WEBVTT 00:00:00.000 --> 00:00:03.000 ในปี ค.ศ. 1995 00:00:03.000 --> 00:00:05.000 ฉันยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอยู่ 00:00:05.000 --> 00:00:08.000 เพื่อนกับฉันมักขับรถเที่ยว 00:00:08.000 --> 00:00:10.000 จากโพรวิเดนส์ โรด ไอแลนด์ 00:00:10.000 --> 00:00:12.000 ถึงพอร์ทแลนด์ โอเรกอน 00:00:12.000 --> 00:00:15.000 แล้วอย่างที่รู้ พวกเราเด็กแล้วก็ยังไม่มีงานทำ 00:00:15.000 --> 00:00:17.000 ดังนั้นเราจึงเลือกเดินทางตามชนบท 00:00:17.000 --> 00:00:19.000 ผ่านสวนสาธารณะของรัฐ 00:00:19.000 --> 00:00:22.000 และป่าสงวนต่างๆ 00:00:22.000 --> 00:00:25.000 หลักๆเราเลือกเส้นทางที่ยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 00:00:26.000 --> 00:00:29.000 ในสถานที่นึงใจกลางรัฐเซาท์ดาโกต้า 00:00:29.000 --> 00:00:32.000 ฉันหันไปหาเพื่อนของฉัน 00:00:32.000 --> 00:00:34.000 แล้วถามว่า 00:00:34.000 --> 00:00:36.000 มันกวนใจฉัน 00:00:36.000 --> 00:00:39.000 ตลอดทาง 2,000 ไมล์ 00:00:40.000 --> 00:00:44.000 ตัวหนังสือจีนที่ฉันเห็นอยู่ข้างทางเนี่ยมันคืออะไรกันแน่? 00:00:47.000 --> 00:00:51.000 เพื่อนฉันทำหน้ามึนงง ไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด 00:00:51.000 --> 00:00:53.000 เหมือนกับที่ท่านสุภาพบุรุษด้านหน้านี้เป็นอยู่ 00:00:53.000 --> 00:00:56.000 คุณเป็นตัวอย่างอาการของเพื่อนฉันได้อย่างดี 00:00:56.000 --> 00:00:59.000 (หัวเราะ) 00:00:59.000 --> 00:01:01.000 แล้วฉันก็แบบว่า ก็นั่นไง 00:01:01.000 --> 00:01:03.000 ป้ายที่เราเห็นตามทาง 00:01:03.000 --> 00:01:06.000 ที่มีตัวหนังสือภาษาจีนอยู่ไง 00:01:07.000 --> 00:01:10.000 เธอจ้องฉันอยู่ครู่หนึ่ง 00:01:10.000 --> 00:01:13.000 และในที่สุดเธอก็เข้าใจ 00:01:13.000 --> 00:01:15.000 และนึกออกว่าสิ่งที่ฉันพูดถึงคืออะไร 00:01:15.000 --> 00:01:18.000 สิ่งที่ฉันพูดก็คือ สิ่งนี้ 00:01:18.000 --> 00:01:24.000 (หัวเราะ) 00:01:24.000 --> 00:01:28.000 ใช่แล้วค่ะ ตัวหนังสือจีนอันโด่งดังที่หมายถึงพื้นที่ปิกนิคนั่นเอง NOTE Paragraph 00:01:28.000 --> 00:01:30.000 (หัวเราะ) NOTE Paragraph 00:01:30.000 --> 00:01:34.000 ช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมาของฉันได้ใช้ไปกับ 00:01:34.000 --> 00:01:36.000 การครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ 00:01:36.000 --> 00:01:39.000 อย่างในสถานการณ์นี้ 00:01:39.000 --> 00:01:41.000 ว่าทำไมบางครั้งพวกเราเข้าใจผิด 00:01:41.000 --> 00:01:43.000 กับสัญลักษณ์รอบตัวเรา 00:01:43.000 --> 00:01:46.000 และทำไมเราถึงได้ทำตัวเช่นนั้น 00:01:46.000 --> 00:01:50.000 แล้วสิ่งเหล่านี้มันบอกอะไรเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ 00:01:50.000 --> 00:01:52.000 อีกนัยนึง อย่างที่คริสพูด 00:01:52.000 --> 00:01:54.000 ว่าฉันได้ใช้เวลาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา 00:01:54.000 --> 00:01:57.000 คิดเกี่ยวกับเรื่องความผิดพลาด 00:01:57.000 --> 00:02:00.000 คุณอาจคิดว่ามันเป็นการเลือกสายอาชีพที่แปลกอยู่ 00:02:00.000 --> 00:02:03.000 แต่มันมีข้อได้เปรียบอยู่อย่างนึง 00:02:03.000 --> 00:02:05.000 คือ การไม่มีคู่แข่ง 00:02:05.000 --> 00:02:07.000 (หัวเราะ) 00:02:07.000 --> 00:02:10.000 ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราทำทุกวิถีทาง 