ก่อนอื่นเลย ขอบคุณที่ให้ความสนใจครับ ไม่มีอะไรเหมือนกับการมาอยู่ในห้อง ที่เต็มไปด้วยผู้คนแบบนี้ และทุกคนต่างก็พุ่งความสนใจ มาที่ผมคนเดียว มันเป็นความรู้สึกที่ทรงพลังนะ การเป็นที่สนใจน่ะ ผมเป็นนักแสดง ผมก็เลยชำนาญ... เอ่อ...ไม่ชำนาญในเรื่องอะไรเลย พูดตรง ๆ (เสียงหัวเราะ) แต่ผมรู้ดีว่ามันรู้สึกยังไง เวลาที่มีคนมาสนใจ ที่ผ่านมาผมว่าผมโชคดี ที่ได้รับความสนใจมากกว่าที่ควรจะได้ และผมก็รู้สึกซาบซึ้งใจในเรื่องนั้น เพราะอย่างที่บอก มันเป็นความรู้สึกที่ทรงพลัง แต่ยังมีอีกความรู้สึกที่ทรงพลังอีกอย่าง ที่ผมโชคดีที่ได้ประสบมามากในฐานะนักแสดง และก็น่าขำ เพราะเป็นความรู้สึกที่ ตรงกันข้ามกันเลย เพราะความรู้สึกนั้นไม่ได้มาจาก การได้รับความสนใจ แต่มาจากการให้ความสนใจต่างหาก เมื่อผมแสดง ผมจะจดจ่อมากจนผมสนใจ เพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น เช่น ตอนที่ผมอยู่ที่กองถ่าย แล้วเรากำลังจะเริ่ม แล้วผู้ช่วยผู้กำกับคนแรกตะโกน "โรลลิ่ง!" และตามมาด้วย "สปีด" "มาร์กเกอร์" "เซ็ต" แล้วผู้กำกับจะสั่งว่า "แอคชั่น!" ผมได้ยินการสั่งแบบนั้นมากเสียจน กลายเป็นเหมือนการวางเงื่อนไข แบบพาฟลอฟสำหรับผมไปแล้ว "โรลลิ่ง!" "สปีด" "มาร์กเกอร์" "เซ็ต" และ "แอคชั่น!" มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับผม ซึ่งผมห้ามมันไม่ได้ สมาธิของผม... ก็มาอย่างเต็มที่ และเรื่องอื่น ๆ ข้างนอกนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้ผมรำคาญใจ หรือเรื่องที่จะดึงความสนใจของผมก็ตาม มันหายไปหมด แล้วผมก็แค่...อยู่ตรงนั้น แล้วความรู้สึกนั้นแหละ คือสิ่งที่ผมชอบสุด ๆ สำหรับผมนี่คือ ความสร้างสรรค์ และเป็นเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ทำให้ผม รู้สึกขอบคุณที่ผมได้เป็นนักแสดง เราได้พูดถึงความรู้สึกอันทรงพลังมาสองแบบ การได้รับความสนใจ และการให้ความสนใจ แน่นอนว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ทำให้ผู้คนจำนวนมาก ได้รับความรู้สึกอันทรงพลัง ของการเป็นจุดสนใจ การแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ แบบใดก็ได้ ไม่เฉพาะการแสดง อาจเป็นการเขียน การถ่ายภาพ การวาดภาพ การเล่นดนตรี ทุกอย่าง ช่องทางในการเผยแพร่ผลงานเหล่านี้ ได้เปิดออกสำหรับทุกคน และนั่นเป็นเรื่องที่ดี แต่ผมคิดว่ามันมีผลกระทบ ที่ไม่คาดคิดตามมาด้วย สำหรับใครก็ตามในโลก ที่มีแรงกระตุ้นจากภายในเพื่อการสร้างสรรค์ รวมถึงตัวผมด้วย เพราะผมเองก็ไม่ได้มีภูมิคุ้มกัน ผมคิดว่าความคิดสร้างสรรค์ของเรา เริ่มกลายเป็นเครื่องมือ เพื่อสร้างผลลัพธ์บางอย่าง และผลลัพธ์นั้นก็คือ เพื่อให้เป็นที่สนใจ ผมรู้สึกว่าผมต้องออกมาพูดเรื่องนี้ เพราะจากประสบการณ์ของผม ยิ่งผมไล่ตามความรู้สึก จากการให้ความสนใจมากเท่าใด ผมก็มีความสุขมากขึ้น แต่หากผมไล่ตาม ความรู้สึกของการเป็นที่สนใจ ผมกลับทุกข์มากขึ้น (คนหนึ่งปรบมือ) และ...ขอบคุณครับ (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) นี้เป็นเรื่องที่ทำให้ผมได้ย้อนคิด เท่าที่ผมจำได้ ครั้งแรกผมใช้การแสดงเพื่อ ให้เป็นที่สนใจ ตอนนั้นผมอายุ 8 ขวบ กำลังเข้าค่ายฤดูร้อน ช่วงนั้นผมออดิชั่นได้มาปีหนึ่งแล้ว แล้วก็โชคดีที่ได้แสดงบทเล็ก ๆ ในรายการโทรทัศน์และโฆษณา ผมคุยโวเรื่องนั้นเยอะมากตอนอยู่ที่ค่าย ตอนแรก มันก็ได้ผลดีนะครับ เด็กคนอื่นสนใจผมใหญ่เลย เพราะผมไปโผล่ในซิตคอมเรื่อง "แฟมิลี่ ไทส์" นี่รูปผมเองตอนเล่นซิตคอม (เสียงหัวเราะ) แต่แล้วโชคก็ไม่ได้เข้าข้างผม ผมคิดว่าผมอวดมากไปหน่อย เด็กคนอื่น ๆ จึงเริ่มล้อเลียนผม ผมจำได้ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งผมแอบปิ๊ง เธอชื่อ ร็อคกี้ จริง ๆ เธอชื่อเรเชล แต่ชอบให้เรียกว่าร็อกกี้ เธอสวยแล้วก็ร้องเพลงเพราะ ผมชอบเธอเป็นบ้าเลย แล้วผมก็ยืนคุยโวอยู่ตรงนั้น เธอหันมาหาผม แล้วพูดว่า "ไอ้ขี้อวด" ซึ่งผมก็สมควรโดนแล้ว แต่คุณรู้อะไรไหม แต่มันก็เจ็บปวดทีเดียว แล้วหลังจบค่ายฤดูร้อนมา ผมเริ่มลังเลที่จะใช้การแสดง เพื่อทำให้คนสนใจ บางครั้ง หลายคนถามผมว่า "เดี๋ยวนะ ถ้าคุณไม่อยากเป็นที่สนใจ ทำไมถึงมาเป็นนักแสดงล่ะ" แล้วผมจะแบบ "ก็เพราะไม่เกี่ยวกับการเป็นจุดสนใจไงล่ะ โถ่ มันเป็นเรื่องของศิลปะ!" พวกเขาก็จะตอบว่า "โอเค ใจเย็นเพื่อน" (เสียงหัวเราะ) แล้วจู่ ๆ เราก็มีทวิตเตอร์ ผมก็ติดมันมาก เหมือนกับคนอื่น ๆ ซึ่งทำให้ผมกลายเป็น คนเสแสร้งตัวจริง เพราะในตอนนั้น ผมได้ใช้การแสดงเพื่อทำให้ ตัวเองได้รับความสนใจ ผมหมายถึง ผมคิดว่าผมมีคนติดตามมากมาย เพราะทวีตเท่ ๆ ของผมใช่ไหม ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ ครับ ตอนนั้น ผมคิดว่า (หัวเราะ) "พวกเขาไม่ได้ชอบที่ผมเล่นเรื่องแบทแมนนะ แต่พวกเขาชอบสิ่งที่ผมทวีตต่างหาก ก็ผมเขียนดีน่ะสิ" (เสียงหัวเราะ) และไม่นานนัก มันก็เริ่มส่งผลต่อกระบวนการสร้างสรรค์ ซึ่งผมรักมาก มันก็เป็นอยู่ แต่ผมพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้น แต่คุณนึกดู ถ้าผมจะนั่งลงอ่านบท และแทนที่จะคิดว่า "ผมจะเข้าถึงตัวละครนี้ได้ยังไง" หรือคิดว่า "ผู้ชมจะเชื่อมโยงตัวเอง เข้ากับเนื้อเรื่องได้ยังไง" ผมกลับคิดว่า "คนจะพูดถึงหนังเรื่องนี้ ยังไงบนทวิตเตอร์" แล้ว "ผมต้องตอบกลับยังไง ให้มันดูดีและเฉียบเพื่อให้คนรีทวีตมาก ๆ แต่ต้องไม่แรงเกินไป เพราะคนชอบเวลาถูกกระทบ แต่ผมไม่ได้อยาก ให้โดนบอกเลิกงานในขณะเดียวกัน" มีแต่ความคิดแบบนี้เข้ามาในหัวผม ทั้งที่จริง ๆ ผมควรอ่านบท แล้วพยายามทำหน้าที่ศิลปิน ผมไม่ได้มาเพื่อบอกคุณว่า เทคโนโลยีเป็นศัตรูของความคิดสร้างสรรค์ ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลย ผมคิดว่ามันเป็นแค่เครื่องมือ ที่มีศักยภาพในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ของมนุษย์ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เหมือนตอนที่ผมตั้งชุมชนออนไลน์ ชื่อ ฮิตเรคคอร์ด ที่มีผู้คนจากทั่วโลก ร่วมมือกันทำโครงการสร้างสรรค์หลากรูปแบบ ผมจึงไม่คิดว่า สื่อออนไลน์ สมาร์ตโฟน หรือเทคโนโลยีใด ๆ ก็ตาม เป็นปัญหาในตัวของมันเอง แต่... หากเราจะพูดถึง การใช้ความสร้างสรรค์ เพื่อเรียกความสนใจล่ะก็ งั้นเราคงต้องพูดถึงรูปแบบธุรกิจ ที่เน้นการเป็นที่สนใจ ของบริษัทสื่อสังคมออนไลน์ใหญ่ ๆ ใช่ไหมครับ (เสียงปรบมือ) พวกคุณบางคนคงคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่มันมีคำถามที่สำคัญคือ พื้นที่สังคมออนไลน์ต่าง ๆ อย่าง อินสตาแกรม สร้างรายได้ได้อย่างไร มันไม่ใช่บริการแชร์รูปภาพ ที่เราต้องเสียเงินหนิ แล้วมันขายอะไร ขายความสนใจไงล่ะ ขายความสนใจของผู้ใช้ ให้กับบริษัทโฆษณา มีการถกเถียงกันมากมาย เกี่ยวกับความสนใจที่เราได้ทุ่มให้กับ สื่อสังคมฯ อย่างอินสตาแกรม แต่คำถามของผมคือ ทำไมอินสตาแกรมถึงได้รับ ความสนใจมากขนาดนั้น ก็เราทำใหัมันเป็นแบบนั้นไง เมื่อใดก็ตามที่มีใครโพสลงอินสตาแกรม พวกเขาจะได้รับความสนใจ จากผู้ติดตามของตน ไม่ว่าพวกเขาจะมีผู้ติดตามนิดเดียว หรือหลายล้านคนก็ตาม แล้วยิ่งคุณเป็นที่สนใจมากเท่าใด อินสตาแกรมก็สามารถเอาความสนใจของคุณ ไปขายได้มากเท่านั้น สรุปคือ อินสตาแกรมสนว่า คุณจะได้รับความสนใจ มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ มันฝึกให้คุณโหยหาความสนใจ กระหายมัน และจะสติแตก หากคุณไม่ได้รับความสนใจมากพอ อินสตาแกรมทำให้ผู้ใช้เสพติด ความรู้สึกอันทรงพลังของการเป็นที่สนใจ ผมรู้ว่าพวกเราชอบล้อเล่นกันแบบ "ให้ตายสิ ฉันติดโทรศัพท์ตลอดเวลา" แต่นี่คือการเสพติดของจริง และวิทยาศาสตร์ก็อธิบายได้ด้วย หากคุณสงสัย ผมแนะให้คุณ ศึกษางานของ จารอน ลานีเอ ทริสตัน แฮร์ริส และ เนียร์ อียาล แต่นี่คือสิ่งที่ผมบอกคุณได้ การเสพติดการเป็นที่สนใจ ก็เหมือนการกับเสพติดอื่น ๆ มันไม่เคยพอหรอกครับ แรก ๆ คุณจะคิดว่า "ถ้าฉันมีผู้ติดตามพันคน คงต้องรู้สึกดีแน่ ๆ " แล้วเดี๋ยวคุณก็แบบ "ถ้ามีคนติดตามฉันหมื่นคนนะ" และก็เป็น "ถ้าแสนคนนะ..." ถ้าฉันมีคนติดตามล้านคนนะ ฉันคงจะรู้สึกดีมากแน่ ๆ " คือ ผมมีคนติดตาม 4 ล้าน 2 แสนคน บนทวิตเตอร์ ผมไม่ได้รู้สึกดีอะไรเลย ผมไม่บอกคุณหรอกว่า ผมมีผู้ติดตามบนอินสตาแกรมกี่คน เพราะผมรู้สึกอายจริง ๆ ที่ตัวเลขมันน้อยเหลือเกิน เพราะผมเริ่มใช้อินสตาแกรม หลังหนังเรื่อง "แบทแมน" เข้าโรง (เสียงหัวเราะ) ผมเข้าไปส่องนักแสดงคนอื่น แล้วเห็นว่าพวกเขามีผู้ติดตามสูงกว่าผม มันทำให้ผมรู้สึกแย่กับตัวเอง เพราะจำนวนผู้ติดตาม ทำให้ทุกคนรู้สึกแย่กับตัวเอง เป็นความรู้สึกว่าเราไม่ดีพอ ซึ่งกระตุ้นให้คุณโพสต์มากขึ้น เพื่อที่จะได้รับความสนใจมากขึ้น และความสนใจที่คุณได้ เป็นสิ่งที่บริษัทเหล่านี้เอาไปขาย นั่นคือวิธีสร้างรายได้ของพวกเขา เพราะฉะนั้นยอดผู้ติดตามของคุณ คุณจะไม่มีวันพอใจ แบบที่ทำให้รู้สึกว่า "ฉันพอใจแล้ว" และแน่นอนว่า มีนักแสดงหลายคนที่ดังกว่าผม มีผู้ติดตามมากกว่าผม แต่ผมบอกได้เลยว่า พวกเขาจะพูดกับคุณ แบบเดียวกับผม ถ้าความคิดสร้างสรรค์ของคุณ มาจากการอยากเป็นที่สนใจแล้ว คุณจะไม่มีวันรู้สึกเติมเต็ม ในแบบที่สร้างสรรค์เลย แต่ผมยังมีข่าวดีมาบอก มีความรู้สึกที่ทรงพลังอีกอย่าง เป็นบางสิ่งที่คุณสามารถ เอาความสนใจของคุณไปใช้ แทนที่จะปล่อยให้บริษัทยักษ์ใหญ่ ควบคุมคุณและขายมัน มันคือความรู้สึกที่ผมพูดถึงก่อนหน้านี้ ว่าทำไมผมถึงรักการแสดงนัก มันคือการสามารถในการจดจ่อ อยู่กับสิ่ง ๆ เดียว ปรากฏว่าวิทยาศาสตร์ก็อธิบาย ปรากฏการณ์นี้ได้เหมือนกัน นักจิตวิทยาและนักประสาทวิทยา พวกเขาศึกษาปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "สภาวะลื่นไหล" ซึ่งเกิดขึ้นในสมองของมนุษย์ เมื่อเราเพ่งความสนใจให้กับสิ่ง ๆ เดียว อาจเป็นบางสิ่งที่สร้างสรรค์ และพยายามไม่ให้เสียสมาธิโดยสิ่งอื่น ๆ บางคนบอกว่า หากคุณทำแบบนี้ได้มากเท่าใด คุณก็จะมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น คือผมก็ไม่ใช่นักจิตวิทยา หรือนักประสาทวิทยาหรอกนะ แต่ผมบอกคุณได้ว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผมจริง ๆ มันไม่ได้ง่ายเสมอไป จริง ๆ แล้วมันยากเลยล่ะ การจะเพ่งสมาธิแบบนี้ได้ ต้องอาศัยการฝึกฝน ทุกคนก็มีวิธีของตัวเอง แต่ถ้ามีสิ่งหนึ่งที่ผมพอจะแบ่งปันได้ เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผมมีสมาธิ และสนใจจดจ่อได้จริง ๆ ก็คือ ผมพยายามไม่มองคนอื่น ๆ ในวงการสร้างสรรค์ ว่าเป็นคู่แข่งของผม ผมมองหาความร่วมมือ อย่างถ้าผมกำลังเข้าฉาก และผมมองนักแสดงคนอื่น ว่าเป็นคู่แข่ง และผมก็จะแบบ "พระเจ้า พวกเขาจะได้รับความสนใจมากกว่าผม ผู้คนคงจะพูดถึงการแสดงพวกเขามากกว่าผม..." สมาธิผมจะหลุด และผมคงจะแสดงฉากนั้นได้แย่มาก แต่เมื่อผมมองเพื่อนนักแสดง ว่าเป็นเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าเรื่องอะไร ผมก็สามารถตั้งสมาธิได้ เพราะผมแค่ต้องสนใจพวกเขาเท่านั้น ผมไม่ต้องมาคิดว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมแค่เล่นตามบทที่พวกเขาส่งมา พวกเขาก็ตอบโต้ตามบทที่ผมส่งไป แล้วพวกเราก็สามารถทำงานร่วมกันได้ แต่ผมไม่อยากให้คุณคิดว่า มีแค่นักแสดงที่อยู่ที่กองถ่าย ที่สามารถร่วมมือกันแบบนี้ได้ ผมอาจอยู่ในสถานการณ์ใดก็ได้ ที่เป็นการสร้างสรรค์ อาจเป็นงาน หรือแค่ทำเล่น ๆ ผมสามารถร่วมมือกับคน ที่อาจจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงหน้า จริง ๆ แล้ว สิ่งที่ผมชอบหลายสิ่งที่ผมได้ทำมา เป็นสิ่งที่ผมได้ร่วมงานกับคนที่ไม่เคยพบกัน อย่างไรก็ตาม สำหรับผม นี่แหละคือ ความงดงามของอินเทอร์เน็ต หากเราหยุดแข่งกันเพื่อเป็นที่สนใจได้ อินเทอร์เน็ตจะกลายเป็นพื้นที่ยอดเยี่ยม สำหรับการหาผู้ร่วมงาน และเมื่อผมร่วมงานกับคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะที่กองถ่าย ออนไลน์ หรือที่ไหนก็ตาม ผมก็สามารถเข้าสู่สภาวะลื่นไหลได้ง่ายขึ้น เพราะสิ่งที่เราต้องทำคือ ให้ความสนใจ กับสิ่ง ๆ หนึ่งที่เราร่วมมือกันทำ แล้วผมรู้สึกเหมือนเราเป็นส่วนหนึ่ง ของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง และเราเป็นเหมือนเกราะกำบังให้กันและกัน จากสิ่งอื่นที่อาจมาดึงสมาธิไปจากเรา แล้วเราทั้งหมด ก็แค่ อยู่ตรงนั้น อย่างน้อยมันได้ผลกับผม เป็นบางครั้ง บางครั้ง เพราะบางทีมันก็ไม่ได้ผล บางครั้งผมก็ตกอยู่ในวงจรเสพติด ของการอยากเป็นที่สนใจ ผมหมายถึง ตอนนี้ด้วย ผมพูดได้จริง ๆ เหรอ ว่าลึก ๆ แล้ว ผมไม่ได้คิดว่า "ดูสิทุกคน ผมกำลังพูดที่ TEDTalk แหละ!" (เสียงหัวเราะ) มันมีอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งน่ะ แต่ผมพูดได้เต็มปากว่า กระบวนการสร้างสรรค์ทั้งหมด ของการเขียนและการออกมาพูดครั้งนี้ เป็นโอกาสที่เยี่ยมมากสำหรับผม ในการเพ่งสมาธิ และให้ความสนใจกับสิ่งที่ผมใส่ใจจริง ๆ ไม่ว่าผมจะได้รับความสนใจมากแค่ไหน หรือไม่ได้เลยก็ตาม ผมมีความสุขที่ได้ลงมือทำ และผมขอขอบคุณพวกคุณทุกคน ที่ให้โอกาสนี้กับผม ขอบคุณมากครับ จบแล้วครับ คุณจะได้หันไปสนใจคนอื่นบ้างครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ (เสียงปรบมือ)