คนส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าเราต้องปรับปรุง
ระบบเศรษฐกิจของเราในทางใดทางหนึ่ง
แต่ในเวลาเดียวกันเรามักไม่ยอมรับความคิดของมาร์กซ์
ซึ่งเป็นผู้วิจารณ์ระบบทุนนิยมที่ร้อนแรงที่สุด
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะความคิดเขาถูกนำไปออกแบบระบบเศรษฐกิจ
ที่เสียหายร้ายแรงที่สุดระบบหนึ่ง
ที่มาพร้อมกับจอมเผด็จการบ้าอำนาจ
แต่กระนั้นเราก็ไม่ควรรีบปฏิเสธมาร์กซ์
เราควรมองเขาเป็นเหมือนไกด์
ที่วินิจฉัยโรคที่เกิดจากทุนนิยม
ซึ่งจะพาเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า
ทุนนิยมจะต้องถูกปรับปรุง
และการวิเคราะห์ของมาร์กซจะเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ
มาร์กซเกิดปี 1818 ที่เมืองเทรียร์ในเยอรมัน
ไม่นานเขาก็ไปร่วมกับกลุ่มคอมมิวนิสต์
ซึ่งในเวลานั้นเป็นปัญญาชนกลุ่มเล็ก ๆ
ที่พยายามล้มล้างระบบชนชั้นในสังคม
และขจัดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคล
เขาทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์
และสุดท้ายต้องหนีออกจากเยอรมัน
ไปตั้งหลักในลอนดอน
มาร์กซเขียนหนังสือและบทความมากมาย
บางชิ้นเขียนร่วมกับเพื่อเขา เฟรดริก เองเกลส์
งานเขียนส่วนใหญ่เกี่ยวกับทุนนิยม
ระบบเศรษฐกิจที่สำคัญในโลกตะวันตก
ในช่วงนั้นทุนนิยมเพิ่งเกิด และมาร์กซ์เป็นผู้ที่วิจารณ์มัน
อย่างถึงแก่นและเปี่ยมด้วยปัญญา
ต่อไปนี้คือปัญหาของทุนนิยมที่เขามองเห็น
งานในโลกสมัยใหม่ทำให้คนแปลกแยก
มาร์กซให้ความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ต่อเราประการหนึ่ง
คือ งานเป็นที่มาของความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดประการหนึ่งของมนุษย์
แต่การจะทำให้งานตอบสนองตัวเราได้นั้น
เราจะต้อง "เห็นตัวเอง" ในวัตถุที่เราสร้างขึ้น
ลองคิดถึงคนที่ทำเก้าอี้ตัวนี้ขึ้นมา
มันดูแข็งแรง จริงใจ สง่างาม
นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การใช้แรงงานให้โอกาสที่เราจะเอาสิ่งที่ดีในตัวเรา
แสดงออกไปข้างนอก แต่งานแบบนี้ก็หาได้ยากในโลกสมัยใหม่
ปัญหาคือโลกสมัยใหม่งานถูกซอยตามความสามารถเฉพาะ
งานเฉพาะด้านทำให้ระบบเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพ
แต่ก็ทำให้ยากที่คนจะรู้สึกว่าตัวเองได้ผลิตอะไรจริง ๆ ที่จะตอบสนอง
ความต้องการของมวลมนุษยชาติ
มาร์กซเห็นว่างานสมัยใหม่นำไปสู่ "ความแปลกแยก"
"ความแปลกแยก" หรือ Entframdung
หรือพูดอีกอย่างว่าคือ การหลุดแยกออกจากกันระหว่าง
สิ่งที่เราทำทั้งวัน กับ คนที่เราคิดว่าตัวเราเป็นจริง ๆ
และสามารถทำประโยชน์สมกับการมีอยู่ของเรา
2 งานสมัยใหม่ไม่มีความมั่นคง
ทุนนิยมทำให้มนุษย์เป็นสิ่งที่ปัดทิ้งได้
แค่ปัจจัยหนึ่งในพลังการผลิตที่เราเขี่ยทิ้งได้
ทันทีที่ต้นทุนสูงขึ้น และเราหาเครื่องจักรมาแทนได้
แต่กระนั้น ดังที่มาร์กซ์ก็รู้ดี ว่าเราละวางไม่ได้
เรากลัวที่จะถูกทิ้ง
คอมมิวนิสม์ไม่ใช่แค่ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์
ถ้าจะเข้าใจในแง่อารมณ์ มันก็คือการโหยหาการมีที่ยืนในโลก
