59:59.000 เมื่อก่อนหลวงพ่อเคยรู้จักพระองค์หนึ่ง[br]ตอนหลวงพ่อยังไม่บวช 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านพิการมือนิ้วท่านติดกันอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ติดกันหมดเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วท่านบอกท่านพิการมาแต่เด็กเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 สงสัยบาปกรรมอะไรทำให้พิการอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านก็ระลึกๆ ไป จริงหรือเปล่าไม่รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 อันนี้ท่านเล่าพิสูจน์ไม่ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านบอกท่านเคยเป็นลูกศิษย์เทวทัต 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่กลับใจแล้ว กลับใจแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนเป็นลูกศิษย์เทวทัตก็ประกาศ[br]ว่าต่อไปนี้จะไม่ไหว้พระพุทธเจ้าแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วต่อมาก็เปลี่ยนใจกลับเข้ามา 9:59:59.000,9:59:59.000 บอกว่าอกุศลนี่ นิ้วของท่านเป็นแบบนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แยกออกจากกันไม่ได้ ทำได้แค่นี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จริงหรือเปล่าไม่รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 อันนี้เรื่องของกรรมเป็นเรื่องอจินไตย 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่การกระทำทั้งหลายทั้งปวงย่อมมีผลแน่นอน 9:59:59.000,9:59:59.000 ลูกศิษย์เทวทัตปรามาสพระพุทธเจ้า[br]ปรามาสพระสาวก 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็ต้องรับวิบาก เทวทัตก็ต้องรับวิบาก 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะฉะนั้นเวลาเราได้ยินใครเขาเสนอวาทะ 9:59:59.000,9:59:59.000 คมคายดูดีเหลือเกินเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องทบทวนว่ามันตรงกับพระไตรปิฎกหรือเปล่า 9:59:59.000,9:59:59.000 บางทีการเสนออะไรที่เข้มมากๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 พระพุทธเจ้าท่านไม่เอา ท่านบอก 9:59:59.000,9:59:59.000 เดี๋ยวศาสนาจะอยู่ยาก ศาสนาจะอันตรธานเร็ว 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างเป็นพระบอกต้องฉันเจอย่างเดียว 9:59:59.000,9:59:59.000 ชาวบ้านเขาไม่ได้กินเจ 9:59:59.000,9:59:59.000 ใครเขาจะมาหาอาหารเจให้ทุกวันๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 สุดท้ายพระอาหารไม่พอแล้วก็อยู่ไม่ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ศาสนาก็หายไป พระหายไปไม่มีใครสืบทอด 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจะไม่สุดโต่งๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ศาสนาถึงได้ยืนยาวมาถึงทุกวันนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำไมมาเรื่องนี้ได้ก็ไม่รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 รวมความก็คือต้องเจริญสติปัฏฐาน 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงพ่อสอนอยู่ทุกวี่ทุกวันก็เรื่องนี้ล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ก่อนที่เราจะมาเจริญสติปัฏฐานได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 บทเรียนของเราต้องครบ ไตรสิกขา 9:59:59.000,9:59:59.000 ศีลต้องรักษา 9:59:59.000,9:59:59.000 ตั้งใจไว้ก่อนจะรักษาศีล 5 [br]ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เรื่องรักษาศีลก็เคยมี[br]คนถามหลวงปู่เทสก์กระมัง 9:59:59.000,9:59:59.000 บอกว่า ถ้าท่านเดินไปแล้วเห็นผู้หญิงตกน้ำ 9:59:59.000,9:59:59.000 พระจะกระโดดลงไปช่วย 9:59:59.000,9:59:59.000 อาบัติไหมไปจับตัวผู้หญิง 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ช่วยจิตจะเศร้าหมองไหม 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าจิตเศร้าหมองแสดงว่า 9:59:59.000,9:59:59.000 ตรงนั้นเราต้องทำชั่วอะไรสักอย่างแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างเราเห็นผู้หญิงตกน้ำ แล้วเราก็อุเบกขา 9:59:59.000,9:59:59.000 จริงๆ แล้วจิตจะไม่ดีเลย จิตจะกระด้าง 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นสัตว์ลำบากแล้วเฉยเมย 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดว่าความเฉยเมยคืออุเบกขา ไม่ใช่ 9:59:59.000,9:59:59.000 เป็นความใจไม้ไส้ระกำ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านบอกว่าท่านก็ใช้วิธีนี้สิ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านกระโดดลงไปในน้ำไปอยู่ใกล้ๆ เขา 9:59:59.000,9:59:59.000 เดี๋ยวเขาก็เกาะท่านท่านก็ว่ายเข้าฝั่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านว่าอย่างนี้ แต่หลวงพ่อคงไม่เอา 9:59:59.000,9:59:59.000 ขืนมาเกาะเราก็พากันจมแน่เลย 9:59:59.000,9:59:59.000 หาไม้หาอะไรโยนให้ ให้เกาะ ก็ต้องช่วย 9:59:59.000,9:59:59.000 จำเป็นจริงๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็ลงไปลากขึ้นมาแล้วมาปลงอาบัติเอา 9:59:59.000,9:59:59.000 บางทีก็ต้องคิดต้องพิจารณา 9:59:59.000,9:59:59.000 ถือศีลเคร่งๆ ไปเลยแบบงมงายก็ใช้ไม่ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ศีลรักษาไปเพื่อให้จิตใจเป็นปกติ 9:59:59.000,9:59:59.000 เพื่อให้หมู่สงฆ์สงบสุข 9:59:59.000,9:59:59.000 เพื่อให้คนที่ยังไม่เลื่อมใสเกิดเลื่อมใส 9:59:59.000,9:59:59.000 เพื่อให้คนที่เลื่อมใสแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 มีความมั่นคงในพระศาสนา เลื่อมใสมั่นคง 9:59:59.000,9:59:59.000 ศีลไม่ได้ถือเอาไว้ทรมานตัวเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ศีลไม่ได้ถือไว้ใจร้ายกับคนอื่น 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้จักอะไรควรอะไรไม่ควร 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นมีพระมีข่าวเรื่อยเลย ดูแลแม่ 9:59:59.000,9:59:59.000 เช็ดอึเช็ดฉี่อาบน้ำให้อะไรให้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถามว่าถูก ไม่ถูก ก็ไม่ถูก 