WEBVTT 00:00:01.274 --> 00:00:06.690 การเรียนรู้ในอนาคตจะเป็นอย่างไร? NOTE Paragraph 00:00:06.690 --> 00:00:08.970 ผมมีแผนสำหรับอนาคตครับ 00:00:08.970 --> 00:00:12.050 แต่ก่อนที่ผมจะบอกคุณว่าแผนนั้นคืออะไร 00:00:12.050 --> 00:00:15.020 ผมต้องเล่าเรื่องให้คุณฟังเรื่องหนึ่ง 00:00:15.020 --> 00:00:17.866 ซึ่งเป็นที่มาของแผนนี้ 00:00:17.866 --> 00:00:19.653 ที่ผ่านมาผมพยายามศึกษาว่า 00:00:19.653 --> 00:00:23.060 วิธีการเรียนรู้ต่างๆ ที่เราใช้กันในโรงเรียน 00:00:23.060 --> 00:00:25.330 มันมาจากไหน? 00:00:25.330 --> 00:00:27.762 เราอาจจะมองย้อนไปในอดีตไกลๆ เลย 00:00:27.762 --> 00:00:31.575 แต่ถ้าคุณลองดูการเรียนการสอนในโรงเรียนปัจจุบันนี้ 00:00:31.575 --> 00:00:35.277 คุณจะเห็นได้ชัดเลยว่ามันมาจากไหน 00:00:35.277 --> 00:00:39.225 มันมาจากเมื่อ 300 ปีที่แล้ว 00:00:39.225 --> 00:00:41.442 จากจักรวรรดิสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 00:00:41.442 --> 00:00:44.410 บนโลกใบนี้ นั่นคือจักรวรรดิอังกฤษ 00:00:44.410 --> 00:00:46.755 ลองจินตนาการว่าคุณเป็นผู้ปกครอง 00:00:46.755 --> 00:00:49.163 ที่พยายามปกครองโลกทั้งใบ 00:00:49.163 --> 00:00:52.987 โดยไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีโทรศัพท์ 00:00:52.987 --> 00:00:57.119 ด้วยข้อมูลที่เขียนด้วยลายมือบนกระดาษ 00:00:57.119 --> 00:01:00.669 และเดินทางด้วยเรือ 00:01:00.669 --> 00:01:02.823 ชาววิคตอเรียนทำได้มาแล้วนะครับ 00:01:02.823 --> 00:01:05.991 วิธีของพวกวิคตอเรียนนั้นน่าทึ่งมาก 00:01:05.991 --> 00:01:09.303 พวกเขาสร้างคอมพิวเตอร์ระดับโลก 00:01:09.303 --> 00:01:12.359 โดยมีองค์ประกอบเป็นผู้คน 00:01:12.359 --> 00:01:14.152 และมันก็ยังอยู่กับเรามาจนวันนี้ 00:01:14.152 --> 00:01:20.131 โดยมีชื่อเรียกว่า ระบบการบริหารงานแบบราชการ 00:01:20.131 --> 00:01:23.458 เครื่องจักรในระบบนี้จะขับเคลื่อนได้ 00:01:23.458 --> 00:01:26.659 คุณต้องอาศัยคนจำนวนมากมายมหาศาล 00:01:26.659 --> 00:01:31.018 พวกเขาก็เลยสร้างเครื่องจักรอีกตัวหนึ่ง มาผลิตคนเหล่านี้ 00:01:31.018 --> 00:01:33.914 นั่นคือโรงเรียน 00:01:33.914 --> 00:01:36.691 โรงเรียนทำหน้าที่ผลิตคน 00:01:36.691 --> 00:01:40.540 ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องจักรกล 00:01:40.540 --> 00:01:43.925 ของระบบบริหารงานแบบราชการ 00:01:43.925 --> 00:01:48.315 พวกเขาต้องถูกผลิตออกมาเหมือนกันหมด 00:01:48.315 --> 00:01:50.472 พวกเขาต้องรู้สามอย่าง 00:01:50.472 --> 00:01:53.512 ต้องลายมือสวย เพราะเขาต้องบันทึกข้อมูลด้วยลายมือ 00:01:53.512 --> 00:01:55.667 ต้องอ่านหนังสือออก 00:01:55.667 --> 00:01:57.946 และต้องบวก ลบ 00:01:57.946 --> 00:02:01.609 คูณ หาร ในใจได้ 00:02:01.609 --> 00:02:05.136 ทุกคนต้องออกมาเหมือนกันมากๆ จนคุณเลือกใครก็ได้สักคนจากนิวซีแลนด์ 00:02:05.136 --> 00:02:07.471 ส่งเขาไปแคนาดา 00:02:07.471 --> 00:02:11.552 แล้วสามารถทำงานได้ทันที 00:02:11.552 --> 00:02:14.421 ชาววิคตอเรียนเป็นวิศวกรที่เยี่ยมมาก 00:02:14.421 --> 00:02:17.910 พวกเขาออกแบบระบบที่ทนทานมาก 00:02:17.910 --> 00:02:20.365 มันจึงยังอยู่กับเราจนวันนี้ 00:02:20.365 --> 00:02:24.341 ยังคงผลิตคนแบบเดิมๆ อย่างต่อเนื่อง 00:02:24.341 --> 00:02:29.157 เพื่อป้อนเข้าสู่เครื่องจักรที่ไม่มีตัวตนแล้ว 00:02:29.157 --> 00:02:32.085 ระบบจักรวรรดิล่มสลายไปแล้ว 00:02:32.085 --> 00:02:34.989 แล้วเรากำลังทำอะไรกับระบบโรงเรียน 00:02:34.989 --> 00:02:37.358 ที่ผลิตคนให้ออกมาเหมือนๆ กัน 00:02:37.358 --> 00:02:40.261 แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป 00:02:40.261 --> 00:02:44.181 ถ้าหากเราอยากเปลี่ยนแปลงมัน 00:02:44.181 --> 00:02:45.871 "โรงเรียนอย่างที่เราเคยรู้จักนั้น มันล้าสมัยแล้ว" 00:02:45.871 --> 00:02:47.763 นั่นเป็นคำวิจารณ์ที่ค่อนข้างแรง 00:02:47.763 --> 00:02:51.557 ผมพูดว่า โรงเรียนอย่างที่เราเคยรู้จักนั้น มันล้าสมัยไปแล้ว 00:02:51.557 --> 00:02:53.291 ผมไม่ได้บอกว่ามันพังนะครับ 00:02:53.291 --> 00:02:56.288 เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็พูดว่า ระบบการศึกษาพังเสียแล้ว 00:02:56.288 --> 00:02:59.939 มันไม่ได้พังนะครับ มันถูกสร้างมาอย่างยอดเยี่ยม 00:02:59.939 --> 00:03:06.165 เพียงแต่เราไม่ต้องการมันอีกแล้ว เพราะมันเชยไปแล้ว 00:03:06.165 --> 00:03:08.572 งานที่เราทำกันทุกวันนี้เป็นอย่างไรครับ? 00:03:08.572 --> 00:03:10.706 งานเสมียน เราก็มีคอมพิวเตอร์ 00:03:10.706 --> 00:03:13.237 นับเป็นพันๆ เครื่องในทุกที่ทำงาน 00:03:13.237 --> 00:03:16.442 แล้วคุณก็มีคนที่คอยควบคุม เครื่องคอมพิวเตอร์เหล่านี้ 00:03:16.442 --> 00:03:18.919 ให้ทำงานเสมียนต่างๆ 00:03:18.919 --> 00:03:22.183 คนพวกนี้ไม่จำเป็นต้องลายมือสวย 00:03:22.183 --> 00:03:25.215 เขาไม่จำเป็นต้องคิดเลขในใจได้ 00:03:25.215 --> 00:03:27.487 เขายังต้องอ่านหนังสือออก 00:03:27.487 --> 00:03:31.637 ที่จริง เขาต้องอ่านหนังสือออก และแยกแยะได้ด้วย 00:03:31.637 --> 00:03:34.744 นี่ว่ากันเฉพาะปัจจุบันนะ เรายังไม่รู้เลยนะครับ 00:03:34.744 --> 00:03:37.303 ว่างานในอนาคตจะหน้าตาเป็นอย่างไร 00:03:37.303 --> 00:03:39.947 เรารู้ว่าคนเราจะสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ 00:03:39.947 --> 00:03:43.145 เมื่อไหร่ก็ได้ และทำอย่างไรก็ได้ 00:03:43.145 --> 00:03:47.333 แล้วโรงเรียนที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะเตรียมเด็กๆ ให้พร้อม 00:03:47.333 --> 00:03:49.876 สำหรับโลกอนาคตอย่างไร? 00:03:49.876 --> 00:03:54.924 ผมเจอเข้ากับประเด็นเหล่านี้โดยบังเอิญ 00:03:54.924 --> 00:03:57.556 ผมเคยสอนเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 00:03:57.556 --> 00:04:00.020 ที่กรุงนิวเดลี เมื่อ 14 ปีก่อน 00:04:00.020 --> 00:04:03.777 ติดกับที่ทำงานของผม มีชุมชนแออัดอยู่แห่งหนึ่ง 00:04:03.777 --> 00:04:06.364 ผมเคยคิดว่า เด็กในสลัมพวกนี้จะมีโอกาส 00:04:06.364 --> 00:04:08.884 เรียนการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ไหม? 00:04:08.884 --> 00:04:11.964 หรือพวกเขาไม่ควรจะได้เรียน? 00:04:11.964 --> 00:04:14.581 ในขณะเดียวกัน ก็มีผู้ปกครองมากมาย 00:04:14.581 --> 00:04:17.012 คนรวย ที่มีคอมพิวเตอร์น่ะครับ 00:04:17.012 --> 00:04:20.143 เขาเคยพูดกับผมว่า "คุณรู้ไหม ลูกชายผมน่ะ 00:04:20.143 --> 00:04:22.332 เขามีพรสวรรค์นะ 00:04:22.332 --> 00:04:25.206 เขาทำอะไรเจ๋งๆ ด้วยคอมพิวเตอร์ได้เยอะแยะ 00:04:25.206 --> 00:04:29.182 ส่วนลูกสาวผมนะ โอ้ เธอฉลาดล้ำเหลือเกิน" 00:04:29.182 --> 00:04:31.290 อะไรทำนองนี้ ผมเลยสงสัยขึ้นมาทันทีว่า 00:04:31.290 --> 00:04:33.086 ทำไมคนรวยทุกคนถึงได้มีลูก 00:04:33.086 --> 00:04:35.227 ที่มีพรสวรรค์เหนือมนุษย์มนากันทั้งนั้น? 00:04:35.227 --> 00:04:37.142 (เสียงหัวเราะ) 00:04:37.142 --> 00:04:39.966 คนจนทำอะไรผิดไปเหรอ? 00:04:39.966 --> 00:04:42.969 ต่อมา ผมเลยเจาะกำแพงรั้ว 00:04:42.969 --> 00:04:45.001 ของสลัมที่อยู่ติดกับที่ทำงานของผม 00:04:45.001 --> 00:04:47.745 เอาคอมพิวเตอร์ใส่เข้าไปเครื่องหนึ่ง แล้วรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น 00:04:47.745 --> 00:04:50.729 ถ้าผมให้คอมพิวเตอร์แก่เด็กที่ไม่เคยมี 00:04:50.729 --> 00:04:54.065 ไม่รู้ภาษาอังกฤษ ไม่รู้ว่าอินเทอร์เน็ตคืออะไร 00:04:54.065 --> 00:04:55.017 เด็กๆ วิ่งกรูกันเข้ามา 00:04:55.017 --> 00:04:57.187 เครื่องคอมพิวเตอร์อยู่สูงจากพื้นสามฟุต เด็กๆ ถามว่า "นี่อะไร?" 00:04:57.187 --> 00:05:00.171 ผมตอบว่า "มันคือ เอ่อ ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน" 00:05:00.171 --> 00:05:02.387 (เสียงหัวเราะ) 00:05:02.387 --> 00:05:04.943 เด็กๆ ถามต่อว่า "แล้วลุงเอามาไว้ตรงนี้ทำไม?" 00:05:04.943 --> 00:05:06.158 ผมบอกว่า "ก็ไว้อย่างงั้นแหละ" 00:05:06.158 --> 00:05:09.167 เด็กๆ บอกว่า "พวกเราขอเล่นหน่อยได้ไหม?" ผมบอกว่า "ก็เอาสิ" 00:05:09.167 --> 00:05:11.544 แล้วผมก็เดินหนีไป 00:05:11.544 --> 00:05:13.288 แปดชั่วโมงให้หลัง 00:05:13.288 --> 00:05:16.243 เราก็พบว่าเด็กๆ กำลังเปิดดูเว็บไซต์ต่างๆ และสอนกันและกันว่าทำอย่างไร 00:05:16.243 --> 00:05:18.740 ผมบอกว่า "เป็นไปไม่ได้อ่ะ 00:05:18.740 --> 00:05:22.281 มันจะเป็นไปได้ยังไง พวกเขาไม่รู้อะไรเลย" 00:05:22.281 --> 00:05:25.145 เพื่อนร่วมงานผมบอกว่า "ไม่หรอก มันง่ายนิดเดียว 00:05:25.145 --> 00:05:27.968 นักเรียนของคุณสักคนหนึ่งคงเดินผ่านไป 