ที่เราจะไม่ถูกขจัดออกไป
3 คนงานได้ค่าแรงถูก นายทุนร่ำรวย
นี่คือสิ่งที่มาร์กซรังเกียจที่สุดในระบบทุนนิยม
กล่าวอย่างเจาะจง เขาเชื่อว่าทุนนิยมจงใจกดค่าแรงให้ต่ำที่สุด
เพื่อจะช้อนเอาส่วนต่างมาเป็นกำไรให้มากที่สุด
เขาเรียกมันว่า การสั่งสมทุนรูปแบบเก่าเถื่อน หรือ (ภาษาเยอรมัน)
ในขณะที่นายทุนมองว่ากำไรคือรางวัลจากการรู้จักใช้เทคโนโลยี
แต่มาร์กซรังเกียจกำไร
เขามองว่ามันคือการขโมย
และสิ่งที่ถูกขโมยคือความสามารถและน้ำพักน้ำแรงของคนงานของเราเอง
ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร สำหรับมาร์กซ พูดอย่างหยาบ
ทุนนิยมก็คือการจ่ายค่าแรงในคนงานในราคาหนึ่ง
เป็นค่าแรงสำหรับผลิตของที่ขายได้ในอีกราคาหนึ่ง
กำไรก็คือคำสวยหรูที่ใช้เรียกการขูดรีด
4 ทุนนิยมเป็นระบบที่ไม่มั่นคง
มาร์กซเสนอว่าทุนนิยมมีลักษณะสำคัญคือประกอบไปด้วยวิกฤตเป็นชุด
วิกฤตเศรษฐกิจทุกครั้งจะถูกนายทุนพูดเหมือนเป็นสิ่งหายาก
และเป็นวิกฤตครั้งสุดท้าย
แต่สำหรับมาร์กซ วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยม
และมีสาเหตุมาจากบางสิ่่งที่แปลกมาก
ซึ่งคือ มาจากความสามารถที่เราจะผลิตได้มาก
เกินกว่าที่เราจะบริโภคได้ทัน
วิกฤตของทุนนิยมเป็นวิกฤตของความเหลือเฟือ ไม่ใช่วิกฤตของความขาดแคลน
โรงงานและระบบของเรามีประสิทธิภาพเสียจน
เราผลิตรถพอให้ทุกคนในโลกมีใช้ได้
มีบ้าน มีโรงเรียน และโรงพยาบาลที่ดี ให้บริการ
นี่แหละที่ทำให้มาร์กซ์โกรธ แต่ก็ทำให้เขามีความหวังด้วย
เราแค่ไม่กี่คนที่จำเป็นต้องทำงาน
เพราะระบบการผลิตสมัยใหม่ผลิตได้มาก
แต่แทนที่จะมองการไม่ต้องทำงานว่าเป็นเสรีภาพ
เรากลับบ่นเหมือนเป็นพวกโรคจิตชอบถูกทำร้าย
ด้วยการเรียกมันว่า "การว่างงาน"
เราควรเรียกมันว่า "เสรีภาพ"
การมีคนว่างงานจำนวนมากมาจากเหตุผลที่ดี๊ดี
ก็คือเพราะเราผลิตเก่งมาก
เราจึงไม่ต้องทำงานหน้าดำคร่ำเครียด
และในกรณีนี้เราควรทำเวลาว่างให้บันเทิงและเปี่ยมสุข
ด้วยการกระจายความมั่งคั่งจากบริษัทที่รวยเฟร่อซะใหม่่
นี่เป็นความฝันที่สวยงามเท่ากับสวรรค์ของพระเยซู
แต่เป็นจริงได้มากกว่าเยอะ
5 ทุนนิยมไม่ดีกับนายทุนเองด้วย
มาร์กซไม่ได้มองระบบทุนนิยมว่าชั่วช้า
เช่น เขาตระหนักว่าความเศร้าที่อยู่เบื้องหลังชีวิตแต่งงาน
ของชนชั้นกลาง
มาร์กซมองว่าการแต่งงานเป็นแค่ภาคขยายของธุรกิจ
และครอบครัวชนชั้นกลางเต็มไปด้วยความตึงเครียด
การเก็บกด
ความไม่พอใจที่จะต้องอยู่ด้วยกัน
ไม่ใช่เพื่อความรัก
แต่เพื่อเหตุผลทางการเงิน
มาร์กซเชื่อว่าทุนนิยมบังคับให้ทุกคนให้ความสำคัญกับผลประโยชน์
จนเป็นหัวใจของชีวิต
จนไม่รู้จักความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ซื่อสัตย์
เขาเรียกแนวโน้มของภาวะทางจิตนี้ว่า
ความลุ่มหลงในสินค้า (commodity fetishism)
เพราะมันทำให้เราให้ค่ากับสิ่งที่ไม่ได้มีค่าจริง ๆ
เขาอยากให้เราทุกคนเป็นอิสระจากข้อจำกัดเรื่อเงิน
เพื่อที่เราจะได้เลือกอย่างมีเหตุผลในความสัมพันธ์
เฟมินิสต์ในศตวรรษที่ 20
ตอบปัญหาการกดขี่ทางเพศด้วยการเรียกร้อง
ให้ผู้หญิงออกไปทำงานได้