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าไม่มีใครทำให้ก็ต้องทำ 9:59:59.000,9:59:59.000 อาบัติร้ายแรงไหม อาบัติไม่ร้ายแรง 9:59:59.000,9:59:59.000 อาบัติที่ร้ายแรงคือภิกษุมี[br]ความกำหนัดจับต้องกายหญิง 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ได้มีความกำหนัดมีแต่ความเมตตา 9:59:59.000,9:59:59.000 ดีกรีมันมี 9:59:59.000,9:59:59.000 ว่ามันผิดร้ายแรงแค่ไหน 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ใช่เห็นอะไรก็บอกจับสึกๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทุกวันนี้ง่ายเหลือเกิน[br]เจอพระไม่ชอบใจ บอกจับสึก 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะฉะนั้นต้องเรียน ขอแนะนำ 9:59:59.000,9:59:59.000 อ่านพระไตรปิฎกดีที่สุดเลยหัดอ่านไป 9:59:59.000,9:59:59.000 พระวินัย พระสูตรพวกนี้ อ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 อภิธรรมอ่านไม่รู้เรื่อง 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องไปเรียนอภิธัมมัตถสังคหะอะไรพวกนั้นก่อน 9:59:59.000,9:59:59.000 ศีลต้องรักษา สมาธิต้องฝึก 9:59:59.000,9:59:59.000 ทุกวันแบ่งเวลาไว้เลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ถึงเวลาจะต้องปฏิบัติในรูปแบบ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำไมหลวงพ่อไม่ใช้คำว่าถึงเวลา[br]ให้ไปนั่งสมาธิให้ไปเดินจงกรม 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะว่าแต่ละคนรูปแบบ[br]ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 บางคนกวาดพื้นอยู่เป็นเครื่องอยู่ 9:59:59.000,9:59:59.000 นั่นคือการทำในรูปแบบของเขา 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนหลวงพ่อบวชครั้งแรกที่วัดชลประทาน 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงพ่อปัญญาเป็นพระอุปัชฌาย์ 9:59:59.000,9:59:59.000 มีพระผู้เฒ่าองค์หนึ่งกุฏิอยู่ติดๆ กัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านกวาดวัด ฉันข้าวเสร็จตอนเช้าก็กวาดวัดไป 9:59:59.000,9:59:59.000 กวาดจากหน้าวัดไปท้ายวัด 9:59:59.000,9:59:59.000 ท้ายวัดกวาดมาหน้าวัด 9:59:59.000,9:59:59.000 กวาดอยู่อย่างนั้นทั้งวัน 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงพ่อตอนนั้นโง่ ก็ไปบอก 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านบอกหลวงพ่อทำไมไม่นั่งสมาธิไม่เดินจงกรม 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมช่วยกวาด 9:59:59.000,9:59:59.000 เราไปนั่งสมาธิกันดีกว่า 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านก็ยิ้มหวานหลวงพ่อ[br]ยังจำรอยยิ้มของท่านได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านบอกคุณบวชสั้นๆ คุณไปนั่งสมาธิเดินจงกรม 9:59:59.000,9:59:59.000 เดี๋ยวผมกวาดเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่ความโง่ของเรา 9:59:59.000,9:59:59.000 ที่จริงท่านภาวนาทั้งวันเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายท่านเคลื่อนไหวท่านกวาดใบไม้ 9:59:59.000,9:59:59.000 กวาดถนนกวาดใบไม้กวาดไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นรูปเคลื่อนไหวใจเป็นคนรู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราภาวนาเป็นแล้วเราถึงนึกถึงท่านได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 โอ๊ยตายแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 เราไปบอกท่านด้วยความโง่ของเราแท้ๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ประกอบด้วยเมตตา 9:59:59.000,9:59:59.000 ความโง่นั้นไม่ได้ประกอบด้วย 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูถูกว่าท่านไม่ยอมไปนั่งภาวนา 9:59:59.000,9:59:59.000 เรามีความเมตตาอยากให้[br]ท่านได้ภาวนาบ้างมีเวลาบ้าง 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะฉะนั้นหลวงพ่อจะใช้คำว่าทำในรูปแบบ 9:59:59.000,9:59:59.000 รูปแบบแต่ละคนไม่เหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 แค่กวาดวัดก็เป็นการปฏิบัติในรูปแบบแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ได้เห็นรูปเคลื่อนไหวใจเป็นคนรู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างบางคน 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงพ่อไปที่บ้านจิตสบาย[br]เห็นมีคนหนึ่งส่งการบ้าน 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงพ่อดูแล้วคนนี้[br]ไม่เคยช่วยเมียทำงานบ้านเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 เมียก็ชักโมโห 9:59:59.000,9:59:59.000 บอกไปช่วยเมียทำงาน ช่วยเมียซักผ้า ถูบ้าน 9:59:59.000,9:59:59.000 เขาเชื่อเขาไปทำ แล้วจิตใจเขาก็สบาย 9:59:59.000,9:59:59.000 สบายเพราะอะไร เพราะเมียไม่ด่า 9:59:59.000,9:59:59.000 เมียไม่บ่นแล้วสบายใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็รู้เนื้อรู้ตัว ทำงานไปรู้เนื้อรู้ตัวไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ในครอบครัวก็ดีจิตใจตัวเองก็ดี 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่ทำในรูปแบบ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ใช่ทำในรูปแบบต้อง[br]นั่งสมาธิท่านี้ต้องเดินท่านี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 บางทีเดินจงกรมต้องกำหนดโน้นกำหนดนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 มีเท่านั้นจังหวะเท่านี้จังหวะ ทำแล้วเครียด 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำแล้วเครียดไม่ใช่การปฏิบัติหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำอกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำอกุศลที่เกิดแล้วให้แรงขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างทำแบบเครียดๆ ไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 อกุศลอะไรจะแรง กูเก่ง กูดีกว่าคนอื่น 9:59:59.000,9:59:59.000 อกุศลพวกนี้จะเด่นขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะฉะนั้นถึงเวลาไปทำในรูปแบบ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถนัดกรรมฐานอะไรเอานั้นล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 