00:05:27.968 --> 00:05:30.063 และบอกเด็กๆ ว่าใช้เมาส์อย่างไร" 00:05:30.063 --> 00:05:31.586 ผมว่า "เออ นั่นก็เป็นไปได้ " 00:05:31.586 --> 00:05:34.645 ผมเลยทำการทดลองซ้ำ ผมออกจากเมืองเดลีไปทางใต้ 300 ไมล์ 00:05:34.645 --> 00:05:36.636 ในหมู่บ้านห่างไกล 00:05:36.636 --> 00:05:40.428 ซึ่งโอกาสที่วิศวกรนักพัฒนาซอฟต์แวร์จะผ่านมา 00:05:40.428 --> 00:05:44.844 มีน้อยมาก (เสียงหัวเราะ) 00:05:44.844 --> 00:05:47.507 ผมทำงานทดลองซ้ำที่นั่น 00:05:47.507 --> 00:05:49.794 ผมไม่มีที่พัก ผมเลยติดตั้งคอมพิวเตอร์ 00:05:49.794 --> 00:05:51.994 กลับบ้าน แล้วอีกสองสามเดือนก็กลับมาดู 00:05:51.994 --> 00:05:53.689 เจอเด็กๆ กำลังเล่นเกมในคอมพิวเตอร์ 00:05:53.689 --> 00:05:54.640 พอพวกเขาเห็นผม ก็พูดว่า 00:05:54.640 --> 00:05:57.122 "เราอยากได้โปรเซสเซอร์ที่เร็วขึ้น กับเมาส์ที่ดีกว่านี้" 00:05:57.122 --> 00:06:01.416 (เสียงหัวเราะ) 00:06:01.416 --> 00:06:04.825 ผมพูดว่า "พวกหนูรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?" 00:06:04.825 --> 00:06:07.280 เด็กๆ ตอบมาน่าสนใจมากๆ 00:06:07.280 --> 00:06:08.945 พวกเขาพูดด้วยเสียงหงุดหงิดว่า 00:06:08.945 --> 00:06:11.498 "ลุงเอาเครื่องที่มีแต่ภาษาอังกฤษมาให้เรา 00:06:11.498 --> 00:06:17.583 เราเลยต้องสอนภาษาอังกฤษให้ตัวเองก่อน ถึงจะใช้มันได้ " (เสียงหัวเราะ) 00:06:17.583 --> 00:06:19.560 นั่นเป็นครั้งแรกที่ผม ในฐานะคนเป็นครู 00:06:19.560 --> 00:06:24.651 ได้ยินคนพูดคำว่า "สอนตัวเอง" เหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ธรรมดาๆ 00:06:24.651 --> 00:06:28.253 นี่คือภาพบางส่วนจากการทดลองของผมสมัยนั้น 00:06:28.253 --> 00:06:30.900 นั่นคือวันแรก ที่ผมติดตั้ง "คอมพิวเตอร์ในช่องกำแพง" 00:06:30.900 --> 00:06:33.138 ทางขวานั่นคือเด็กแปดขวบ 00:06:33.138 --> 00:06:38.858 ทางซ้ายนั่นคือนักเรียนของเขา เด็กผู้หญิงอายุหกขวบ 00:06:38.858 --> 00:06:42.455 เขากำลังสอนเธอเปิดดูเว็บไซต์ต่างๆ 00:06:42.455 --> 00:06:45.741 แล้วผมก็ไปยังส่วนต่างๆ ของประเทศ 00:06:45.741 --> 00:06:48.024 ทำงานทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า 00:06:48.024 --> 00:06:51.469 และได้ผลเหมือนเดิมเป๊ะ 00:06:51.469 --> 00:06:55.396 (คอมพิวเตอร์ในช่องกำแพง - ปี 1999) 00:06:55.396 --> 00:06:59.661 เด็กแปดขวบคนหนึ่งกำลังบอกพี่สาวว่าต้องทำอะไร 00:07:04.460 --> 00:07:10.017 และในที่สุดเด็กผู้หญิงก็อธิบาย เป็นภาษามาราติว่ามันคืออะไร 00:07:10.017 --> 00:07:14.266 และบอกว่า "มันมีโปรเซสเซอร์อยู่ข้างใน" 00:07:14.266 --> 00:07:16.759 แล้วผมก็เลยเริ่มตีพิมพ์ผลการทดลอง 00:07:16.759 --> 00:07:19.314 ผมส่งงานไปตีพิมพ์ทุกที่ ผมจดและวัดทุกอย่าง 00:07:19.314 --> 00:07:21.516 และสรุปว่า ภายในเก้าเดือน เด็กกลุ่มหนึ่ง 00:07:21.516 --> 00:07:24.214 ที่ถูกปล่อยให้อยู่ลำพังกับคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าในภาษาใด 00:07:24.214 --> 00:07:28.729 จะใช้คอมพิวเตอร์ได้ดีเทียบเท่า เลขานุการคนหนึ่งในประเทศตะวันตก 00:07:28.729 --> 00:07:33.489 ผมเห็นกับตามาแล้วหลายค่อหลายครั้ง 00:07:33.489 --> 00:07:36.221 แต่ผมก็สงสัยต่อว่า เด็กๆ จะทำอะไรได้อีก 00:07:36.221 --> 00:07:38.461 ถ้าพวกเขาทำได้ขนาดนี้แล้ว? 00:07:38.461 --> 00:07:40.989 ผมเริ่มทดลองกับวิชาอื่นๆ 00:07:40.989 --> 00:07:43.957 ตัวอย่างเช่น การออกเสียง 00:07:43.957 --> 00:07:46.405 มีเด็กๆ ในชุมชนแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของอินเดีย 00:07:46.405 --> 00:07:49.173 ซึ่งมีสำเนียงภาษาอังกฤษที่แย่มาก 00:07:49.173 --> 00:07:52.693 พวกเขาต้องฝึกสำเนียงให้ดี เพราะมันจะช่วยให้เขาได้งานดีขึ้น 00:07:52.693 --> 00:07:56.771 ผมลงโปรแกรมแปลงเสียงพูดเป็นตัวหนังสือในคอมพิวเตอร์ 00:07:56.771 --> 00:08:00.045 แล้วบอกเด็กๆ ว่า "พูดเข้าไป จนกว่าเครื่องจะพิมพ์คำที่เธอพูด" 00:08:00.045 --> 00:08:04.677 (เสียงหัวเราะ) 00:08:04.677 --> 00:08:09.861 เด็กๆ ก็ทำตาม ลองดูวิดีโอนี้สักนิดหนึ่งนะครับ 00:08:09.861 --> 00:08:15.373 คอมพิวเตอร์: ยินดีที่ได้รู้จัก เด็ก: ยินดีที่ได้รู้จัก 00:08:15.373 --> 00:08:17.644 ซูกาตา มิตรา: เหตุผลที่ผมหยุดภาพที่ใบหน้า 00:08:17.644 --> 00:08:21.461 ของสาวน้อยคนนี้ เพราะผมว่าพวกคุณหลายคนอาจรู้จักเธอ 00:08:21.461 --> 00:08:24.957 ตอนนี้เธอเข้าไปทำงานในคอล เซนเตอร์ที่เมืองไฮเดอราบัด 00:08:24.957 --> 00:08:29.679 และอาจเคยทรมานใจคุณเรื่องใบแจ้งหนี้บัตรเครดิต 00:08:29.679 --> 00:08:34.452 ด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษที่ชัดเจน 00:08:34.452 --> 00:08:38.829 ทีนี้คนก็ตั้งคำถามว่า แล้วโครงการนี้มันจะไปได้ไกลแค่ไหน? 00:08:38.829 --> 00:08:40.399 มันจะไปจบตรงไหน? 