00:02:10.000 --> 00:02:13.000 ที่จะเลี่ยงการทำพลาด 00:02:13.000 --> 00:02:15.000 หรืออย่างน้อยก็พยายามคิดหาทางหลีกเลี่ยง 00:02:15.000 --> 00:02:17.000 ว่าเราผิด 00:02:17.000 --> 00:02:19.000 ซึ่งนำเราเข้าไปสู่นามธรรม 00:02:19.000 --> 00:02:21.000 พวกเราต่างรู้กันดีว่าทุกคนในที่นี้ก็เคยทำผิดกันทั้งนั้น 00:02:22.000 --> 00:02:25.000 เผ่าพันธุ์มนุษย์เรา โดยส่วนใหญ่ก็ผิดพลาดกันอยู่แล้ว NOTE Paragraph 00:02:26.000 --> 00:02:29.000 แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ 00:02:29.000 --> 00:02:31.000 สำหรับสิ่งที่ฉันเชื่อ 00:02:31.000 --> 00:02:34.000 ณ ปัจจุบัน 00:02:34.000 --> 00:02:38.000 ทันใดนั้น การรู้ซึ้งถึงนามธรรมเกี่ยวกับความผิดพลาด 00:02:38.000 --> 00:02:41.000 ทำให้ฉันเปิดกว้าง 00:02:41.000 --> 00:02:44.000 และคิดไม่ออกว่าจริงๆแล้วฉันเคยทำอะไรผิดบ้าง 00:02:45.000 --> 00:02:48.000 จริงๆแล้ว ณ ปัจจุบัน คือที่ที่เราอยู่ 00:02:48.000 --> 00:02:51.000 เราไปสัมมนา ในขณะนี้ 00:02:51.000 --> 00:02:53.000 เราไปเที่ยววันหยุดกับครอบครัว ณ ช่วงเวลานี้ 00:02:53.000 --> 00:02:57.000 เราไปเข้าคูหาเลือกตั้งก็ทำในช่วงเวลานี้ 00:02:57.000 --> 00:03:00.000 ผลสรุปก็คือเราผ่านพ้นช่วงเวลาต่างๆในชีวิต 00:03:00.000 --> 00:03:02.000 กักขังตัวเองอยู่ในฟองสบู่เล็กๆ 00:03:02.000 --> 00:03:05.000 ที่เกี่ยวกับการทำทุกอย่างให้ถูกต้อง NOTE Paragraph 00:03:06.000 --> 00:03:08.000 ฉันคิดว่านี่คือปัญหา 00:03:08.000 --> 00:03:11.000 ฉันคิดว่ามันเป็นปัญหากับเราทุกๆคน 00:03:11.000 --> 00:03:14.000 ทั้งในชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงาน 00:03:14.000 --> 00:03:17.000 และฉันคิดว่ามันเป็นปัญหาจากการสั่งสมอบรมมาเป็นเวลานาน 00:03:17.000 --> 00:03:19.000 ดังนั้นสิ่งที่ฉันอยากทำในวันนี้ 00:03:19.000 --> 00:03:22.000 สิ่งแรกก็คือพูดถึงเหตุผลที่พวกเรายึดติดกับ 00:03:22.000 --> 00:03:24.000 ความรู้สึกถึงความถูกต้อง 00:03:24.000 --> 00:03:27.000 ถัดมาก็คือ ทำไมมันถึงเป็นปัญหา 00:03:27.000 --> 00:03:29.000 และสุดท้ายฉันอยากจะบอกคุณ 00:03:29.000 --> 00:03:31.000 ว่ามันมีความเป็นไปได้ 00:03:31.000 --> 00:03:33.000 ที่จะก้าวออกจากความรู้สึกนั้น 00:03:33.000 --> 00:03:35.000 และถ้าคุณทำได้ 00:03:35.000 --> 00:03:37.000 มันคือก้าวสำคัญ 00:03:37.000 --> 00:03:40.000 ที่คุณสามารถทำได้ทั้งทางจริยธรรม วิชาการและความสร้างสรรค์ NOTE Paragraph 00:03:42.000 --> 00:03:44.000 มาเริ่มจากทำไมเราถึงยึดติด 00:03:44.000 --> 00:03:46.000 กับความรู้สึกถูกต้อง 00:03:46.000 --> 00:03:49.000 เหตุผลนึงเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของการทำผิดพลาด 00:03:49.000 --> 00:03:51.000 ดังนั้นขอฉันถามพวกคุณบางอย่างหน่อย 00:03:51.000 --> 00:03:55.000 ขอถามพวกคุณแล้วกัน เพราะคุณนั่งตรงนี้ 00:03:55.000 --> 00:03:58.000 คุณรู้สึกอย่างไร ทางด้านอารมณ์ 00:03:58.000 --> 00:04:01.000 คุณรู้สึกอย่างไรเวลาทำผิด 00:04:01.000 --> 00:04:04.000 หวาดกลัว คว่ำหัวแม่โป้งลง 00:04:04.000 --> 00:04:06.000 อาย โอเค ดีคะ 00:04:06.000 --> 00:04:08.000 มีทั้งหวาดกลัว ทั้งคว่ำหัวโป้งลง แล้วก็อาย 00:04:08.000 --> 00:04:11.000 ขอบคุณค่ะ เป็นคำตอบที่ดีมาก 00:04:11.000 --> 00:04:14.000 แต่พวกเขาไม่ได้ตอบคำถามฉัน 00:04:14.000 --> 00:04:16.000 พวกคุณตอบคำถามที่ว่า 00:04:16.000 --> 00:04:19.000 คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณรู้ตัวว่าคุณทำผิดพลาด 00:04:19.000 --> 00:04:23.000 (หัวเราะ) 00:04:23.000 --> 00:04:26.000 การที่เรารู้ตัวว่าเราผิดพลาดเราจะรู้สึกอย่างที่พวกคุณบอกและในอีกหลายๆแบบ จริงไหมคะ? 