มีต้นไม้เยอะก็ไปรดต้นไม้ 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างที่นี่ตกเย็นพระต้องไปรดต้นไม้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้นไม้มี 2 ส่วน 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้นไม้รอบๆ กุฏิอันนี้เช้าๆ เขาก็รดกันแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ทางเดินก็แบ่งกันกวาดทั่ววัด 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ฤดูนี้พอกวาดเสร็จคล้อยหลัง 9:59:59.000,9:59:59.000 ลมพัดทีเดียวใบไม้ลงมาเต็มเหมือนเดิม 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ไม่ต้องกวาดซ้ำแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะถ้ากวาดก็คือไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างน้อยก็รักษาข้อวัตร 9:59:59.000,9:59:59.000 กวาดแล้ว ตั้งใจกวาด 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนเช้าก็รดต้นไม้รอบๆ กุฏิ 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนเย็นไปรดต้นไม้ฝั่งโน้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ไปปลูกป่ากันไว้ร่วมร้อยไร่ 9:59:59.000,9:59:59.000 แบกน้ำตักน้ำใส่ถังเอาไปรดต้นไม้ 9:59:59.000,9:59:59.000 รดทีละต้นทีละต้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ฝั่งโน้นไม่รู้ต้นไม้กี่พันต้น ฝั่งโน้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ถามว่าเสียเวลาภาวนาไหม ไม่เสีย 9:59:59.000,9:59:59.000 เวลาตักน้ำรู้สึกตัวหิ้วน้ำไปรู้สึกตัว 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าไม่รู้สึกทำอะไร ไม่รู้สึกตัวก็ทำน้ำหก 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือเดินตกหลุมตกบ่อแข้งขาเคล็ด 9:59:59.000,9:59:59.000 บางองค์ขาเส้นเอ็นพลิกเดินเผลอไปหน่อย 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่คือการปฏิบัติ ไปรดต้นไม้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทุกวันทำอย่างนี้ล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นไหมต้องมีรักษาศีล 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องทำในรูปแบบทุกวันๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วก็ต้องเจริญสติในชีวิตประจำวัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าทำได้อย่างที่บอก 3 อย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 มรรคผลไม่ไกลหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 การเจริญสติในชีวิตประจำวัน[br]ส่วนใหญ่ก็คือการเจริญสติปัฏฐานนั่นล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างเรามีสติเห็นร่างกายหายใจออก[br]มีสติเห็นร่างกายหายใจเข้า 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้ววันไหนจิตใจเราฟุ้งซ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 เราเห็นร่างกายหายใจออกหายใจเข้าสักพักหนึ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตมันจะรวมลงไป จะพักผ่อนหายฟุ้งซ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 วันไหนจิตเรามีกำลังอยู่แล้ว[br]หายใจออกรู้สึกหายใจเข้ารู้สึก 9:59:59.000,9:59:59.000 เราก็จะเห็นว่าร่างกายที่[br]หายใจเป็นคนละอันกับจิต 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายกับจิตแยกออกจากกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ขึ้นเจริญปัญญาแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นแค่เราหายใจมันมีทั้งสมถะทั้งวิปัสสนา 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างเวลาจะทำสมาธิเราก็หายใจไป 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วถ้าจิตมันต้องการพักผ่อนมันจะรวมสงบลงไป 9:59:59.000,9:59:59.000 รวมเองไม่ต้องสั่งให้รวมเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ยกเว้นมีวสีชำนาญแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 นึกอยากรวมเมื่อไรก็รวมได้ทันที 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ถ้ายังรวมไม่ได้ก็อย่าไปตกใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถึงเวลาเราก็ทำกรรมฐานไป 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วถ้าจิตมันต้องการพัก [br]มันรวมเองมันเข้าเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนที่เกิดอริยมรรคอริยผลจิตก็รวมเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าตั้งใจรวมไม่ค่อยได้เรื่องหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 ยังเจือโลภเจตนาอยู่ 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างเราหายใจไป หายใจไป 9:59:59.000,9:59:59.000 วันนี้จิตเรามีกำลังแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 มันไม่รวม ไม่เคลิ้ม 9:59:59.000,9:59:59.000 ตั้งมั่นทรงตัวขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 สติระลึกรู้กายก็เห็นไตรลักษณ์ของกาย 9:59:59.000,9:59:59.000 ใครเป็นคนรู้กาย จิตเป็นคนรู้กาย[br]แล้วก็เห็นไตรลักษณ์ของจิต 9:59:59.000,9:59:59.000 เวทนาเกิดขึ้นในกาย 9:59:59.000,9:59:59.000 เเล้วก็เห็นว่าเวทนาในกายกับกายก็คนละอันกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วเป็นคนละอันกับจิต 9:59:59.000,9:59:59.000 เวทนาทางกายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตที่รู้เวทนาทางกายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราเห็นสังขาร จิตสังขาร 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตที่เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง 9:59:59.000,9:59:59.000 ทีแรกเราก็เห็นว่าจิตเราโลภจิตเราโกรธ 9:59:59.000,9:59:59.000 พอเราภาวนามากเข้าๆ เราเห็นว่า 9:59:59.000,9:59:59.000 ความโลภ ความโกรธ [br]ความหลงกับจิตเป็นคนละอันกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ความโลภกับจิตคนละอันกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ความโกรธกับจิตเป็นคนละอันกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 เป็นองค์ธรรมคนละชนิดกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ตัวโลภตัวโกรธตัวหลงเป็นสังขาร 9:59:59.000,9:59:59.000 เรียกว่าสังขารขันธ์ อยู่ในสังขารขันธ์ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเป็นอีกขันธ์หนึ่งอยู่ในวิญญาณขันธ์ 9:59:59.000,9:59:59.000 เป็นคนละอันกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 คนทั่วไปบอกเราโกรธ 9:59:59.000,9:59:59.000 อันนี้โง่ที่สุดแต่ไม่โง่มากไม่ถึงที่สุด 9:59:59.000,9:59:59.000 โง่ที่สุดคือไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโกรธ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไปอาละวาดใส่คนอื่นแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ดีขึ้นมาหน่อยเห็นว่าเรากำลังโกรธ 9:59:59.000,9:59:59.000 ดีกว่านั้นก็คือเห็นว่า[br]ความโกรธกับจิตคนละอันกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 มันแยกออกจากกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วดีกว่านั้นก็คือเห็นว่า 9:59:59.000,9:59:59.000 ความโกรธก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ [br]จิตก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตก็เดินปัญญาละเอียดๆๆ เข้าไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 สุดท้ายก็เข้ามาที่จิต 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็เห็นจิตนั้นเกิดดับ [br]จิตเกิดที่ไหนจิตก็ดับที่นั้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนที่หลวงพ่อเห็นตรงนี้ทีแรก 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเกิดที่ตาแล้วก็ดับที่หูแล้วก็ดับ 9:59:59.000,9:59:59.000 เลยเกิดสงสัยแล้ว[br]เราจะเอาจิตไปตั้งไว้ที่ไหนดี 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็เข้าไปกราบหลวงปู่ดูลย์ 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงปู่ครับ จิตมันตั้งอยู่ที่ไหน 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดว่ามันตั้งอยู่กลางอก [br]คิดว่ามันอยู่ตรงนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วมันเกิดที่ตา ตัวนี้หายไป 9:59:59.000,9:59:59.000 เกิดที่ตาแล้วก็ดับ เกิดที่หูแล้วก็ดับ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วเข้ามาตรงนี้ เห็นตัวนี้มันไหวๆๆ อยู่ 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็เลยนึกว่าจิตมันอยู่ตรงนี้กระมัง 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ไหนๆ เจอหลวงปู่แล้วถามหลวงปู่สักหน่อย 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงปู่ครับจิตมันอยู่ที่ไหน 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตมันตั้งอยู่ที่ไหน 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงปู่บอกจิตไม่มีที่ตั้ง 9:59:59.000,9:59:59.000 บอกแค่นี้เราก็เข้าใจแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 เราไม่ต้องเอาจิตไปตั้งไว้ที่ไหนหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตตั้งอยู่กับอารมณ์ 9:59:59.000,9:59:59.000 เกิดพร้อมกับอารมณ์ ดับพร้อมกับอารมณ์ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเกิดที่ไหน 9:59:59.000,9:59:59.000 เกิดออกไปรู้อารมณ์ทางตา[br]แล้วก็ดับพร้อมกับการรู้อารมณ์ทางตา 9:59:59.000,9:59:59.000 ออกไปฟังเสียงแล้วก็ดับพร้อมกับเสียง 9:59:59.000,9:59:59.000 พร้อมกับการฟังเสียง 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่มันเกิดดับ 9:59:59.000,9:59:59.000 ภาวนาพอละเอียดๆ มันเข้ามาที่จิตนี่ล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วเห็นจิตมันสร้างภพสร้างชาติตลอดเวลาเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วภาวนาถ้าเราเข้าใจ[br]ธรรมะประณีตขึ้น ประณีตขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 การปฏิบัติมันบีบวงมาที่จิต 9:59:59.000,9:59:59.000 บางทีเราก็เห็นจิต บางทีเราก็ไม่เห็นจิต 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตตัวนี้คือจิตผู้รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 อะไรทำให้เรามองจิตผู้รู้ไม่ออก 9:59:59.000,9:59:59.000 อาสวกิเลสทั้ง 4 9:59:59.000,9:59:59.000 อาสวกิเลสเกิดเมื่อไร หาจิตผู้รู้ไม่เจอแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 อาสวะที่ดูง่ายๆ อย่างตัวภพดูง่าย 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตสร้างภพเมื่อไร 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตก็หลุดเข้าไปอยู่ไปเกิดในภพนั้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้ารู้ทันปุ๊บจิตหลุดออกจากภพ ภพดับ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตผู้รู้ก็เด่นดวงขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 มันจะเข้ามารู้ที่ตัวจิตผู้รู้ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 พอรู้ที่ตัวจิตผู้รู้ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 สิ่งที่ปิดกั้นทำให้เรารู้จิตผู้รู้ไม่ได้[br]ก็คืออาสวกิเลสทั้ง 4 ตัวนั่นล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 กามาสวะเข้ามามาดึงจิตเราไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ดึงดูดจิตเราไปหากามคุณอารมณ์ 9:59:59.000,9:59:59.000 ภวาสวะจิตไปสร้างภพแล้วหลงอยู่ในภพอันนั้น 9:59:59.000,9:59:59.000 อวิชชาสวะมันไม่รู้แจ้งอริยสัจ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทิฏฐาสวะ เวลาเราติดในความคิดความเห็น 9:59:59.000,9:59:59.000 ถูกความคิดความเห็นย้อมเมื่อไร 9:59:59.000,9:59:59.000 ตัวจิตผู้รู้เราก็สูญหายไป 9:59:59.000,9:59:59.000 พอไม่ถูกอาสวะทั้ง 4 ย้อม สติสมาธิเราดี 9:59:59.000,9:59:59.000 อาสวะเข้ามาย้อมไม่ได้[br]จิตผู้รู้เด่นดวงขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้ววันหนึ่งเราก็จะเห็น 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตผู้รู้เองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตผู้รู้นั่นล่ะก็คือตัวทุกข์ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วคือหัวโจกของตัวทุกข์ 