WEBVTT 00:00:02.760 --> 00:00:08.500 อินเทอร์เน็ต | แบบเดินสาย เคเบิล และ Wi-Fi 00:00:10.385 --> 00:00:13.080 ฉันชื่อเทซ วินล็อก เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ Google 00:00:13.539 --> 00:00:18.727 คำถามคือ ภาพ ข้อความ หรืออีเมลถูกส่ง จากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่งได้ยังไง 00:00:19.144 --> 00:00:20.979 ไม่ใช่เวทมนตร์ค่ะ แต่เพราะอินเทอร์เน็ต 00:00:21.313 --> 00:00:24.191 ระบบที่จับต้องได้ ที่ผลิตมาเพื่อเคลื่อนย้ายข้อมูลค่ะ 00:00:25.359 --> 00:00:27.319 อินเทอร์เน็ตคล้ายบริการไปรษณีย์มาก 00:00:27.653 --> 00:00:30.614 แต่สิ่งของทางกายภาพที่ส่งไป มันต่างกันนิดนึง 00:00:30.906 --> 00:00:33.492 แทนที่จะเป็นกล่องพัสดุ หรือซองจดหมาย 00:00:33.700 --> 00:00:35.953 อินเทอร์เน็ตกลับส่งข้อมูลเลขฐานสอง 00:00:36.620 --> 00:00:37.871 ข้อมูลทำจากบิท 00:00:38.163 --> 00:00:43.043 บิทคือคู่อะไรที่ตรงข้ามกัน เปิดกับปิด หรือ ใช่กับไม่ใช่ 00:00:44.545 --> 00:00:48.298 เรามักใช้เลข 1 แทนการเปิด และ 0 แทนการปิด 00:00:48.674 --> 00:00:51.468 หนึ่งบิทมีความเป็นไปได้สองอย่าง จึงเรียกว่ารหัสฐานสอง 00:00:51.843 --> 00:00:57.641 8 รวมกันเป็น 1 ไบต์ 1000 ไบต์ เท่ากับ 1 กิโลไบต์ 00:00:58.016 --> 00:00:59.977 1000 กิโลไบต์ เท่ากับ 1 เมกะไบต์ 00:01:00.394 --> 00:01:03.839 เพลงหนึ่งมักจะมีขนาด 3-4 เมกะไบต์ 00:01:04.465 --> 00:01:07.050 ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ วีดีโอ หรือเพลง 00:01:07.342 --> 00:01:10.012 ทุกอย่างในอินเทอร์เน็ต จะเสนอและส่งเป็นบิท 00:01:10.471 --> 00:01:12.322 พวกนี้คืออะตอมของข้อมูล 00:01:12.656 --> 00:01:16.451 แต่ใช่ว่าเราส่งเลข 1 กับ 0 จากที่หนึ่งสู่ที่หนึ่ง 00:01:16.785 --> 00:01:18.061 หรือจากคนหนึ่งถึงอีกคนนะคะ 00:01:18.353 --> 00:01:22.774 แล้วอะไรที่จับต้องได้ ที่ส่งไปตามสาย ทางอากาศล่ะ 00:01:23.192 --> 00:01:25.444 เรามาดูตัวอย่างถึงวิธีสื่อสารของมนุษย์ 00:01:25.903 --> 00:01:29.823 แบบที่ส่งข้อมูลหนึ่งอย่างหากันนะคะ 00:01:30.733 --> 00:01:33.911 สมมติว่าเปิดไฟ คือ 1 ปิดไฟคือ 0 00:01:34.286 --> 00:01:37.180 หรือใช้เสียงบี๊ปส่งรหัสมอร์ส 00:01:39.308 --> 00:01:41.393 วิธีนี้ใช้ได้แต่ช้ามาก ผิดพลาดได้มาก 00:01:41.602 --> 00:01:42.686 และอาศัยมนุษย์ล้วน ๆ 00:01:43.061 --> 00:01:44.062 แต่ที่เราต้องการคือเครื่องจักร 00:01:44.396 --> 00:01:46.815 จากประวัติศาสตร์มนุษย์ เราสร้างระบบมากมาย 00:01:47.107 --> 00:01:50.861 ที่สามารถส่งข้อมูลฐานสอง ผ่านสื่อทางการภาพหลากชนิด 00:01:51.445 --> 00:01:56.366 ปัจจุบันเราส่งบิททางกายภาพด้วยไฟฟ้า แสงไฟและคลื่นวิทยุ 00:01:58.827 --> 00:02:00.203 สำหรับการส่งด้วยไฟฟ้านั้น 00:02:00.454 --> 00:02:03.081 นึกภาพหลอดไฟสองหลอดต่อกับสายไฟทองแดง 00:02:03.665 --> 00:02:07.294 ถ้าคนที่คุมคนหนึ่ง ปล่อยไฟฟ้าเข้าไป