00:04:26.000 --> 00:04:29.000 ฉันหมายถึงมันอาจจะทำให้ผิดหวัง ทำให้สิ้นหวัง 00:04:29.000 --> 00:04:31.000 หรืออาจจะรู้สึกตลก 00:04:31.000 --> 00:04:34.000 อย่างตัวหนังสือจีนโง่ๆที่ฉันเข้าใจผิดก็เป็นได้ 00:04:34.000 --> 00:04:37.000 แต่แค่ทำผิด 00:04:37.000 --> 00:04:39.000 ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอะไร NOTE Paragraph 00:04:39.000 --> 00:04:42.000 ฉันจะเปรียบเทียบให้คุณฟัง 00:04:42.000 --> 00:04:44.000 พวกคุณรู้จักการ์ตูนของลูนนี่ ทูนส์ใช่ไหม 00:04:44.000 --> 00:04:46.000 ที่มีเจ้าตัวคโยตี้ที่น่าสงสาร 00:04:46.000 --> 00:04:48.000 ไล่ตามแต่ไม่เคยจับเจ้าตัวโรดรันเนอร์ได้ 00:04:48.000 --> 00:04:51.000 ในเกือบทุกตอนของการ์ตูนเรื่องนี้ 00:04:51.000 --> 00:04:53.000 จะมีช่วงนึงที่คโยตี้ไล่โรดรันเนอร์ 00:04:53.000 --> 00:04:55.000 แล้วโรดรันเนอร์วิ่งออกนอกหุบเขา 00:04:55.000 --> 00:04:58.000 ซึ่งก็ไม่เป็นไรเพราะเขาเป็นนก เขาบินได้ 00:04:58.000 --> 00:05:02.000 แต่คโยตี้ที่วิ่งออกนอกหุบเขาตามหลังเนี่ยสิ 00:05:02.000 --> 00:05:04.000 สิ่งนี้แหละที่ตลก 00:05:04.000 --> 00:05:06.000 อย่างน้อยก็ตอนคุณอายุ 6 ขวบ 00:05:06.000 --> 00:05:08.000 แล้วนี่คโยตี้รู้สึกโอเคด้วยหรือเปล่า 00:05:08.000 --> 00:05:10.000 ที่เขาวิ่งไปเรื่อยๆ 00:05:10.000 --> 00:05:12.000 จนกระทั่งในตอนที่เขามองลง 00:05:12.000 --> 00:05:15.000 และได้รู้ตัวว่าเขาอยู่กลางอากาศ 00:05:15.000 --> 00:05:18.000 แล้วก็หล่นลงไป 00:05:19.000 --> 00:05:21.000 ในตอนที่เราทำผิดบางอย่าง 00:05:21.000 --> 00:05:24.000 ไม่ใช่ตอนที่เรารู้สึกตัว แต่เป็นช่วงเวลาก่อนหน้านั้น 00:05:24.000 --> 00:05:27.000 เราก็เหมือนกับเจ้าคโยตี้ 00:05:27.000 --> 00:05:30.000 ที่วิ่งเลยหุบเขา ก่อนที่ตัวเองจะมองข้างล่าง 00:05:31.000 --> 00:05:34.000 คุณรู้ว่าเราผิดแล้ว 00:05:34.000 --> 00:05:36.000 เราเจอปัญหาแล้ว 00:05:36.000 --> 00:05:39.000 แต่เรายังรู้สึกเหมือนเราอยู่บนพื้นมั่นคง 00:05:40.000 --> 00:05:43.000 ดังนั้นฉันขอแก้ไขในสิ่งที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ 00:05:43.000 --> 00:05:46.000 ว่ามันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ 00:05:46.000 --> 00:05:49.000 เหมือนกับที่เรารู้สึกว่ามันถูกต้อง NOTE Paragraph 00:05:49.000 --> 00:05:52.000 (หัวเราะ) NOTE Paragraph 00:05:52.000 --> 00:05:55.000 นี่คือเหตุผลนึง ที่เป็นองค์ประกอบนึงของเหตุผล 00:05:55.000 --> 00:05:57.000 ที่ว่าทำไมเรายึดติดกับความรู้สึกถูกต้องไว้ในตัวเรา 00:05:57.000 --> 00:05:59.000 ฉันเรียกสิ่งนี้ว่าข้อผิดพลาดที่เรามองไม่เห็น 00:05:59.000 --> 00:06:01.000 โดยส่วนใหญ่แล้ว 00:06:01.000 --> 00:06:04.000 เราไม่มีข้อคิดภายในหัวเรา 00:06:04.000 --> 00:06:06.000 เกี่ยวกับการทำผิดพลาดเลย 00:06:06.000 --> 00:06:09.000 จนกระทั่งมันสายไปแล้ว 00:06:09.000 --> 00:06:12.000 แต่มีอีกเหตุผลนึงที่ทำให้พวกเรายึดติดกับความรู้สึกนี้เหมือนกัน 00:06:12.000 --> 00:06:14.000 