ผมคิดว่าพวกเราทุกคนทราบ ว่าโลกทุกวันนี้มีแต่ปัญหา เราได้ยินได้ฟังปัญหาพวกนั้น ในวันนี้ เมื่อวาน และทุกๆ วัน มาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว ปัญหาหนัก ปัญหาใหญ่ ปัญหาเร่งด่วน ปัญหาด้านโภชนาการ ปัญหาการเข้าถึงนํ้าใช้ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ การทำลายป่าไม้ การขาดทักษะฝีมือ ความไม่มั่นคงปลอดภัย อาหารไม่เพียงพอ บริการทางสุขภาพไม่เพียงพอ ปัญหามลพิษ ปัญหาแล้วปัญหาเล่า และผมคิดว่าสิ่งที่แบ่งแยกช่วงเวลานี้ ออกจากช่วงเวลาอื่นๆที่ผมจดจำได้ ภายในช่วงชีวิตสั้นๆ ของผมบนโลกใบนี้ ก็คือ การตื่นตัวต่อปัญหาต่างๆ เหล่านี้ เราทุกคนต่างตื่นตัวอย่างมาก แต่ทำไมเราจึงมีความยากลำบากอย่างมาก ที่จะรับมือกับปัญหาเหล่านี้ล่ะ นั่นคือคำถาม ที่ผมปลุกปลํ้ากับมันมาโดยตลอด มันมาจากมุมมองที่แตกต่างออกไปอย่างมากของผม ผมไม่ใช่คนที่ทำงานด้านปัญหาสังคม ผมเป็นคนทำงานด้านธุรกิจ ช่วยธุรกิจให้ทำเงินได้ พระเจ้าทรงห้าม แล้วทำไมเราจึงมีปัญหามากเหลือเกิน กับปัญหาสังคมเหล่านี้ และจริงๆแล้ว องค์กรธุรกิจมีบทบาทอะไรได้หรือไม่ ถ้ามี บทบาทที่ว่านั้นคืออะไร ผมคิดว่า เพื่อที่จะจัดการกับปัญหานั้น เราต้องถอยออกมาสักก้าว แล้วมาคิดเกี่ยวกับ ว่าเราได้เข้าใจ และตรึกตรองอย่างไรเกี่ยวกับ ปัญหาและการแก้ปัญหา ของข้อท้าทายทางสังคมอันยิ่งใหญ่ที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ ครับ ผมคิดว่า หลายท่านได้มองภาคธุรกิจว่า เป็นตัวปัญหา หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นหนึ่งในหลายๆปัญหา ท่ามกลางข้อท้าทายทางสังคมมากมาย ที่เราเผชิญอยู่ ลองคิดถึงธุรกิจอาหารจานด่วน (ฟาสต์ฟู้ด) อุตสาหกรรมยา ธุรกิจการธนาคาร นี่เป็นจุดด้อย เกี่ยวกับภาคธุรกิจ ภาคธุรกิจไม่ได้ถูกมองว่าเป็นทางออก ในปัจจุบัน สำหรับคนส่วนมาก มันถูกมองว่าเป็นปัญหา และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วยในหลายๆ กรณี มีคนในธุรกิจที่แย่ๆ จำนวนมาก ข้างนอกนั่น ที่ได้ทำสิ่งที่ผิดๆ ซึ่งได้ทำให้ปัญหานั้นยิ่งแย่ลงไปอีก ดังนั้นการมองแบบนี้ก็อาจถือได้ว่าฟังขึ้น เรามักชอบที่จะมองหาทางออกกันอย่างไร สำหรับปัญหาทางสังคมเหล่านี้ ประเด็นปัญหามากมายเหล่านี้ ที่เราเผชิญอยู่ในสังคม ครับ เรามักจะมองหาทางแก้ ในแง่ขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) หรือในแง่ของรัฐบาล หรือในแง่ของมูลนิธิ ความจริงแล้ว เอกลักษณ์ขององค์กรที่ไม่เหมือนใครแบบนี้ ของยุคนี้ ก็คือการเพิ่มขึ้นอย่างมากของเอ็นจีโอ และองค๋กรทางสังคมนี้ สิ่งนี้รูปแบบองค์กรที่ใหม่และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่เราได้เห็นเติบโตขึ้นมา นวัตกรรมมหึมา พลังงานมหึมา พรสวรรค์มหึมา ปัจจุบันได้ถูกนำมาขับเคลื่อน