1 00:00:00,000 --> 00:00:03,000 หลายคนในที่นี้อาจเคยได้ยินเรื่องของนักขายสองคน 2 00:00:03,000 --> 00:00:06,000 ซึ่งเดินทางไปแอฟริกาในช่วง ค.ศ.1900 3 00:00:06,000 --> 00:00:08,000 ทั้งสองคนถูกส่งตัวไปสำรวจว่ามีโอกาส 4 00:00:08,000 --> 00:00:10,000 สำหรับขายรองเท้าหรือไม่ 5 00:00:10,000 --> 00:00:13,000 ทั้งสองส่งโทรเลขกลับไปที่เมืองแมนเชสเตอร์ 6 00:00:13,000 --> 00:00:17,000 คนแรกแจ้งว่า "ดูรูปการณ์แล้วหมดหวัง ไม่ต้องทำอะไรต่อแล้ว 7 00:00:17,000 --> 00:00:18,000 คนในประเทศนี้ไม่สวมรองเท้ากัน" 8 00:00:18,000 --> 00:00:21,000 ส่วนอีกคนรายงานว่า "นี่เป็นโอกาสทอง 9 00:00:21,000 --> 00:00:23,000 เพราะคนในประเทศนี้ยังไม่มีรองเท้าใส่เลย" 10 00:00:23,000 --> 00:00:24,000 (หัวเราะ) 11 00:00:24,000 --> 00:00:27,000 เวลานี้ สถานการณ์ในโลกของดนตรีคลาสสิกก็คล้ายๆ กัน 12 00:00:28,000 --> 00:00:29,000 เพราะมีบางคนที่คิดว่า 13 00:00:29,000 --> 00:00:32,000 ดนตรีคลาสสิกกำลังจะตาย 14 00:00:33,000 --> 00:00:36,000 แต่ก็มีพวกเราบางคนที่คิดว่า คุณยังไม่ได้เห็นอะไรเกี่ยวกับดนตรีคลาสสิกเลย 15 00:00:36,000 --> 00:00:40,000 และแทนที่ผมจะสาธยายสถิติตัวเลขและแนวโน้มต่างๆ 16 00:00:40,000 --> 00:00:42,000 และเล่าเรื่องวงออเคสตราที่กำลังต้องยุบวงและปิดตัว 17 00:00:42,000 --> 00:00:45,000 รวมถึงเหล่าบริษัทดนตรีที่กำลังจะเลิกกิจการ 18 00:00:45,000 --> 00:00:49,000 ผมคิดว่าคืนนี้เราควรมาทดลองอะไรกันสักหน่อย -- ทดลองดู 19 00:00:49,000 --> 00:00:53,000 จริงๆ ก็ไม่เชิงว่าทดลองหรอก เพราะผมรู้ว่าผลลัพธ์จะออกมายังไง 20 00:00:54,000 --> 00:00:56,000 แต่มันก็ให้อารมณ์คล้ายๆ กับการทดลองนั่นละ เอาละ ก่อนที่เรา -- 21 00:00:56,000 --> 00:01:00,000 (หัวเราะ) 22 00:01:00,000 --> 00:01:02,000 -- ก่อนจะเริ่ม ผมต้องทำสองอย่าง 23 00:01:02,000 --> 00:01:06,000 อย่างแรกคือ ผมอยากให้คุณเห็นภาพเด็กอายุ 7 ขวบ 24 00:01:07,000 --> 00:01:08,000 ว่าเขาเล่นเปียโนลักษณะไหน 25 00:01:08,000 --> 00:01:10,000 เด็กคนนี้อาจอยู่ที่บ้านคุณก็ได้ 26 00:01:11,000 --> 00:01:12,000 มันจะออกมาทำนองนี้ 27 00:01:12,000 --> 00:01:32,000 (เปียโน) 28 00:01:32,000 --> 00:01:34,000 ผมรู้ว่าพวกคุณบางคนจำเด็กคนนี้ได้ 29 00:01:34,000 --> 00:01:39,000 ทีนี้ถ้าเขาฝึกต่ออีกปีและเรียนเปียโนต่อ ตอนนี้เขาจะอายุ 8 ขวบ 30 00:01:39,000 --> 00:01:40,000 มันก็จะออกมาทำนองนี้ 31 00:01:40,000 --> 00:01:47,000 (เปียโน) 32 00:01:47,000 --> 00:01:50,000 แล้วถ้าฝึกต่ออีกปีและเรียนสูงขึ้นอีก ตอนนี้เขาอายุ 9 ขวบ 33 00:01:50,000 --> 00:01:56,000 (เปียโน) 34 00:01:56,000 --> 00:01:59,000 แล้วก็ฝึกต่ออีกปีและเรียนสูงขึ้นไปอีก ตอนนี้เขาก็อายุ 10 ขวบ 35 00:01:59,000 --> 00:02:06,000 (เปียโน) 36 00:02:06,000 --> 00:02:07,000 ถึงตอนนั้นพวกเด็กๆ ก็มักเลิกเล่นไปเอง 37 00:02:07,000 --> 00:02:09,000 (หัวเราะ) 38 00:02:09,000 --> 00:02:11,000 (ปรบมือ) 39 00:02:11,000 --> 00:02:13,000 ทีนี้ ถ้าคุณรออีกหน่อย ถ้ารออีกหนึ่งปี 40 00:02:14,000 --> 00:02:15,000 คุณจะได้ยินเสียงแบบนี้ 41 00:02:15,000 --> 00:02:24,000 (เปียโน) 42 00:02:24,000 --> 00:02:27,000 สิ่งที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่อย่างที่คุณคิด 43 00:02:27,000 --> 00:02:30,000 คือคุณอาจคิดว่า จู่ๆ เขาจะมีไฟกับมัน ใส่ใจจริงจัง 44 00:02:30,000 --> 00:02:33,000 กระตือรือร้น มีครูคนใหม่ ถึงวัยเจริญพันธุ์ หรืออะไรเทือกนี้ 45 00:02:33,000 --> 00:02:37,000 สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ คือ ความกระแทกกระทั้นจะลดลง 46 00:02:38,000 --> 00:02:39,000 นึกภาพออกมั้ย ตอนที่เขาเริ่มเล่นครั้งแรก 47 00:02:39,000 --> 00:02:41,000 ที่กระแทกลงไปทุกจังหวะโน้ต 48 00:02:42,000 --> 