และนั่นก็คือการปลูกฝังวัฒนธรรม 00:06:15.000 --> 00:06:18.000 ลองนึกย้อนไปเมื่อตอนสมัยประถม 00:06:18.000 --> 00:06:20.000 คุณกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียน 00:06:20.000 --> 00:06:23.000 แล้วคุณครูของคุณก็ยื่นกระดาษทดสอบให้ 00:06:23.000 --> 00:06:25.000 แล้วของใครบางคนจะเป็นหน้าตาแบบนี้ 00:06:25.000 --> 00:06:27.000 แต่นั่นไม่ใช่ฉัน บอกไว้ก่อน 00:06:27.000 --> 00:06:29.000 (หัวเราะ) 00:06:29.000 --> 00:06:32.000 คุณอยู่ในชั้นเรียน 00:06:32.000 --> 00:06:34.000 และคุณรู้แน่นอนว่าคุณต้องคิดอะไร 00:06:34.000 --> 00:06:37.000 เกี่ยวกับเด็กที่เป็นเจ้าของกระดาษใบนี้ 00:06:37.000 --> 00:06:40.000 ว่าเป็นเด็กโง่ เด็กเจ้าปัญหา 00:06:40.000 --> 00:06:43.000 ที่ไม่เคยทำการบ้านส่งเลย 00:06:43.000 --> 00:06:46.000 เมื่อคุณอายุได้ 9 ขวบ 00:06:46.000 --> 00:06:48.000 อย่างแรก คุณได้เรียนรู้ว่า 00:06:48.000 --> 00:06:50.000 คนที่ทำอะไรผิดๆ 00:06:50.000 --> 00:06:53.000 คือคนที่ขี้เกียจ ไม่รับผิดชอบ ปัญญาทึบ 00:06:53.000 --> 00:06:55.000 อย่างที่สอง 00:06:55.000 --> 00:06:57.000 ก็คือหนทางที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น 00:06:57.000 --> 00:07:00.000 จะต้องไม่ทำอะไรผิดพลาด NOTE Paragraph 00:07:01.000 --> 00:07:05.000 พวกเราเรียนรู้บทเรียนแย่ๆเหล่านี้ได้อย่างดี 00:07:06.000 --> 00:07:08.000 และในหลายคน 00:07:08.000 --> 00:07:12.000 และฉันสันนิษฐานว่าหลายคนในที่นี้ 00:07:12.000 --> 00:07:14.000 จัดการกับเรื่องนี้โดย 00:07:14.000 --> 00:07:16.000 กลายเป็นเด็กนักเรียนเกรดเอ 00:07:16.000 --> 00:07:19.000 เป็นพวกเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งเป้าไว้สูง 00:07:19.000 --> 00:07:21.000 ใช่ไหมคะ? 00:07:21.000 --> 00:07:25.000 คุณซีเอฟโอ นักฟิสิกส์ดวงดาว แล้วก็นักมาราธอนทั้งหลาย 00:07:25.000 --> 00:07:32.000 (หัวเราะ) 00:07:32.000 --> 00:07:36.000 คุณกลายเป็น ซีเอฟโอ นักฟิสิกส์ดวงดาว นักมาราธอน 00:07:36.000 --> 00:07:38.000 นั่นก็ โอเค 00:07:38.000 --> 00:07:41.000 กระทั่งเมื่อตอนที่เราตื่นตระหนก 00:07:41.000 --> 00:07:43.000 กับเรื่องที่เราทำผิดพลาด 00:07:43.000 --> 00:07:46.000 จากเรื่องนี้ 00:07:46.000 --> 00:07:48.000 การทำอะไรผิด 00:07:48.000 --> 00:07:51.000 หมายถึงมีอะไรบางอย่างในตัวเราผิดปกติ 00:07:51.000 --> 00:07:53.000 ดังนั้นเรายืนกรานว่าเราถูก 00:07:53.000 --> 00:07:55.000 เพราะว่ามันทำให้เรารู้สึกว่าเราฉลาดและดูมีความรับผิดชอบ 00:07:55.000 --> 00:07:58.000 รู้สึกถูกต้องและปลอดภัย NOTE Paragraph 00:07:59.000 --> 00:08:01.000 ขอให้ฉันเล่าเรื่องนึง 00:08:01.000 --> 00:08:03.000 เมื่อสองสามปีที่แล้ว 00:08:03.000 --> 00:08:06.000 ผู้หญิงหลายคนมาที่ เบธ อิสราเอล เดคอนส์ เมดิเคิร์ล เซ็นเตอร์ ที่สำหรับศัลยกรรม 00:08:06.000 --> 00:08:08.000 เบธ อิสราเอล อยู่ที่บอสตัน 00:08:08.000 --> 00:08:10.000 เป็นที่ศึกษาแพทย์ของฮาร์เวิร์ด 00:08:10.000 --> 00:08:12.000 หนึ่งในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดของประเทศ 00:08:12.000 --> 00:08:15.000 ผู้หญิงเหล่านี้ไปเข้ารับการผ่าตัด 00:08:15.000 --> 00:08:17.000 เธอก็โดนวางยาสลบ ส่วนศัลยแพทย์ก็ทำงานของเขาไป 00:08:17.000 --> 00:08:20.000 เย็บแผล แล้วก็ส่งเธอเข้าห้องพักฟื้น 00:08:20.000 --> 00:08:23.000 