WEBVTT 00:00:00.000 --> 00:00:02.920 เมืองไทยเป็นเมืองร้อน สมัยโบราณไทยไม่มีน้ำแข็ง 00:00:02.920 --> 00:00:06.520 แล้วทำไม ขนมไทยหลายๆ ชนิดถึงเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ใส่น้ำแข็งกันล่ะ? 00:00:06.520 --> 00:00:08.460 สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ 00:00:08.460 --> 00:00:11.940 บอกเลยนะคะว่า คลิปวันนี้ วิวตั้งตามใจตัวเองสุดๆ เลยค่ะ 00:00:11.940 --> 00:00:16.740 เพราะว่าวันนี้วิวอยากจะมาชวนทุกคนคุยเรื่องราวเกี่ยวกับขนมไทยนะคะ 00:00:16.740 --> 00:00:20.880 โดยเฉพาะขนมต่างๆ ที่มันมีการใส่เกล็ดน้ำแข็ง ใส่อะไรลงไปเนี่ยนะ 00:00:20.880 --> 00:00:23.520 แน่นอนว่า อือหือ บิงซูก็บิงซูเถอะค่ะ 00:00:23.520 --> 00:00:24.880 เจอขนมไทยเข้าไป 00:00:24.880 --> 00:00:27.700 เวลาร้อนๆ เนี่ยนะ ฟินอย่าบอกใครเลยทีเดียวนะคะ 00:00:27.700 --> 00:00:31.580 เรียกได้ว่า เนื้อหาวันนี้นะคะ เราจะมาคุยเรื่องขนมไทยกันค่ะว่า 00:00:31.580 --> 00:00:35.580 เออ พูดถึงสมัยโบราณเนี่ย เราก็รู้กันดีนะว่า เมืองไทยเป็นเมืองร้อน 00:00:35.580 --> 00:00:37.160 น่าจะไม่มีน้ำแข็งแน่ๆ นะคะ 00:00:37.160 --> 00:00:41.360 แล้วทำไมขนมไทยหลายๆ ชนิดเนี่ย ถึงมีการใส่น้ำแข็งลงไป? 00:00:41.360 --> 00:00:43.420 ถึงเป็นเกล็ดน้ำแข็งอะไรต่างๆ นะคะ? 00:00:43.420 --> 00:00:44.860 มันเริ่มขึ้นสมัยไหน? 00:00:44.860 --> 00:00:47.960 มีน้ำแข็งเข้ามาที่ประเทศไทยครั้งแรกในสมัยไหนค่ะ? 00:00:47.960 --> 00:00:50.360 และที่สำคัญนะคะ วันนี้วิวไม่ได้มาคนเดียวค่ะ 00:00:50.360 --> 00:00:54.440 แต่มากับแขกรับเชิญอีกหนึ่งท่านนะที่หลายๆ คนน่าจะคิดถึงแน่ๆ เลย 00:00:54.440 --> 00:00:56.320 แขกรับเชิญคนนั้นนะคะ ก็คือ 00:00:56.320 --> 00:00:59.640 สวัสดีค่ะ พ้อยท์เองค่ะ เสียใจด้วยนะคะสำหรับใครที่คาดหวังว่า 00:00:59.640 --> 00:01:01.240 มองมาแล้วจะเห็นภูเขาค่ะ 00:01:01.240 --> 00:01:03.760 วันนี้นะคะ พ้อยท์นะคะ มาคนเดียวค่ะ อ็อฟไม่ได้มาด้วย 00:01:03.760 --> 00:01:05.520 ค่าตัวแพง ขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ 00:01:05.520 --> 00:01:07.360 เราประหยัดงบแขกรับเชิญนะคะ 00:01:07.360 --> 00:01:09.940 เอาล่ะ ตอนนี้เราเวิ่นนอกเรื่องกันมาพอสมควรแล้วค่ะ 00:01:09.940 --> 00:01:13.200 พร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้งสนุก แล้วก็ได้สาระกันหรือยังคะ? 00:01:13.200 --> 00:01:15.040 ถ้าพร้อมกันแล้ว ก็ไปฟังกันเลยค่ะ 00:01:18.200 --> 00:01:19.880 เอาจริงๆ นะ พูดถึงขนมไทย 00:01:19.880 --> 00:01:21.200 ขนมไทยคือ อะไร? 00:01:21.200 --> 00:01:24.940 อ่ะ คิดว่า ขนมไทยในความคิดของตัวเองเนี่ย นึกถึงขนมประเภทไหน? 00:01:24.940 --> 00:01:26.980 พูดถึงขนมไทยก็... 00:01:26.980 --> 00:01:30.160 อ่ะ นึกถึงง่ายๆ ล่ะกัน ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง? 00:01:30.160 --> 00:01:35.200 ใช่ไหม? แต่ว่า ขนมพวกนี้เราก็คุ้นเคยกันดีนะคะ จากคลิปก่อนๆ ที่เราเคยทำ 00:01:35.200 --> 00:01:38.980 หรือว่าจากบทเรียนต่างๆ ว่า ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ลูกชุบเนี่ยนะ 00:01:38.980 --> 00:01:42.560 มันเป็นขนมที่ได้รับอิทธิพลมากจากโปรตุเกส ใช่ไหมคะ? 00:01:42.560 --> 00:01:44.860 ก่อนที่จะมีการพัฒนาสูตรนู่นนี่นั่น 00:01:44.860 --> 00:01:48.720 จนเข้ากับลิ้นคนไทย แล้วก็กลายเป็นขนมไทยในที่สุด ใช่ไหมคะ? 00:01:48.720 --> 00:01:51.160 อันนี้ค่อนข้างชัดว่า เออ มันเป็นขนมไทยแหละ 00:01:51.160 --> 00:01:52.740 มันผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว 00:01:52.740 --> 00:01:54.900 มีการวิวัฒนาการอะไรต่างๆ 00:01:54.900 --> 00:01:56.380 แต่ขนมอีกประเภทนึงเนี่ย 00:01:56.380 --> 00:01:59.660 เป็นขนมที่ฟังดูเผินๆ ปัจจุบันนี้เราก็รู้สึกว่า 00:01:59.660 --> 00:02:01.300 เฮ้ย มันเป็นขนมไทยนี่แหละ 00:02:01.300 --> 00:02:03.440 แต่พอไปดูรายละเอียดจริงๆ เราจะรู้สึกว่า 00:02:03.440 --> 00:02:05.300 เอ๊ะ มันเป็นขนมไทยจริงเหรอนะคะ? 00:02:05.300 --> 00:02:08.700 ขนมพวกนี้คือ ขนมที่แบบมีการเอามากินแบบเย็น 00:02:08.700 --> 00:02:11.820 บางทีก็มีการแช่ให้น้ำกะทิเนี่ย กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง 00:02:11.820 --> 00:02:14.580 หรือว่ามีการไสน้ำแข็งใส่ลงไปนะคะ 00:02:14.580 --> 00:02:17.040 เอ๊ ขนมพวกนี้มันเป็นขนมไทยจริงหรือเปล่า? 00:02:17.040 --> 00:02:20.240 ยกตัวอย่างง่ายๆ สาคูแคนตาลูป คิดว่า เป็นขนมไทยไหม? 