00:02:44,000 (เปียโน) 49 00:02:44,000 --> 00:02:46,000 ครั้งที่สองก็ยังกระแทกกระทั้นโน้ตเว้นโน้ต 50 00:02:47,000 --> 00:02:49,000 (เปียโน) 51 00:02:49,000 --> 00:02:50,000 คุณเห็นได้ถ้ามองที่หัวของผม 52 00:02:51,000 --> 00:02:52,000 (หัวเราะ) 53 00:02:52,000 --> 00:02:54,000 เด็ก 9 ขวบ ...9 ขวบ 54 00:02:54,000 --> 00:02:55,000 จะกระแทกลงไปทุกๆ 4 ตัวโน้ต 55 00:02:55,000 --> 00:02:57,000 (เปียโน) 56 00:02:58,000 --> 00:02:59,000 ส่วนเด็ก 10 ขวบจะกระแทกทุกๆ 8 ตัวโน้ต 57 00:02:59,000 --> 00:03:02,000 (เปียโน) 58 00:03:02,000 --> 00:03:04,000 เด็ก 11 ขวบจะกระแทกครั้งเดียวตลอดทั้งช่วง 59 00:03:04,000 --> 00:03:07,000 (เปียโน) 60 00:03:08,000 --> 00:03:10,000 ผมไม่รู้ว่าท่าทางของผมออกมาแบบนี้ได้ยังไง 61 00:03:10,000 --> 00:03:12,000 (หัวเราะ) 62 00:03:13,000 --> 00:03:15,000 ผมไม่ได้บอกให้ตัวเองโยกไหล่ ส่ายตัวไปมา 63 00:03:15,000 --> 00:03:17,000 เปล่าเลย ดนตรีขับดันให้ผมมีท่าทางแบบนี้เอง 64 00:03:17,000 --> 00:03:19,000 ผมถึงเรียกว่าเป็นการเล่นแบบบั้นท้ายข้างเดียว 65 00:03:19,000 --> 00:03:21,000 (เปียโน) 66 00:03:21,000 --> 00:03:22,000 หรือจะเป็นบั้นท้ายอีกข้างก็ได้ 67 00:03:22,000 --> 00:03:26,000 (เปียโน) 68 00:03:26,000 --> 00:03:29,000 คุณรู้มั้ย ครั้งนึงมีชายคนนึงได้ชมการบรรยายของผม 69 00:03:29,000 --> 00:03:30,000 ตอนที่ผมกำลังสอนนักเปียโนรุ่นเยาว์คนนึง 70 00:03:31,000 --> 00:03:33,000 ชายคนนั้นเป็นประธานบริษัทที่โอไฮโอ 71 00:03:33,000 --> 00:03:35,000 ส่วนผมก็ง่วนอยู่กับนักเปียโนวัยกระเตาะคนนี้ 72 00:03:36,000 --> 00:03:38,000 ผมพูดว่า "ปัญหาของเธอคือ เธอเป็นนักเปียโนสองบั้นท้าย 73 00:03:38,000 --> 00:03:40,000 เธอควรเป็นนักเปียโนบั้นท้ายเดียวรู้มั้ย" 74 00:03:40,000 --> 00:03:42,000 และผมจับตัวเขาให้อยู่ในท่าทางแบบนั้นขณะที่เขาเล่น 75 00:03:42,000 --> 00:03:44,000 แล้วเสียงดนตรีที่ออกมาก็พลิ้วไหวมีชีวิตขึ้นมาทันที มันโลดแล่นออกมาเอง 76 00:03:45,000 --> 00:03:47,000 ผู้ชมถึงกับครางฮือตอนที่ได้ยินความแตกต่าง 77 00:03:47,000 --> 00:03:49,000 ต่อมาผมได้รับจดหมายจากผู้ชายคนนี้ 78 00:03:49,000 --> 00:03:50,000 เขาเขียนว่า "ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก 79 00:03:50,000 --> 00:03:52,000 ผมกลับไปเปลี่ยนแนวทางบริษัทของผมใหม่หมด 80 00:03:53,000 --> 00:03:54,000 ให้กลายเป็นบริษัทบั้นท้ายเดียว" 81 00:03:54,000 --> 00:03:57,000 (หัวเราะ) 82 00:03:58,000 --> 00:04:00,000 ตอนนี้ อีกเรื่องที่ผมอยากทำคือ บอกบางสิ่งเกี่ยวกับตัวคุณให้คุณฟัง 83 00:04:00,000 --> 00:04:03,000 เชื่อว่าคงมีราวๆ 1,600 คน 84 00:04:03,000 --> 00:04:06,000 คำนวณคร่าวๆ ว่าอาจมีพวกคุณ 45 คน 85 00:04:06,000 --> 00:04:08,000 ที่หลงใหลดนตรีคลาสสิกเป็นชีวิตจิตใจ 86 00:04:09,000 --> 00:04:14,000 คุณเทิดทูนดนตรีคลาสสิก เวลาฟังวิทยุก็เปิดแต่คลื่นดนตรีคลาสสิก 87 00:04:14,000 --> 00:04:17,000 ในรถก็ยังมีซีดีดนตรีคลาสสิก แถมยังไปดูคอนเสิร์ตวงซิมโฟนี 88 00:04:17,000 --> 00:04:18,000 ลูกๆ ก็เล่นเครื่องดนตรีคลาสสิก 89 00:04:18,000 --> 00:04:20,000 คุณนึกภาพไม่ออกว่าชีวิตจะขาดดนตรีคลาสสิกได้อย่างไร 90 00:04:21,000 --> 00:04:23,000 นั่นคือกลุ่มแรก เป็นกลุ่มค่อนข้างเล็ก 91 00:04:23,000 --> 00:04:25,000 แล้วก็มีอีกกลุ่มหนึ่ง ...