ทุกอย่างดูเหมือนเป็นไปได้ด้วยดี 00:08:23.000 --> 00:08:26.000 จนกระทั่งตอนที่เธอตื่นขึ้นแล้วมองที่ตัวเอง 00:08:26.000 --> 00:08:30.000 แล้วเธอก็พูดว่า "ทำไมผ้าพันแผลอยู่ผิดข้างล่ะ?" 00:08:30.000 --> 00:08:33.000 สาเหตุที่มันผ้าพันแผลอยู่ผิดฝั่ง 00:08:33.000 --> 00:08:35.000 เพราะว่าศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดสำคัญ 00:08:35.000 --> 00:08:38.000 ที่ขาด้านซ้ายแทนที่จะเป็นด้านขวา 00:08:39.000 --> 00:08:42.000 เมื่อรองประธานฝ่ายประกันคุณภาพด้านการดูแลสุขภาพของเบธ อิสราเอล 00:08:42.000 --> 00:08:45.000 ได้กล่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ 00:08:45.000 --> 00:08:48.000 เขาได้พูดบางอย่างที่น่าสนใจ 00:08:48.000 --> 00:08:51.000 เขาพูดว่า ด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม 00:08:51.000 --> 00:08:53.000 ศัลยแพทย์รู้สึกว่า 00:08:53.000 --> 00:08:55.000 เขาได้ผ่าตัดให้คนไข้ถูกฝั่งแล้ว 00:08:55.000 --> 00:08:58.000 (หัวเราะ) 00:09:00.000 --> 00:09:02.000 จุดประสงค์ของเรื่องนี้คือ 00:09:02.000 --> 00:09:05.000 เชื่อมั่นกับความรู้สึกมากเกินไป 00:09:05.000 --> 00:09:08.000 ว่าตัวเองอยู่ฝั่งที่ถูกต้องในทุกๆเรื่อง 00:09:08.000 --> 00:09:11.000 อาจจะเป็นเรื่องอันตรายได้ NOTE Paragraph 00:09:11.000 --> 00:09:14.000 ความรู้สึก สัมผัสเกี่ยวกับเรื่องความถูกต้องภายใน 00:09:14.000 --> 00:09:16.000 ที่เราได้ประสบบ่อยๆนั้น 00:09:16.000 --> 00:09:18.000 ไม่สามารถเชื่อ ยึดเอาเป็นแนวทางได้ 00:09:18.000 --> 00:09:21.000 สำหรับใช้ในโลกภายนอกได้ 00:09:21.000 --> 00:09:23.000 แล้วเมื่อเราทำแบบนั้น 00:09:23.000 --> 00:09:27.000 เราหมดสนุกกับความเป็นไปได้ที่เราจะทำผิด 00:09:27.000 --> 00:09:29.000 เมื่อนั้นเราก็จะจบลงด้วย 00:09:29.000 --> 00:09:33.000 การเทน้ำมันลงในอ่าวเม็กซิโกกว่าสองร้อยล้านแกลลอน 00:09:33.000 --> 00:09:36.000 หรือถล่มเศรษฐกิจโลก 00:09:37.000 --> 00:09:40.000 นี่คือปัญหาใหญ่ในเชิงปฏิบัติ 00:09:40.000 --> 00:09:43.000 แต่มันก็เป็นปัญหาใหญ่ทางสังคมด้วยเช่นกัน NOTE Paragraph 00:09:43.000 --> 00:09:47.000 ลองใช้เวลาคิดสักครู่ ว่าการรู้สึกถูกมันมีความหมายอย่างไร 00:09:47.000 --> 00:09:49.000 มันหมายถึงสิ่งที่คุณเชื่อ 00:09:49.000 --> 00:09:52.000 มันสะท้อนความเป็นจริงอย่างลงตัว 00:09:52.000 --> 00:09:54.000 และเมื่อคุณรู้สึกเช่นนั้น 00:09:54.000 --> 00:09:56.000 คุณมีปัญหาที่ต้องแก้ 00:09:56.000 --> 00:09:58.000 ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณจะอธิบายอย่างไร 00:09:58.000 --> 00:10:01.000 กับคนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณ 00:10:01.000 --> 00:10:04.000 มันกลายเป็นว่าเราอธิบายให้คนอื่นฟังในแบบเดียวกัน 00:10:04.000 --> 00:10:07.000 โดยการบอกเล่าสมมติฐานอาภัพเหล่านั้น 00:10:08.000 --> 00:10:11.000 อย่างแรกที่เราจะทำเมื่อมีคนไม่เห็นด้วยกับเรา 00:10:11.000 --> 00:10:14.000 คือเราคิดไปเองว่าพวกเขาโง่เขลา 00:10:14.000 --> 00:10:16.000 พวกเขาไม่ได้รับข้อมูลแบบเดียวกับเรา 00:10:16.000 --> 00:10:19.000 แล้วเมื่อเราใจดีแบ่งปันข้อมูลกับพวกเขาแล้ว 00:10:19.000 --> 00:10:22.000 พวกเขาก็จะเห็นทางสว่างแ้ล้วเข้าพวกกับเรา 00:10:22.000 --> 00:10:25.000 แล้วเมื่อมันไม่ได้ผล 00:10:25.000 --> 00:10:27.000 