1 00:00:06,777 --> 00:00:11,415 ลองนึกถึงการใช้คำ ในการอธิบายทุกฉากในภาพยนต์ 2 00:00:11,415 --> 00:00:13,318 ทุกตัวโน้ตในเพลงโปรดของคุณ 3 00:00:13,318 --> 00:00:16,035 หรือถนนทุกสายในเมือง 4 00:00:16,035 --> 00:00:20,859 ทีนี้ ลองนึกถึงการอธิบาย โดยใช้เพียงเลข 1 กับ 0 5 00:00:20,859 --> 00:00:23,754 ทุกครั้งที่คุณใช้อินเทอร์เน็ต ในการชมภาพยนต์ 6 00:00:23,754 --> 00:00:24,863 ฟังเพลง 7 00:00:24,863 --> 00:00:26,349 หรือดูเส้นทาง 8 00:00:26,349 --> 00:00:28,859 นั่นคือสิ่งที่อุปกรณ์ของคุณทำ 9 00:00:28,859 --> 00:00:31,812 มันใช้ภาษารหัสเลขฐานสอง 10 00:00:31,812 --> 00:00:36,502 คอมพิวเตอร์ใช้เลขฐานสอง เพราะมันเป็นการจัดเก็บข้อมูลที่เชื่อถือได้ 11 00:00:36,502 --> 00:00:40,577 เช่น หน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยทรานส์ซิสเตอร์ 12 00:00:40,577 --> 00:00:44,154 ที่เปลี่ยนไปมา ระหว่างระดับความต่างศักย์สูงและต่ำ 13 00:00:44,154 --> 00:00:47,644 เช่น 5 โวลต์และ 0 โวลต์ 14 00:00:47,644 --> 00:00:51,750 ความต่างศักย์บางครั้งก็แกว่งไปมา แต่เนื่องจากมันมีแค่สองแบบ 15 00:00:51,750 --> 00:00:55,751 ค่า 1 โวลต์ ก็ยังคงถูกอ่านว่ามีค่าต่ำ 16 00:00:55,751 --> 00:00:58,280 การอ่านค่าดังกล่าวถูกกระทำ โดยโปรเซสเซอร์ของคอมพิวเตอร์ 17 00:00:58,280 --> 00:01:02,595 ซึ่งใช้สถานะของทรานส์ซิสเตอร์ ในการควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ 18 00:01:02,595 --> 00:01:04,791 ตามคำสั่งของซอร์ฟแวร์ 19 00:01:04,791 --> 00:01:08,132 ความชาญฉลาดของระบบนี้ ก็คือลำดับเลขฐานสองที่ถูกให้มา 20 00:01:08,132 --> 00:01:11,520 ไม่ได้มีถูกกำหนดให้ความหมายมาแต่ต้น 21 00:01:11,520 --> 00:01:15,205 แต่ว่า ข้อมูลแต่ละชนิด ถูกเข้ารหัสเป็นเลขฐานสอง 22 00:01:15,205 --> 00:01:18,115 ตามชุดของกฎที่แตกต่างกัน 23 00:01:18,115 --> 00:01:19,497 ลองเอาตัวเลขมาจำนวนหนึ่ง 24 00:01:19,497 --> 00:01:21,179 ในระบบเลขฐานสิบตามธรรมดา 25 00:01:21,179 --> 00:01:26,032 แต่ละตัวเลขถูกคุณด้วย 10 ยกกำลังด้วยค่าของตำแหน่งของมัน 26 00:01:26,032 --> 00:01:28,483 เริ่มจากศูนย์ในทางขวา 27 00:01:28,483 --> 00:01:35,040 ฉะนั้น 84 ในรูปแบบเลขฐานสิบ คือ 4x10⁰ + 8x10¹ 28 00:01:35,040 --> 00:01:37,755 การแสดงจำนวนเลขฐานสอง ก็เป็นไปในแบบที่คล้ายกัน 29 00:01:37,755 --> 00:01:41,561 แต่ว่าแต่ละตำแหน่งถูกคูณด้วยสอง ที่ยกกำลังค่าของตำแหน่งของมัน 30 00:01:41,561 --> 00:01:45,573 ฉะนั้น 84 จะถูกเขียนเป็นแบบนี้ 31 00:01:45,573 --> 00:01:50,376 ในขณะเดียวกัน ตัวหนังสือถูกแปร ไปตามกฎมาตรฐานอย่างเช่น UTF-8 32 00:01:50,376 --> 00:01:55,483 ซึ่งกำหนดให้แต่ละตัวอักษร เป็นชุดจำเพาะของเลขฐานสอง 8 ตัว 33 00:01:55,483 --> 00:02:02,389 ในกรณีนี้ 01010100 หมายถึงตัว T 34 00:02:02,389 --> 00:02:06,147 แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าลำดับเลขนี้ 35 00:02:06,147 --> 00:02:08,832 จะเป็นตัว T หรือ 84 36 00:02:08,832 --> 00:02:11,870 คุณไม่อาจทราบได้จากการดูแค่ลำดับเลข 37 00:02:11,870 --> 00:02:16,442 เหมือนกับที่คุณไม่สามารถบอกได้ว่า เสียง "ดา" เดี่ยว ๆ หมายถึงอะไร 38 00:02:16,442 --> 00:02:21,279 คุณต้องการบริบทที่จะบอกว่า คุณกำลังได้ยินภาษารัสเซีย สเปน หรืออังกฤษ 39 00:02:21,279 --> 00:02:22,670 และคุณต้องการ บริบทในลักษณะที่คล้ายกัน 40 00:02:22,670 --> 00:02:26,785 