เป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น 92 00:04:25,000 --> 00:04:27,000 คนกลุ่มนี้ไม่รังเกียจดนตรีคลาสสิก 93 00:04:27,000 --> 00:04:28,000 (หัวเราะ) 94 00:04:28,000 --> 00:04:30,000 นึกภาพว่า คุณกลับมาถึงบ้านหลังจากตรากตรำมาทั้งวัน 95 00:04:30,000 --> 00:04:32,000 แล้วก็ไปรินไวน์มาแก้วนึง และนั่งยกขาพาด 96 00:04:33,000 --> 00:04:35,000 เสียงไวโอลินของวิวัลดีคลออยู่ใกล้ๆ ไม่ทำร้ายใครนี่นา 97 00:04:35,000 --> 00:04:36,000 (หัวเราะ) 98 00:04:36,000 --> 00:04:37,000 คนพวกนี้อยู่กลุ่มที่สอง 99 00:04:37,000 --> 00:04:38,000 ทีนี้มาถึงกลุ่มที่สาม 100 00:04:38,000 --> 00:04:40,000 เป็นพวกที่ไม่เคยฟังดนตรีคลาสสิกมาก่อน 101 00:04:40,000 --> 00:04:42,000 มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตคุณเลย 102 00:04:43,000 --> 00:04:45,000 คุณอาจได้ยินมันผ่านๆ เหมือนควันบุหรี่ของคนข้างตัวที่สนามบิน 103 00:04:45,000 --> 00:04:47,000 (หัวเราะ) 104 00:04:47,000 --> 00:04:48,000 -- หรืออาจเหมือนฉากสวนสนามของละครเรื่องไอดา 105 00:04:48,000 --> 00:04:51,000 ตอนเข้าชมการแสดงสด แต่ถ้าไม่นับเหตุบังเอิญเหล่านี้ คุณจะไม่เคยได้ยินมัน 106 00:04:52,000 --> 00:04:53,000 นี่อาจเป็นคนกลุ่มใหญ่สุด 107 00:04:53,000 --> 00:04:55,000 แต่ก็ยังมีกลุ่มที่เล็กมากๆ อีกกลุ่ม 108 00:04:55,000 --> 00:04:58,000 คนกลุ่มนี้คิดว่าตัวเองแยกจังหวะโน้ตไม่เป็น 109 00:04:58,000 --> 00:05:00,000 มีคนเยอะมากที่คิดว่าตัวเองเป็นแบบนี้ 110 00:05:01,000 --> 00:05:03,000 จริงๆ ผมได้ยินคำพูด "สามีฉันแยกจังหวะโน้ตไม่เป็น" บ่อยมาก 111 00:05:03,000 --> 00:05:04,000 (หัวเราะ) 112 00:05:04,000 --> 00:05:07,000 จริงๆ แล้วเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะแยกไม่เป็น ไม่มีใครที่แยกจังหวะโน้ตไม่เป็น 113 00:05:07,000 --> 00:05:10,000 ถ้าคุณแยกจังหวะโน้ตไม่ได้ คุณก็ต้องเปลี่ยนเกียร์รถไม่ได้ด้วย 114 00:05:10,000 --> 00:05:12,000 รถเกียร์กระปุกน่ะ 115 00:05:12,000 --> 00:05:14,000 คุณจะแยกความแตกต่างไม่ได้ 116 00:05:14,000 --> 00:05:16,000 ระหว่างชาวเท็กซัสและชาวโรม 117 00:05:16,000 --> 00:05:20,000 สำหรับโทรศัพท์ ถ้าคุณแม่ของคุณโทรมาหา 118 00:05:21,000 --> 00:05:23,000 โดยใช้โทรศัพท์คุณภาพแย่มาก โทรมาพูดว่า "ฮัลโหล" 119 00:05:23,000 --> 00:05:26,000 ไม่ใช่แค่คุณจะจำได้ว่าใครกำลังพูด แต่ยังรู้ว่าเธอกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน 120 00:05:27,000 --> 00:05:30,000 คุณมีหูที่มีคุณสมบัติเยี่ยมยอด ทุกคนมีหูที่มีคุณสมบัติสุดยอด 121 00:05:30,000 --> 00:05:32,000 ไม่มีใครที่แยกจังหวะโน้ตไม่ได้ 122 00:05:32,000 --> 00:05:36,000 แต่ผมอยากบอกว่า ผมจะไม่ยอมทนกับเรื่องนี้ 123 00:05:36,000 --> 00:05:39,000 กับการมีหุบเหวมโหฬารที่กั้นระหว่างคนที่เข้าใจ 124 00:05:40,000 --> 00:05:42,000 หลงรัก และดื่มด่ำเคลิบเคลิ้มกับดนตรีคลาสสิก 125 00:05:42,000 --> 00:05:45,000 กับคนที่ไม่ข้องแวะใดๆ กับมันเลย 126 00:05:45,000 --> 00:05:47,000 คนที่แยกจังหวะโน้ตไม่ออกนั้น ไม่มีอยู่อีกต่อไป 127 00:05:47,000 --> 00:05:51,000 แต่แม้ในหมู่สามกลุ่มที่เหลือ ก็ถือว่ายังมีช่องว่างที่กว้างเกินไปอยู่ดี 128 00:05:51,000 --> 00:05:55,000 เพราะฉะนั้น ผมจะไม่รามือจนกว่าทุกคนในห้องนี้ 129 00:05:55,000 --> 00:06:00,000 ทั้งที่อยู่ด้านล่างและในเอสเพ็น รวมถึงทุกคนที่กำลังชม 130 00:06:01,000 --> 00:06:04,000 จะหันมารักและเข้าใจดนตรีคลาสสิก 131 00:06:04,000 --> 00:06:06,000 นี่คือเรื่องที่พวกเรากำลังจะทำกัน 132 00:06:07,000 --> 00:06:12,000 คุณอาจสังเกตว่า ผมไม่มีความลังเลสงสัยเลย 133 00:06:12,000 --> 00:06:15,000 ว่าผลลัพธ์ต้องออกมาตามนั้น สีหน้าของผมบอกอย่างนั้นใช่มั้ย 134 00:06:15,000 --> 00:06:19,000 คุณสมบัติหนึ่งของผู้นำคือ เขาจะไม่ลังเลสงสัย 135 00:06:19,000 --> 00:06:22,000 แม้เสี้ยววินาที ในความสามารถของผู้คนที่เขากำลังนำอยู่ 136 00:06:23,000 --> 00:06:25,000 ในการบรรลุสิ่งใดก็ตามที่ผู้นำวาดภาพฝันไว้ 137 00:06:25,000 --> 00:06:28,000 ลองนึกภาพว่าถ้าหาก มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ประกาศว่า "ผมมีความฝัน 138 00:06:28,000 --> 00:06:30,000 