ผมอยากให้ทุกคนลองถามตัวเอง
เมื่อพูดถึง "เคมีอินทรีย์"
คุณรู้สึกอย่างไร
ทำให้คุณคิดถึงอะไร
มีวิชาหนึ่งที่เปิดสอนอยู่
เกือบทุกมหาวิทยาลัย
เรียกว่าวิชา "เคมีอินทรีย์"
พูดถึงวิชานี้ก็หนักและทรหดมากแล้ว
ด้วยเนื้อหาที่มหาศาลท่วมหัวนักศึกษา
คุณจะต้องทำเก่งวิชานี้ให้ได้
ถ้าคุณอยากเป็นหมอ หมอฟัน
หรือสัตวแพทย์
มันทำให้นักศึกษาหลายคนมองวิชานี้เป็นแบบนี้
มันกลายเป็นอุปสรรค
ทำให้พวกเขาทั้งกลัว ทั้งเกลียดมัน
และพวกเขาเรียกมันว่า "วิชาคัดคนออก"
ช่างเป็นวิชาที่โหดร้ายกับเยาวชนเสียจริง
เพราะมันคอยกำจัดพวกเขาทิ้ง
มุมมองแบบนี้ได้แพร่กระจายไปทั่ว
ในสถาบันหลายแห่งเป็นเวลานาน
ทำให้ทุกคนต่างเป็นกังวล
เมื่อได้ยินสองคำนี้
แต่ผมกลับรักวิชานี้มาก
และผมก็คิดว่าการทำใจยอมรับ
กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เป็นสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้
มันไม่ดีทั้งต่อวิทยาศาสตร์ และต่อสังคม
ผมคิดว่ามันไม่ควรจะปล่อยให้เป็นแบบนี้
และผมก็ไม่ได้คิดว่าวิชานี้ควรจะง่ายขึ้น
มันไม่ควรจะง่ายขึ้น
แต่มุมมองที่คุณมีต่อสองคำนี้
ไม่ควรตกทอดมาจากประสบการณ์
จากเหล่านักเรียนเตรียมแพทย์ทั้งหลาย
ที่กำลังวิตกกังวลกับชีวิตของพวกเขา
ผมมาที่นี่ ในวันนี้ เพราะผมเชื่อว่า
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ
เคมีอินทรีย์นั้นมีคุณค่า
และผมคิดว่าทุกคนสามารถเข้าถึงได้
ซึ่งผมอยากจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นในวันนี้
ขอให้ผมลองได้ไหม
ผู้ชม: เอาสิ
เอาล่ะ งั้นเริ่มกันเลย
(เสียงหัวเราะ)
ในมือผมตอนนี้คือ
เอพิเพน ที่มีราคาสูงลิบลิ่ว
ข้างในมีตัวยา "เอพิเนฟรีน"
เอพิเนฟรีนทำให้หัวใจของผม
กลับมาเต้นอีกครั้ง
และช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้
ซึ่งอันตรายถึงชีวิต
เพียงแค่ฉีดมันเข้าไปตรงนี้
มันเหมือนกับการเปิดสวิตซ์ให้ร่างกายของผม
ตอบสนองแบบสู้หรือหนี
อัตราการเต้นของหัวใจและความดันจะสูงขึ้น
เพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ
รูม่านตาจะขยาย
ผมรู้สึกมีกำลังวังชาขึ้น
เอพิเนฟรีนเป็นสิ่งที่กำหนด
ความเป็นความตายของใครหลาย ๆ คน
มันเป็นเหมือนปาฏิหาริย์เล็ก ๆ
ในกำมือคุณ
นี่คือโครงสร้างทางเคมีของเอพิเนฟรีน
นี่คือหน้าตาของ "เคมีอินทรีย์"
มันดูเหมือน เส้นกับตัวอักษร
ไม่มีความหมายสำหรับคนทั่วไป
ผมอยากจะให้พวกคุณเห็นสิ่งที่ผมเห็น
เมื่อผมมองภาพภาพนั้น
ผมเห็นวัตถุชิ้นหนึ่ง
ที่มีความลึก และมีส่วนที่หมุนได้
ขยับได้
พวกเราเรียกสิ่งนี้ว่า
สารประกอบ หรือโมเลกุล
มันประกอบขึ้นมาจาก 26 อะตอม
เชื่อมกันด้วยพันธะเคมี
การจัดเรียงตัวของอะตอมเหล่านี้
ทำให้เอพิเนฟรีนมีลักษณะเฉพาะ
แต่ว่าไม่เคยมีใครมองเห็นมันจริง ๆ
เพราะว่ามันเล็กมาก
ดังนั้นมันจึงเป็นการตีความทางศิลปะ
ผมอยากจะให้พวกคุณให้เห็น
ว่ามันเล็กแค่ไหน
ในหลอดนี้มีสารน้อยกว่าครึ่งมิลลิกรัม
ที่ละลายอยู่ในน้ำ
มีมวลเท่าเม็ดทรายหนึ่งเม็ด
เอพิเนฟรีนในหลอดนี้
มีจำนวนโมเลกุลหนึ่งล้านล้านล้านโมเลกุล
ซึ่งก็คือเลขศูนย์ 18 ตัว
เป็นตัวเลขที่ยากที่จะคิดภาพตาม
เรามีกันอยู่เจ็ดพันล้านคนบนโลก
อาจจะมีดาวสี่แสนล้านดวงในกาแล็กซี
นั่นยังไม่เข้าใกล้เลย
ถ้าคุณต้องการทราบปริมาณที่แน่ชัด
ให้คุณนึกถึงปริมาณเม็ดทรายทุกเม็ด
บนชายหาดทุกหาด
ทั้งที่อยู่ใต้มหาสมุทรและทะเลสาบทุกแห่ง
และย่อขนาดมันลงมาในหลอดนี้
เอพิเนฟรีนนั้นเล็กมาก
พวกเราไม่มีทางที่จะมองเห็นมัน
แม้แต่จะใช้กล้องจุลทรรศน์ก็ตาม
แต่พวกเรารู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง
เพราะมันแสดงตัวตน
ให้เราเห็นผ่านเครื่องมือที่ซับซ้อน
ที่มีชื่อสุดแฟนซีว่า
"นิวเคลียร์แมกเนติกเรโซแนนซ์
สเปกโทรมิเตอร์"
ไม่ว่าจะมองเห็นหรือไม่
พวกเรารู้จักโมเลกุลนี้เป็นอย่างดี
มันเกิดจากอะตอมสี่ชนิดที่แตกต่างกัน
ไฮโดรเจน คาร์บอน ออกซิเจน และไนโตรเจน
นี่คือสีที่นิยมใช้บ่งบอกแต่ละอะตอม
ทุกสิ่งในเอกภพ
ต่างก็เกิดจากทรงกลมเล็ก ๆ นี้
ที่เราเรียกว่าอะตอม
วัตถุดิบพื้นฐานพวกนี้
มีอยู่ประมาณร้อยชนิด
พวกมันประกอบมาจาก
อนุภาคพื้นฐานอีกสามชนิด
ได้แก่โปรตอน นิวตรอน
และอิเล็กตรอน
พวกเราจัดเรียงอะตอมเหล่านี้ออกมา
เป็นตารางที่คุ้นเคยกันดี
พวกเราตั้งชื่อและให้เลขประจำตัวแก่มัน
ตามที่พวกเรารู้กันดี
ชีวิตไม่ได้ต้องการทั้งหมดนี้
แค่ส่วนเล็ก ๆ แค่นั้น
และมีอะตอมอยู่สี่ชนิด
ที่โดดเด่นกว่าชนิดอื่น
ที่เป็นโครงสร้างหลักของชีวิต
และพวกมันคือพวกเดียวกับที่อยู่ในเอพิเนฟรีน
ไฮโดรเจน คาร์บอน ไนโตรเจน และออกซิเจน