00:02:20.240 --> 00:02:21.480 เอ๊า ก็เป็นสิ 00:02:21.480 --> 00:02:24.300 เวลาที่ไปกินข้าวตามร้านอาหารไทยเนี่ย 00:02:24.300 --> 00:02:28.200 เปิดไปหน้าของหวานทีไร ก็เจอสาคูแตนตาลูปประจำเลยนะ 00:02:28.200 --> 00:02:32.320 หลายคนฟังปุ๊บไม่ปฏิเสธเลยค่ะว่า สาคูแคนตาลูปเนี่ยเป็นขนมไทย 00:02:32.320 --> 00:02:34.500 แต่ลองมาดูสาคูแคนตาลูปกันดีๆ สิคะ 00:02:34.500 --> 00:02:37.540 เราไปพูดถึงแค่ คำว่า แคนตาลูป ก่อนก็พอ 00:02:37.540 --> 00:02:39.140 แคนตาลูปเนี่ยเป็นแตงจากที่ไหน? 00:02:39.140 --> 00:02:42.840 แคนตาลูปเนี่ยนะคะ เป็นแตงที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอินเดียค่ะ 00:02:42.840 --> 00:02:46.420 แล้วก็มีการนำไปปลูกที่เมืองแถวๆ โรมนะคะ 00:02:46.420 --> 00:02:48.180 ชื่อเมือง คันตาลูโป 00:02:48.180 --> 00:02:51.440 อ่ะ พอไปอยู่ที่เมืองคันตาลูโป ก็เกิดมีชื่อเสียงขึ้นมา 00:02:51.440 --> 00:02:55.380 คนก็เลยไปเรียกกันว่า อ่อ แตงจากเมืองคันตาลูโปๆ 00:02:55.380 --> 00:02:57.580 พอแพร่กระจายเข้าไปถึงอังกฤษ 00:02:57.580 --> 00:03:00.920 ไปอยู่ในภาษาอังกฤษ ก็ดันเรียกเพี้ยนกันอีกค่ะว่า แคนตาลูป 00:03:00.920 --> 00:03:04.560 ดังนั้นนะคะ แคนตาลูปนี่ แค่ชื่อก็ไม่มีความเป็นไทยแล้วค่ะ 00:03:04.560 --> 00:03:06.480 แล้วมาอยู่ในขนมไทยได้ยังไง? ถูกไหม? 00:03:06.480 --> 00:03:07.360 เออ จริงด้วย 00:03:07.360 --> 00:03:09.600 มานั่งคิดดีๆ นะ บางที่ที่ไปสั่งกินเนี่ย 00:03:09.600 --> 00:03:11.520 ก็เป็นสาคูแคนตาลูปแบบร้อน 00:03:11.520 --> 00:03:13.920 บางที่มันก็เป็นสาคูแคนตาลูปแบบเย็น 00:03:13.920 --> 00:03:15.540 คือไอ้แบบร้อนนี่เข้าใจได้นะ 00:03:15.540 --> 00:03:18.760 แต่ว่า แบบเย็นเนี่ย ที่มันแบบเป็นเกล็ดน้ำแข็งเลยอ่ะ 00:03:18.760 --> 00:03:20.980 แล้วประเทศอากาศร้อนๆ แบบไทยเรา 00:03:20.980 --> 00:03:23.980 จะไปมีขนมที่มันเป็นเกล็ดน้ำแข็งอย่างนั้นได้ยังไงอ่ะ? 00:03:23.980 --> 00:03:27.320 หรืออย่างอีกอย่างนึงนะ ที่เป็นของโปรดของเราสองคนเลยใช่ไหม? 00:03:27.320 --> 00:03:29.380 นั่นก็คือ ปังนมเย็นนะคะ 00:03:29.380 --> 00:03:30.300 ใช่ เราสองคนก็ 00:03:30.300 --> 00:03:32.740 ก็เราสองคนก็ชอบอะไรเหมือนกันน่ะนะ 00:03:32.740 --> 00:03:34.380 กลับมาพูดถึงปังนมเย็นกันดีกว่า 00:03:34.380 --> 00:03:37.260 ปังนมเย็นนะคะ เป็นขนมไทยหรือเปล่า? 00:03:37.260 --> 00:03:39.820 หลายคนฟังปุ๊บก็ เอ้า ขนมไทยสิ ปังนมเย็น 00:03:39.820 --> 00:03:41.300 ฮู้ หน้าตาดูไท้ไทย 00:03:41.300 --> 00:03:44.360 แต่ในปังนมเย็นเนี่ย เกล็ดน้ำแข็งมาเต็มขนาดนี้ 00:03:44.360 --> 00:03:47.260 เอ๊ คนไทยสมัยโบราณเรากินน้ำแข็งด้วยเหรอ? 00:03:47.260 --> 00:03:49.220 กินตั้งแต่เมื่อไหร่? อะไร? ยังไง? นะคะ 00:03:49.220 --> 00:03:50.860 จะบอกว่า บังเอิญมากๆ เลยค่ะ 00:03:50.860 --> 00:03:52.920 ตอนที่วิวกำลังคิดจะทำคลิปนี้อยู่เนี่ย 00:03:52.920 --> 00:03:56.480 ก็มีคนส่งคำถามเข้ามานะคะ ใน #วิวเอ๋ยบอกข้าเถิด 00:03:56.480 --> 00:03:58.760 ที่เราเนี่ยมีไว้ตอบคำถามกันค่ะ 00:03:58.760 --> 00:04:02.260 ซึ่งคุณคนนี้ ขอโทษจริงๆ วิวอ่านชื่อไม่ออกนะคะ 00:04:02.260 --> 00:04:04.420 เค้าส่งคำถามเข้ามาได้น่าสนใจมาก 00:04:04.420 --> 00:04:08.560 สรุปใจความง่ายๆ คือถามว่า ชาวไทยเราเนี่ย รู้จักน้ำแข็งเมื่อไหร่? 00:04:08.560 --> 00:04:10.980 น้ำแข็งเข้ามาที่ประเทศไทยเมื่อไหร่นะคะ? 00:04:10.980 --> 00:04:15.260 ดังนั้นไหนๆ ก็ไหนๆ วิวขออนุญาตรวมคำถามของเค้ากับคำถามของวิวเนี่ย 00:04:15.260 --> 00:04:17.640 เข้าเป็นคลิปวิดีโอนี้ คลิปวิดีโอเดียวกันเลยค่ะ 00:04:17.640 --> 00:04:19.880 วันนี้เราจะมาตอบคำถามกันนะคะว่า 00:04:19.880 --> 00:04:23.800 สรุปแล้วเนี่ย คนไทยเราเนี่ย เริ่มบริโภคน้ำแข็งกันเมื่อไหร่? 00:04:23.800 --> 00:04:27.660 แล้วขนมที่เป็นเกร็ดน้ำแข็งต่างๆ มีการใส่น้ำแข็งลงไป 00:04:27.660 --> 00:04:30.100 อย่างสาคูแคนตาลูป หรือว่าปังนมเย็นเนี่ย 00:04:30.100 --> 00:04:31.740 นับเป็นขนมไทยไหมนะคะ? 00:04:31.740 --> 00:04:34.280 ก่อนอื่นนะ ก่อนที่เราจะไปถึงจุดที่ว่า 00:04:34.280 --> 00:04:36.880 ปังนมเย็นกับสาคูแคนตาลูปเป็นขนมไทยไหมเนี่ย? 00:04:36.880 --> 00:04:38.980 เรามาเริ่มที่คำถามแรกกันก่อนดีกว่าค่ะ 00:04:38.980 --> 00:04:41.840 น้ำแข็งเข้ามาที่ประเทศไทยครั้งแรกเมื่อไหร่? 