ผ่านทางโครงสร้างนี้ เพื่อพยายามจัดการกับสิ่งที่ท้าทายเหล่านี้ และพวกเราหลายคนที่นี่ ก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างมากในสิ่งเหล่านั้นด้วย ผมเองเป็นอาจารย์สอนวิชาธุรกิจในมหาวิทยาลัย แต่ที่จริงแล้ว ผมได้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไร ผมคิดว่า จนถึงทุกวันนี้มีสี่แห่ง เมื่อใดก็ตามที่ผมสนใจและรับทราบ ปัญหาทางสังคม และนั่นแหละ ที่ผมได้ทำ จัดตั้งองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรขึ้น และนั่นคือวิธีการที่เราคิด เกี่ยวกับวิธีที่จะไปจัดการ กับปัญหาเหล่านี้ แม้อาจารย์สอนวิชาธุรกิจในมหาวิทยาลัย ก็คิดแบบนั้น แต่ในขณะนี้ ผมคิดว่า เราได้ทำเรื่องนี้ มานานพอสมควรแล้ว เราได้รับรู้ถึงปัญหาเหล่านั้น มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ เรามีประสบการณ์มาหลายทศวรรษแล้ว กับเอ็นจีโอของเรา และกับหน่วยงานรัฐบาลของเรา และมีความเป็นจริงที่น่าอึดอัดใจ ความเป็นจริงที่น่าอึดอัดใจก็คือ เราไม่ได้ทำให้เกิด ความก้าวหน้าได้อย่างเร็วพอ เราไม่ได้กำลังมุ่งไปสู่ชัยชนะ ปัญหาเหล่านี้ ยังดูเหมือนจะทำให้เราหวาดหวั่นอยู่มาก และควบคุมยากมาก และวิธีแก้ปัญหาใดๆ ที่เราได้มา ก็เล็กน้อย เรากำลังก้าวหน้าเพิ่มมากขึ้น แล้วอะไรคืออุปสรรคสำคัญ ที่เราประสบอยู่ ในการจัดการกับปัญหาสังคมเหล่านี้เล่า ถ้าเราตัดเอาความซับซ้อนทั้งหมดนั้นออกไป เราก็มีปัญหาด้านการประเมินค่า เราไม่สามารถประมินค่าได้ เราก้าวหน้าไปได้ แสดงให้เห็นผลกำไรได้ เราแสดงผลลัพธ์ออกมาได้ ทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้นได้ เรากำลังช่วยกัน เรากำลังทำให้มันดีขึ้น เรากำลังทำในสิ่งที่ดี เราไม่สามารถรับมือได้ แต่เราไม่สามารถสร้างผลกระทบต่อปัญหา ให้เกิดขึ้นได้ในระดับกว้าง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นหรือครับ เพราะว่าเราไม่มีทรัพยากร และนั่นก็เห็นได้ชัดเจนยิ่งในปัจจุบัน และนั่นก็ชัดเจนขึ้นในปัจจุบัน กว่าที่มันเป็นอยู่ในหลายๆ ทศวรรษที่แล้วมา เรื่องง่ายๆ ก็คือ ไม่มีเงินพอ ที่จะไปจัดการกับปัญหามากมายเหล่านี้ โดยใช้วิธีการที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่มีรายได้จากภาษีที่เพียงพอ ไม่มีเงินบริจาคจากการทำบุญอย่างเพียงพอ เพื่อไปจัดการกับปัญหา ในแบบที่เราจัดการอยู่ในปัจจุบัน เราต้องเผชิญกับความเป็นจริงนั้น และความขาดแคลนทรัพยากร ที่จะเข้าไปจัดการกับปัญหาเหล่านี้ ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดในโลกที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน กับปัญหาด้านงบประมาณทั้งมวลที่เราเผชิญอยู่ หากโดยพื้นฐานแล้ว เราประสบปัญหาด้านทรัพยากร แล้วพรัพยากรในสังคมนั้นอยู่ที่ไหนกันเล่าครับ ทรัพยากรเหล่านั้น จริงๆแล้วมีขึ้นมาได้อย่างไร ทรัพยากรที่เราจำเป็นต้องนำมาใช้จัดการ กับสิ่งที่ท้าทายสังคมทั้งหมดนี้ เอาละครับ ผมคิดว่า คำตอบนั้นชัดเจนมาก คำตอบนั้นอยู่ในธุรกิจไงครับ ความรํ่ารวยทั้งหมด จริงๆแล้วสร้างขึ้นมาจากธุรกิจ ธุรกิจสร้างความรํ่ารวยขึ้นมา เมื่อมันสนองความต้องการด้านผลกำไร นั่นเป็นวิธีการที่ความรํ่ารวยทั้งมวลเกิดขึ้นมา มันสนองความต้องการด้านผลกำไร ซึ่งจะนำไปสู่การเสียภาษี และซึ่งจะนำไปสู่รายได้ และซึ่งนำไปสู่การบริจาคเงินเพื่อการกุศล นั่นคือ แหล่งกำเนิดของทรัพยากรทั้งหมด ธุรกิจเท่านั้นสามารถสร้างทรัพยากรขึ้น ได้อย่างแท้จริง สถาบันอื่นสามารถนำมันไปใช้ประโยชน์ เพื่อทำงานที่สำคัญๆ ได้ ธุรกิจเท่านั้นที่สร้างทรัพยากรขึ้นมาได้ และธุรกิจสร้างทรัพยากรขึ้นมา เมื่อธุรกิจนั้นสามารถสนองความต้องการทางผลกำไรได้ ทรัพยากรนั้นถูกสร้างขึ้นโดยธุรกิจ อย่างมากมายท่วมท้น แล้วคำถามก็คือ เราจะเอาสิ่งนี้มาได้ใช้อย่างไร เราจะเอามันมาใช้ได้อย่างไร ธุรกิจสร้างทรัพยากรเหล่านั้นขึ้นมา เมื่อมันทำกำไรได้ กำไรนั้นก็คือ ผลต่างเล็กๆน้อยๆ ระหว่างราคา และค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการผลิต วิธีแก้ปัญหาใดๆที่ธุรกิจได้สร้างขึ้น กับปัญหาใดๆก็ตามที่พวกเขากำลังพยายามแก้อยู่ แต่กำไรนั้น เป็นมนต์ขลัง ทำไมหรือครับ ก็เพราะว่าผลกำไรที่ว่านั้น ทำให้เราได้มาซึ่ง วิธีแก้ปัญหาที่เราเป็นผู้ก่อ ให้สามารถประเมินค่าได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่า ถ้าเราสามารถทำกำไรได้ เราก็จะสามารถทำขึ้นมาได้เป็น 10, เป็น 100, เป็นล้าน เป็น 100 ล้าน, เป็นพันล้าน วิธีแก้ปัญหานั้นก็จะยั่งยืนได้ในตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ธุรกิจทำงาน เมื่อธุรกิจทำกำไรได้ ครับ ทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องอะไร กับปัญหาสังคมหรือครับ ครับ แนวคิดหนึ่งก็คือ เรามาเอาผลกำไรนี้มา และนำมันกลับไปใช้ใหม่ในเรื่องของปัญหาสังคม ธุรกิจควรจะให้มากกว่านี้ ธุรกิจควรจะรับผิดชอบมากกว่านี้ และนั่นเป็นวิถีทางที่เราทำอยู่ ในธุรกิจ แต่ขอยํ้าอีกครั้ง วิถีทางที่เราทำอยู่นี้ จะไม่นำพาเราไปยังที่ๆเราต้องไป ครับ ผมเริ่มต้นด้วยการเป็นอาจารย์ด้านยุทธศาสตร์ และผมก็ยังคงเป็นอาจารย์ด้านยุทธศาสตร์อยู่ ผมภาคภูมิใจในเรื่องนั้น แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านไป ผมก็ยังคง ทำงานเกี่ยวกับปัญหาสังคม เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมได้ทำงานด้านสุขอนามัย สิ่งแวดล้อม การพัฒนาทางเศรษฐกิจ การลดความยากจน และเมื่อผมทำงานเพิ่มมากขึ้นๆในสาขาสังคมนั้น ผมก็เริ่มเห็นบางสิ่งบางอย่าง ที่ส่งผลกระทบอย่างลึกลํ้ากับผม และชีวิตทั้งหมดของผม