สิ่งที่ผมจะบอกคุณต่อไปนี้เป็นหัวใจสำคัญ
เมื่ออะตอมเหล่านี้เชื่อมต่อกันเป็นโมเลกุล
มันจะเป็นไปตามกฎที่ตั้งไว้
ไฮโดรเจนสร้างได้หนึ่งพันธะ
ออกซิเจนจะต้องเป็นสองพันธะเสมอ
ไนโตรเจนสร้างสามพันธะ
และคาร์บอนสร้างได้สี่พันธะ
แค่นั้น
H O N C -- หนึ่ง สอง สาม สี่
ถ้าคุณนับได้ถึงสี่แล้วสะกดผิดเป็น "honk"
คุณจะจำได้ไปตลอดชีวิต
(เสียงหัวเราะ)
เอาล่ะ ตอนนี้เรามีวัตถุดิบสี่ถ้วย
เราสามารถนำมันมาสร้างโมเลกุลได้
มาเริ่มด้วยเอพิเนฟรีนดีกว่า
พันธะที่เชื่อมระหว่างอะตอม
เกิดจากอิเล็กตรอน
อะตอมใช้อิเล็กตรอนเป็นแขน
ในการจับกับอะตอมข้างๆ
อิเล็กตรอนสองตัวต่อหนึ่งพันธะ
เหมือนการจับมือ
และการจับมือมันไม่ถาวร
มันสามารถละจากกันเพื่อไปจับกับอะตอมอื่นต่อ
นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่าปฏิกิริยาเคมี
เมื่ออะตอมแลกคู่กัน
เพื่อสร้างโมเลกุลใหม่
แกนหลักของเอพิเนฟรีน
ประกอบด้วยคาร์บอนเป็นส่วนมาก
และนั่นเกิดขึ้นทั่วไป
คาร์บอนเป็นวัสดุโครงสร้าง
ที่สิ่งมีชีวิตโปรดปราน
เพราะว่ามันจับมือกันได้
ในจำนวนที่เหมาะสม
บวกกับความแข็งแรงในการจับที่พอเหมาะ
และนั่นคือเหตุผลที่เรานิยามเคมีอินทรีย์
ว่าเป็นการศึกษาโมเลกุลคาร์บอน
ถ้าเราสร้างโมเลกุลที่เล็กที่สุด
ที่สามารถคิดได้และเป็นไปตามกฎ
พวกมันให้ความสำคัญกับกฏ
และพวกมันมีชื่อที่คล้ายกัน
น้ำ แอมโมเนีย และมีเทน
H2O NH3 และ CH4
เราใช้ชื่ออะตอม "ไฮโดรเจน"
"ออกซิเจน" และ "ไนโตรเจน"
มาใช้กับโมเลกุลทั้งสามชนิด
ซึ่งมีสองอะตอมที่เหมือนกัน
และพวกมันยังคงเป็นไปตามกฎ
เนื่องจากมีหนึ่ง สอง และสามพันธะ
ภายในโมเลกุลของพวกมัน
นั่นคือสาเหตุที่เรียกออกซิเจนว่า O2
ผมจะแสดงการสันดาปให้พวกคุณดู
นี่คือคาร์บอนไดออกไซด์ CO2
วางน้ำและออกซิเจนไว้ข้างบนมันอีกที
ส่วนข้าง ๆ ให้เป็นเชื้อเพลิง
เชื้อเพลิงพวกนี้ประกอบด้วย
ไฮโดรเจนและคาร์บอน
นี่คือที่มาของชื่อไฮโดรคาร์บอน
มาจากความสร้างสรรค์ล้วน ๆ
(เสียงหัวเราะ)
ดังนั้นเมื่อพวกมันชนกับโมเลกุลออกซิเจน
เหมือนกับที่เกิดในเครื่องยนต์
หรือเตาบาร์บีคิวของคุณ
พวกมันจะปลดปล่อยพลังงานและรวมตัวกันใหม่
คาร์บอนทุก ๆ อะตอมจะลงเอยด้วย
การเป็นศูนย์กลางให้กับโมเลกุล CO2
คอยจับแขนออกซิเจนสองตัว
และไฮโดรเจนทั้งหมดจะเป็นส่วนหนึ่งของน้ำ
และมันเป็นไปตามกฎทุกอย่าง
ไม่มีข้อยกเว้น
แม้ว่าจะเป็นโมเลกุล
ที่มีขนาดใหญ่แค่ไหนก็ตาม
เช่นเดียวกับสามตัวนี้
นี่คือวิตามินที่พวกเรารู้จัก
วางอยู่ข้าง ๆ ยาขนานเอกของพวกเรา
(เสียงหัวเราะ)
ความเป็นมาของมอร์ฟีน
เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่สำคัญที่สุด
ในประวัติศาสตร์การแพทย์
มันเป็นยาตัวแแรก
ที่เอาชนะความเจ็บปวดทางกายได้
ทุก ๆ โมเลกุลมีความเป็นมา
และล้วนได้รับการเผยแพร่
มันถูกบันทึกโดยนักวิทยาศาสตร์
และอ่านโดยนักวิทยาศาสตร์
เราจึงมีข้อมูลที่พร้อมใช้งานมากมาย
จนวาดลงบนกระดาษได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งผมต้องสอนพวกคุณว่าควรทำยังไง
เริ่มจากวางเอพิเนฟรีนลงบนกระดาษ
จากนั้นแทนที่ลูกกลม ๆ ทั้งหมดด้วยตัวอักษร
และจากพันธะที่เคยวางตามแนวระนาบกระดาษ
ได้เปลี่ยนเป็นเส้นธรรมดา ๆ
พันธะที่เคยชี้ไปข้างหน้าและหลัง
ได้กลายเป็นสามเหลี่ยมเล็ก ๆ
ทั้งแบบทึบและแบบประ
เพื่อบอกความลึก
เราไม่วาดคาร์บอนลงไป
ซ่อนมันไว้ดีกว่า
เพื่อที่จะได้ประหยัดเวลา
มุมของพันธะบ่งชี้ชัดว่าเป็นคาร์บอน
เราไม่เขียนอะตอมไฮโดรเจน
ที่ทำพันธะกับคาร์บอน
เรารู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น
เมื่อไรก็ตามที่คาร์บอนหนึ่งตัว
มีน้อยกว่าสี่พันธะ
สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำคือ
พันธะระหว่าง OH และ NH
แค่เอามันออกไปทำให้ดูสะอาดตาขึ้น
และทั้งหมดก็มีแค่นี้
นี่คือวิธีการวาดโมเลกุล
ให้ได้อย่างมืออาชีพ
นี่คือสิ่งที่พวกคุณเห็นในวิกิพีเดีย
มันอาจจะใช้เวลาในการฝึกสักหน่อย
แต่ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถทำได้
แต่สำหรับวันนี้ นี่คือเอพิเนฟรีน
หรืออาจเรียกว่าอะดรีนาลีน
มันคือตัวเดียวกัน
ที่ถูกสร้างขึ้นจากต่อมหมวกไต
โมเลกุลนี้กำลังแหวกว่าย
อยู่ในร่างกายของทุกคน
มันเป็นโมเลกุลธรรมชาติ
เอพิเพนแค่เพิ่มมันเข้าไปอีกล้านล้านล้าน
โมเลกุลในเวลารวดเร็ว
(เสียงหัวเราะ)
พวกเราสามารถสกัดเอพิเนฟรีน
จากต่อมหมวกไตของแกะหรือวัว
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ได้มันมา
เราสร้างมันขึ้นมาในโรงงาน
โดยการต่อโมเลกุลเล็ก ๆ
ที่ส่วนมากได้มาจากปิโตรเลียมเข้าด้วยกัน
และนี่ได้มาจากการสังเคราะห์ 100 เปอร์เซ็นต์