แต่ผมไม่มั่นใจหรอกว่า ประชาชนจะทำได้หรือเปล่า" 139 00:06:30,000 --> 00:06:33,000 (หัวเราะ) 140 00:06:34,000 --> 00:06:36,000 เอาละ ผมกำลังจะเล่นเพลงเพลงนึงของโชแปง 141 00:06:36,000 --> 00:06:41,000 บทโหมโรงที่งดงามไพเราะ ประพันธ์โดยโชแปง พวกคุณบางคนคงรู้จัก 142 00:06:42,000 --> 00:07:10,000 (ดนตรี) 143 00:07:10,000 --> 00:07:12,000 คุณรู้มั๊ยครับว่า เมื่อครู่ผมคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนในห้องนี้ 144 00:07:13,000 --> 00:07:15,000 ตอนที่ผมเริ่ม พวกคุณคงคิดว่า "ไพเราะเหลือเกิน" 145 00:07:15,000 --> 00:07:28,000 (ดนตรี) 146 00:07:29,000 --> 00:07:30,000 "แต่คิดว่าเราอย่าไปที่เดียวกัน... 147 00:07:30,000 --> 00:07:32,000 ในช่วงพักร้อนปีหน้าเลยนะ" 148 00:07:32,000 --> 00:07:35,000 (หัวเราะ) 149 00:07:35,000 --> 00:07:38,000 ตลกใช่มั้ย มันตลกมากที่ความคิดทำนองนี้ 150 00:07:38,000 --> 00:07:41,000 วนเวียนอยู่ในหัวคุณ 151 00:07:41,000 --> 00:07:42,000 และก็แน่นอน -- 152 00:07:42,000 --> 00:07:45,000 (ปรบมือ) 153 00:07:45,000 --> 00:07:47,000 -- แน่นอนว่า ถ้าเพลงนั้นยาวมาก และคุณก็เหนื่อยมาทั้งวัน 154 00:07:48,000 --> 00:07:49,000 คุณก็อาจผลอยหลับไป 155 00:07:49,000 --> 00:07:51,000 แล้วเพื่อนก็จะเอาศอกถองตัวคุณ 156 00:07:51,000 --> 00:07:55,000 และบอกว่า "ตื่นๆ! นี่มันวัฒนธรรมนะ!" ซึ่งทำให้คุณรู้สึกแย่ขึ้นไปอีก 157 00:07:55,000 --> 00:07:58,000 แต่คุณเคยฉุกคิดมั้ยว่า เหตุผลที่คุณรู้สึกง่วง 158 00:07:59,000 --> 00:08:01,000 ตอนฟังเพลงคลาสสิกนั้น ไม่ใช่ความผิดของคุณ แต่เป็นของพวกเราเอง 159 00:08:01,000 --> 00:08:03,000 ขณะที่ผมเล่น มีใครคิดบ้างมั้ยว่า 160 00:08:03,000 --> 00:08:05,000 "ทำไมหมอนี้ถึงกระแทกกระทั้นหลายจังหวะเหลือเกิน" 161 00:08:05,000 --> 00:08:08,000 ถ้าผมเล่นเพลงนี้ด้วยหัว คุณจะต้องคิดอย่างนั้นแน่ๆ 162 00:08:09,000 --> 00:08:14,000 (ดนตรี) 163 00:08:14,000 --> 00:08:18,000 และตลอดชีวิตที่เหลือ ทุกครั้งที่คุณได้ยินดนตรีคลาสสิก 164 00:08:18,000 --> 00:08:22,000 คุณจะคิดอย่างนั้นเสมอ เมื่อไหร่ที่คุณได้ยินจังหวะกระแทกกระทั้น 165 00:08:22,000 --> 00:08:24,000 มาดูว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่ตอนนี้ 166 00:08:24,000 --> 00:08:29,000 นี่คือโน้ต B ส่วนโน้ตถัดไปก็คือ C 167 00:08:29,000 --> 00:08:32,000 และหน้าที่ของโน้ต C ก็คือ ทำให้โน้ต B เศร้า ..ใช่มั้ยครับ 168 00:08:32,000 --> 00:08:35,000 (หัวเราะ) 169 00:08:35,000 --> 00:08:37,000 นักแต่งเพลงจะรู้ดี ว่าถ้าอยากให้ดนตรีออกมาเศร้าสร้อย 170 00:08:37,000 --> 00:08:38,000 ก็ให้เล่นโน้ต 2 ตัวนี้ 171 00:08:38,000 --> 00:08:43,000 (ดนตรี) 172 00:08:43,000 --> 00:08:45,000 แต่หลักๆ มันมีแค่โน้ต B ตัวเดียว กับความเศร้า 4 แบบ 173 00:08:45,000 --> 00:08:47,000 (หัวเราะ) 174 00:08:48,000 --> 00:08:53,000 ทีนี้ มันไปถึงโน้ต A ..สู่โน้ต G ..แล้วก็โน้ต F 175 00:08:53,000 --> 00:08:57,000 ตอนนี้ก็เป็นโน้ต B, A, G, F และถ้าเป็นโน้ต B, A, G, F แล้ว 176 00:08:58,000 --> 00:09:04,000 โน้ตตัวไหนจะตามมา? โอ นั่นอาจเป็นเรื่องบังเอิญ 177 00:09:04,000 --> 00:09:10,000 ลองอีกรอบ กับคณะประสานเสียง TED 178 00:09:10,000 --> 00:09:13,000 (หัวเราะ) 179 00:09:13,000 --> 00:09:17,000 และคุณก็รู้แล้วว่าไม่มีใครที่แยกจังหวะโน้ตไม่เป็น ..ถูกต้องมั้ย 180 00:09:17,000 --> 00:09:19,000 รู้มั้ยว่า ทุกหมู่บ้านในบังกลาเทศ 181 00:09:19,000 --> 00:09:24,000 ทุกหมู่บ้านในเมืองจีน ...ทุกคนรู้หมด 182 00:09:25,000 --> 00:09:28,000 ดา ดา ดา ดา -- ดา ..