00:04:41.840 --> 00:04:44.500 อ่ะ มาละ เจ๊แกสาระมาเต็มละค่ะ 00:04:44.500 --> 00:04:46.260 มา จัดมาเลยๆ เล่ามา 00:04:46.260 --> 00:04:48.740 อ่ะ ถ้าเราพูดถึงอะไรที่เป็นเกล็ดน้ำแข็งเนี่ยนะคะ 00:04:48.740 --> 00:04:52.380 ก็ต้องบอกว่า จริงๆ ความรู้เรื่องเกล็ดน้ำแข็ง หรืออะไรต่างๆ ของคนไทยเนี่ย 00:04:52.380 --> 00:04:54.100 น่าจะมีมาก่อนหน้านี้แล้วแหละ 00:04:54.100 --> 00:04:57.220 เพราะว่าประเทศไทยเรา ถึงจะไม่มีหิมะ ถึงจะไม่มีน้ำแข็ง 00:04:57.220 --> 00:04:59.260 แต่เราก็มีลูกเห็บใช่ไหมคะ? 00:04:59.260 --> 00:05:02.160 ซึ่งมันก็คือ น้ำแข็งนี่แหละที่ตกลงมาจากฟากฟ้า 00:05:02.160 --> 00:05:05.060 เท่านั้นยังไม่พอ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเนี่ย 00:05:05.060 --> 00:05:08.560 ก็มีการเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสใช่ไหม? 00:05:08.560 --> 00:05:13.740 ในบันทึกของราชทูตสมัยนั้นก็มีการบันทึกถึงการที่ไปเจอหิมงหิมะอะไรด้วย 00:05:13.740 --> 00:05:17.140 ดังนั้นเราข้ามไปเรื่องความรู้เรื่องเกี่ยวกับเกล็ดน้ำแข็งนะคะ 00:05:17.140 --> 00:05:19.900 แต่ถามว่า คนไทยเนี่ย เริ่มบริโภคน้ำแข็งเมื่อไหร่? 00:05:19.900 --> 00:05:22.680 มีการนำเข้าน้ำแข็งมาที่ไทยครั้งแรกเมื่อไหร่นะคะ? 00:05:22.680 --> 00:05:25.560 ก็ต้องบอกว่า เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ค่ะ 00:05:25.560 --> 00:05:28.940 เพราะว่าในช่วงเวลานั้นอ่ะ เป็นช่วงเวลาที่คนไทยเนี่ยนะคะ 00:05:28.940 --> 00:05:31.540 มีการเดินทางค้าขายกับต่างชาติค่ะ 00:05:31.540 --> 00:05:33.500 โดยเฉพาะชาติตะวันตกนะคะ 00:05:33.500 --> 00:05:36.520 ก็มีการเดินทางค้าขายกันอย่างแบบว่า แพร่หลายค่ะ 00:05:36.520 --> 00:05:39.820 ก็มีการนำสินค้าส่งออก นำเข้าสินค้าอะไรต่างๆ 00:05:39.820 --> 00:05:41.020 แลกเปลี่ยนกันไปมา 00:05:41.020 --> 00:05:44.240 แน่นอนว่า น้ำแข็งก็เป็นหนึ่งในสินค้านั้นค่ะ 00:05:44.240 --> 00:05:45.860 โดยเราสันนิษฐานกันนะคะว่า 00:05:45.860 --> 00:05:52.220 น้ำแข็งเนี่ย น่าจะเข้ามาที่ประเทศไทยครั้งแรก ช่วงระหว่างปี 2405-2411 ค่ะ 00:05:52.220 --> 00:05:54.180 ถามว่า ทำไมต้องเป็นตัวเลขนี้? 00:05:54.180 --> 00:05:59.740 เพราะว่าตัวเลขนี้ 2405 คือปีประสูติของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพค่ะ 00:05:59.740 --> 00:06:04.800 ส่วน 2411 เนี่ยนะคะ คือปีที่สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตค่ะ 00:06:04.800 --> 00:06:08.740 เพราะว่า เราเนี่ยสันนิษฐานจากบันทึกในสมัยทรงพระเยาว์นะคะ 00:06:08.740 --> 00:06:10.960 ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพค่ะว่า 00:06:10.960 --> 00:06:12.740 เออ น้ำแข็งเข้ามาช่วงเวลานั้น 00:06:12.740 --> 00:06:15.120 ดังนั้นก็ตีความได้ว่า ประมาณนี้แหละค่ะ 00:06:15.120 --> 00:06:17.840 ซึ่งตอนนั้นเนี่ย ถามว่า เข้ามาได้ยังไงนะคะ? 00:06:17.840 --> 00:06:21.660 ก็มากับเรือกลไฟค่ะ ชื่อว่า เรือเจ้าพระยา นะคะ 00:06:21.660 --> 00:06:27.180 ซึ่งเจ้าของเนี่ย ก็คือ พระภาษีสมบัติบริบูรณ์ค่ะ หรือว่า ยิ้ม พิศลยบุตร นะคะ 00:06:27.180 --> 00:06:30.320 เอ้า แล้วเอาเข้ามายังไง? สมัยนั้นมีตู้เย็นแล้วเหรอ? 00:06:30.320 --> 00:06:32.280 ขนน้ำแข็งเข้ามาที่ประเทศไทยเนี่ย 00:06:32.280 --> 00:06:34.280 แน่นอนนะคะ สมัยนั้นยังไม่มีตู้เย็นค่ะ 00:06:34.280 --> 00:06:37.900 ดังนั้น เค้าก็ต้องมีวิธีการรักษาความเย็นในแบบของเค้าค่ะ 00:06:37.900 --> 00:06:40.280 คือตอนนั้นเนี่ย ตอนที่เอาใส่เรือมาเนี่ยนะคะ 00:06:40.280 --> 00:06:43.700 เค้าเอาใส่มาในหีบไม้ค่ะ แล้วก็เป็นไม้ฉำฉาอ่ะนะ 00:06:43.700 --> 00:06:47.880 นอกจากนี้ก็จะมีการโรยขี้เลื่อยไว้ค่ะ เพื่อกักเก็บความเย็นนะคะ 00:06:47.880 --> 00:06:50.400 ส่วนถ้าใครถามว่า แล้วเอาเข้ามาจากไหน? 00:06:50.400 --> 00:06:53.140 ต้องบอกว่า เอาเข้ามาจากสิงคโปร์ค่ะ 00:06:53.140 --> 00:06:56.160 โดยจริงๆ แล้วเค้าตีความออกเป็น 2 ทฤษฎีด้วยกันนะคะ 00:06:56.160 --> 00:06:59.760 ทฤษฎีแรกบอกว่า น่าจะเอามาจากที่ผลิตในสิงคโปร์เลยเนี่ยแหละ 00:06:59.760 --> 00:07:03.320 เพราะว่ามีการประดิษฐ์เครื่องทำน้ำแข็งที่ประเทศออสเตรเลียนะคะ 00:07:03.320 --> 00:07:07.600 แต่ว่า เอาจริงๆ เทคโนโลยีสมัยนั้นน่ะ มันไม่ได้แพร่กระจายเร็วเท่าทุกวันนี้ 00:07:07.600 --> 00:07:11.760 ไม่ใช่ว่าแบบ โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ออกวันนี้ พรุ่งนี้ขายกันทั่วโลกนะคะ 00:07:11.760 --> 00:07:13.360 มันต้องค่อยๆ แบบผลิต 