คำว่า "สังเคราะห์"
อาจทำให้บางคนรู้สึกไม่สบายใจ
ไม่เหมือนกับคำว่า "ธรรมชาติ"
ที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย
แต่โมเลกุลทั้งสองแบบนี้
แทบแยกกันไม่ออกเลย
เราไม่ได้พูดถึงรถสองคันที่ออกมาจาก
โรงงานประกอบ
รถยนต์อาจมีรอยขีดข่วนได้บ้าง
แต่คุณขีดข่วนอะตอมไม่ได้
โมเลกุลคู่นี้เหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ
ด้วยเหตุผลในเชิงคณิตสาสตร์
ในระดับอะตอม
คณิตศาสตร์ใช้พิสูจน์ได้จริง
ไม่มีใครทราบประวัติความเป็นมา
ของโมเลกุลเอพิเนฟรีน
มันเป็นตามที่เห็นทุกวันนี้
และเมื่อคุณได้รับมันแล้ว
ไม่ว่าคำว่า "ธรรมชาติ" หรือ "สังเคราะห์"
ก็ไม่สำคัญทั้งนั้น
ธรรมชาติเองก็สังเคราะห์มันขึ้นมา
ในแบบเดียวกับที่เราทำ
เว้นแต่ว่าธรรมชาติถนัดในเรื่องนี้
ดีกว่าพวกเรา
ก่อนที่จะมีสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้
โมเลกุลทั้งหมดนั้นมีขนาดเล็กและเรียบง่าย
คาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ ไนโตรเจน
แค่สิ่งเรียบง่าย
การเกิดของสิ่งมีชีวิตทำให้มันเปลี่ยนไป
ชีวิตก่อให้เกิดโรงงานสังเคราะห์ทางชีวภาพ
ที่หล่อเลี้ยงด้วยแสงอาทิตย์
และภายในโรงงานแห่งนั้น
คือโมเลกุลเล็ก ๆ ที่พุ่งชนกัน
และกลายเป็นโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้น
คาร์โบไฮเดรต โปรตีน กรดนิวคลีอิก
เป็นการเพื่มจำนวนของการสร้างที่งดงาม
ธรรมชาติคือบรรพบุรุษของนักเคมีอินทรีย์
ผลงานของเธอช่วยเติมเต็มท้องฟ้า
ด้วยแก๊สออกซิเจนที่เราใช้หายใจ
ออกซิเจนที่มีพลังงานมากมายนี้
โมเลกุลทั้งหมดนี้
จะรวมกันกับพลังงานของดวงอาทิตย์
มันกักพลังงานราวกับแบตเตอรี่
ฉะนั้นธรรมชาติทำมาจากสารเคมี
บางที พวกคุณอาจช่วยผมกอบกู้คำว่า
"สารเคมี" กลับมา
เพราะว่ามันถูกขโมยไปจากพวกเรา
มันไม่ได้เป็นพิษ และไม่ได้มีอันตราย
มันไม่ได้สื่อว่าเป็นสิ่งของปลอม
หรือไม่เป็นธรรมชาติ
มันก็คือ
"สิ่งของทั่วไป" โอเคไหมครับ
(เสียงหัวเราะ)
มันไม่มีถ่านก้อนไหนปลอดสารเคมี
มันน่าตลก
(เสียงหัวเราะ)
และผมจะขอพูดอีกประโยค
คำว่า "ธรรมชาติ" ไม่ได้แปลว่า "ปลอดภัย"
เรื่องนี้คุณก็รู้
มีสารเคมีจากธรรมชาติเยอะแยะที่เป็นพิษ
และอีกมากมายที่รสชาติอร่อย
และอาจจะทั้งคู่
(เสียงหัวเราะ)