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูยากที่สุดเลยว่าคือตัวทุกข์ 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะว่าถ้าเราภาวนาเรามีจิตผู้รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เรารู้สึกตัวนี้บรมสุข 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเมื่อไรไม่ถูกอาสวะย้อม 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นมันบ่อยๆ เนืองๆ รู้แจ้งแทงตลอด 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตผู้รู้นั่นล่ะคือตัวบรมทุกข์ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทุกข์ยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 พอรู้ทุกข์แจ่มแจ้งก็หมดความรักใคร่ยินดี 9:59:59.000,9:59:59.000 หมดความอยาก หมดความยึดถือ 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะฉะนั้นพอรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง 9:59:59.000,9:59:59.000 สมุทัยคือตัณหาอุปาทาน[br]อะไรพวกนี้ก็ถูกทำลายทันที 9:59:59.000,9:59:59.000 ดับอัตโนมัติ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราไม่ต้องดับตัณหา 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อไรตัณหาดับเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ดับอัตโนมัติ 9:59:59.000,9:59:59.000 สิ้นตัณหาเมื่อไร นิโรธคือ[br]นิพพานปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา 9:59:59.000,9:59:59.000 นิโรธคือสภาวะที่สิ้นตัณหา 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงพ่อเคยภาวนาผิด 9:59:59.000,9:59:59.000 กำหนดจิตลงไปแล้วว่างลงไป 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดว่าฝึกเข้านิโรธไปแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงปู่บุญจันทร์ท่านมาเจอ ท่านด่าเอา 9:59:59.000,9:59:59.000 นิพพานอะไรมีเข้ามีออก 9:59:59.000,9:59:59.000 เลยรู้เลยไม่ใช่แล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้ายังกำหนดจิตอย่างโน้นกำหนดจิตอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ใช่ของจริงแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ของจริงก็คือต้องรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งว่ามันคือตัวทุกข์ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตก็หมดความอยากหมดความยึดถือในตัวจิต 9:59:59.000,9:59:59.000 สิ้นอยากเมื่อไรก็คือนิพพาน 9:59:59.000,9:59:59.000 นิพพานคือสภาวะที่สิ้นตัณหา 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วขณะนั้นอริยมรรคเกิดขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่เส้นทาง เราทำไป 9:59:59.000,9:59:59.000 เดินไปเรื่อยๆ มาตรงนี้ได้ด้วยการรักษาศีล 9:59:59.000,9:59:59.000 ฝึกในรูปแบบให้จิตมีสมาธิขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วก็เอาจิตที่ตั้งมั่น[br]มีสมาธิแล้วมาเดินปัญญา 9:59:59.000,9:59:59.000 แยกธาตุแยกขันธ์แยกรูปแยกนามไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำสติปัฏฐาน 4 นั่นล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ฝึกเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 สติปัฏฐานนั้นเป็นของวิเศษอีกอย่าง 9:59:59.000,9:59:59.000 ในเบื้องต้นที่เราฝึกทำให้สติเราดีขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ในเบื้องปลายทำให้เกิดปัญญา 9:59:59.000,9:59:59.000 นี้หมดเวลาแล้ว เทศน์ละเอียดตรงนี้ไม่ทัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ไปหาฟังเอาก็แล้วกัน [br]หลวงพ่อเทศน์เอาไว้เยอะแยะแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ต่อไปตรวจการบ้าน 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 1: ในรูปแบบเดินจงกรม[br]และรู้สึกกายที่เคลื่อนไหว 9:59:59.000,9:59:59.000 เมื่อจิตใจหลงไปคิดแล้วรู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 1: ในรูปแบบเดินจงกรม[br]และรู้สึกกายที่เคลื่อนไหว 9:59:59.000,9:59:59.000 เมื่อจิตใจหลงไปคิดแล้วรู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าดูจิตไม่ได้จะทำสมถะโดยคิดถึงพระพุทธเจ้า 9:59:59.000,9:59:59.000 และครูบาอาจารย์พร้อมกับรู้สึกถึงร่างกาย 9:59:59.000,9:59:59.000 ในชีวิตประจำวันเจริญสติโดยการรู้สึกกาย 9:59:59.000,9:59:59.000 บางครั้งรู้ใจที่หลงไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าอยู่กับผู้อื่นจะหลงไปกับโลก 9:59:59.000,9:59:59.000 นานๆ จะรู้สึกตัว 9:59:59.000,9:59:59.000 ที่ปฏิบัติอยู่นี้ถูกต้องไหมคะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถูก แล้วเรารู้ว่าตรงไหน[br]เป็นจุดอ่อนเราก็เลี่ยงเสีย 9:59:59.000,9:59:59.000 ยุ่งกับโลกน้อยๆ ยุ่งกับคนอื่นน้อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ใช้ได้ ภาวนาไป 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 2 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 1 ตรงนี้จิตไม่เข้าฐาน ดูออกไหม 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตอยู่ข้างนอกนิดหนึ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่าดึงๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงพ่อบอกไว้เฉยๆ ไม่ต้องดึงจิตเข้ามา 9:59:59.000,9:59:59.000 หายใจสิ หายใจสบายๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 เก่งๆ หายใจไป 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้สึกไหมตรงนี้กับเมื่อกี้ไม่เหมือนกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 เมื่อกี้จิตไม่ตั้งมั่นไม่ถึงฐาน 9:59:59.000,9:59:59.000 จำตัวนี้ได้ก็โอเค แต่ว่าตรงนี้จงใจทำไม่ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 พอเรารู้ว่าจิตเราไม่เข้าฐาน [br]เราก็ทำกรรมฐานของเราไป 9:59:59.000,9:59:59.000 เดี๋ยวมันก็เข้าเองล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าจิตเราไม่[br]เข้าฐานทำอย่างไรมันก็ไม่เข้า 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 2 