เพื่อบอกว่าคุณกำลังดูจำนวนเลขฐานสอง หรือข้อความเลขฐานสอง 41 00:02:26,785 --> 00:02:31,146 รหัสฐานสองยังถูกใช้กับข้อมูล ที่มีความซับซ้อนมากกว่านั้นอีก 42 00:02:31,146 --> 00:02:33,492 ยกตัวอย่างเช่น แต่ละฉากของวีดีโอนี้ 43 00:02:33,492 --> 00:02:35,960 ถูกสร้างขึ้นจากพิกเซลนับแสน 44 00:02:35,960 --> 00:02:37,641 ในรูปสี 45 00:02:37,641 --> 00:02:41,095 ทุก ๆ พิกเซล ถูกแสดงด้วยลำดับฐานสองสามตัว 46 00:02:41,095 --> 00:02:43,701 ที่สอดคล้องกับสีหลัก 47 00:02:43,701 --> 00:02:45,487 แต่ละลำดับเข้ารหัสจำนวน 48 00:02:45,487 --> 00:02:48,671 ที่กำหนดความเข้มของแต่ละสี 49 00:02:48,671 --> 00:02:52,600 เมื่อโปรแกรมขับวีดีโอถ่ายทอดข้อมูลนี้ 50 00:02:52,600 --> 00:02:55,310 ไปยังคริสตัลเหลวนับล้านในจอของคุณ 51 00:02:55,310 --> 00:02:58,088 เพื่อทำให้คุณเห็นเป็นสี ที่มีความสว่างและมืดต่างกัน 52 00:02:58,088 --> 00:03:01,402 เสียงของวีดีโอนี้ ก็ถูกบันทึกเป็นระบบฐานสอง 53 00:03:01,402 --> 00:03:04,806 ด้วยการใช้เทคนิคที่เรียกว่า พัลส์ โค้ด มอดูเลชั่น 54 00:03:04,806 --> 00:03:07,190 คลื่นเสียงที่ต่อเนื่องกันถูกทำให้เป็นดิจิตัล 55 00:03:07,190 --> 00:03:11,582 โดยการ "ถ่ายภาพนิ่ง" ของแอมพลิจูด ของทุก ๆ สองสามมิลลิวินาที 56 00:03:11,582 --> 00:03:15,247 ข้อมูลเหล่านี้ถูกบันทึกเป็นตัวเลข ในรูปแบบของชุดระบบฐานสอง 57 00:03:15,247 --> 00:03:19,160 จำนวนมากถึง 44,000 ชุด สำหรับเสียงแต่ละวินาที 58 00:03:19,160 --> 00:03:21,770 เมื่อพวกมันถูกอ่านโดยซอร์ฟแวร์เสียง ของคอมพิวเตอร์ของคุณ 59 00:03:21,770 --> 00:03:26,124 ตัวเลขเหล่านี้กำหนดความเร็ว ในการสั่นของขดลวดในลำโพง 60 00:03:26,124 --> 00:03:28,965 เพื่อสร้างเสียงในความถี่ต่าง ๆ กัน 61 00:03:28,965 --> 00:03:32,660 ทั้งหมดนี้ต้องการบิทมากมายหลายพันล้าน 62 00:03:32,660 --> 00:03:36,663 แต่จำนวนดังกล่าวสามารถถูกทำให้ลดลงได้ ด้วยรูปแบบการบีบอัด 63 00:03:36,663 --> 00:03:41,171 ยกตัวอย่างเช่น ถ้ารูป มีส่วนสีเขียวติด ๆ กัน 30 พิกเซล 64 00:03:41,171 --> 00:03:46,019 พวกมันสามารถถูกบันทึกได้เป็น "สีเขียว 30" แทนที่จะถูกบันทึกข้อมูลแยกกันแต่ละพิกเซล 65 00:03:46,019 --> 00:03:49,194 กระบวนการนี้เรียกว่า การเข้ารหัสระยะเวลา 66 00:03:49,194 --> 00:03:54,094 เจ้ารูปแบบการบีบอัดนี้เอง ก็ถูกเขียนเป็นระบบฐานสอง 67 00:03:54,094 --> 00:03:57,164 ฉะนั้นระบบฐานสองคือทุกสิ่งทุกอย่าง สำหรับคอมพิวเตอร์สินะ 68 00:03:57,164 --> 00:03:58,549 ไม่จำเป็นหรอก 69 00:03:58,549 --> 00:04:00,967 มีงานวิจัยเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ระบบฐานสาม 70 00:04:00,967 --> 00:04:03,432 ที่มีวงจรที่ให้สถานะได้สามแบบ 71 00:04:03,432 --> 00:04:05,252 และแม้แต่คอมพิวเตอร์แบบควอนตัม 72 00:04:05,252 --> 00:04:08,916 ที่วงจรสามารถอยู่ได้ในหลายสถานะ ในเวลาเดียวกัน 73 00:04:08,916 --> 00:04:11,339 แต่ถึงตอนนี้ ไม่มีคอมพิวเตอร์ใด 74 00:04:11,339 --> 00:04:14,635 ที่ให้ความเสถียรทางกายภาพมากพอ สำหรับการเก็บและถ่ายทอดข้อมูล 75 00:04:14,635 --> 00:04:17,079 ฉะนั้นในตอนนี้ ทุกอย่างที่คุณเห็น 76 00:04:17,079 --> 00:04:17,848 ได้ยิน 77 00:04:17,848 --> 00:04:19,464 และได้อ่านผ่านหน้าจอ 78 00:04:19,464 --> 00:04:23,097 เป็นผลลัพธ์ของ "ถูก" และ "ผิด" ที่ถูกทำซ้ำเป็นพันล้านครั้ง 79 00:04:23,097 --> 00:04:25,371 ที่ถูกส่งมาถึงคุณ