ทั้งเป็นพิษและอร่อย
ทางเดียวที่จะบอกว่าสิ่งนั้นอันตรายหรือไม่
คือต้องลอง
และผมไม่ได้หมายถึงให้พวกคุณลอง
เรามีผู้เชี่ยวชาญเรื่องความเป็นพิษ
พวกเขาถูกฝึกมาเป็นอย่างดี
คุณควรจะเชื่อใจพวกเขาอย่างที่ผมเชื่อ
โมเลกุลทางธรรมชาติมีอยู่ทั่วไป
รวมไปถึงพวกที่สลายตัวไปเป็นสารสีดำ
ที่เรียกว่าปิโตรเลียม
เรากลั่นโมเลกุลเหล่านี้
พวกมันไม่ได้มีอะไรที่ผิดธรรมชาติ
พวกเราแค่ทำให้บริสุทธิ์
ตอนนี้พวกเราพึ่งพามันเพื่อพลังงาน
นั่นหมายความว่า
ทุก ๆ อะตอมคาร์บอนจะถูกเปลี่ยนไปเป็น CO2
ซึ่งคือแก๊สเรือนกระจก
ที่ทำลายสภาพอากาศของเราอยู่ตอนนี้
บางทีความรู้ทางเคมี
ก็ทำให้การยอมรับความจริงเรื่องนี้ง่ายขึ้น
สำหรับบางคน ผมก็ไม่ทราบ
แต่โมเลกุลเหล่านี้ ไม่ใช่แค่พลังงานฟอสซิล
พวกมันยังเป็นวัตถุดิบที่ถูกที่สุด
ในการนำมาทำอะไรบางอย่างที่เรียกว่า
การสังเคราะห์
พวกเราเอามันมาใช้ราวกับเป็นชิ้นส่วนเลโก้
พวกเราเรียนรู้ว่าจะต่อมันเข้าด้วยกัน
หรือแยกมันออกจากกันยังไงภายใต้การควบคุม
ผมลองทำมาแล้วหลายรอบ
และยังคิดว่ามัน
เป็นเรื่องน่าทึ่งที่เป็นไปได้
สิ่งที่พวกเราทำเป็นเหมือนการต่อเลโก้
ซึ่งเราเทตัวต่อหลายกล่องลงในเครื่องซักผ้า
แต่มันได้ผล
เราสามารถสร้างโมเลกุลเหมือนกับที่
ธรรมชาติสร้างได้เป๊ะ ๆ อย่างเอพิเนฟรีน
เรายังสร้างชิ้นงานของเราเองได้
จากความกระเสือกกระสน เหมือนสองตัวนี้
หนึ่งในสองตัวนี้ช่วยหยุดอาการของ
โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
อีกตัวหนึ่งช่วยรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ที่เกิดจากเซลล์ที
เป็นโมเลกุลที่มีขนาดและรูปร่างเข้ากันเป๊ะ
เหมือนกับการไขกุญแจ
และเมื่อมันประกบพอดี
มันรบกวนสมบัติทางเคมีของโรค
นั่นคือการทำงานของยา
ไม่ว่าจะธรรมชาติหรือสังเคราะห์
พวกมันล้วนเป็นโมเลกุลที่เกิดขึ้นเพื่อ
ไปประกบเข้ากับอะไรสักอย่างพอดี
แต่ธรรมชาติถนัดเรื่องนี้มากกว่าพวกเรา
สิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นจึงน่าประทับใจกว่า
อย่างเช่นตัวนี้
นี่เรียกว่าแวนโคมัยซิน
ธรรมชาติมอบคลอรีนสองอะตอม
ให้กับเจ้ายักษ์ใหญ่ตัวนี้
ประดับราวกับเป็นต่างหู
เราค้นพบแวนโคมัยซินจากบ่อโคลนในป่า
ที่บอร์เนียวในปี ค.ศ. 1953
มันเกิดจากแบคทีเรีย