00:07:13.360 --> 00:07:14.820 มีไม่กี่เครื่อง อะไรอย่างนี้ 00:07:14.820 --> 00:07:17.260 ดังนั้นก็เลยมีอีกทฤษฎีนึงค่ะว่า 00:07:17.260 --> 00:07:21.100 สิงคโปร์เนี่ย อาจจะยังไม่ได้ผลิตน้ำแข็งเองได้ขนาดส่งขายน่ะนะ 00:07:21.100 --> 00:07:23.740 อาจจะเป็นว่า น้ำแข็งที่มาที่ประเทศไทยเนี่ย 00:07:23.740 --> 00:07:26.100 นำเข้ามาจากประเทศอื่นอีกต่อนึงนะคะ 00:07:26.100 --> 00:07:29.280 เป็นประเทศที่มีน้ำแข็ง เป็นเมืองหนาวอะไรอยู่แล้ว 00:07:29.280 --> 00:07:30.520 เป็นน้ำแข็งธรรมชาติอ่ะนะ 00:07:30.520 --> 00:07:31.820 ตัดแบ่งมาขายค่ะ 00:07:31.820 --> 00:07:36.700 แล้วก็ส่งมาที่สิงคโปร์ ก่อนที่สิงคโปร์เนี่ยจะส่งมาขายที่กรุงเทพต่ออีกต่อนึงค่ะ 00:07:36.700 --> 00:07:39.140 อย่างไรก็ตามนะคะ นึกสภาพสมัยก่อนค่ะ 00:07:39.140 --> 00:07:41.580 เรือเจ้าพระยาเนี่ย เรือกลไฟเนี่ยนะคะ 00:07:41.580 --> 00:07:44.620 วิ่งรอบนึงจากกรุงเทพ-สิงคโปร์ สิงคโปร์-กรุงเทพเนี่ย 00:07:44.620 --> 00:07:46.320 ใช้เวลา 15 วันค่ะ 00:07:46.320 --> 00:07:50.080 ดังนั้นนะคะ น้ำแข็งในสมัยนั้นก็จะเข้ามาทุก 15 วัน 00:07:50.080 --> 00:07:51.180 ไม่ได้มีทุกวันน่ะนะ 00:07:51.180 --> 00:07:53.180 ทีนี้พอปริมาณมันมีน้อยเนี่ย 00:07:53.180 --> 00:07:55.520 รอบนึงขนมา ก็คงขนมาไม่ได้เยอะหรอกค่ะ 00:07:55.520 --> 00:07:57.120 ต้องมีสินค้าอื่นด้วยใช่ไหม? 00:07:57.120 --> 00:08:01.360 ก็เลยทำให้น้ำแข็งเนี่ยนะคะ กลายเป็นของหายาก แล้วก็มีราคาสูงค่ะ 00:08:01.360 --> 00:08:04.380 คนที่จะได้กินน้ำแข็งนะ ก็เลยต้องเป็น ชนชั้นสูงค่ะ 00:08:04.380 --> 00:08:06.760 เช่น เจ้านาย แล้วก็ขุนนางในสมัยนั้นนะคะ 00:08:06.760 --> 00:08:09.420 โห แล้วคนไทยสมัยก่อนไม่แตกตื่นแย่เหรอ? 00:08:09.420 --> 00:08:12.580 คือ เคยได้ยินสำนวนไทยป้ะ? บอกว่า ปั้นน้ำเป็นตัวอย่างนี้? 00:08:12.580 --> 00:08:13.880 น้ำแข็งนี่มาเป็นก้อนเลย 00:08:13.880 --> 00:08:15.920 นึกสภาพคนไม่เคยเห็นน้ำแข็งมาก่อน 00:08:15.920 --> 00:08:18.300 จะต้องคิดว่า ปั่นน้ำเป็นตัวแน่ๆ เลย 00:08:18.300 --> 00:08:19.820 แน่นอน ตื่นเต้นนะคะ 00:08:19.820 --> 00:08:23.300 อย่างเช่นที่ เสฐียรโกเศศ หรือว่า พระยาอนุมานราชธน เนี่ยนะคะ 00:08:23.300 --> 00:08:26.040 เคยบันทึกไว้ในหนังสือฟื้นความหลังเล่มหนึ่งค่ะ 00:08:26.040 --> 00:08:27.480 ก็เล่าเนื้อหาประมาณว่า 00:08:27.480 --> 00:08:30.440 เออ สมัยท่านเด็กๆ เนี่ยนะ มีการนำน้ำแข็งเข้ามาเนี่ย 00:08:30.440 --> 00:08:32.000 คนตื่นเต้นกันมากนะคะ 00:08:32.000 --> 00:08:33.860 แล้วบางคนก็ไม่เชื่อว่า มีน้ำแข็ง 00:08:33.860 --> 00:08:37.880 ถึงขนาดที่ว่า ต้องมีการเอาน้ำแข็งเนี่ยไปตั้งที่ศาลาสหทัยนะคะ 00:08:37.880 --> 00:08:41.020 แล้วก็ให้คนเนี่ย เข้าไปดูว่า เฮ้ย แก น้ำแข็งมันมีจริงๆ 00:08:41.020 --> 00:08:42.700 เนี่ย น้ำมันเป็นตัวได้จริงๆ นะ 00:08:42.700 --> 00:08:43.460 มันเย็นด้วย 00:08:43.460 --> 00:08:45.200 อูหู้ แปลกจังเลย นะคะ 00:08:45.200 --> 00:08:48.720 บางคนถึงขนาดที่ต้องขอแบ่งน้ำแข็งนะคะ เอากลับไปที่บ้านเลย 00:08:48.720 --> 00:08:50.920 เอาไปอวดคนที่บ้านว่า แก น้ำแข็งมีจริง 00:08:50.920 --> 00:08:54.640 ที่สำคัญนะคะ ความไม่รู้เนี่ยก็มาพร้อมกับความเชื่อแปลกๆ ค่ะ 00:08:54.640 --> 00:08:57.400 ไม่ว่าจะเป็นบอกว่า เฮ้ยแก อย่าไปกินนะ น้ำแข็งอ่ะ 00:08:57.400 --> 00:08:58.520 กินแล้วมันปวดฟัน 00:08:58.520 --> 00:09:01.100 อ่ะ อันนี้อาจจะเป็นว่า เสียวฟันหรือเปล่านะคะ? 00:09:01.100 --> 00:09:04.240 หรือว่าบอกว่า เฮ้ยแก อย่าไปกินน้ำแข็งนะ มันใส่ยาอะไรก็ไม่รู้ 00:09:04.240 --> 00:09:07.700 ทำให้น้ำเนี่ยขึ้นมาเป็นตัว มันจะต้องเป็นเวทมนตร์แน่ๆ เลย 00:09:07.700 --> 00:09:10.340 หรืออันนี้นะคะ ที่บอกว่า แก น้ำแข็งมันเป็นของแสลง 00:09:10.340 --> 00:09:13.060 ถึงมันจะเย็นนะ แต่กินลงไปแล้วมันจะร้อนใน 00:09:13.060 --> 00:09:16.100 อันนี้ส่วนตัววิวเนี่ยเคยได้ยินเหมือนกันนะ สมัยเด็กๆ ค่ะ 00:09:16.100 --> 00:09:19.120 อย่างนี้แปลว่า คนก็จะไม่กินน้ำแข็งกันใช่ไหม? 00:09:19.120 --> 00:09:20.460 เพราะว่าไม่คุ้นเคย 00:09:20.460 --> 00:09:22.400 ใครบอก? ใครบอกว่า ไม่กินนะคะ 00:09:22.400 --> 00:09:22.900 กินค่ะ 00:09:22.900 --> 00:09:25.440 แต่ว่า คนที่กินเนี่ย จะเป็นชนชั้นสูงนะคะ 00:09:25.440 --> 00:09:27.940 ที่มีตังค์ สามารถซื้อน้ำแข็งมาได้ค่ะ 00:09:27.940 --> 00:09:30.020 สมัยแรกๆ เลยเนี่ย ชนชั้นสูงนะคะ 