ทุกคนรู้ว่ามันต้องลงด้วยโน้ต E 183 00:09:28,000 --> 00:09:31,000 แต่โชแปงยังไม่อยากไปถึงโน้ต E 184 00:09:32,000 --> 00:09:34,000 เพราะจะเกิดอะไรขึ้น? เพลงมันจะจบน่ะสิ เหมือนกับแฮมเล็ต 185 00:09:34,000 --> 00:09:36,000 คุณจำแฮมเล็ตได้มั้ย องก์แรก ฉากที่สาม 186 00:09:37,000 --> 00:09:38,000 แฮมเล็ตได้รู้ว่า ลุงของเขาเป็นคนฆ่าพ่อ 187 00:09:38,000 --> 00:09:40,000 คุณจำได้ว่าเขาเอาแต่ตามล่าหาตัวลุง 188 00:09:40,000 --> 00:09:41,000 และเกือบจะฆ่าลุงด้วย แต่แล้วก็ถอย 189 00:09:41,000 --> 00:09:44,000 และก็ตามล่าลุงอีก และก็เกือบได้ฆ่าอีก 190 00:09:44,000 --> 00:09:46,000 พวกนักวิจารณ์ ซึ่งทั้งหมดนั่งอยู่แถวหลัง 191 00:09:46,000 --> 00:09:49,000 ออกความเห็นว่า "แฮมเล็ตเป็นคนที่ชอบผลัดวันประกันพรุ่ง" 192 00:09:49,000 --> 00:09:50,000 (หัวเราะ) 193 00:09:50,000 --> 00:09:52,000 หรือไม่ก็บอกว่า "แฮมเล็ตมีปมโอดิปุส" 194 00:09:53,000 --> 00:09:56,000 ไม่ใช่เลย แต่เพราะถ้าทำอย่างนั้นละครจะจบต่างหาก ไอ้พวกโง่ 195 00:09:56,000 --> 00:09:58,000 นั่นคือเหตุผลที่เชคสเปียร์ใส่รายละเอียดพวกนั้นลงไปในแฮมเล็ต 196 00:09:59,000 --> 00:10:01,000 มีเรื่องสาวน้อยโอฟิเลียที่กลายเป็นบ้า เป็นเรื่องที่ซ้อนอยู่อีกชั้นนึง 197 00:10:01,000 --> 00:10:02,000 มีเรื่องกะโหลกของโยริค และพวกสัปเหร่อ 198 00:10:03,000 --> 00:10:06,000 ทั้งหมดนี้เพื่อถ่วงเวลาไว้ -- จนถึงองก์ที่ 5 เขาถึงฆ่าลุงได้ 199 00:10:06,000 --> 00:10:11,000 เพลงของโชแปงก็ไม่ต่างกัน เขาเกือบถึงโน้ต E แล้ว 200 00:10:11,000 --> 00:10:13,000 แต่เขาบอกว่า "เดี๋ยวก่อน กลับไปเริ่มใหม่ดีกว่า" 201 00:10:13,000 --> 00:10:16,000 แล้วเขาก็กลับไปเริ่มใหม่ 202 00:10:17,000 --> 00:10:20,000 ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นแล้ว...นั่นคือการเร้าอารมณ์ 203 00:10:20,000 --> 00:10:21,000 คุณไม่ต้องไปกังวลอะไรกับมัน 204 00:10:22,000 --> 00:10:24,000 ตอนนี้ลงมาถึงโน้ต F# และในที่สุดก็ถึงโน้ต E 205 00:10:24,000 --> 00:10:27,000 แต่มันผิดคอร์ด เพราะคอร์ดที่เขาต้องการ 206 00:10:28,000 --> 00:10:31,000 คือคอร์ดนี้ แต่เขาก็ยังให้ออกมาแบบนั้น 207 00:10:31,000 --> 00:10:35,000 ซึ่งเราเรียกว่า การไต่ระดับโน้ตลงแบบลวง เพราะว่ามันหลอกเรา 208 00:10:36,000 --> 00:10:38,000 ผมบอกนักเรียนเสมอว่า "ถ้าคุณได้ยินการไต่ระดับโน้ตลงมา.. 209 00:10:38,000 --> 00:10:40,000 อย่าลืมยักคิ้วนะ ทุกคนจะได้รู้" 210 00:10:40,000 --> 00:10:43,000 (หัวเราะ) 211 00:10:43,000 --> 00:10:46,000 (ปรบมือ) 212 00:10:47,000 --> 00:10:49,000 ตอนนี้เขามาถึงโน้ต E แล้ว แต่มันผิดคอร์ด 213 00:10:49,000 --> 00:10:52,000 เขาเล่นโน้ต E อีกรอบ มันก็ยังไม่ใช่อยู่ดี 214 00:10:52,000 --> 00:10:55,000 แต่ก็ยังเล่นโน้ต E มันก็ยังไม่ใช่อยู่ดี 215 00:10:55,000 --> 00:10:57,000 แต่ก็ยังเล่นโน้ต E ต่ออีก มันก็ยังไม่ใช่อีก 216 00:10:58,000 --> 00:11:01,000 และในที่สุด.... 217 00:11:01,000 --> 00:11:05,000 มีผู้ชายที่นั่งแถวหน้าส่งเสียง "เฮ่อออ" 218 00:11:06,000 --> 00:11:08,000 เป็นอาการเดียวกับที่เขาทำตอนกลับถึงบ้าน 219 00:11:08,000 --> 00:11:11,000 หลังเหนื่อยมาทั้งวัน ดับเครื่องรถยนต์ และพูดว่า 220 00:11:12,000 --> 00:11:15,000 "อาา ถึงบ้านเสียที" เพราะเราทุกคนรู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน 221 00:11:15,000 --> 00:11:18,000 ดนตรีช่วงนี้จึงเป็นการเดินทางกลับบ้าน 222 00:11:18,000 --> 00:11:20,000 ซึ่งผมกำลังจะเล่นเพลงนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ 223 00:11:20,000 --> 00:11:23,000 คุณจะได้ติดตามโน้ต B, C, B, C, B, C, B -- 224 00:11:23,000 --> 00:11:25,000 ไต่ไปถึง A ...ลงไปถึง G และถึง F 225 00:11:25,000 --> 00:11:27,000 เกือบจะถึงโน้ต E แล้ว แต่นั่นจะทำให้เพลงจบลง 226 00:11:28,000 --> 00:11:30,000 เขาจึงย้อนกลับไปที่โน้ต B อีก เขาตื่นเต้นมาก ไปที่โน้ต F# แล้วไปที่ E 227 00:11:30,000 --> 00:11:32,000 ซึ่งเป็นคอร์ดที่ผิด มันผิดคอร์ด ไม่ใช่คอร์ดนี้ 228 00:11:33,000 --> 00:11:35,000 จนสุดท้ายก็มาถึงโน้ต E ..