เมื่อพวกเขาเหล่านั้นรู้ข้อมูลเหมือนกับที่เรารู้ 00:10:27.000 --> 00:10:29.000 แต่ยังไม่เห็นด้วยกับเรา 00:10:29.000 --> 00:10:31.000 เราก็ไปยังสมมติฐานที่สอง 00:10:31.000 --> 00:10:33.000 นั่นก็คือพวกนี้มันงี่เง่า 00:10:33.000 --> 00:10:35.000 (หัวเราะ) 00:10:35.000 --> 00:10:37.000 พวกเขามีองค์ประกอบครบทุกอย่างแล้ว 00:10:37.000 --> 00:10:40.000 แต่กลับโง่เกินกว่าที่จะนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ 00:10:40.000 --> 00:10:42.000 และเมื่อมันยังไม่ได้ผลอีก 00:10:42.000 --> 00:10:45.000 เมื่อคนเหล่านี้ไม่เห็นด้วยกับคุณ 00:10:45.000 --> 00:10:47.000 ทั้งที่รับข้อมูลทุกอย่างเหมือนกัน 00:10:47.000 --> 00:10:50.000 แล้วยังเป็นคนฉลาดด้วย 00:10:50.000 --> 00:10:53.000 เมื่อนั้นเราก็เข้าสู่สมมติฐานที่สาม 00:10:53.000 --> 00:10:56.000 คือพวกเขารู้ความจริง 00:10:56.000 --> 00:10:58.000 แต่พวกเขาจงใจบิดเบือนมัน 00:10:58.000 --> 00:11:01.000 เพื่อจุดประสงค์ร้ายบางอย่าง 00:11:02.000 --> 00:11:04.000 นี่เลยกลายเป็นภัยพิบัติ NOTE Paragraph 00:11:04.000 --> 00:11:07.000 นี่เป็นสิ่งที่ตามมากับความรู้สึกถูกต้องของเรา 00:11:07.000 --> 00:11:09.000 ที่พยายามผลักเราออกจากความผิดพลาด 00:11:09.000 --> 00:11:11.000 ในเวลาที่เราต้องการมัน 00:11:11.000 --> 00:11:14.000 และทำให้เราปฏิบัติต่อกันอย่างน่ากลัว 00:11:15.000 --> 00:11:17.000 แต่สำหรับฉันแล้ว สิ่งที่น่ามึนงงที่สุด 00:11:17.000 --> 00:11:20.000 และน่าสลดใจมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ 00:11:20.000 --> 00:11:24.000 เราได้มองข้ามความเป็นมนุษย์ไป 00:11:24.000 --> 00:11:26.000 เหมือนกับเราอยากจินตนาการ 00:11:26.000 --> 00:11:29.000 ว่าความคิดเราโปร่งใสเหมือนกับหน้าต่างโปร่งแสง 00:11:29.000 --> 00:11:31.000 เมื่อมองไปที่มัน 00:11:31.000 --> 00:11:34.000 โลกทั้งโลกก็คลี่คลายเปิดเผย 00:11:34.000 --> 00:11:36.000 และพวกเราก็อยากให้คนอื่นๆมองไปหน้าต่างเดียวกับเรา 00:11:36.000 --> 00:11:38.000 และเห็นในอย่างเดียวกับเรา 00:11:38.000 --> 00:11:40.000 ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย 00:11:40.000 --> 00:11:43.000 และถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ โลกคงน่าเบื่อมาก 00:11:43.000 --> 00:11:46.000 ความอัศจรรย์เกี่ยวกับความคิดคุณ 00:11:46.000 --> 00:11:49.000 ไม่ได้อยู่ที่การที่คุณมองโลกอย่างที่มันเป็น 00:11:50.000 --> 00:11:53.000 แต่เป็นการมองโลกในแบบที่มันไม่ควรเป็นต่างหาก 00:11:54.000 --> 00:11:56.000 เราสามารถจดจำอดีตได้ 00:11:56.000 --> 00:11:59.000 เราสามารถคิดถึงอนาคตได้ 00:11:59.000 --> 00:12:01.000 และเราสามารถจินตนาการได้ว่ามันเป็นอย่างไร 00:12:01.000 --> 00:12:04.000 ที่เป็นคนๆนึงในอีกที่ๆนึง 00:12:04.000 --> 00:12:06.000 พวกเราทุกคนก็ทำสิ่งนี้แต่ต่างกันในรายละเอียด 00:12:06.000 --> 00:12:08.000 ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเราสามารถมองออกไปในคืนเดียวกันแล้ว 00:12:08.000 --> 00:12:10.000 เห็นสิ่งนี้ 00:12:10.000 --> 00:12:12.000 แล้วก็สิ่งนี้ 00:12:12.000 --> 00:12:15.000 สิ่งนี้ด้วย 00:12:15.000 --> 00:12:18.000 ใช่ค่ะ แล้วมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เราทำอะไรผิดด้วย NOTE Paragraph 00:12:19.000 --> 00:12:21.000 พันสองร้อยปีที่แล้วก่อนที่เดสอาร์เทสพูดเรื่องดัง 00:12:21.000 --> 00:12:23.000 เกี่ยวกับ "ฉันคิด...