00:09:30.020 --> 00:09:33.940 ก็มีการเอาน้ำแข็งเนี่ยมาเป็นวัตถุดิบในการทำไอศกรีมนะคะ 00:09:33.940 --> 00:09:37.920 นอกจากนี้ แน่นอนว่า คนไทยเราเนี่ยเป็นคนที่จับเล็กผสมน้อยเก่งอยู่แล้ว 00:09:37.920 --> 00:09:39.940 ดังนั้นพอน้ำแข็งเข้ามาเนี่ยนะคะ 00:09:39.940 --> 00:09:43.000 ก็เลยมีการผลิตขึ้นมาเป็นขนม เป็นอาหารอะไร 00:09:43.000 --> 00:09:46.940 เรียกได้ว่า พัฒนาต่อยอดจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้เลยทีเดียวค่ะ 00:09:46.940 --> 00:09:50.340 ยกตัวอย่างง่ายๆ อ่ะ อย่างไอ้สาคูแคนตาลูปที่เราคุยกันมาเนี่ย 00:09:50.340 --> 00:09:53.880 ก็อาจจะเกิดจากการที่ อ่ะ คนไทยเรามีขนมที่เป็นน้ำกะทิ 00:09:53.880 --> 00:09:55.520 เราก็กินกับแตงอยู่แล้วใช่ไหม? 00:09:55.520 --> 00:09:57.000 เป็นแตงไทยอะไรอย่างนี้ 00:09:57.000 --> 00:09:59.520 พอมันมีแคนตาลูปเข้ามา เค้าก็อาจจะแบบเปลี่ยน 00:09:59.520 --> 00:10:01.900 เช่น เฮ้ย แตงไทยไม่ค่อยหอม แคนตาลูปหอมกว่า 00:10:01.900 --> 00:10:03.780 เอาแคนตาลูปใส่โบ้มลงไป บึ้ม 00:10:03.780 --> 00:10:07.080 อูว ได้สาคูมาจากภาคใต้ เอาสาคูใส่โบ้มลงไป บึ้ม 00:10:07.080 --> 00:10:09.340 แล้วก็แบบ หูว มีน้ำแข็งด้วย 00:10:09.340 --> 00:10:11.620 อุ๊ย เอาน้ำแข็งมาทำให้กะทิมันเย็นดีกว่า 00:10:11.620 --> 00:10:14.140 กินร้อนๆ มันจะแบบ ไม่เข้ากับอากาศบ้านเรา 00:10:14.140 --> 00:10:17.980 ก็เลยกลายเป็นสาคูแคนตาลูปแบบทุกวันนี้ ก็เป็นได้เช่นกันค่ะ 00:10:17.980 --> 00:10:20.115 นี่แหละนะคะ เค้าเรียกว่า การต่อยอดค่ะ 00:10:20.120 --> 00:10:22.240 คือคนที่ทำอาหารเนี่ย เค้าไม่ได้มาคิดหรอกว่า 00:10:22.240 --> 00:10:26.620 ฉันกำลังทำขนมไทยอยู่ ขนมนี้จะต้องเป็นวัตถุดิบจากไทยเท่านั้น 00:10:26.620 --> 00:10:28.120 ไม่ค่ะ คนสมัยนั้นเค้าคิดอะไร? 00:10:28.120 --> 00:10:30.400 เค้าคิดแค่ว่า อันนี้อร่อยๆๆ 00:10:30.400 --> 00:10:33.200 เอ้า เอามารวมกัน บึ้ม ออกมาเป็นอาหารชนิดใหม่ค่ะ 00:10:33.200 --> 00:10:36.240 หรืออีกอย่างที่น่าสนใจกว่านั้นนะ คือที่มาของปังนมเย็นค่ะ 00:10:36.240 --> 00:10:40.320 ต้องบอกว่า ปังนมเย็นเนี่ยมีวิวัฒนาการของตัวเองที่น่าสนใจเหมือนกันนะคะ 00:10:40.320 --> 00:10:41.700 ไหน น่าสนใจยังไง? 00:10:41.700 --> 00:10:43.840 โม้มาขนาดนี้ ไหนเล่าให้คนดูฟังซิ 00:10:43.840 --> 00:10:46.640 คือสมัยก่อนเนี่ย ปังนมเย็นไม่ได้ชื่อว่า ปังนมเย็นค่ะ 00:10:46.640 --> 00:10:48.460 แต่สันนิษฐานนะ อันนี้วิวสันนิษฐานว่า 00:10:48.460 --> 00:10:52.020 ปังนมเย็นเนี่ย น่าจะวิวัฒนาการมาจากน้ำแข็งไสค่ะ 00:10:52.020 --> 00:10:55.460 และมันไม่ใช่ว่าแบบ น้ำแข็งไสแล้ว บึ้ม ข้ามมาเป็นปังนมเย็นเลยนะคะ 00:10:55.460 --> 00:10:58.160 แต่ว่า มันมีขนมอีกชนิดนึงคั่นกลางค่ะ 00:10:58.160 --> 00:11:00.400 ขนมชนิดนั้นเรียกว่า จ้ำบ๊ะ 00:11:00.400 --> 00:11:02.820 เอ้า ใครเคยได้ยินชื่อขนมจ้ำบ๊ะบ้างคะ? 00:11:02.820 --> 00:11:05.600 สำหรับใครที่ยังไม่เคยได้ยินชื่อขนมจ้ำบ๊ะนะคะ 00:11:05.600 --> 00:11:08.280 เรามาฟังประวัติสั้นๆ ของขนมชนิดนี้ดีกว่า 00:11:08.280 --> 00:11:11.580 เริ่มต้นเนี่ย จ้ำบ๊ะ แปลง่ายๆ ก็แปลว่า น้ำแข็งไสนี่แหละค่ะ 00:11:11.580 --> 00:11:13.880 ก็คือการที่เอาน้ำแข็งเนี่ย มาไสนะคะ 00:11:13.880 --> 00:11:15.340 กิริยาการไสคืออย่างนี้นะ 00:11:15.340 --> 00:11:17.740 ดังนั้นไม่ใช่ใสที่แปลว่าแบบ ใสสะอาด นะคะ 00:11:17.740 --> 00:11:19.320 น้ำแข็งไส สะกดแบบนี้นะ 00:11:19.320 --> 00:11:20.900 ก็คือการเอาน้ำแข็งเนี่ย มาไสนะคะ 00:11:20.900 --> 00:11:22.680 แล้วก็เทลงมาเป็นถ้วยใช่ไหม? 00:11:22.680 --> 00:11:25.300 เสร็จแล้วก็ราดน้ำหวานนะคะ ราดๆๆ 00:11:25.300 --> 00:11:28.060 แล้วก็มีการเอาเครื่องต่างๆ มาใส่ค่ะ 00:11:28.060 --> 00:11:30.160 ซึ่งจากการที่วิวไปอ่านงานวิจัยมาเนี่ยนะ 00:11:30.160 --> 00:11:34.000 เค้าสันนิษฐานกันว่า ไอ้ขนมประเภทนี้ มันเริ่มที่จังหวัดเพชรบุรีค่ะ 00:11:34.000 --> 00:11:36.940 โดยเริ่มจากการที่เค้าเนี่ย เอาข้าวเช้าที่กินเหลือนะคะ 00:11:36.940 --> 00:11:37.940 ก็คือ ปาท่องโก๋ 00:11:37.940 --> 00:11:41.460 ซึ่งจริงๆ ใครเคยดูคลิปวิวน่าจะรู้ว่า มันเรียกว่า อิ่วจาก้วย นะคะ 00:11:41.460 --> 00:11:44.435 คือเอาปาท่องโก๋เนี่ยที่กินเหลือตอนเช้า ไปทอดเพิ่มอีกรอบ 00:11:44.440 --> 00:11:46.300 แล้วก็เอามาใส่กับน้ำแข็งไส 00:11:46.300 --> 00:11:48.920 เสร็จแล้วก็เอาเครื่องใส่ เอาน้ำหวานราดนะคะ 