9:59:59.000,9:59:59.000 ในรูปแบบทำทุกวัน 9:59:59.000,9:59:59.000 เดินรู้สึกตัว ดูจิตหลงคิด รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 นั่งสมาธิ ดูจิตหลง รู้ เพ่ง รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 หลังๆ หลงบ่อยกว่าเพ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 บางครั้งเห็นเหมือน[br]เราดูการนั่งสมาธินั้นอยู่ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตทำงานเอง จนจิตสงบแต่ไม่นิ่งเฉย 9:59:59.000,9:59:59.000 บางครั้งก็มีเคลิ้มไปบ้าง 9:59:59.000,9:59:59.000 ขอหลวงพ่อตรวจการบ้านค่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ใช้ได้ ดี ต้องเพิ่มนั่นนิดหนึ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำความสงบเข้ามาเป็นระยะๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 กำลังสมาธิไม่พอ ใจมันจะฟุ้งง่าย 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำในรูปแบบแล้วก็ไม่เดินปัญญาตอนนั้น 9:59:59.000,9:59:59.000 เช่น พุทโธๆๆ ไป 9:59:59.000,9:59:59.000 สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่างทำไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 เดี๋ยวมันสงบเอง แล้วจิตมันจะมีแรง 9:59:59.000,9:59:59.000 ของเบอร์ 2 จิตมันยังไม่ค่อยมีแรง 9:59:59.000,9:59:59.000 ที่ดูที่อะไรดูถูกแล้วล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่มันดูด้วยจิตที่ไม่ค่อยมีแรง 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นเรารู้ตรงนี้เป็นจุดอ่อน [br]เราก็เพิ่มสมาธิขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 3 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำในรูปแบบสม่ำเสมอ 9:59:59.000,9:59:59.000 เมื่อก่อนคาดหวังจากการปฏิบัติ 9:59:59.000,9:59:59.000 เดี๋ยวนี้คาดหวังน้อยลง 9:59:59.000,9:59:59.000 เข้าใจความยึดมากขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นจิตใจทำงานได้เองบ่อยขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้เผลอ รู้หลงมากกว่าเดิม 9:59:59.000,9:59:59.000 โดยรวมมั่นใจในการปฏิบัติ มีความเห็นถูกขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ตัวเราไม่มีอยู่จริง 9:59:59.000,9:59:59.000 ชีวิตประจำวันอยู่กับอิริยาบถ 4 9:59:59.000,9:59:59.000 เดิน ยืน นั่ง นอน คอยรู้สึก 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำไปเรื่อยๆ ไม่ท้อไม่เลิก 9:59:59.000,9:59:59.000 ขอหลวงปู่ชี้แนะค่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ดี ที่ทำอยู่ใช้ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ปัญหาใหญ่ของนักปฏิบัติ[br]ก็คือสมาธิมันไม่ค่อยพอกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ของโยมสมาธิเยอะ เบอร์ 3 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่มันไม่เข้าที่มันไม่เข้าฐาน 9:59:59.000,9:59:59.000 ขณะนี้จิตยังอยู่ข้างนอกรู้สึกไหม 9:59:59.000,9:59:59.000 มองเห็นไหมว่า [br]จิตมันไม่เข้ามาไม่เข้าหาตัวเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่โอปนยิโกน้อมเข้ามา น้อมเข้ามา 9:59:59.000,9:59:59.000 สังเกตลงไปในร่างกายนี้ [br]รู้สึกลงไปในร่างกายบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นแต่ความเป็นปฏิกูล อสุภะ [br]ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูบ่อยๆ ดูอย่างนี้บ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 4 9:59:59.000,9:59:59.000 ภาวนาในรูปแบบ 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูการเคลื่อนไหวของร่างกายทุกวันเป็นหลัก 9:59:59.000,9:59:59.000 ในชีวิตประจำวันดูร่างกาย[br]เคลื่อนไหวสลับกับลมหายใจเข้าออก 9:59:59.000,9:59:59.000 มีความคิดแทรกตอนที่ภาวนา 9:59:59.000,9:59:59.000 ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวในอดีต 9:59:59.000,9:59:59.000 พยายามไม่สนใจความคิดเหล่านั้น 9:59:59.000,9:59:59.000 และกลับมาดูที่อาการเคลื่อนไหวทางกายแทน 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนนี้ทำถูกหรือไม่คะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำถูก แต่ตั้งใจมากไปหน่อย 9:59:59.000,9:59:59.000 ตั้งใจใจจะเครียด จะแน่นๆ จะหนักๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าภาวนาแล้วมันหนักมันแน่น[br]แสดงว่าเราจงใจเยอะไป 9:59:59.000,9:59:59.000 มันไม่ธรรมดา ตั้งใจเยอะไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ภาวนาใช้ใจธรรมดาๆ อย่าตั้งใจแรง รู้สึกไป 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดเยอะ อย่าคิดเยอะ 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นไหมร่างกายขยับ 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้ว่าร่างกายขยับรู้ด้วยจิตธรรมดา 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตธรรมดาเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ตรงนี้ไม่ธรรมดาแล้ว เมื่อกี้ธรรมดา 9:59:59.000,9:59:59.000 ตรงนี้จิตหลง หลงคิด 9:59:59.000,9:59:59.000 ยิ้มหวาน 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นร่างกาย ยิ้มอย่างนี้ไม่เอา ยิ้มจอมปลอม 9:59:59.000,9:59:59.000 ยิ้มแต่หน้า 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจมันแน่นรู้สึกไหม ใจมันยังแน่นอยู่ 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจที่แน่นเกิดจากอยาก 9:59:59.000,9:59:59.000 อยากปฏิบัติ อยากรู้ อยากเห็น[br]อยากเป็น อยากได้ อยากดี 9:59:59.000,9:59:59.000 อยากไม่ขาดสติ อยากเจริญ 9:59:59.000,9:59:59.000 มีความอยากมาเมื่อไรใจจะแน่นๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจที่ดีคือใจธรรมดา 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตธรรมดานั้นประภัสสรผ่องใส 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตธรรมดานั่นล่ะคือจิตผู้รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่พอมีกิเลสมันเลยกลายเป็นจิตผู้หลงไป 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะฉะนั้นจิตโดยตัวมันประภัสสรผ่องใส 