ไฟก็ติด 00:02:07.377 --> 00:02:09.087 ไม่มีไฟฟ้า ก็ไม่มีแสงไฟ 00:02:09.421 --> 00:02:13.967 ถ้าคนคุมทั้งสองฝั่งเห็นตรงกันว่า เปิดไฟเท่ากับ 1 ปิดไฟเท่ากับ 0 00:02:14.259 --> 00:02:17.137 ก็จะได้ระบบส่งหน่วยข้อมูล 00:02:17.387 --> 00:02:19.473 จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ด้วยการใช้ไฟฟ้า 00:02:20.307 --> 00:02:21.183 แต่มีปัญหานิดนึง 00:02:21.600 --> 00:02:24.478 ถ้าอยากส่งเลข 0 ติดกันห้าตัวล่ะ 00:02:24.936 --> 00:02:29.524 จะทำยังไงให้คนใดคนหนึ่งนับจำนวนเลข 0 ได้ 00:02:29.926 --> 00:02:32.527 ทางออกคือให้ใช้นาฬิกาหรือตัวจับเวลา 00:02:32.903 --> 00:02:36.615 ก็ตกลงกันก่อนว่าผู้ส่งจะส่ง บิทละ 1 วินาที 00:02:36.865 --> 00:02:40.410 ผู้รับก็นั่งบันทึกทุกวินาที ดูว่ามีอะไรบ้าง 00:02:41.034 --> 00:02:43.914 ถ้าจะส่ง 0 ห้าตัวติดกัน ก็ปิดไฟ 00:02:44.206 --> 00:02:48.460 รอ 5 วินาที ผู้รับก็จดว่าเป็น 5 วินาที 00:02:48.710 --> 00:02:49.836 ว่าเป็น 00000 00:02:50.253 --> 00:02:52.422 ส่วนเลข 1 ก็ทำตรงข้าม แค่เปิดไฟ 00:02:53.590 --> 00:02:56.968 แน่นอนว่าเราอยากส่งข้อมูลให้ไว กว่า 1 บิทต่อวินาที 00:02:57.260 --> 00:02:58.537 ก็เลยต้องเพิ่มแบนด์วิธค่ะ 00:02:59.037 --> 00:03:01.206 มันคือความจุสูงสุด ในการเคลื่อนย้ายข้อมูลของอุปกรณ์ 00:03:01.348 --> 00:03:03.517 แบนด์วิธวัดได้จากวิทเรต 00:03:03.809 --> 00:03:06.228 ซึ่งก็คือจำนวนบิทที่เราส่งได้ 00:03:06.645 --> 00:03:09.147 ในเวลาที่กำหนด ซึ่งมักวัดเป็นวินาที 00:03:10.399 --> 00:03:13.026 การวัดความเร็วที่ต่างกัน คือระยะเวลาแฝง 00:03:13.276 --> 00:03:18.115 หรือเวลาที่ บิทต้องใช้เดินทาง จากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง 00:03:18.532 --> 00:03:20.450 จากต้นกำเนิดไปอุปกรณ์อีกเครื่อง 00:03:21.785 --> 00:03:22.786 สำหรับมนุษย์แล้ว 00:03:23.078 --> 00:03:27.249 1 บิทต่อวินาทีนั้นค่อนข้างเร็ว และยากที่จะตามทัน 00:03:27.457 --> 00:03:31.420 สมมติว่าจะดาวน์โหลดเพลง 3MB ใน 3 วินาที 00:03:31.795 --> 00:03:36.591 ด้วยความเร็ว 8 ล้านบิทต่อเมกะไบต์ ซึ่งก็คือ 8 ล้านบิทต่อวินาที 00:03:37.050 --> 00:03:40.095 แน่นอนว่ามนุษย์รับส่ง 8 ล้านบิท/วินาทีไม่ได้ 00:03:40.303 --> 00:03:42.097 แต่เครื่องจักรทำได้สบาย ๆ 00:03:42.431 --> 00:03:44.850 ทีนี้ก็มีคำถามว่าเคเบิลแบบไหน 00:03:45.100 --> 00:03:47.853 ที่ใช้ส่งข้อความพวกนี้ แล้วมันจะไปได้ไกลแค่ไหน 00:03:48.562 --> 00:03:52.315 ด้วยสายอีเธอร์เน็ตอย่างที่พบได้ที่บ้าน ออฟฟิศ หรือโรงเรียน 00:03:53.251 --> 00:03:56.428 พวกนี้สัญญาณจะหายในไม่กี่ร้อยฟุต 00:03:57.971 --> 00:04:01.642 ถ้าจะให้อินเทอร์เน็ตทำงานได้ทั้งโลก 00:04:02.017 --> 00:04:07.097 ก็ต้องหาวิธีส่งข้อมูลระยะไกลให้ได้ แบบข้ามมหาสมุทร 00:04:07.330 --> 00:04:12.461 แล้วจะใช้อะไรได้ล่ะ อะไรที่เคลื่อนที่ไวกว่าไฟฟ้าผ่านสายไฟ 00:04:13.003 --> 00:04:19.176 แสงไง เราส่งบิทเป็นแสงจากที่หนึ่ง ไปอีกที่หนึ่งได้ด้วยสายเคเบิลใยแก้วนำแสง 00:04:19.323 --> 00:04:23.288 เคเบิลใยแก้วนำแสงคือใบแก้ว ที่ผลิตมาเพื่อสะท้อนแสง 00:04:23.830 --> 00:04:29.352 เวลาส่งแสงไปที่เคเบิลแสงจะสะท้อนขึ้นลง ตามความยาวเคเบิลจนถึงอีกฝั่ง 00:04:29.811 --> 00:04:33.607 ด้วยมุมที่เด้ง ทำให้เราส่งได้ทีละหลายบิทพร้อมกัน 00:04:33.815 --> 00:04:36.026 ซึ่งเดินทางด้วยความเร็วแสงทั้งหมด 00:04:36.443 --> 00:04:42.199 ไฟเบอร์จึงรวดเร็วมาก และที่สำคัญคือ สัญญาณไม่เสื่อมสภาพตามระยะทาง 00:04:42.574 --> 00:04:45.243 สัญญาณจึงเดินทางได้หลายร้อยไมล์ โดยที่ไม่ขาด 00:04:45.410 --> 00:04:50.916 เราถึงใช้ใยแก้วนำแสงข้ามพื้นมหาสมุทร เพื่อเชื่อมต่อทวีปเข้าด้วยกัน 00:04:51.208 --> 00:04:55.003 ในปี 2008 มีเคเบิลสายหนึ่งขาด แถวอเล็กซานเดรีย อียิปต์ 00:04:55.212 --> 00:04:59.049 จนอินเทอร์เน็ตในตะวันออกกลาง และอินเดียหลายส่วนได้รับผลกระทบ 00:04:59.341 --> 00:05:04.001 เราอาจเห็นอินเทอร์เน็ตเป็นของตาย แต่ที่จริงมันเป็นระบบที่บอบบา จับต้องได้ 00:05:04.001 --> 00:05:09.643 ไฟเบอร์นั่นก็เจ๋ง แต่ก็แพงและทำยาก ส่วนมากจะเป็นสายทองแดง 00:05:11.061 --> 00:05:15.549 แต่เราจะเคลื่อนย้ายอะไร โดยไม่ใช้สายได้ยังไง ส่งแบบไร้สายยังไง 00:05:16.967 --> 00:05:21.988 เครื่องส่งสัญญาณไร้สายมักใช้สัญญาณวิทยุ เพื่อส่งบิทจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง 00:05:22.280 --> 00:05:28.995 เครื่องก็ต้องแปลเลข 1 กับ 0 เป็นสัญญาณวิทยุด้วยความถี่ที่ต่างกัน 00:05:29.081 --> 00:05:33.521 เครื่องที่รับก็แปลสัญญาณวิทยุกลับ เป็นเลขฐานสองให้คอมพิวเตอร์คุณ 00:05:33.521 --> 00:05:36.294 ความไร้สายทำให้อินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ได้ 00:05:36.503 --> 00:05:40.423 แต่คลื่นวิทยุไม่ได้เดินทางไกลขนาดนั้น ก่อนจะสัญญาณหาย 00:05:40.840 --> 00:05:44.928 เวลาอยู่ชิคาโกถึงรับสัญญาณวิทยุ จากลอสแองเจลิสไม่ได้ 00:05:45.846 --> 00:05:48.974 แม้ไร้สายมันจะดี แต่ทุกวันนี้ก็ยังพึ่งแบบมีสาย 00:05:49.307 --> 00:05:53.436 ถ้าเราใช้ Wi-Fi ในร้านกาแฟ บิทจะถูกส่งไปยังเราเตอร์ไร้สาย 00:05:53.645 --> 00:05:57.774 ก่อนส่งผ่านสาย และเดินทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต 00:05:58.650 --> 00:06:01.319 วิธีส่งบิทแบบจับต้องได้ อาจเปลี่ยนไปในอนาคต 00:06:01.528 --> 00:06:05.615 อาจเป็นเลเซอร์ระหว่างดาวเทียม หรือคลื่นวิทยุระหว่างบอลลูน หรือโดรน 00:06:06.241 --> 00:06:12.038 แต่การนำเสนอข้อมูลด้วยเลขฐานสอง และโพรโตคอลในการรับส่งข้อมูล 00:06:12.289 --> 00:06:13.748 น่าจะยังคงเดิม 00:06:14.291 --> 00:06:19.588 ทุกสิ่งในอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นคำ อีเมล รูปภาพ วีดีโอหมาแมวล้วนมาจาก 00:06:19.963 --> 00:06:25.232 การส่งเลข 1 และ 0 ผ่านสัญญาณไฟฟ้า แสง คลื่นวิทยุ และความรักค่ะ