00:11:48.920 --> 00:11:53.200 ก็เลยกลายมาเป็นขนมไอ้น้ำแข็งไส ต้นตำหรับแบบเพชรบุรีเนี่ยแหละค่ะ 00:11:53.200 --> 00:11:55.660 โดยเครื่องที่เค้าใส่นะ ก็ใส่ได้หลากหลายเลย 00:11:55.660 --> 00:11:59.860 จะเป็นมันเชื่อม พุทราเชื่อม เฉาก๊วย ทับทิมกรอบ ลูกชิด 00:11:59.860 --> 00:12:01.200 อะไร ใส่ได้หมดเลยค่ะ 00:12:01.200 --> 00:12:03.860 ซึ่งในยุคแรกเนี่ยนะคะ เค้าก็ยังไม่เรียกจ้ำบ๊ะหรอกค่ะ 00:12:03.860 --> 00:12:05.360 เค้าเรียกน้ำแข็งไสนี่แหละ 00:12:05.360 --> 00:12:08.660 จนกระทั่งช่วงที่เค้าเนี่ยเริ่มราดนมข้นหวานลงไปเนี่ยนะคะ 00:12:08.660 --> 00:12:11.400 เค้าถึงเริ่มเรียกขนมชนิดนี้ว่า จ้ำบ๊ะ ค่ะ 00:12:11.400 --> 00:12:13.680 พอราดนมข้นหวานลงไป เริ่มรู้สึกแล้วใช่ไหมว่า 00:12:13.680 --> 00:12:16.260 เนี่ย เหมือนปังนมเย็นที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้นะคะ 00:12:16.260 --> 00:12:20.840 ดังนั้นก็เลยสันนิษฐานได้ว่า ปังนมเย็นเนี่ย น่าจะวิวัฒนาการมาจากจ้ำบ๊ะ 00:12:20.840 --> 00:12:24.600 ซึ่งจ้ำบ๊ะเนี่ย ก็น่าจะวิวัฒนาการมาจากน้ำแข็งไสนั่นเองค่ะ 00:12:24.600 --> 00:12:27.520 เดี๋ยวๆๆ จ้ำบ๊ะเนี่ย เคยได้ยินนะคำนี้ 00:12:27.520 --> 00:12:28.860 มันไม่ใช่ของหวานไม่ใช่เหรอ? 00:12:28.860 --> 00:12:30.560 มันคือชื่ออย่างอื่นไม่ใช่เหรอ? 00:12:30.560 --> 00:12:31.480 อ่ะ ใช่ๆๆ 00:12:31.480 --> 00:12:34.360 สำหรับใครที่เคยได้ยินชื่อ จ้ำบ๊ะ มาจากที่อื่นนะคะ 00:12:34.360 --> 00:12:38.140 อันนี้แถมให้นิดนึงนะ จ้ำบ๊ะคือเป็น ระบำแบบนึงของไทย 00:12:38.140 --> 00:12:41.500 พูดง่ายๆ ก็ระบำโป๊อ่ะค่ะ แบบโชว์เมียงูอะไรอย่างนี้อ่ะนะ 00:12:41.500 --> 00:12:42.920 เพราะว่าคำว่า จ้ำ เนี่ยนะคะ 00:12:42.920 --> 00:12:45.500 เค้าสันนิษฐานว่า มาจากคำว่า จัม ภาษาจีนแต้จิ๋วค่ะ 00:12:45.500 --> 00:12:48.500 คือแบบว่า ใส่แรงอ่ะ ไม่ยั้งอ่ะ ปึ้กๆๆๆ อะไรอย่างนี้ 00:12:48.500 --> 00:12:50.700 แทงไม่ยั้งอ่ะ หรือว่า ไม่ยั้งอ่ะ ประมาณนี้ 00:12:50.700 --> 00:12:52.800 อธิบายไม่ถูกเหมือนกันเป็นภาษาไทยอ่ะนะ 00:12:52.800 --> 00:12:54.740 ส่วนคำว่า บ๊ะ เนี่ยแปลว่า เนื้อ ค่ะ 00:12:54.740 --> 00:12:57.020 เหมือนแบบหมูบ๊ะช่ออ่ะ ประมาณนั้นเลยนะ 00:12:57.020 --> 00:12:59.300 ทีนี้ พอมันเอามาผสมกัน กลายเป็นจ้ำบ๊ะ 00:12:59.300 --> 00:13:01.460 ก็เลยเหมือนแบบ ส่ายเนื้อแบบไม่ยั้งนะคะ 00:13:01.460 --> 00:13:04.860 ก็เลยเป็นการเต้นแบบโชว์เนื้อหนังมังสา อะไรประมาณนี้ค่ะ 00:13:04.860 --> 00:13:08.080 ซึ่งถามว่า จ้ำบ๊ะขนมกับไอ้จ้ำบ๊ะโชว์เนี่ย เป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า? 00:13:08.080 --> 00:13:10.520 ก็ต้องบอกว่า มันเป็นที่มาของชื่อค่ะ 00:13:10.520 --> 00:13:14.080 คือ เค้าบอกว่า ลักษณะการที่เอาน้ำแข็งเนี่ยมาไสๆๆ 00:13:14.080 --> 00:13:15.500 แล้วก็เทใส่ถ้วยเนี่ยนะ 00:13:15.500 --> 00:13:17.420 ทรงมันเหมือนกับหน้าอกผู้หญิงค่ะ 00:13:17.420 --> 00:13:20.400 ส่วนการที่ราดน้ำเชื่อมนะ แล้วก็ใส่ของตกแต่งลงไปเนี่ย 00:13:20.400 --> 00:13:24.280 มันเหมือนกับชุดของนักเต้นจ้ำบ๊ะนะคะ ที่สีสันสดใสค่ะ 00:13:24.280 --> 00:13:28.520 และสุดท้ายนะคะ กิริยาของการราดนมข้นส่ายๆ ลงไปเนี่ย 00:13:28.520 --> 00:13:31.000 มันก็กิริยาการส่ายนมนั่นเองนะ 00:13:31.000 --> 00:13:35.040 ดังนั้นมันก็เลยมีคนปิ๊งว่า อุ๊ย ฉันเรียกขนมชนิดนี้ว่า จ้ำบ๊ะ ดีกว่านะคะ 00:13:35.040 --> 00:13:38.340 สุดท้ายชื่อ จ้ำบ๊ะ เนี่ย มันก็เลยแพร่กระจายไปทั่วประเทศค่ะ 00:13:38.340 --> 00:13:41.040 ใช้เรียกแทนชื่อของน้ำแข็งไสนั่นเองน่ะนะ 00:13:41.040 --> 00:13:43.020 ก่อนที่ชื่อนี้จะหายไป 00:13:43.020 --> 00:13:47.140 แล้วก็วิวัฒนาการอิท่าไหนไม่รู้กลายมาเป็นปังนมเย็นแบบทุกวันนี้นี่แหละค่ะ 00:13:47.140 --> 00:13:48.340 สรุปง่ายๆ นะคะ 00:13:48.340 --> 00:13:52.540 เห็นไหมว่า ของกินเนี่ย มันเป็นวัฒนธรรมที่แบบพัฒนาได้ตลอดเวลาค่ะ 00:13:52.540 --> 00:13:55.360 ขนาดน้ำแข็งที่แต่ก่อนไทยเราเนี่ย ไม่มีเลยนะคะ 00:13:55.360 --> 00:13:58.460 ยังกลายมาเป็นหนึ่งในวัตถุดิบของขนมไทยได้เลยค่ะ 00:13:58.460 --> 00:14:00.900 แถมมันก็พัฒนามาเรื่อยๆ ไม่หยุดเลยนะคะ 00:14:00.900 --> 00:14:04.500 ตั้งแต่สมัยที่คนเนี่ยขอแบ่งน้ำแข็งไปอมเล่นเฉยๆ 00:14:04.500 --> 00:14:07.560 พัฒนาเอามาทำเป็นไอศกรีมเลียนแบบต่างชาติ 00:14:07.560 --> 00:14:10.180 เอามาทำน้ำแข็งไส เอามาทำจ้ำบ๊ะ 00:14:10.180 --> 00:14:11.660 พัฒนาเป็นปังนมเย็น 00:14:11.660 --> 00:14:13.640 เอามาทำให้กะทิเป็นเกล็ดน้ำแข็ง 00:14:13.640 --> 00:14:15.620 กลายมาเป็นสาคูแคนตาลูปเย็น 00:14:15.620 --> 00:14:18.360 ดังนั้นจากคำถามตอนต้นนู่นนะคะว่า 00:14:18.360 --> 00:14:21.960 ไอ้พวกขนมที่มันใส่น้ำแข็งเนี่ย มันนับเป็นขนมไทยไหม? 