แบบใดแบบหนึ่ง ความฉลาดลํ้าแบบดั้งเดิมในเรื่องเศรษฐกิจ และแนวคิดทางธุรกิจที่เป็นมาตลอดประวัติศาสตร์ เป็นไปในแนวนั้นจริงๆ คือมีการได้อย่างเสียอย่าง ระหว่างสมรรถนะทางสังคม และสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาก็คือ ธุรกิจนั้น จริงๆแล้วทำกำไร ด้วยการก่อให้เกิดปัญหาสังคมขึ้น ตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมก็คือ มลพิษ ถ้าธุรกิจทำให้เกิดมลพิษ ก็จะทำเงินได้มากกว่า ความพยายาที่จะมลดมลพิษนั้นลง การลดมลพิษลงมีราคาแพง ดังนั้นธุรกิจจึงไม่ต้องการทำเช่นนั้น ผลกำไรจะดีขึ้น หากสภาพแวดล้อมการทำงานไม่ปลอดภัย ราคาจะสูงเกินไป หากจัดการสภาพแวดล้อมการทำงานให้ปลอดภัย ดังนั้น ธุรกิจจึงทำเงินได้มากกว่า ถ้าพวกเขาไม่จัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ปลอดภัย นั่นเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมา บริษัทต่างๆ จำนวนมาก ได้ตกอยู่ในภูมิปัญญาเดิมนั้น พวกเขาต่อต้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น พวกเขาต่อต้านการพัฒนาสถานที่ทำงานให้ดีขึ้น ผมคิดว่า ความคิดอย่างนั้นได้นำไปสู่ พฤติกรรมส่วนใหญ่ ที่ทำให้เราต้องมาวิพากษ์วิจารณ์ธุรกิจ ที่ทำให้ผมวิพากษ์วิจารณ์ธุรกิจ แต่ยิ่งผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาสังคมลึกลงไปเท่าใด ทีละปัญหา และจริงแล้ว ยิ่งผมพยายาม ที่จะระบุปัญหามากขึ้นเท่าใด ตัวผมเอง โดยส่วนตัวแล้ว มีสองสามกรณี ที่ผมทำผ่านทางองค์กรไม่หวังผลกำไร ซึ่งผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้น ผมยิ่งพบว่า ในความเป็นจริงนั้น มันเป็นสิ่งตรงกันข้าม ธุรกิจไม่ได้กำไร จากการทำให้เกิดปัญหาขึ้น จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ในสำนึกพื้นฐานไหนๆ นั่นเป็นแนวคิดที่ง่ายเกินไปมาก ยิ่งเราลงลึกไปในปัญหาเหล่านี้ เราจะเริ่มเข้าใจมากยิ่งขึ้น ว่าจริงๆ แล้ว ธุรกิจนั้นได้กำไร จากการแก้ไขปัญหาสังคม นั่นคือ ที่มาของผลกำไรที่แท้จริง เรามาดูเรื่องมลพิษกัน ในวันนี้เราเรียนรู้ว่า ที่จริงแล้ว การลดมลพิษและการปลดปล่อยมลพิษ ทำให้เกิดผลกำไร ช่วยประหยัดเงิน ทำให้ธุรกิจผลิตได้มากขึ้น และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ได้ทำให้ทรัพยากรสูญไปเปล่าๆ จริงๆ แล้ว สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยมากขึ้น และการป้องกันอุบัติเหตุ ช่วยทำให้ธุรกิจมีผลกำไรเพิ่มขึ้น เพราะนั่นเป็นสัญญาณของกระบวนการที่ดี อุบัติเหตุนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงและทำให้เกิดความสูญเสีย ปัญหาแล้วปัญหาเล่า เราจึงเริ่มเรียนรู้ ว่าแท้จริงแล้ว ไม่มีการได้อย่างเสียอย่าง ระหว่างความก้าวหน้าทางสังคม และประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ ในสำนึกพื้นฐานไหนๆ อีกปัญหาหนึ่งก็คือ สุขภาพ ผมหมายถึง สิ่งที่เราได้พบก็คือ แท้จริงแล้ว สุขภาพของลูกจ้างคือสิ่ง ที่ธุรกิจควรจะเห็นคุณค่า เพราะว่าสุขภาพทำให้ลูกจ้างเหล่านั้น ผลิตได้มากขึ้น และมาทำงาน ไม่ขาดงานไปไหน งานที่ลึกกว่า งานใหม่ การคิดแบบใหม่ ที่เชื่อมโยงกันระหว่างธุรกิจกับปัญหาสังคม จริงๆแล้ว กำลังชี้ให้เห็นว่ามีการประสานกัน ขั้นรากฐานและลึกซึ้ง โดยเฉพาะ ถ้าเราไม่คิดถึงในระยะสั้นมากๆ ในระยะสั้นมากนั้น บางครั้งคุณอาจ โกหกตัวเองให้คิด ว่ามีเป้าหมายซึ่งแตกต่างกันอย่างสำคัญ แต่ในระยะไกล ท้ายที่สุดแล้ว เรากำลังเรียนรู้ ในหลายต่อหลายสาขามาแล้ว ว่าสิ่งนี้ไม่จริง ฉะนั้นแล้ว เราจะนำเอา พลังของธุรกิจออกมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร เพื่อคิดจัดการกับปัญหาพื้นฐาน ที่เราเผชิญอยู่นั้น ลองจินตนาการดูซิครับ ว่าเราจะทำได้ เพราะถ้าเราทำได้ เราก็จะประเมินค่ามันได้ เราจะนำทรัพยากรที่รวบรวมไว้จำนวนมหึมานี้ และสมรรถภาพองค์การนี้มาใช้ประโยชน๋ได้ และลองเดาดูซิครับ ในที่สุดสิ่งนั้นกำลังเกิดขึ้นอยู่ บางส่วนเกิดขึ้นเพราะผู้คนอย่างเช่นพวกท่าน ซึ่งในปัจจุบัน ได้ยกปัญหาเหล่านี้ขึ้นมาถกกัน มาปีแล้วปีเล่า ทศวรรษแล้วทศวรรษเล่า เราเห็นองค์กรอย่างเช่น กลุ่มบริษัท ดาว เคมิคอล (Dow Chemical) ชักนำการเปลี่ยนแปลงจากไขมันทรานส์ (trans fat) และไขมันอิ่มตัว (saturated fat) ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมา นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของ เจน เออริเกชั่น (Jain Irrigation) เป็นบริษัทที่นำเอาเทคนิคการชลประทานแบบนํ้าหยด (drip irrigation) มาให้ชาวนาหลายพันหลายล้านคน ช่วยลดการใช้นํ้าจำนวนมากได้ เราเห็นบริษัทอย่างเช่น บริษัทป่าไม้ในบราซิล ฟิเบรีย (Fibria) ที่คิดได้ว่าจะหลีกเลี่ยง การโค่นต้นไม้เก่าแก่ในป่า และหันมาใช้ต้นยูคาลิปตัส และได้ผลผลิตของเยื่อไม้ ต่อหนึ่งเฮกตาร์เพิ่มมากกว่าเดิม และทำกระดาษได้มากกว่าที่คุณจะได้จาก การตัดต้นไม้เก่าแก่เหล่านั้น คุณเห็นบริษัทอย่างเช่น ซิสโก (Cisco) ซึ่งกำลังฝึก ทักษะ IT ให้กับผู้คน จนถึงปัจจุบันได้สี่ล้านคนแล้ว จริงๆแล้วเพื่อ ใช่ครับ รับผิดชอบ แต่ก็ได้ช่วยขยายโอกาส ที่จะแพร่กระจายเทคโนโลยี่ IT และทำให้ธุรกิจโดยรวมเติบโตขึ้น มีโอกาสสำคัญสำหรับธุรกิจในทุกวันนี้ ที่จะทำให้เกิดผลกระทบและจัดการกับปัญหาสังคมเหล่านี้ และโอกาสนี้ เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด ที่เราเห็นอยู่ในธุรกิจ และคำถามก็คือ เราจะสามารถทำให้ธุรกิจ คิดที่จะนำประเด็น ค่านิยมร่วม (shared value) นี้ มาปรับใช้ได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่า ค่านิยมร่วม การคิดจัดการกับปัญหาสังคม