00:08:40.399 --> 00:08:43.762 ผมตัดสินใจว่าจะทำลายหลักการที่ผมเสนอไว้ 00:08:43.762 --> 00:08:46.266 โดยสร้างข้อเสนอที่ไร้เหตุผลขึ้นมา 00:08:46.266 --> 00:08:50.154 ผมสร้างสมมุติฐานที่น่าขำขึ้นมาข้อหนึ่ง 00:08:50.154 --> 00:08:51.958 ทมิฬ เป็นภาษาอินเดียทางใต้ ผมตั้งคำถามว่า 00:08:51.958 --> 00:08:54.603 เด็กที่พูดภาษาทมิฬในหมู่บ้านทางใต้ของอินเดีย 00:08:54.603 --> 00:08:58.108 จะเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีชีวภาพของการทำสำเนาดีเอ็นเอ ในภาษาอังกฤษ 00:08:58.108 --> 00:09:00.355 จากคอมพิวเตอร์ข้างถนนได้ไหม? 00:09:00.355 --> 00:09:02.540 ผมทดสอบความรู้เด็กๆ พวกแกได้ศูนย์คะแนน 00:09:02.540 --> 00:09:05.594 ผมตั้งคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้สองสามเดือน 00:09:05.594 --> 00:09:07.898 แล้วกลับไปทดสอบใหม่ เด็กๆ ก็ยังได้ศูนย์คะแนน 00:09:07.898 --> 00:09:12.254 ผมกลับไปที่แล็บและบอกว่า เราจำเป็นต้องมีครู 00:09:12.254 --> 00:09:16.317 ผมเลือกหมู่บ้านหนึ่ง ชื่อว่าคัลลิคุปปัม อยู่ทางใต้ของอินเดีย 00:09:16.317 --> 00:09:18.994 ผมติดตั้งคอมพิวเตอร์ในช่องกำแพง 00:09:18.994 --> 00:09:22.681 ดาวน์โหลดทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวกับการทำสำเนาดีเอ็นเอ มาจากอินเทอร์เน็ต 00:09:22.681 --> 00:09:25.986 ซึ่งส่วนใหญ่ผมเองยังไม่เข้าใจเลย 00:09:25.986 --> 00:09:28.963 เด็กๆ วิ่งกรูกันมา ถามว่า "นี่อะไรอ่ะ?" 00:09:28.963 --> 00:09:33.971 ผมบอกว่า "เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก สำคัญมาก แต่เป็นภาษาอังกฤษหมดเลยนะ" 00:09:33.971 --> 00:09:37.325 เด็กๆ บอกว่า "แล้วเราจะเข้าใจศัพท์ภาษาอังกฤษยากๆ 00:09:37.325 --> 00:09:39.403 แผนภูมิ และเรื่องทางเคมีพวกนี้ได้ยังไง?" 00:09:39.403 --> 00:09:42.227 ถึงจุดนี้ ผมได้สร้างเทคนิควิธีการสอนแบบใหม่ขึ้นมาแล้ว 00:09:42.227 --> 00:09:45.111 ผมเลยบอกไปว่า "ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน" 00:09:45.111 --> 00:09:48.306 (เสียงหัวเราะ) 00:09:48.306 --> 00:09:51.256 "เอาละ ลุงไปละนะ" 00:09:51.256 --> 00:09:55.624 (เสียงหัวเราะ) 00:09:55.624 --> 00:09:59.213 ผมปล่อยเด็กๆ ไปสองสามเดือน 00:09:59.213 --> 00:10:01.848 ผมทดสอบความรู้เด็กๆ พวกแกได้ศูนย์คะแนน 00:10:01.848 --> 00:10:02.772 ผมกลับมาใหม่สองเดือนให้หลัง 00:10:02.772 --> 00:10:06.432 เด็กๆ มากันกลุ่มใหญ่และพูดว่า "พวกเรายังไม่เข้าใจอะไรเลย" 00:10:06.432 --> 00:10:08.507 ผมบอก "อืม ลุงก็ไม่ได้คาดหวังอะไรนี่?" 00:10:08.507 --> 00:10:12.592 แล้วก็พูดว่า "เอาล่ะ ว่าแต่ มันใช้เวลานานแค่ไหนล่ะ 00:10:12.592 --> 00:10:15.353 หนูถึงสรุปว่าหนูไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย?" 00:10:15.353 --> 00:10:17.301 เด็กๆ ตอบว่า "พวกเรายังไม่ยอมแพ้หรอกนะ 00:10:17.301 --> 00:10:19.277 เรามานั่งดูมันทุกวันเลย" 00:10:19.277 --> 00:10:21.742 ผมบอก "อะไรนะ พวกหนูไม่เข้าใจอะไรที่อยู่บนจอนี่เลย 00:10:21.742 --> 00:10:24.446 แต่ก็มานั่งจ้องมันอยู่ตั้งสองเดือนเลยเหรอ? เพื่ออะไรล่ะ? 00:10:24.446 --> 00:10:26.959 เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่คุณเห็นอยู่ตรงนี้ 00:10:26.959 --> 00:10:29.691 ยกมือขึ้น และพูดกับผมด้วยภาษาทมิฬ และอังกฤษกระท่อนกระแท่น 00:10:29.691 --> 00:10:31.888 เธอบอกว่า "เอ่อ เรารู้แค่ว่า 00:10:31.888 --> 00:10:35.039 ความผิดพลาดในการทำสำเนา โมเลกุลของดีเอ็นเอทำให้เกิดโรค 00:10:35.039 --> 00:10:37.560 นอกจากนั้นเรายังไม่เข้าใจอะไรเลยค่ะ" 00:10:37.560 --> 00:10:43.272 (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) 00:10:43.272 --> 00:10:47.392 แล้วผมก็เลยทดสอบพวกเขา 00:10:47.392 --> 00:10:50.664 