9:59:59.000,9:59:59.000 เศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา 9:59:59.000,9:59:59.000 เราไม่ต้องทำอะไร[br]รู้ทันกิเลสที่จรมาก็แล้วกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างอยากปฏิบัติ รู้ทันว่าอยาก 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้ว่าอยากปฏิบัติ ความอยากปฏิบัติดับแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำอย่างไร ก็ปฏิบัติไปด้วยใจที่ไม่ต้องอยาก 9:59:59.000,9:59:59.000 ให้เป็นธรรมดาอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 4 ตึงไป 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้สึกไหม มันจงใจมากไป ตั้งใจแรงไป 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 4 คอยเคลื่อนไหวกระดุกกระดิก 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วก็เห็นร่างกายเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ต้องแกล้งทำ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราเคลื่อนไหวอยู่แล้วโดยธรรมชาติ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราหายใจร่างกายมันก็เคลื่อนไหว 9:59:59.000,9:59:59.000 เคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติธรรมดา 9:59:59.000,9:59:59.000 มีหน้าที่ใช้ร่างกายทำอะไรก็ทำไป 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่มีสติรู้ไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ไปเพ่งเอาไว้ให้นิ่งๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 5 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นการเกิด 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ไม่เห็นการดับของความโลภและความโกรธ 9:59:59.000,9:59:59.000 เมื่อปวดกายก็ฝึกแยกใจกับ[br]กายความปวดออกจากกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 โดยมีใจเห็นความปวดแทรกอยู่ในกาย 9:59:59.000,9:59:59.000 อยากเดินปัญญาเป็น 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ไม่รู้ว่าจิตตั้งมั่นมากพอ[br]และพร้อมที่จะเดินปัญญาไหมคะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ภาวนาได้ดี จิตตั้งมั่น 9:59:59.000,9:59:59.000 เดินปัญญาได้แต่จิตมันไม่ค่อยชอบเดินปัญญา 9:59:59.000,9:59:59.000 ชอบเฉยๆ มากกว่า 9:59:59.000,9:59:59.000 พอเวลาภาวนาพอจิตตั้งมั่นแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 มันกลัวจิตตั้งมั่นจะหายไปพยายามรักษาเอาไว้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เวลาจิตตั้งมั่นแล้ว เบอร์ 5 9:59:59.000,9:59:59.000 พิจารณาเข้าไปในร่างกายเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 พิจารณาเข้าไปเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 หัวกะโหลกเราเป็นอย่างนี้ มีตาโบ๋ๆ อย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 มีปากงับๆๆ ได้ ข้างล่างนะ [br]ข้างบนไม่เป็นอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ขากรรไกรอย่างนี้ ดูไปเรื่อยๆ ในร่างกาย 9:59:59.000,9:59:59.000 พิจารณาลงไปให้ถึงกระดูกเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นกระดูก กระดูกมันหมุนแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 กระดูกตัวนี้หมุน 9:59:59.000,9:59:59.000 คอยรู้สึกอย่างนี้ รู้สึกบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ดีไม่ใช่ไม่ดี 9:59:59.000,9:59:59.000 เก่ง เบอร์ 5 ใช้ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ว่าเดินปัญญาดูเข้าไปในกายเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูเข้าไปเลย ดูเข้าไปที่กระดูกเลยก็ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นไหมกระดูกมันเคลื่อน 9:59:59.000,9:59:59.000 กระดูกมันขยับ เวลาปาก 9:59:59.000,9:59:59.000 เวลากินข้าวเราขยับขากรรไกรบนหรือขากรรไกรล่าง 9:59:59.000,9:59:59.000 ขยับอย่างนี้ เราก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 บางคนไม่รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดว่าขยับข้างบน คิดว่าตัวนี้ขยับ 9:59:59.000,9:59:59.000 วิธีพิสูจน์ง่ายๆ เอาคางไปเกยโต๊ะไว้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วจะพูดไม่ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูเข้าไปถึงกระดูกดูเข้าไป 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 6 9:59:59.000,9:59:59.000 รักษาศีล 5 9:59:59.000,9:59:59.000 ภาวนาในรูปแบบด้วยการสวดมนต์[br]ทำวัตรเช้าเย็นทุกวัน 9:59:59.000,9:59:59.000 เพิ่งหยุดทำงานประจำ 9:59:59.000,9:59:59.000 จึงใช้เวลาศึกษาในเรื่องขันธ์ 5 9:59:59.000,9:59:59.000 ทุกข์ และการเดินอริยสัจ 9:59:59.000,9:59:59.000 ใช้โยนิโสมนสิการในการพิจารณากายใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นทุกข์และกิเลสได้ละเอียดขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นขันธ์แยกขณะผ่ารากฟันเทียม 9:59:59.000,9:59:59.000 เลยเข้าใจที่หลวงพ่อสอนว่า 9:59:59.000,9:59:59.000 แยกขันธ์แล้วให้ดูไตรลักษณ์ 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นถูกต้องไหมคะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถูก ดี 9:59:59.000,9:59:59.000 จุดอ่อนยังมีนิดหนึ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 เราอย่าคิด ความคิดมันล้ำไป ปัญญามันล้ำไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ตามรู้ตามเห็นสภาวะไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่อย่างนั้นมันล้ำหน้าไป 9:59:59.000,9:59:59.000 คอยคิดแต่เรื่องไตรลักษณ์ไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องสมดุลกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าปัญญาล้ำหน้าไป สมาธิไม่พอ ใจมันจะฟุ้ง 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 6 สังเกตไหมใจมันยังฟุ้งเล็กๆ อยู่ 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะฉะนั้นอย่าทิ้งการทำความสงบ ต้องทำ 9:59:59.000,9:59:59.000 