ด้วยการใช้โมเดลธุรกิจ (business model) นั่นคือ ค่านิยมร่วม ค่านิยมร่วม เป็นลัทธิทุนนิยม แต่มันเป็นแบบของลัทธิทุนนิยมที่สูงขึ้นมา มันเป็นลัทธิทุนนิยม ที่เราตั้งใจจะให้มันเป็น ในท้ายที่สุด สนองความจำเป็นที่สำคัญ ไม่ใช่การยิ่งแข่งขันกันมากขึ้นเพื่อ ผลต่างเล็กๆน้อยๆ ในคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ และในส่วนแบ่งทางการตลาด ค่านิยมร่วม คือ เมื่อเราสามารถสร้างค่านิยมทางสังคม และค่านิยมทางเศรษฐกิจไปพร้อมๆกัน มันคือ การค้นพบโอกาสเหล่านั้น ที่จะปลดปล่อยความเป็นไปได้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรามี ให้ออกมา เพื่อคิดรับมือกับปัญหาสังคมเหล่านี้อย่างแท้จริง เพราะว่าเราจะสามารถประเมินค่าได้ เราจะจัดการกับค่านิยมร่วมได้ ในระดับทวีคูณ มันจริง มันกำลังเกิดขึ้น แต่เพื่อที่จะให้ทางออกนี้ทำงานได้ เราต้องเปลี่ยนวิธีการที่ธุรกิจมองตนเองเสียแต่เดี๋ยวนี้ และต้องขอบคุณ ที่เรื่องนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ในอดีต ธุรกิจติดกับดักอยู่ในภูมิปัญญาแบบเดิมๆ ว่าพวกเขาไม่ควรจะวิตกอะไรเกี่ยวกับปัญหาสังคม ว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ ว่าคนอื่นก็กำลังจัดการอยู่แล้ว บัดนี้ เรากำลังเห็นบริษัทต่างๆ ยอมรับความคิดนี้ แต่เราก็ยังต้องยอมรับด้วยว่าธุรกิจ ไม่อาจทำสิ่งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เท่าๆกับที่เรามีเอ็นจีโอและรัฐบาล ร่วมกันทำงานกับธุรกิจ เอ็นจีโอใหม่ ที่กำลังทำให้เกิดความแตกต่างอย่างสำคัญ ก็คือหน่วยงานที่ได้มีหุ้นส่วนเหล่านี้ ที่ได้พบวิธีทำงานร่วมกัน รัฐบาลซึ่งกำลังก้าวหน้าไปอย่างมากที่สุด ก็คือ รัฐบาลที่ได้พบวิธีการ เพื่อทำให้ค่านิยมร่วม เกิดขึ้นได้ มากกว่าที่จะเห็นฝ่ายรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว ที่ต้องเป็นผู้ตัดสินใจปฏิบัติการ และรัฐบาลมีวิธีการหลายอย่างที่จะทำให้เกิดผลกระทบ ด้านความเต็มใจและความสามารถของบริษัท ที่จะแข่งขันกันในแนวทางนี้ ผมคิดว่า ถ้าเราทำให้ธุรกิจมองตัวเองให้แตกต่างออกไปได้ แะถ้าเราทำให้หน่วยงานอื่นๆ มองธุรกิจแตกต่างออกไป เราก็จะสามารถเปลี่ยนโลกได้ ผมรู้ครับ ผมกำลังเห็นมันอยู่ ผมรู้สึกได้ถึงมัน ผมคิดว่า สำหรับเยาวชน นักศึกษาคณะธุรกิจมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดของผม กำลังทำความเข้าใจ ถ้าเราสามารถทำลายเส้นแบ่งแยกนี้ได้ ความไม่สบายใจนี้ ความตึงเครียดนี้ ความรู้สึกนี้ที่เรา ไม่ได้ร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์ตรงนี้ ในการขับเคลื่อนปัญหาสังคมเหล่านี้ เราก็จะสามารถทำลายสิ่งนี้ได้ และท้ายที่สุด ผมคิดว่า เรามีวิธีแก้ปัญหาได้ ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)