00:14:21.960 --> 00:14:24.100 หรือว่าสาคูแคนตาลูปเป็นขนมไทยไหม? 00:14:24.100 --> 00:14:25.900 ปังนมเย็นเป็นขนมไทยไหมนะคะ? 00:14:25.900 --> 00:14:27.840 ถ้าถามวิวเนี่ยนะคะ ก็ตอบเลยว่า เป็นค่ะ 00:14:27.840 --> 00:14:31.260 เพราะว่าคนไทยเราเนี่ย ก็คุ้นกับการเอาอะไรรอบๆ ตัวเนี่ยนะคะ 00:14:31.260 --> 00:14:34.600 มาประยุกต์ให้เข้ากับสิ่งที่ตัวเองต้องการเสมอค่ะ 00:14:34.600 --> 00:14:35.900 อย่างขนม อย่างอาหารเนี่ย 00:14:35.900 --> 00:14:38.840 เจออะไรก็เอามาประยุกต์ให้เข้ากับลิ้นของตัวเองนั่นแหละค่ะ 00:14:38.840 --> 00:14:41.760 ซึ่งเอาจริงๆ นะคะ เหมือนกับทุกคลิปวิดีโอที่วิวทำมาเนี่ยแหละ 00:14:41.760 --> 00:14:43.740 ส่วนตัวไม่อยากให้ไปโฟกัสนะคะว่า 00:14:43.740 --> 00:14:47.360 อะไรเป็นของไทย หรือไม่เป็นของไทย หรือว่าเป็นของชาติไหนกันแน่? 00:14:47.360 --> 00:14:50.780 เวลาเราศึกษาเรื่องพวกนี้ จริงๆ เราควรจะศึกษามากกว่าค่ะว่า 00:14:50.780 --> 00:14:53.980 เส้นทางการเดินทางของมันเนี่ย เดินทางมายังไงนะคะ? 00:14:53.980 --> 00:14:56.120 จนกลายมาเป็นสิ่งที่เราเห็นทุกวันนี้ 00:14:56.120 --> 00:14:59.300 มันวิวัฒนาการมาจากอะไร? มันพัฒนามาจากอะไรค่ะ? 00:14:59.300 --> 00:15:03.000 น่าจะเป็นการศึกษาที่น่าจะสนุกมากกว่า การพยายามจะตอบนะคะว่า 00:15:03.000 --> 00:15:05.460 สิ่งนี้เป็นของชาตินั้น สิ่งนั้นเป็นของชาตินี้ 00:15:05.460 --> 00:15:09.620 ชาตินี้จะต้องอนุรักษ์ไว้ ชาตินี้จะต้องหวงแหนไว้ ไม่ให้ชาตินี้มายุ่ง 00:15:09.620 --> 00:15:12.360 คือถามว่า อะไรเก่าๆ เนี่ยอนุรักษ์ไว้ดีไหมนะคะ? 00:15:12.360 --> 00:15:14.640 คือก็ดีค่ะ อนุรักษ์ไว้เป็นภูมิปัญญา 00:15:14.640 --> 00:15:17.500 อนุรักษ์ไว้ให้รู้ว่า เออ ของเก่าๆ มันเป็นอย่างนี้ 00:15:17.500 --> 00:15:19.780 แต่ถามว่า อนุรักษ์แล้วฟรีซค้างไว้อยู่ตรงนั้นเลย 00:15:19.780 --> 00:15:20.680 ไม่ขยับดีไหม? 00:15:20.680 --> 00:15:23.580 ส่วนตัวสำหรับวิวเนี่ยรู้สึกว่า มันไม่น่าจะเวิร์กค่ะ 00:15:23.580 --> 00:15:26.420 เพราะว่า ถ้าเราไม่ได้มีการวิวัฒนาการเนี่ยนะคะ 00:15:26.420 --> 00:15:29.140 ขนมไทยของเราก็คงไม่อร่อยเท่าทุกวันนี้แหละค่ะ 00:15:29.140 --> 00:15:31.620 อาจจะแบบยังอมอ้อยควั่นกันอยู่ตั้งแต่สมัยนั้น 00:15:31.620 --> 00:15:33.480 ตัดอ้อยมาแล้วก็กินได้เลยนะคะ 00:15:33.480 --> 00:15:35.600 คงไม่มีตั้งแต่ทองหยิบ ทองหยอด 00:15:35.600 --> 00:15:37.840 ไม่มีสาคูแคนตาลูป ไม่มีปังนมเย็น 00:15:37.840 --> 00:15:40.640 แล้วก็ไม่มีขนมไทยอร่อยๆ อีกหลายชนิดเลยค่ะ 00:15:40.640 --> 00:15:42.700 อูหูว สรุปซะสวยเชียว 00:15:42.700 --> 00:15:46.180 เดี๋ยวๆ พูดมาขนาดนี้ จะสรุปแค่นี้จริงๆ เหรอ? 00:15:46.180 --> 00:15:47.920 ใครบอกว่า จะมาบอกแค่นี้คะ? 00:15:47.920 --> 00:15:49.900 จริงๆ นะคะที่จะมาบอกก็คือ 00:15:49.900 --> 00:15:53.020 ตอนนี้มันมีขนมหวานชนิดใหม่พัฒนาขึ้นมาแล้วค่ะ 00:15:53.020 --> 00:15:55.480 สำหรับใครที่ไม่อยากไปนั่งปั่นน้ำแข็ง 00:15:55.480 --> 00:15:57.740 กว่าจะได้กินปังนมเย็นถ้วยนึง 00:15:57.740 --> 00:16:01.040 หรือกว่าจะได้ไปหาสาคูแคนตาลูปเย็นๆ กินแก้วนึงนะคะ 00:16:01.040 --> 00:16:06.140 คือ ตอนนี้นะคะ วอลล์ค่ะ เค้าพัฒนาไอศกรีมนะคะ จากถ้วยมาสู่แท่งค่ะ 00:16:06.140 --> 00:16:08.060 มีสองรสชาติใหม่เลย นั่นก็คือ 00:16:08.060 --> 00:16:10.100 เอเชียนดีไลท์ สาคูแคนตาลูปนะคะ 00:16:10.100 --> 00:16:13.040 แล้วก็เอเชียนดีไลท์ ปังนมเย็นค่ะ 00:16:13.040 --> 00:16:14.760 ใช่ค่ะ เราจะขายกันตรงๆ แบบนี้แหละ 00:16:14.760 --> 00:16:17.020 ทำไม เจอของอร่อยขายไม่ได้เหรอ? 00:16:17.020 --> 00:16:20.000 อ่ะ มีอะไรบอกมาให้หมด บอกมา คายออกมา 00:16:20.000 --> 00:16:21.040 รอฟังแล้วเนี่ย 00:16:21.040 --> 00:16:24.320 บอกเลยนะคะว่า ถึงรูปร่างเนี่ย มันจะเปลี่ยนไปมาเป็นแท่งแบบนี้ 00:16:24.320 --> 00:16:25.180 จากถ้วยนะคะ 00:16:25.180 --> 00:16:27.140 แต่รสชาติข้างในยังเหมือนเดิมค่ะ 00:16:27.140 --> 00:16:29.660 มาแกะให้ดูกันทีละรสเลยดีกว่านะ 00:16:29.660 --> 00:16:32.360 เริ่มจากนี่ก่อนเลยนะคะ ปังนมเย็น ของโปรดของวิว 