และได้ผลที่เป็นไปไม่ได้ทางการศึกษา จากศูนย์เพิ่มเป็น 30% 00:10:50.664 --> 00:10:52.968 ภายใน 2 เดือน ในความร้อนของอากาศใกล้เส้นศูนย์สูตร 00:10:52.968 --> 00:10:56.408 กับคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่ง ใต้ต้นไม้ ในภาษาที่เขาไม่รู้ 00:10:56.408 --> 00:10:59.480 ในเรื่องที่ล้ำยุคกว่าความรู้ที่พวกเขามีนับสิบปี 00:10:59.480 --> 00:11:04.857 น่าตลกสิ้นดี แต่ผมก็ต้องยึดตามเกณฑ์ของพวกวิคตอเรียน 00:11:04.857 --> 00:11:08.257 30% ก็ยังถือว่าตก 00:11:08.257 --> 00:11:11.193 ผมจะทำให้เขาผ่านเกณฑ์ได้ยังไง? ต้องทำให้เขาได้เพิ่มอีก 20 คะแนน 00:11:11.193 --> 00:11:16.030 ผมหาครูไม่ได้ แต่ผมเจอเพื่อนรุ่นพี่ของเด็กๆ 00:11:16.030 --> 00:11:18.416 สาวน้อยอายุ 22 ปีซึ่งเป็นนักบัญชี 00:11:18.416 --> 00:11:20.864 และเล่นกับเด็กๆ พวกนี้ตลอด 00:11:20.864 --> 00:11:22.985 ผมเลยถามสาวน้อยคนนี้ว่า "คุณช่วยเด็กๆ หน่อยได้ไหม?" 00:11:22.985 --> 00:11:25.256 เธอตอบว่า "ไม่ได้แน่เลยค่ะ 00:11:25.256 --> 00:11:28.333 หนูไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์มา หนูไม่รู้เลยว่า 00:11:28.333 --> 00:11:32.862 เด็กๆ ทำอะไรกันใต้ต้นไม้นั่นทั้งวี่ทั้งวัน หนูช่วยไม่ได้หรอก" 00:11:32.862 --> 00:11:37.393 ผมบอกเธอว่า "นี่ จะบอกอะไรให้ หนูแค่ใช้วิธีของคุณยายเท่านั้นเอง" 00:11:37.393 --> 00:11:38.723 เธอถามว่า "ทำยังไงเหรอ?" 00:11:38.723 --> 00:11:40.110 ผมตอบว่า "ก็ยืนข้างหลังเด็กๆ 00:11:40.110 --> 00:11:41.716 เมื่อไหร่เด็กๆ ทำอะไรก็ตาม หนูก็แค่พูดว่า 00:11:41.732 --> 00:11:44.513 "โอ้ ว้าว เธอทำอย่างนั้นได้ยังไงน่ะ? 00:11:44.529 --> 00:11:47.625 แล้วหน้าต่อไปมีอะไรน่ะ? ตอนอายุเท่าพวกเธอ ฉันทำแบบนี้ไม่ได้เลยนะเนี่ย 00:11:47.625 --> 00:11:50.547 หนูนึกออกนะว่าคุณยายทำยังไงน่ะ" 00:11:50.547 --> 00:11:52.721 แล้วเธอก็ทำอย่างนั้นอยู่สองเดือน 00:11:52.721 --> 00:11:55.635 คะแนนของเด็กๆ กระโดดไปเป็น 50% 00:11:55.635 --> 00:11:57.289 เด็กๆ ในคัลลิคุปปัม ตีเสมอเด็กๆ 00:11:57.289 --> 00:11:59.167 ในโรงเรียนเปรียบเทียบที่นิวเดลีแล้ว 00:11:59.167 --> 00:12:03.303 โรงเรียนเอกชนแพงๆ โดยครูที่จบมาทางเทคโนโลยีชีวภาพ 00:12:03.303 --> 00:12:08.140 เมื่อผมเห็นกราฟนั่น ผมรู้เลยว่า เรามีทางสร้างความเสมอภาคแล้ว 00:12:08.140 --> 00:12:10.236 นี่คือคัลลิคุปปัม 00:12:10.236 --> 00:12:18.431 (เสียงเด็กพูด) เซลล์ประสาท... สื่อสาร 00:12:18.431 --> 00:12:22.122 ผมวางมุมกล้องผิด ก็ถ่ายแบบมือสมัครเล่นน่ะครับ 00:12:22.122 --> 00:12:24.618 แต่สิ่งที่เธอพูด คุณคงฟังออก 00:12:24.618 --> 00:12:27.025 เป็นเรื่องเกี่ยวกับเซลล์ประสาท เธอทำมือแบบนี้ 00:12:27.025 --> 00:12:30.581 และพูดว่าเซลล์ประสาทสื่อสารกัน 00:12:30.581 --> 00:12:33.925 เธออายุแค่ 12 ขวบ 00:12:33.925 --> 00:12:37.135 เอาล่ะ แล้วงานในอนาคตจะหน้าตาเป็นอย่างไร? 00:12:37.135 --> 00:12:39.426 อืม เรารู้ว่าวันนี้มันเป็นอย่างไร 00:12:39.426 --> 00:12:41.764 แล้วการเรียนรู้ล่ะ จะเป็นอย่างไร? เรารู้ว่าวันนี้มันเป็นอย่างไร 00:12:41.764 --> 00:12:44.817 เด็กๆ นั้น มือหนึ่งก็สาละวนกับโทรศัพท์มือถือ 00:12:44.817 --> 00:12:48.590 แล้วก็อิดออดไม่อยากไปโรงเรียน เพื่อหยิบหนังสือมาอ่านด้วยมืออีกข้างหนึ่ง 00:12:48.590 --> 00:12:52.549 แล้วพรุ่งนี้ล่ะ มันจะเป็นอย่างไร? 00:12:52.549 --> 00:12:57.449 เราอาจจะไม่ต้องไปโรงเรียนเลยก็ได้ หรือเปล่า? 00:12:57.449 --> 00:13:00.989 เป็นไปได้ไหมว่า เมื่อคุณอยากรู้อะไรสักอย่าง 00:13:00.989 --> 00:13:04.309 คุณก็หาได้ภายในสองนาที? 00:13:04.309 --> 00:13:08.414 เป็นไปได้ไหมว่า... แหม คำถามนี้ทำร้ายจิตใจมาก 00:13:08.414 --> 00:13:11.206 เป็นคำถามที่นิโคลัส นีโกรปอนติถามผม ว่า 00:13:11.206 --> 00:13:14.245 เป็นไปได้ไหมว่า เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่ 00:13:14.245 --> 00:13:17.605 อนาคตที่การ " รู้ " เป็นเรื่องล้าสมัย? 00:13:17.605 --> 00:13:20.138 นั่นคงแย่มาก เราเป็นมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ 00:13:20.138 --> 00:13:24.055 การ " รู้ " เป็นสิ่งที่จำแนกเราจากพวกมนุษย์ลิง 00:13:24.055 --> 00:13:25.832 แต่ลองมองมุมนี้นะครับ 00:13:25.832 --> 00:13:28.378 ธรรมชาติใช้เวลา 100 