กลับถึงบ้านเสียที 229 00:11:35,000 --> 00:11:38,000 และที่คุณกำลังจะได้ชม คือการเล่นแบบบั้นท้ายเดียว 230 00:11:38,000 --> 00:11:41,000 (หัวเราะ) 231 00:11:41,000 --> 00:11:43,000 เพราะสำหรับผม การจะดื่มด่ำช่วงโน้ต B ถึง E 232 00:11:44,000 --> 00:11:49,000 ผมต้องหยุดคิดเรื่องโน้ตทุกๆ ตัวที่ปรากฏระหว่างทาง 233 00:11:49,000 --> 00:11:54,000 และเริ่มนึกถึงการเดินทางแสนยาวไกลจากโน้ต B ถึง E 234 00:11:55,000 --> 00:11:59,000 เราเพิ่งพูดถึงแอฟริกา และคุณก็ไม่อาจไปเยือนประเทศนี้ 235 00:11:59,000 --> 00:12:02,000 โดยไม่คิดถึงแมนเดลาที่ต้องถูกจองจำอยู่ถึง 27 ปีได้ 236 00:12:03,000 --> 00:12:05,000 เขาคิดเรื่องอะไรอยู่ในตอนนั้น อาหารเที่ยง? 237 00:12:05,000 --> 00:12:08,000 เปล่าเลย เขาคิดเรื่องวิสัยทัศน์สำหรับแอฟริกา 238 00:12:09,000 --> 00:12:10,000 และสำหรับเพื่อนมนุษย์ นั่นคือสิ่งที่อยู่ในหัวเขา 239 00:12:10,000 --> 00:12:13,000 นี่คือเรื่องของวิสัยทัศน์ เรื่องของการเดินทางยาวไกล 240 00:12:13,000 --> 00:12:15,000 ดุจนกโผบินอยู่เหนือพื้นดิน 241 00:12:15,000 --> 00:12:19,000 และไม่สนใจแนวรั้วเบื้องล่าง โอเคนะครับ? 242 00:12:19,000 --> 00:12:22,000 ตอนนี้คุณกำลังจะติดตามการเดินทางจากโน้ต B ถึง E 243 00:12:22,000 --> 00:12:26,000 แต่ผมอยากขออะไรสักอย่าง ก่อนจะเล่นเพลงนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ 244 00:12:26,000 --> 00:12:31,000 อยากให้คุณนึกภาพคนที่คุณรักดั่งดวงใจ ผู้ซึ่งจากคุณไปแล้ว 245 00:12:31,000 --> 00:12:34,000 คุณยาย คนรัก 246 00:12:35,000 --> 00:12:38,000 คนที่ในชีวิตของคุณนั้น คุณรักเขาหมดใจ 247 00:12:38,000 --> 00:12:41,000 แต่คนๆ นั้นไม่ได้อยู่กับคุณอีกแล้ว 248 00:12:42,000 --> 00:12:45,000 นำคนๆ นั้นมาแนบใจคุณตอนนี้ และขณะเดียวกัน 249 00:12:45,000 --> 00:12:49,000 ก็ติดตามการเดินทางจากโน้ต B ถึง E 250 00:12:49,000 --> 00:12:57,000 และคุณจะได้ยินทุกสิ่งที่โชแปงอยากจะบอก 251 00:12:57,000 --> 00:14:48,000 (ดนตรี) 252 00:14:48,000 --> 00:14:55,000 (ปรบมือ) 253 00:14:55,000 --> 00:15:00,000 ตอนนี้คุณอาจกำลังสงสัย 254 00:15:00,000 --> 00:15:06,000 คุณอาจสงสัยว่าผมปรบมือทำไม 255 00:15:06,000 --> 00:15:08,000 คือว่า ผมทำแบบนี้ที่โรงเรียนหนึ่งในบอสตัน 256 00:15:08,000 --> 00:15:12,000 กับเด็กชั้นมัธยมหนึ่งประมาณ 70 คน อายุราว 12 ขวบ 257 00:15:12,000 --> 00:15:14,000 ผมทำเหมือนที่ทำต่อหน้าพวกคุณเปี๊ยบ และก็บอกพวกเด็กๆ 258 00:15:14,000 --> 00:15:15,000 อธิบายให้พวกเขาฟัง เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง 259 00:15:15,000 --> 00:15:17,000 และพอถึงช่วงสุดท้าย พวกเขามีอารมณ์ร่วมมาก พวกเขาปรบมือ 260 00:15:18,000 --> 00:15:19,000 ผมปรบมือ พวกเด็กๆ ก็ปรบมือ 261 00:15:19,000 --> 00:15:21,000 สุดท้ายผมก็พูดขึ้นว่า "ผมปรบมือทำไมรู้มั้ย" 262 00:15:21,000 --> 00:15:22,000 มีเด็กคนนึงตอบว่า "เพราะพวกเรากำลังฟังอยู่ไง" 263 00:15:22,000 --> 00:15:27,000 (หัวเราะ) 264 00:15:28,000 --> 00:15:30,000 คิดดูสิครับ มีอยู่ 1,600 คน ซึ่งมีชีวิตที่ยุ่งวุ่นวาย 265 00:15:30,000 --> 00:15:32,000 แต่ละคนก็มีชีวิตในแบบที่แตกต่างกันไปสารพัด 266 00:15:33,000 --> 00:15:39,000 ต่างกำลังฟัง เข้าใจ และจิตใจสั่นไหว ไปกับดนตรีของโชแปง 267 00:15:39,000 --> 00:15:40,000 น่าทึ่งใช่ไหมครับ 268 00:15:40,000 --> 00:15:43,000 ทีนี้ถามว่า ผมมั่นใจหรือเปล่าว่าทุกคนจะเป็นอย่างนั้น 269 00:15:43,000 --> 00:15:45,000 เข้าใจและตื้นตันใจไปกับเสียงดนตรีนั้น แน่นอนว่าผมไม่มั่นใจหรอก 270 00:15:46,000 --> 00:15:47,000 