ฉันจึงมีอยู่" 00:12:23.000 --> 00:12:25.000 บุคคลนี้ เซนส์ ออกัสติน นั่งลง 00:12:25.000 --> 00:12:28.000 เขียนว่า "ฟอร์ลอร์ แอร์โก ซัม" 00:12:28.000 --> 00:12:32.000 "เพราะฉันทำผิด ฉันจึงมีอยู่" 00:12:32.000 --> 00:12:34.000 ออกัสตีนเข้าใจ 00:12:34.000 --> 00:12:36.000 เกี่ยวกับสมรรถภาพความผิดพลาดของเรา 00:12:36.000 --> 00:12:38.000 ไม่ใช่ข้อบกพร่องที่น่าอาย 00:12:38.000 --> 00:12:40.000 ในระบบร่างกายมนุษย์เลย 00:12:40.000 --> 00:12:43.000 หรือเป็นสิ่งที่เราสามารถขจัดหรือเอาชนะ 00:12:43.000 --> 00:12:46.000 มันเป็นพื้นฐานทั้งหมดที่เรามี 00:12:46.000 --> 00:12:48.000 เพราะเราไม่เหมือนพระเจ้า 00:12:48.000 --> 00:12:51.000 เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างนอกนั่น 00:12:51.000 --> 00:12:54.000 และเราก็ไม่เหมือนกับสัตว์ต่างๆ 00:12:54.000 --> 00:12:58.000 พวกเราหมกมุ่นกับการแก้ปัญหาเหล่านี้ 00:12:58.000 --> 00:13:00.000 สำหรับฉัน ความหมกมุ่นนี้ 00:13:00.000 --> 00:13:02.000 เป็นแหล่งข้อมูลและรากฐาน 00:13:02.000 --> 00:13:05.000 ของผลผลิตและความคิดสร้างสรรค์ของเรา NOTE Paragraph 00:13:05.000 --> 00:13:08.000 เมื่อปีที่แล้ว ในเหตุผลหลายๆอย่างต่างกัน 00:13:08.000 --> 00:13:10.000 ฉันนั่งฟังวิทยุรายการวิทยุ 00:13:10.000 --> 00:13:12.000 ชื่อ ดีส อเมริกัน ไลฟ์ หลายตอน 00:13:12.000 --> 00:13:15.000 ฉันฟังไปเรื่อยๆ 00:13:15.000 --> 00:13:18.000 และถึงจุดนึงฉันก็รู้สึกว่า 00:13:18.000 --> 00:13:21.000 ฉันชอบเรื่องเกี่ยวกับความผิดพลาดเหล่านี้ 00:13:22.000 --> 00:13:24.000 ความคิดแรกในหัวฉันคือ 00:13:24.000 --> 00:13:26.000 ฉันหลงทางแล้ว 00:13:26.000 --> 00:13:28.000 ฉันกลายเป็นหญิงบ้าผู้คลั่งความผิดพลาดไปแล้ว 00:13:28.000 --> 00:13:30.000 ฉันคิดไปได้ต่างๆนานา 00:13:30.000 --> 00:13:32.000 ซึ่งมันจริง 00:13:32.000 --> 00:13:34.000 แต่สองสามเดือนหลังจากนั้น 00:13:34.000 --> 00:13:36.000 ฉันได้มีโอกาสสัมภาษณ์ อิรา กลาส ที่เป็นพิธีกรของรายการนี้ 00:13:36.000 --> 00:13:38.000 และฉันก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง 00:13:38.000 --> 00:13:41.000 แล้วเขาก็พูดว่า ไม่ ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องจริง 00:13:41.000 --> 00:13:43.000 มันคือ 00:13:43.000 --> 00:13:45.000 เราเป็นผู้ดำเนินรายการ เราขำ 00:13:45.000 --> 00:13:47.000 ในทุกๆตอนของรายการ 00:13:47.000 --> 00:13:50.000 ที่มีรูปแบบเหมือนๆกัน 00:13:50.000 --> 00:13:52.000 รูปแบบนั้นก็คือ 00:13:52.000 --> 00:13:55.000 "ฉันคิดว่ามันต้องเป็นแบบนี้แน่เลย 00:13:55.000 --> 00:13:58.000 แต่แล้วกลับกลายเป็นอีกอย่างนึงซะนี่" 00:13:58.000 --> 00:14:01.000 แล้วสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พวกเราต้องการ อิรา กราสกล่าว 00:14:01.000 --> 00:14:03.000 เราต้องการช่วงเวลาเหล่านี้ 00:14:03.000 --> 00:14:05.000 ช่วงเวลาประหลาดใจ พลิกผลันและความผิดพลาดต่างๆ 00:14:05.000 --> 00:14:07.000 ที่จะทำให้เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ดี 00:14:07.000 --> 00:14:09.000 และสำหรับคนที่เหลือ หรือผู้ชม 00:14:09.000 --> 00:14:12.000 ที่เป็นผู้ฟังหรือผู้อ่าน 00:14:12.000 --> 00:14:14.000 พวกเราเสพสิ่งเหล่านี้เข้าไป 00:14:14.000 --> 