00:16:32.360 --> 00:16:33.160 แกะแล้วนะ 00:16:34.260 --> 00:16:37.980 จะบอกว่า แกะออกมานะ หอมนมเย็นขึ้นมาก่อนเลยทุกคน 00:16:37.980 --> 00:16:39.220 หอมมากอ่ะ 00:16:39.220 --> 00:16:41.380 คือที่บอกว่าเป็นไอศกรีมปังนมเย็นนะคะ 00:16:41.380 --> 00:16:43.100 มันเป็นปังนมเย็นจริงๆ ค่ะทุกคน 00:16:43.100 --> 00:16:45.720 คืออย่างแรกเลยนะ หยิบขึ้นมาอย่างที่บอกเมื่อกี้เลย 00:16:45.720 --> 00:16:49.860 แกะซองปุ๊บ กลิ่นนมเย็นหอมเข้มข้นเตะจมูกขึ้นมาก่อนเลยค่ะ 00:16:49.860 --> 00:16:50.900 คือแบบหอมมาก 00:16:50.900 --> 00:16:53.920 สำหรับคนที่เป็นแฟนคลับนมเย็นนี่ชอบแน่นอนนะคะ 00:16:53.920 --> 00:16:55.280 แค่ได้กลิ่นก็ฟินแล้วค่ะ 00:16:55.280 --> 00:16:58.700 และที่สำคัญ บอกว่าเป็นปังนมเย็น ต้องไม่ใช่มีแต่นมเย็นใช่ไหม? 00:16:58.700 --> 00:17:01.800 เพราะว่าเค้านะคะ จะมีขนมปังเนี่ยอยู่ข้างในจริงๆ เลยค่ะ 00:17:01.800 --> 00:17:05.900 และบอกเลยนะคะว่า จากที่ลองกินไปแล้วเนี่ย เครื่องเค้าแน่นมากจริงๆ ค่ะ 00:17:05.900 --> 00:17:07.920 กัดเข้าไปเนี่ย เจอเครื่องทุกคำเลยนะคะ 00:17:07.920 --> 00:17:08.980 ไม่เชื่อดูนี่ 00:17:10.840 --> 00:17:13.600 อือหือ ซูมอินกันเข้าไปดูเลยค่ะว่า 00:17:13.600 --> 00:17:16.160 มันมีเนื้อขนมปังอยู่ข้างในจริงๆ นะทุกคน 00:17:16.160 --> 00:17:18.680 ส่วนใครที่ชอบรสกะทิเนี่ยนะ 00:17:18.680 --> 00:17:21.280 ก็รสนี้เลยค่ะ สาคูแคนตาลูปนะคะ 00:17:21.280 --> 00:17:23.040 เดี๋ยวแกะให้ดูด้านในดีกว่า 00:17:23.580 --> 00:17:27.080 นี่ ผ่าม อูหูว สีสวยงามนะคะ 00:17:27.080 --> 00:17:28.740 เห็นส้มๆ นี่ไม่ใช่ชาไทยนะคะ 00:17:28.740 --> 00:17:31.920 สีแคนตาลูปค่ะทุกคน แล้วแบบหอมกลิ่นแคนตาลูปมากๆ อ่ะ 00:17:31.920 --> 00:17:34.520 หอมจริงนะคะ ไปลองซื้อมาดมกันได้ 00:17:34.520 --> 00:17:36.780 หมายถึงดมแล้วกินด้วยนะ ไม่ใช่ดมเฉยๆ 00:17:36.780 --> 00:17:38.240 นี่ ใครชอบแคนตาลูปนะคะ 00:17:38.240 --> 00:17:40.560 อันนี้ก็คือแบบที่บอกเลยว่า หอมแคนตาลูป 00:17:40.560 --> 00:17:41.420 แล้วก็.. 00:17:42.500 --> 00:17:44.520 แล้วก็รสชาติแคนตาลูป หอมมาก อร่อยมาก 00:17:44.520 --> 00:17:47.760 ที่สำคัญนะคะ เนื้อสาคูเนี่ย เหนียวนุ่ม เต็มคำนะคะ 00:17:47.780 --> 00:17:50.700 คือกัดไปทุกคำเนี่ย มีสาคูแทรกอยู่จุ๊ดๆๆๆ 00:17:50.700 --> 00:17:52.740 เป็น texture ที่แบบกลมกล่อม 00:17:52.740 --> 00:17:55.980 นอกจากนี้นะคะ ไปอ่านมาแล้ว เค้าบอกว่า ทำจากกะทิแท้ด้วย 00:17:55.980 --> 00:17:57.820 อือหืม perfect สุดๆ เลยค่ะ 00:17:57.820 --> 00:18:01.740 เอาเป็นว่า ใครชอบรสไหนนะคะ ก็ไปหาซื้อกินกันได้ ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป 00:18:01.740 --> 00:18:05.580 หรือว่าตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป ก็มีขายเช่นกันนะคะ 00:18:05.580 --> 00:18:07.640 ส่วนใครไม่สะดวก ไม่อยากออกไปไหน 00:18:07.640 --> 00:18:10.020 ก็สามารถสั่งออนไลน์มาได้เช่นกัน 00:18:10.020 --> 00:18:11.560 สะดวกสบายสุดๆ เลยนะคะ 00:18:11.560 --> 00:18:13.060 ง่ายกว่านี้ไม่มีอีกแล้วค่ะ 00:18:13.060 --> 00:18:15.600 เอาเป็นว่า วันนี้วิวขอตัวไปจัดการกับไอศกรีมก่อน 00:18:15.600 --> 00:18:18.540 แต่ว่า ใครชื่นชอบคลิปนี้อย่าลืมกดไลก์เป็นกำลังใจให้วิว 00:18:18.540 --> 00:18:20.720 แล้วก็กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆ มาดูด้วยกันค่ะ 00:18:20.720 --> 00:18:22.320 แล้วพบกันใหม่โอกาสนะคะทุกคน 00:18:22.320 --> 00:18:24.960 บ๊าย บาย สวัสดีค่ะ 00:18:25.440 --> 00:18:26.420 กินได้ทั้งแท่งอ่ะ 00:18:26.800 --> 00:18:28.840 คือนี่ยังกินไม่หยุดเลยอ่ะ มาแบบหลายวันแล้วอ่ะ 00:18:28.840 --> 00:18:31.040 คือแบบ คือกินแบบ อือหือ กินทุกวัน 00:18:31.040 --> 00:18:32.180 ทุกคน มันอร่อยนะคะ 00:18:32.180 --> 00:18:34.020 คือแบบนมเย็น ชอบอยู่แล้วไง 00:18:34.020 --> 00:18:35.280 แล้วแบบอันนี้มันเป็นขนมปัง 00:18:35.280 --> 00:18:36.260 ทางนั้นเป็นไงบ้างอ่ะ? 00:18:36.260 --> 00:18:38.920 อือหือ สาคูแคนตาลูปก็อร่อยนะบอกเลย 00:18:38.920 --> 00:18:41.240 ไม่ใช่มีแค่ปังนมเย็นที่อร่อย อืม 00:18:41.240 --> 00:18:42.740 -อร่อยเนอะ -อือ 00:18:42.740 --> 00:18:44.640 เอาเป็นว่า พอเหอะ ปิดคลิปไหม? 00:18:44.640 --> 00:18:46.420 งั้นขอปิดคลิปแทนวิวเลยนะคะ 00:18:46.420 --> 00:18:48.460 วันนี้ก็ลาไปก่อนละกันค่ะทุกคน 00:18:48.460 --> 00:18:50.640 บ๊าย บาย สวัสดีค่ะ