แต่ผมจะบอกคุณว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม 271 00:15:47,000 --> 00:15:50,000 ผมอยู่ในไอร์แลนด์ช่วงที่บ้านเมืองปั่นป่วนเมื่อ 10 ปีก่อน 272 00:15:50,000 --> 00:15:53,000 และกำลังทำงานร่วมกับเด็กๆ ชาวคาทอลิกและโปรเตสแตนท์ 273 00:15:53,000 --> 00:15:57,000 งานด้านการแก้ปัญหาความขัดแย้ง และผมก็ทำแบบนี้กับพวกเขา 274 00:15:58,000 --> 00:16:00,000 ถือว่าเสี่ยงเอาการ เพราะเป็นเด็กเร่ร่อนตามท้องถนน 275 00:16:00,000 --> 00:16:03,000 มีเด็กคนนึงเข้ามาหาผมตอนเช้าวันรุ่งขึ้น และบอกว่า 276 00:16:04,000 --> 00:16:07,000 "รู้มั้ยครับ ผมไม่เคยฟังเพลงคลาสสิกมาก่อนเลยในชีวิต 277 00:16:07,000 --> 00:16:08,000 แต่ตอนที่คุณเล่นดนตรีช้อปปิ้ง" 278 00:16:08,000 --> 00:16:11,000 (หัวเราะ) 279 00:16:11,000 --> 00:16:15,000 เขาบอกว่า "พี่ชายผมโดนยิงเมื่อปีก่อน และผมก็ไม่เคยร้องไห้ให้กับเขา 280 00:16:16,000 --> 00:16:17,000 แต่เมื่อคืนตอนที่คุณเล่นเพลงนั้น 281 00:16:17,000 --> 00:16:20,000 เขาคือคนที่ผมนึกถึง 282 00:16:20,000 --> 00:16:22,000 และน้ำตาผมก็ไหลอาบแก้ม 283 00:16:22,000 --> 00:16:25,000 และคุณรู้มั้ยว่า มันรู้สึกดีมากๆ ที่ได้ร้องไห้ให้กับพี่ชายของผม" 284 00:16:25,000 --> 00:16:27,000 ผมเลยตั้งปณิธานตั้งแต่เดี๋ยวนั้น 285 00:16:27,000 --> 00:16:34,000 ว่าดนตรีคลาสสิกจะต้องมีไว้เพื่อทุกคน ..ทุกๆ คน 286 00:16:35,000 --> 00:16:37,000 ทีนี้คุณจะใช้ชีวิตยังไง -- เพราะคุณก็รู้ 287 00:16:37,000 --> 00:16:41,000 อาชีพของผม อาชีพทางด้านดนตรีไม่ได้มองแบบนี้ 288 00:16:41,000 --> 00:16:44,000 พวกเขาบอกว่า มีประชากรราว 3% ที่ชื่นชอบดนตรีคลาสสิก 289 00:16:44,000 --> 00:16:48,000 ถ้าเราเพิ่มจำนวนเป็น 4% ได้ ปัญหาของเราก็จบ 290 00:16:49,000 --> 00:16:52,000 ผมบอกว่า "คุณจะทำตัวยังไง จะพูดจาแบบไหน จะเป็นคนแบบไหน 291 00:16:52,000 --> 00:16:55,000 ถ้าคุณคิดว่ามีประชากร 3% ที่ชอบดนตรีคลาสสิก 292 00:16:56,000 --> 00:16:58,000 และถ้าเราจะเพิ่มเป็น 4% คุณจะทำตัวยังไง 293 00:16:58,000 --> 00:17:00,000 จะพูดจาแบบไหน จะเป็นคนแบบไหน 294 00:17:00,000 --> 00:17:02,000 ถ้าคุณคิดว่าคนทุกคนหลงรักดนตรีคลาสสิก -- 295 00:17:02,000 --> 00:17:04,000 เพียงแต่พวกเขายังไม่รู้จักมัน" 296 00:17:04,000 --> 00:17:05,000 (หัวเราะ) 297 00:17:05,000 --> 00:17:07,000 เห็นมั้ยครับว่า มันเป็นคนละโลกกันเลย 298 00:17:08,000 --> 00:17:11,000 ผมมีประสบการณ์น่าทึ่งอยู่เรื่องนึง ตอนอายุ 45 ปี 299 00:17:11,000 --> 00:17:16,000 เวลานั้นผมทำหน้าที่นำวงมา 20 ปีแล้ว และจู่ๆ ผมก็ตระหนักถึงบางสิ่ง 300 00:17:17,000 --> 00:17:20,000 ว่าผู้นำวงไม่ได้เป็นคนที่ทำให้เสียงดนตรีเกิดขึ้น 301 00:17:20,000 --> 00:17:22,000 มีรูปของผมอยู่ตรงหน้าปกซีดี 302 00:17:22,000 --> 00:17:25,000 (หัวเราะ) 303 00:17:25,000 --> 00:17:27,000 -- แต่ผู้นำวงไม่ได้เป็นคนทำให้เกิดเสียงขึ้นมา 304 00:17:28,000 --> 00:17:32,000 พลังของเขามาจากการที่เขาสามารถทำให้คนอื่นๆ มีพลัง 305 00:17:32,000 --> 00:17:36,000 และนั่นคือประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผม มันเปลี่ยนชีวิตผมไปอย่างสิ้นเชิง 306 00:17:37,000 --> 00:17:38,000 คนในวงออเคสตราเข้ามาถามว่า 307 00:17:38,000 --> 00:17:40,000 "เบน เกิดอะไรขึ้น" นั่นละคือสิ่งที่เกิดขึ้น 308 00:17:40,000 --> 00:17:45,000 ผมตระหนักว่า หน้าที่ของผมคือการปลุกความเป็นไปได้ในตัวคนอื่นๆ 309 00:17:45,000 --> 00:17:48,000 แน่นอนครับ ผมอยากรู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าที่นั้นอยู่หรือเปล่า 310 00:17:48,000 --> 00:17:51,000 คุณจะมีวิธีรู้ได้ยังไงรู้มั้ย คุณก็มองตาพวกเขา 311 00:17:51,000 --> 00:17:55,000 ถ้าดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย คุณก็รู้ได้ว่าตัวเองกำลังทำอยู่ 312 00:17:56,000 --> 00:17:57,000 คุณปลุกชีวิตคนทั้งกลุ่มได้ด้วยดวงตาของผู้ชายคนนี้ 313 00:17:57,000 --> 00:17:59,000 (หัวเราะ) 314 00:17:59,000 --> 00:18:01,000 เพราะฉะนั้น ถ้าดวงตาเป็นประกาย แสดงว่าคุณกำลังทำหน้าที่นั้นอยู่ 315 00:18:01,000 --> 00:18:04,000 ถ้าดวงตาไม่เป็นประกาย คุณต้องถามคำถามนึง 316 00:18:04,000 --> 00:18:05,000 คำถามนั้นคือ 317 00:18:05,000 --> 00:18:11,000 ฉันกำลังเป็นคนแบบไหน ถึงทำให้ดวงตาพวกเขาไม่เป็นประกาย? 