ล้านปี 00:13:28.378 --> 00:13:30.514 กว่าจะทำให้มนุษย์ลิงยืนขึ้นสองขา 00:13:30.514 --> 00:13:32.698 และกลายเป็นมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ 00:13:32.698 --> 00:13:36.394 แต่พวกเราใช้เวลาแค่ 10,000 ปี ทำให้การ " รู้ " เป็นเรื่องล้าสมัย 00:13:36.394 --> 00:13:38.576 นั่นเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งนะ 00:13:38.576 --> 00:13:42.603 แต่เราต้องบูรณาการมันเข้ากับอนาคตของเรา 00:13:42.603 --> 00:13:45.562 ดูเหมือนการให้กำลังใจจะเป็นหัวใจสำคัญ 00:13:45.562 --> 00:13:46.772 ถ้าคุณดูที่เมืองคุปปัม 00:13:46.772 --> 00:13:49.586 ถ้าคุณลองดูการทดลองทั้งหมดที่ผมเคยทำ 00:13:49.586 --> 00:13:56.721 มันก็แค่การพูดว่า "ว้าว" เพื่อสดุดีการเรียนรู้ 00:13:56.721 --> 00:13:59.115 มีหลักฐานทางประสาทวิทยาศาสตร์ว่า 00:13:59.115 --> 00:14:02.317 ใจกลางของสมองคนเรา ส่วนที่เหมือนของสัตว์เลี้อยคลาน 00:14:02.317 --> 00:14:06.053 เมื่อถูกคุกความ มันจะไปหยุดการทำงานของส่วนอื่นๆ หมด 00:14:06.053 --> 00:14:09.731 มันปิดสวิทช์สมองส่วนหน้า ส่วนที่ใช้ในการเรียนรู้ 00:14:09.731 --> 00:14:12.475 มันหยุดการทำงานของส่วนนั้นหมด 00:14:12.475 --> 00:14:16.623 การลงโทษและการสอบก็คือภาวะคุกคาม 00:14:16.623 --> 00:14:20.248 เราปิดสวิทช์สมองของเด็กๆ 00:14:20.248 --> 00:14:22.944 แล้วก็สั่งให้เขา "ทำงาน" 00:14:22.944 --> 00:14:26.425 ทำไมเขาถึงสร้างระบบแบบนี้ขึ้นมา? 00:14:26.425 --> 00:14:28.071 เพราะเมื่อก่อนมันจำเป็น 00:14:28.071 --> 00:14:30.656 ในยุคจักรวรรดินิยม 00:14:30.656 --> 00:14:34.926 คุณต้องการคนที่เอาตัวรอดได้ในภาวะถูกคุกคาม 00:14:34.926 --> 00:14:37.193 เมื่อคุณยืนอยู่ในสนามเพลาะคนเดียว 00:14:37.193 --> 00:14:41.224 ถ้าคุณรอดมาได้ คุณโอเค คุณผ่าน 00:14:41.224 --> 00:14:44.197 ถ้าคุณไม่รอด คุณก็ตก 00:14:44.197 --> 00:14:46.853 แต่ยุคจักรวรรดินิยมนั้นผ่านไปแล้ว 00:14:46.853 --> 00:14:50.491 เกิดอะไรขึ้นกับความคิดสร้างสรรค์ในยุคของเรา? 00:14:50.491 --> 00:14:53.506 เราต้องปรับเปลี่ยนสมดุล 00:14:53.506 --> 00:14:56.915 จากการคุกคามกลับไปสู่ความพึงพอใจ 00:14:56.915 --> 00:15:00.867 ผมกลับมาที่อังกฤษเพื่อตามหาคุณยายชาวอังกฤษ 00:15:00.867 --> 00:15:03.884 ผมเขียนประกาศในกระดาษว่า 00:15:03.884 --> 00:15:07.304 ถ้าคุณเป็นคุณยายชาวอังกฤษ มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และกล้องเว็บแคม 00:15:07.304 --> 00:15:10.531 คุณจะสละเวลาให้ผมสัปดาห์ละหนึ่งชั่วโมงได้ไหม? 00:15:10.531 --> 00:15:12.643 ผมหาคุณยายได้ 200 คนภายในสองสัปดาห์แรก 00:15:12.643 --> 00:15:17.551 ตอนนี้ผมรู้จักคุณยายชาวอังกฤษมากกว่าใครในจักรวาลแล้ว (เสียงหัวเราะ) 00:15:17.551 --> 00:15:21.366 เราเรียกคุณยายเหล่านี้ว่า คุณยายบนก้อนเมฆ 00:15:21.366 --> 00:15:23.096 คุณยายบนก้อนเมฆนั่งอยู่ในอินเทอร์เน็ต 00:15:23.096 --> 00:15:27.470 เมื่อเด็กๆ มีปัญหา เราก็ส่งสัญญาณไปหาคุณยาย 00:15:27.470 --> 00:15:31.039 คุณยายจะมาจัดการ ผ่านทางสไกป์ 00:15:31.039 --> 00:15:34.658 ผมเคยเห็นเขาทำแบบนี้ในหมู่บ้านชื่อดิกเกิลส์ 00:15:34.658 --> 00:15:36.703 ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ 00:15:36.703 --> 00:15:40.007 ลึกเข้าไปในหมู่บ้านในรัฐทมิฬนาดู อินเดีย 00:15:40.007 --> 00:15:42.247 ห่างออกไป 6,000 ไมล์ 00:15:42.247 --> 00:15:45.823 เธอทำได้ด้วยท่าทางเก่าแก่ที่คุ้นเคย 00:15:45.823 --> 00:15:47.538 "ชู่..." 00:15:47.538 --> 00:15:50.263 โอเค 00:15:50.263 --> 00:15:51.799 ลองดูนี่ 00:15:51.799 --> 00:15:56.055 คุณยาย: เธอจับฉันไม่ได้หรอก ไหนพูดซิ 00:15:56.055 --> 00:15:59.823 เธอจับฉันไม่ได้หรอก 00:15:59.823 --> 00:16:02.791 เด็กๆ: เธอจับฉันไม่ได้หรอก 00:16:02.791 --> 00:16:08.373 คุณยาย: ฉันคือมนุษย์ขนมปังขิง เด็กๆ: ฉันคือมนุษย์ขนมปังขิง 00:16:08.373 --> 00:16:12.963 คุณยาย: ถูกต้อง! ดีมาก 00:16:12.963 --> 00:16:15.421 ซูกาตา: เกิดอะไรขึ้นครับ? 00:16:15.421 --> 00:16:17.265 ผมว่าสิ่งที่เราต้องมาดูกันคือ 00:16:17.265 --> 00:16:19.646 เราต้องมองว่าการเรียนรู้ 00:16:19.646 --> 00:16:24.234 เป็นผลผลิตของการจัดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง 00:16:24.234 --> 00:16:27.079 ถ้าคุณยอมปล่อยให้กระบวนการศึกษาจัดระบบตัวมันเอง 00:16:27.079 --> 00:16:29.570 การเรียนรู้ก็จะเกิดขึ้น 00:16:29.570 --> 00:16:31.963 มันไม่ใช่การ "ทำ" ให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น 00:16:31.963 --> 00:16:34.179 แต่เป็นการ "ปล่อย" ให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น 00:16:34.179 --> 00:16:37.452 ครูทำหน้าที่ผลักดันให้กระบวนการนี้เริ่มต้น 00:16:37.452 --> 00:16:40.171 แล้วถอยไปยืนอยู่เบื้องหลังด้วยความทึ่ง 00:16:40.171 --> 00:16:42.539 เมื่อมองเห็นการเรียนรู้เกิดขึ้น 00:16:42.539 --> 00:16:45.492 ผมคิดว่านั่นแหละคือแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น 00:16:45.492 --> 00:16:48.244 แต่เราจะรู้แน่ได้อย่างไร? 00:16:48.244 --> 00:16:49.919 ผมตั้งใจจะสร้าง 00:16:49.919 --> 00:16:53.220 สภาพแวดล้อมเพื่อการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Organized Learning Environments - SOLE) 00:16:53.220 --> 00:16:56.905 ซึ่งก็คืออินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ การร่วมมือกัน 00:16:56.905 --> 00:16:59.298 และการให้กำลังใจประกอบกัน 00:16:59.298 --> 00:17:01.004 ผมทดลองสูตรนี้ในหลายต่อหลายโรงเรียน 00:17:01.004 --> 00:17:03.539 ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยคุณครูหลายคน 00:17:03.539 --> 00:17:07.165 ยืนดูแล้วบอกว่า "แล้วการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเองเหรอ?" 00:17:07.165 --> 00:17:10.282 ผมบอกว่า "ใช่ มันจะเกิดขึ้นเอง" "รู้ได้ยังไงล่ะ?" 00:17:10.282 --> 00:17:13.775 ผมตอบว่า "คุณคงไม่เชื่อที่เด็กๆ บอกผม 00:17:13.775 --> 00:17:16.703 และคงไม่เชื่อด้วยว่าเขามาจากไหน" 00:17:16.703 --> 00:17:19.447 ลองดูนี่ นี่คือห้องเรียนแบบ SOLE 00:17:19.447 --> 00:17:25.556 (เสียงเด็กคุยกัน) 00:17:25.556 --> 00:17:31.845 อันนี้ที่อังกฤษ 00:17:31.845 --> 00:17:35.611 เขารักษากฎระเบียบในห้องเรียน 00:17:35.611 --> 00:17:44.126 เพราะ จำได้ใช่ไหมครับ ว่าไม่มีครูอยู่ด้วย 00:17:46.096 --> 00:17:49.999 เด็กผู้หญิง: จำนวนรวมของอิเล็กตรอนไม่เท่ากับจำนวนโปรตอน ซูกาตา: นี่ที่ออสเตรเลีย 00:17:49.999 --> 00:17:56.734 เด็กผู้หญิง: ทำให้ไอออนมีประจุไฟฟ้าบวกหรือลบ 00:17:56.734 --> 00:18:00.318 ระดับประจุของไอออนตัวหนึ่ง เท่ากับจำนวนโปรตอนในไอออน 00:18:00.318 --> 00:18:03.611 ลบด้วยจำนวนอิเล็กตรอน 00:18:03.611 --> 00:18:06.660 ซูกาตา: ความรู้ที่เกินอายุของเธอเป็นสิบปี 00:18:06.660 --> 00:18:10.263 ดังนั้น สำหรับ SOLE ผมว่าเราต้องการคำถามสำคัญที่น่าสนใจ 00:18:10.263 --> 00:18:12.469 คุณคงเคยได้ยินคำถามแบบนี้ คุณรู้ว่ามันหมายถึงอะไร 00:18:12.469 --> 00:18:15.870 สมัยก่อนนี้ หนุ่มสาวยุคหิน 00:18:15.870 --> 00:18:17.974 เคยนั่งมองขึ้นไปบนฟ้า แล้วถามว่า 00:18:17.974 --> 00:18:20.453 "แสงวิบวับพวกนั้นคืออะไร?" 00:18:20.453 --> 00:18:25.247 แล้วเขาก็สร้างหลักสูตรขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เราลืมคำถามน่าพิศวงพวกนี้ไปหมด 00:18:25.247 --> 00:18:29.377 แล้วย่อมันลงจนเหลือแค่ด้านของสามเหลี่ยม 00:18:29.377 --> 00:18:33.085 แต่มันไม่น่าสนใจพอ 00:18:33.085 --> 00:18:36.046 ถ้าคุณจะสอนเด็กเก้าขวบ คุณต้องบอกว่า 00:18:36.046 --> 00:18:39.199 "ถ้ามีอุกาบาตกำลังพุ่งมาทางโลก 00:18:39.199 --> 00:18:42.597 หนูจะรู้ได้ยังไงว่ามันจะชนโลกหรือเปล่า?" 00:18:42.597 --> 00:18:45.157 ถ้าเขาถามว่า "อะไรนะครับ? ทำยังไงล่ะครับ?" 00:18:45.157 --> 00:18:48.142 คุณก็บอกไปว่า "มีคำวิเศษคำหนึ่ง คำว่าด้านของสามเหลี่ยม" 00:18:48.142 --> 00:18:51.013 แล้วปล่อยเขาอยู่คนเดียว เขาจะหาคำตอบได้เอง 00:18:51.013 --> 00:18:55.471 นี่เป็นภาพบางส่วนจากโครงการ SOLE 00:18:55.471 --> 00:19:01.060 ผมลองตั้งคำถามยากๆ เช่น 00:19:01.060 --> 00:19:05.348 "โลกเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? แล้วมันจะสิ้นสุดอย่างไร?" 00:19:05.348 --> 00:19:07.293 ถามเด็กอายุเก้าขวบ 00:19:07.293 --> 00:19:10.269 อันนี้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับอากาศที่เราหายใจเข้าไป 00:19:10.269 --> 00:19:15.227 เด็กๆ เขียนออกมาเองโดยครูไม่ต้องช่วยเลย 00:19:15.227 --> 00:19:17.611 ครูเพียงแค่ตั้งคำถาม 00:19:17.611 --> 00:19:21.275 แล้วถอยไปข้างหลัง และชื่นชมคำตอบของเด็กๆ 00:19:21.275 --> 00:19:25.011 ดังนั้น พรที่ผมจะขอคืออะไร? 