เราไม่สามารถสังเคราะห์สิ่งนี้ได้
มันต้องใช้เงินมหาศาล
มันซับซ้อนเกินความสามารถของพวกเรา
แต่พวกเราสามารถเก็บเกี่ยวมันจากธรรมชาติได้
และพวกเราก็ทำ เพราะว่ามันคือ
หนึ่งในยาปฏิชีวนะที่ทรงพลังที่สุด
และมีรายงานโมเลกุลใหม่ ๆ ในวารสารทุก ๆ วัน
พวกเราสร้างมันขึ้นมา หรือค้นพบมัน
ในทุกซอกทุกมุมของดาวดวงนี้
และนั่นคือที่ที่เราได้ยามา
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมหมอถึงมีพลังวิเศษ
(เสียงหัวเราะ)
เพื่อรักษาโรคติดเชื้อและอื่น ๆ
การเป็นหมอทุกวันนี้เหมือนกับการเป็นอัศวิน
ในชุดเกราะเปล่งประกาย
พวกเขาสู้ในสนามรบด้วยความกล้าและใจเย็น
พร้อมด้วยอาวุธที่พรั่งพร้อม
อย่าได้ลืมบทบาทของช่างตีเหล็กในรูปนี้ไป
ถ้าไม่มีช่างตีเหล็ก
หลาย ๆ อย่างอาจดูแตกต่างไป
(เสียงหัวเราะ)
แต่วิทยาศาสตร์แขนงนี้ไปไกลกว่าเรื่องหยูกยา
มันคือน้ำมัน ตัวทำละลาย สารให้รสชาติ
สิ่งทอ และพลาสติกทั้งหมด
เบาะที่พวกคุณนั่งทับอยู่ตอนนี้
ทั้งหมดล้วนผลิตขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์
และเกือบทั้งหมดเป็นคาร์บอน
ทำให้ทั้งหมดเป็นเคมีอินทรีย์
นี่คือความล้ำหน้าทางวิทยาศาสตร์
ผมมีสิ่งที่ยังไม่ได้พูดถึงอีกมากในวันนี้
ฟอสฟอรัส ซัลเฟอร์ และอะตอมอื่น ๆ
ทำไมพวกมันถึงทำพันธะในแบบที่ทำกันอยู่
ความสมมาตร
อิเล็กตรอนที่ไม่สร้างพันธะ
อะตอมที่มีประจุ
ปฏิกิริยาและกลไกของมัน
และอื่น ๆ อีกมากมาย
การสังเคราะห์ใช้เวลานานมากในการเรียนรู้
แต่ผมไม่ได้มาที่นี่
เพื่อสอนเคมีอินทรีย์แก่พวกคุณ
ผมแค่ต้องการแสดงให้เห็น
ผมได้รับความช่วยเหลืออย่างมากในวันนี้
จากชายหนุ่มที่ชื่อเวสตัน เดอร์แลนด์
และคุณเจอเขาแล้ว
เขาเป็นนักศึกษาปริญญาตรี สาขาเคมี
และเขาเหมือนจะเก่งในด้าน
คอมพิวเตอร์กราฟิกอีกด้วย
(เสียงหัวเราะ)
เวสตันออกแบบโมเลกุลที่เคลื่อนไหวทั้งหมด
ที่คุณเห็นในวันนี้
เขาและผมอยากสาธิตโดยใช้กราฟิกแบบนี้เพื่อ
ช่วยเหลือคนที่พูดเกี่ยวกับ
วิทยาศาสตร์อันซับซ้อนนี้
เป้าหมายของพวกเราคือต้องการให้พวกคุณเห็น
ว่าเคมีอินทรีย์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว
แกนหลักของมันเป็นเหมือนหน้าต่าง
ที่ทำให้โลกธรรมชาติอันงดงาม
ดูสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ขอบคุณครับ
(เสียงปรบมือ)