318 00:18:12,000 --> 00:18:13,000 คุณทำแบบนี้กับลูกๆ ของคุณก็ได้ 319 00:18:13,000 --> 00:18:18,000 ฉันกำลังเป็นคนแบบไหน ถึงทำให้ดวงตาพวกเขาไม่เป็นประกาย? 320 00:18:19,000 --> 00:18:21,000 นั่นจะเป็นโลกที่ต่างไปอย่างสิ้่นเชิง 321 00:18:21,000 --> 00:18:26,000 ตอนนี้เรากำลังจะจบสัปดาห์อันแสนวิเศษ หนึ่งสัปดาห์บนภูเขา 322 00:18:27,000 --> 00:18:28,000 และกำลังจะหวนคืนสู่โลกปกติ 323 00:18:28,000 --> 00:18:32,000 ผมอยากบอกว่า เราสมควรถามคำถามนี้ นั่นคือ 324 00:18:32,000 --> 00:18:37,000 "เรากำลังเป็นคนแบบไหนในเวลาที่กลับไปใช้ชีวิตในโลก?" 325 00:18:37,000 --> 00:18:39,000 คุณรู้มั้ยว่า ผมมีนิยามของความสำเร็จอยู่อันนึง 326 00:18:40,000 --> 00:18:42,000 สำหรับผมมันเรียบง่ายมาก มันไม่ใช่ความร่ำรวย ชื่อเสียง อำนาจ 327 00:18:42,000 --> 00:18:45,000 แต่นิยามนั้นคือ มีดวงตาที่เป็นประกายมากแค่ไหนรอบตัวผม 328 00:18:46,000 --> 00:18:49,000 ทีนี้ผมอยากฝากความคิดสุดท้าย ซึ่งก็คือ 329 00:18:49,000 --> 00:18:52,000 สิ่งที่เราพูดนั้นสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้จริงๆ 330 00:18:52,000 --> 00:18:54,000 ถ้อยคำที่ออกมาจากปากของเรา 331 00:18:54,000 --> 00:18:58,000 ผมเรียนรู้เรื่องนี้จากหญิงที่รอดชีวิตจากค่ายนาซีเอาชวิตซ์ 332 00:18:58,000 --> 00:18:59,000 เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตไม่กี่ราย 333 00:18:59,000 --> 00:19:03,000 ตอนที่ถูกส่งตัวไปที่นั่น เธออายุ 15 ปี 334 00:19:04,000 --> 00:19:11,000 เธอมีน้องชายอายุ 8 ขวบ ทั้งคู่พลัดหลงจากพ่อแม่ 335 00:19:11,000 --> 00:19:16,000 เธอเล่าให้ผมฟังว่า 336 00:19:16,000 --> 00:19:19,000 "เราอยู่ในขบวนรถไฟที่กำลังไปค่ายเอาชวิทซ์ สายตาฉันมองลงต่ำ 337 00:19:19,000 --> 00:19:21,000 เห็นว่ารองเท้าของน้องชายหายไป 338 00:19:22,000 --> 00:19:25,000 ฉันเลยพูดว่า "ทำไมแกถึงซื่อบื้ออย่างนี้ ดูแลข้าวของแค่นี้ทำไม่ได้หรือไง 339 00:19:25,000 --> 00:19:26,000 ..ให้ตายเถอะว่ะ" 340 00:19:26,000 --> 00:19:30,000 -- พูดแบบที่พี่สาวจะพูดกับน้องชาย 341 00:19:30,000 --> 00:19:33,000 โชคไม่ดีที่นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่เธอได้พูดกับน้อง 342 00:19:33,000 --> 00:19:37,000 เพราะเธอไม่มีโอกาสได้พบน้องชายอีก เขาไม่รอดชีวิต 343 00:19:37,000 --> 00:19:39,000 หลังจากรอดจากค่ายเอาชวิทซ์ได้ เธอให้ปฏิญาณกับตัวเอง 344 00:19:40,000 --> 00:19:44,000 เธอเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง เธอบอกว่า "ฉันออกมาจากค่ายเอาชวิทซ์ กลับคืนสู่ชีวิต 345 00:19:44,000 --> 00:19:49,000 และฉันให้ปฏิญาณกับตัวเอง คำปฏิญาณนั้นคือ ฉันจะไม่พูดอะไร.. 346 00:19:50,000 --> 00:19:53,000 ..ที่ไม่อาจคงอยู่ในฐานะคำพูดสุดท้ายที่ฉันจะพูดออกไป" 347 00:19:53,000 --> 00:19:57,000 ที่นี้พวกเราทำอย่างนั้นได้มั้ย ไม่ได้หรอก ไม่งั้นเราจะทำให้ตัวเองต้องเป็นคนผิด 348 00:19:58,000 --> 00:20:05,000 และทำให้คนอื่นเป็นฝ่ายผิด แต่มันเป็นความเป็นไปได้ที่เราจะใช้ชีวิตแบบนั้น ขอบคุณครับ 349 00:20:05,000 --> 00:20:10,000 (ปรบมือ) 350 00:20:11,000 --> 00:20:22,000 ตาเป็นประกาย ตาเป็นประกาย 351 00:20:22,000 --> 00:20:25,000 ขอบคุณครับ ขอบคุณ 352 00:20:26,000 --> 00:20:31,000 (ดนตรี)