แต่ข้อเรียกร้องของมาร์กซเก๋ไก๋ซับซ้อนกว่านั้น
เขาว่า ข้อเรียกร้องของเฟมินิสต์แค่สืบทอดการเป็นทาสของมนุษย์
ประเด็นไมใช่ให้ผู้หญิงไปทนทุกข์แบบเดียวกับผู้ชาย
แต่ทั้งหญิงและชายควรมีทางเลือกที่จะมีความสุขในยามว่าง
ที่เป็นทางเลือกถาวรตลอดกาล
ทำไมเราไม่มองแบบที่มาร์กซมอง
แง่มุมสำคัญในงานมาร์กซก็คือว่าระบบทุนนิยมมีวิธีที่จะ
แต้มสีสันผิดเพี้ยนให้วิธีคิดในการมองโลกของเรา
ระบบเศรษฐกิจสร้างสิ่งที่มาร์กซเรียกว่า "อุดมการณ์"
สังคมทุนนิยมคือสังคมที่คนทั้งหลาย ไม่ว่ารวยหรือจน
เชื่อในสิ่งที่เป็นแค่การตัดสินเชิงคุณค่า
ที่มีความสัมพันธ์ย้อนกลับไปหาระบบเศรษฐกิจ
เช่น คนไม่ทำงานเป็นคนไร้ค่า
การมีเวลาว่างเกิน 2-3 สัปดาห์ต่อปีเป็นบาป
การมีข้าวของในครอบครองมากแปลว่ามีความสุขมาก
ของมีค่าจะขายได้่
กล่าวโดยย่อ
ความชั่วร้ายที่สุดของทุนนิยม
ไม่ใช่ว่ามีคนชั่วอยู่ในระดับสูงสุดของสังคม
ข้อนั้นมีในทุก ๆ ระบบสังคมที่มีลำดับชั้น
แต่ความชั่วอยู่ที่ทุนนิยมสอนให้เรา
วิตกกังวล ชอบแข่งขัน เชื่อฟัง และเฉื่อยชาทางการเมือง
มาร์กซไม่ได้แค่บอกว่าทุนนิยมผิดพลาดอย่างไร
เขาบอกด้วยว่าสังคมในอุดมคติควรเป็นอย่างไร
ในหนังสือ "คำประกาศพรรคคอมมิวนิสต์" เขาพูดถึงโลก
ที่ไม่มีทรัพย์สินส่วนตัว ไม่มีการสืบทอดความมั่งคั่งสู่ลูกหลาน
ผ่านการมีการเก็บภาษีรายได้ในอัตราก้าวหน้ามาก ๆ
การควบคุมธนาคาร
ธุรกิจเกี่ยวกับการสื่อสารและการขนส่ง
การศึกษาฟรี
มาร์กซ์ยังหวังว่าระบบใหม่จะช่วยให้คนพัฒนาศักยภาพตัวเอง
ได้ในหลายด้าน
ในสังคมคอมมิวนิสต์ ผมอาจจะทำงานหนึ่งในวันนี้
และอีกงานหนึ่งในวันหน้า
ล่าสัตว์ตอนเช้า
ตกปลาตอนบ่าย
เลี้ยงวัวควายตอนเย็น
จับกลุ่มวิจารณ์การเมืองตอนหลังกินอาหารค่ำ
เหมือนกับว่าผมเป็นคนมีความคิด โดยไม่ต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็น นายพราน ชาวประมง คนเลี้ยงวัว หรือนักวิจารณ์
หลังย้ายไปอยู่ลอนดอน
มาร์กซได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนและคู่หูทางวิชาการ
ฟรีดริช เองเกลส์
ชายร่ำรวยที่พ่อเป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าในแมนเชสเตอร์
เองเกลส์จ่ายหนี้ให้มาร์กซ และจัดการให้ผลงานของมาร์กซได้รับการตีพิมพ์
เท่ากับว่านายทุนจ่ายตังค์ให้คอมมิวนิสต์
ชายสองคนถึงกับแต่งกวีให้กัน
ตอนมาร์กซมีชีวิตอยู่เขาไม่ได้มีชื่อเสียงหรือได้รับการยอมรับ
ในฐานะนักวิชาการ
คนฉลาดน่านับถือในยุคนั้นคงจะหัวเราะ
ถ้าเราไปบอกเขาว่าความคิดมาร์กซ
จะเปลี่ยนโลก
แต่แล้วอีกไม่กี่ทศวรรษต่อมาความคิดเขา
ก็เปลี่ยนโลกจริง ๆ
ความคิดมาร์กซเป็นกุญแจสำคัญ
ในการเคลื่อนไหวทางอุดมการณ์ของศตวรรษที่ 20
แต่มาร์กซก็เหมือนหมอเก่ง ๆ ในยุคที่การแพทย์ยังเพิ่่งเริ่ม
เขารู้ว่ามีโรค
แต่ไม่รู้วิธีรักษา
ณ จุดนี้ของประวัติศาสตร์
เราทุกคนควรเป็นมาร์กซิสต์
ในแง่ที่เราน่าจะเห็นด้วย
ว่าทุนนิยมมีปัญหา
แต่เราต้องไปหาทางรักษาที่ได้ผลเอาเอง
ดังที่มาร์กซเองพูดไว้
และเราเห็นด้วยหมดใจว่า
นักปรัชญาจนถึงบัดนี้
ได้แต่ตีความโลก
แต่ประเด็นก็คือ
เราต้องเปลี่ยนแปลงมัน