00:19:25.011 --> 00:19:27.227 พรที่ผมอยากขอคือ 00:19:27.227 --> 00:19:31.541 อยากให้เราออกแบบอนาคตของการเรียนรู้ 00:19:31.541 --> 00:19:33.507 เราไม่อยากเป็นแค่ชิ้นส่วนอะไหล่ 00:19:33.507 --> 00:19:35.899 ของเครื่องคอมพิวเตอร์มนุษย์ ใช่ไหมครับ? 00:19:35.899 --> 00:19:39.555 เราจึงต้องออกแบบอนาคตการเรียนรู้ 00:19:39.555 --> 00:19:41.191 และเราจะต้อง... เดี๋ยวนะครับ 00:19:41.191 --> 00:19:43.891 ผมต้องพูดให้ถูกต้องครบถ้วน 00:19:43.891 --> 00:19:46.535 เพราะ คุณรู้ใช่ไหม มันสำคัญมาก 00:19:46.535 --> 00:19:48.851 พรที่ผมอยากขอ คือ การสร้างอนาคตของการเรียนรู้ 00:19:48.851 --> 00:19:51.085 โดยสนับสนุนเด็กๆ ทั่วโลก 00:19:51.085 --> 00:19:54.131 ให้นำความรู้สึกพิศวงและสามารถของเขา ออกมาทำงานด้วยกัน 00:19:54.131 --> 00:19:56.363 โปรดช่วยผมสร้างโรงเรียนแห่งนี้ 00:19:56.363 --> 00:19:59.699 ผมจะเรียกมันว่า โรงเรียนบนก้อนเมฆ (School in the Cloud) 00:19:59.699 --> 00:20:04.772 เป็นโรงเรียนที่เด็กๆ จะได้ผจญภัยทางความคิด 00:20:04.772 --> 00:20:08.629 โดยแรงผลักดันจากคำถามสำคัญที่ครูหยอดมาให้ 00:20:08.629 --> 00:20:10.900 สิ่งที่ผมจะทำ คือ 00:20:10.900 --> 00:20:15.260 สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ผมสามารถศึกษากระบวนการนี้ได้ 00:20:15.260 --> 00:20:18.060 เป็นที่ที่ไม่ต้องมีคนมาอยู่ประจำ 00:20:18.060 --> 00:20:19.827 แค่มีคุณยายคนหนึ่ง 00:20:19.827 --> 00:20:22.268 คอยจัดการเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย 00:20:22.268 --> 00:20:23.701 อย่างอื่นที่เหลือหาได้จากอินเทอร์เน็ต 00:20:23.701 --> 00:20:25.616 แสงไฟเปิดปิดตามโปรแกรมในอินเทอร์เน็ต 00:20:25.616 --> 00:20:27.644 เป็นต้น ทุกอย่างทำผ่านอินเทอร์เน็ตหมด 00:20:27.644 --> 00:20:30.869 แต่ผมอยากขอความช่วยเหลือจากคุณเรื่องหนึ่ง 00:20:30.869 --> 00:20:33.628 คุณสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเองได้ 00:20:33.628 --> 00:20:38.644 ที่บ้าน ที่โรงเรียน นอกโรงเรียน ในคลับ 00:20:38.644 --> 00:20:40.772 ทำง่ายมาก เรามีเอกสารที่เยี่ยมมาก 00:20:40.772 --> 00:20:42.660 ที่ TED จัดทำขึ้น ซึ่งบอกคุณหมดเลยว่าจะทำอย่างไร 00:20:42.660 --> 00:20:46.036 ผมขอร้องให้คุณลองทำดู 00:20:46.036 --> 00:20:48.401 ทั่วทวีปทั้งห้า 00:20:48.401 --> 00:20:50.612 แล้วส่งข้อมูลมาให้ผม 00:20:50.612 --> 00:20:54.116 ผมจะเอาข้อมูลมารวมกัน และใส่เข้าไปในโรงเรียนบนก้อนเมฆ 00:20:54.116 --> 00:20:57.380 และสร้างอนาคตของการเรียนรู้ 00:20:57.380 --> 00:20:59.172 นั่นคือพรที่ผมขอ 00:20:59.172 --> 00:21:00.595 และท้ายสุดนี้ 00:21:00.595 --> 00:21:03.188 ผมจะพาคุณขึ้นไปบนยอดเขาหิมาลัย 00:21:03.188 --> 00:21:06.491 ที่ความสูง 12,000 ฟุต อากาศเบาบาง 00:21:06.491 --> 00:21:09.476 ผมเคยติดตั้งคอมพิวเตอร์ในช่องกำแพงสองเครื่อง 00:21:09.476 --> 00:21:10.931 และเด็กๆ ก็มาจับกลุ่มกันที่นั่น 00:21:10.931 --> 00:21:13.828 มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่คอยเดินตามผมไปทั่ว 00:21:13.828 --> 00:21:18.544 ผมบอกเธอว่า "หนูรู้ไหม ลุงอยากหาคอมพิวเตอร์ ให้ทุกคน ให้เด็กทุกคนเลย 00:21:18.544 --> 00:21:20.945 แต่ลุงไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี?" 00:21:20.945 --> 00:21:24.976 และขณะที่ผมกำลังพยายามถ่ายรูปเธอเงียบๆ 00:21:24.976 --> 00:21:29.032 ทันใดนั้น เธอก็ยกมือขึ้นมาแบบนี้ และบอกผมว่า 00:21:29.032 --> 00:21:30.921 "เลิกพูด แล้วลงมือทำสิ" 00:21:30.921 --> 00:21:42.785 (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) 00:21:42.785 --> 00:21:44.646 ผมว่านั่นเป็นคำแนะนำที่ดีนะ 00:21:44.646 --> 00:21:46.714 ผมจะทำตามคำแนะนำของเธอ ผมจะหยุดพูดละ 00:21:46.714 --> 00:21:50.704 ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ 00:21:50.704 --> 00:21:54.455 (เสียงปรบมือ) 00:21:54.455 --> 00:22:02.779 ขอบคุณครับ ขอบคุณ (เสียงปรบมือ) 00:22:02.779 --> 00:22:09.194 ขอบคุณมากครับ ว้าว (เสียงปรบมือ)