เดินปัญญามากไป จิตจะฟุ้งซ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 เป็นคนปัญญาเยอะ 9:59:59.000,9:59:59.000 พวกปัญญาเยอะมีจุดอ่อนสมาธิคือไม่ค่อยพอ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไปทำสมาธิเพิ่มขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำความสงบให้จิตอยู่กับเนื้อกับตัว 9:59:59.000,9:59:59.000 สงบ พักผ่อน 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตมีกำลังแล้วค่อยถอยออกมาเดินปัญญาต่อ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่น่าห่วงเรื่องเดินปัญญา 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตมันเดินปัญญาเก่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 7 9:59:59.000,9:59:59.000 ปฏิบัติในรูปแบบทุกวันโดยทำ[br]อานาปานสติอย่างน้อย 30 นาที 9:59:59.000,9:59:59.000 ระหว่างวันเฝ้ารู้เวทนาที่เกิดขึ้นในร่างกาย 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นทุกข์มากขึ้นและมักหลงคิดบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 บางครั้งก็หลงคิดไปนานแล้วถึงจะรู้สึกตัว 9:59:59.000,9:59:59.000 ขอหลวงปู่ช่วยแนะนำ[br]วิธีการปฏิบัติที่เหมาะกับจริตค่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตมันชอบคิด 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าจิตมันชอบคิดเราจะไปฝืน[br]บอกมันอย่าคิดมันไม่เชื่อ 9:59:59.000,9:59:59.000 พามันคิดไปเลยคิดอะไรก็ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดเรื่องโลกๆ ก็ยังได้เลย 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่คิดแล้วต้องลงไตรลักษณ์ให้ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างเราคิดถึงอะไรสวยๆ งามๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดว่าเราไปเดินสวนสาธารณะดูดอกไม้งาม 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูทุ่งทานตะวัน ดูอะไรอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูไปแหมใจมีความสุข 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วลงท้าย ดอกไม้มันเหี่ยวลงไป 9:59:59.000,9:59:59.000 มันก็ไม่ยั่งยืน ของสวยของงามอะไรอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นคิดอะไรก็ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ให้ลงไตรลักษณ์ให้ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ลองไปทำดู เพราะจิตมันชอบคิด 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตมันชอบคิดไปฝืนไม่ให้คิดมันทำไม่ได้หรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 ส่วนที่กรรมฐานทำอยู่แล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ดีอยู่แล้วทำต่อไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำอานาปานสติ ทำอะไรไม่ผิดหรอก ทำไปเถอะ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่เวลาช่วงไหนที่จิตมันฟุ้งซ่านมากๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 พามันคิดแล้วลงไตรลักษณ์ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเป็นช่วงปกติก็หายใจไปรู้สึกไป 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างที่ทำอยู่ถูกแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 แยกออกไหม หมายถึงเวลาปกติก็ทำอย่างที่ทำนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ช่วงไหนที่ใจมันฟุ้งมาก 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดพิจารณาลงไปเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดอะไรก็ได้แล้วลงไตรลักษณ์ให้ได้ก็แล้วกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 8 9:59:59.000,9:59:59.000 เดินจงกรมวันละ 1.30 - 2 ชั่วโมง 9:59:59.000,9:59:59.000 ระหว่างวันดูกายและจิตทำงาน 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าฟุ้งซ่านจะบริกรรมระลึกถึงพระรัตนตรัย 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงพ่อให้ดูความเป็นอนัตตา 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดว่าพอจะเห็นว่ากายไม่ใช่เรา 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่จิตยังคงเป็นเราอยู่ 9:59:59.000,9:59:59.000 เวลานั่งจะเพ่งมากเลยต้องเดิน 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือใช้การพิจารณากายเคลื่อนไหว 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วรู้สึกตัวแทน 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่แน่ใจว่าดูความเป็นอนัตตาได้จริงไหมคะ 9:59:59.000,9:59:59.000 จริง ไปดูอีก ทำไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึกไป ดี ที่ทำอยู่ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไปทำต่อทำอีก 9:59:59.000,9:59:59.000 เบอร์ 7 อย่างนี้จงใจเยอะไปแล้วเบอร์ 7 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดเอาเป็นเอาตาย 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจมันไม่สบาย จะไม่ได้สมาธิ 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดที่มันไม่รุนแรงนัก 9:59:59.000,9:59:59.000 คิดๆๆ ไป อันนี้เป็นอุบาย 9:59:59.000,9:59:59.000 เป็นอุบายในการแก้เรื่อง[br]จิตมันช่างคิดไม่ยอมหยุด 9:59:59.000,9:59:59.000 มันคิดไม่ยอมหยุด 9:59:59.000,9:59:59.000 ไปห้ามมันไม่ได้ก็พามันคิดไป 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วลงไตรลักษณ์ให้ได้ [br]เดี๋ยวมันหยุดเองล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ถ้าตอนไหนมันไม่ได้[br]ฟุ้งซ่านไม่ต้องไปคิดเยอะ รู้สึกไป 9:59:59.000,9:59:59.000 เดี๋ยวสับสน 9:59:59.000,9:59:59.000 ภาวนาอยู่ดีๆ บอกหลวงพ่อให้ไปนั่งคิด 9:59:59.000,9:59:59.000 เละเลย เสีย 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วมาโทษหลวงพ่อสอนยังอย่างไร ฟุ้งไปเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 แค่อุบายไว้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า[br]เวลามันคิดหนักๆ คิดไม่เลิก 9:59:59.000,9:59:59.000 วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เชิญ