00:14:17.000 พวกเราชอบพล๊อตที่มีจุดหักมุม 00:14:17.000 --> 00:14:20.000 จุดเปลี่ยนและเรื่องประหลาดใจในตอนจบ 00:14:20.000 --> 00:14:23.000 เมื่อมาถึงเรื่องของพวกเรา 00:14:23.000 --> 00:14:26.000 เรารักที่จะผิดพลาด NOTE Paragraph 00:14:26.000 --> 00:14:28.000 แต่อย่างที่คุณรู้ เรื่องของพวกเราเป็นแบบนี้ 00:14:28.000 --> 00:14:31.000 เพราะพวกเรามีชีวิตแบบนี้ 00:14:31.000 --> 00:14:34.000 พวกเราคิดว่าสิ่งนึงจะต้องเกิดขึ้น 00:14:34.000 --> 00:14:37.000 แต่กลับมีอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นแทน 00:14:37.000 --> 00:14:39.000 จอร์ช บุช คิดว่าเขาจะบุกยึกอิรัก 00:14:39.000 --> 00:14:41.000 ค้นหาคลังอาวุธทำลายล้าง 00:14:41.000 --> 00:14:44.000 ปลดปล่อยคนและนำประชาธิปไตยสู่ตะวันออกกลาง 00:14:45.000 --> 00:14:47.000 แต่แล้วบางอย่างก็เกิดขึ้นแทน 00:14:48.000 --> 00:14:50.000 โฮสนี่ มูบารัค 00:14:50.000 --> 00:14:52.000 คิดว่าเขาจะเป็นผู้นำเผด็จการของอียิปต์ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ 00:14:52.000 --> 00:14:54.000 จนกระทั่งเขาแก่และป่วยเกินกว่าที่จะทำ 00:14:54.000 --> 00:14:57.000 เขาจะยกทุกอย่างให้อยู่ในอำนาจของลูกชาย 00:14:57.000 --> 00:15:00.000 แต่มันก็ไม่เป็นแบบนั้น 00:15:01.000 --> 00:15:03.000 และบางทีคุณคิดว่า 00:15:03.000 --> 00:15:05.000 คุณจะโตขึ้น แต่งงานกับหวานใจตอนสมัยวัยรุ่น 00:15:05.000 --> 00:15:08.000 กลับบ้านเกิด แล้วก็เลี้ยงลูกด้วยกัน 00:15:09.000 --> 00:15:12.000 แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น 00:15:12.000 --> 00:15:14.000 และฉันจะบอกคุณว่า 00:15:14.000 --> 00:15:16.000 ฉันคิดว่าฉันเขียนหนังสือเนิร์ดสุดๆ 00:15:16.000 --> 00:15:18.000 ในเรื่องที่ทุกคนเกลียด 00:15:18.000 --> 00:15:21.000 สำหรับคนอ่านที่ไม่เคยทำอะไรเป็นรูปเป็นร่าง 00:15:21.000 --> 00:15:23.000 แต่มันก็ไม่เป็นแบบนั้น NOTE Paragraph 00:15:23.000 --> 00:15:25.000 (หัวเราะ) NOTE Paragraph 00:15:25.000 --> 00:15:27.000 ฉันหมายถึง นี่คือชีวิต 00:15:27.000 --> 00:15:29.000 ทั้งดี ทั้งแย่ 00:15:29.000 --> 00:15:32.000 เรารวมมันเป็นเรื่องอย่างลงตัว 00:15:32.000 --> 00:15:34.000 เกี่ยวกับโลกรอบตัวเรา 00:15:34.000 --> 00:15:37.000 และเมื่อโลกเปลี่ยนไปและทำให้เราประหลาดใจ 00:15:40.000 --> 00:15:43.000 ไม่ได้ว่าร้ายนะคะ แต่ตลอดสัมมนานี้ 00:15:43.000 --> 00:15:45.000 คืออนุสาวรีย์อันน่าทึ่ง 00:15:45.000 --> 00:15:47.000 ที่เป็นผลผลิตของความผิดพลาดของเรา 00:15:47.000 --> 00:15:49.000 เราใช้เวลาทั้งสัปดาห์ 00:15:49.000 --> 00:15:51.000 พูดเกี่ยวกับเรื่องนวัตกรรม ความก้าวหน้า 00:15:51.000 --> 00:15:53.000 และความเจริญต่างๆ 00:15:53.000 --> 00:15:56.000 แต่คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมเราต้องการนวัตกรรม 00:15:56.000 --> 00:15:58.000 ความก้าวหน้าและความเจริญเหล่านั้น 00:15:58.000 --> 00:16:00.000 เพราะกว่าครึ่งของเรื่องพวกนี้ 00:16:00.000 --> 00:16:03.000 ทั้งเรื่องน่าเชื่อถือต่างๆ เรื่องความเปลี่ยนแปลงของโลก 00:16:03.000 --> 00:16:05.000 TED 1998 00:16:05.000 --> 00:16:07.000 เออ 00:16:07.000 --> 00:16:11.000 (หัวเราะ) 00:16:11.000 --> 00:16:13.000 มันไม่ได้ผลใช่ไหมเนี่ย 00:16:13.000 --> 00:16:15.000 (หัวเราะ) 00:16:15.000 --> 00:16:18.000 ตั๋วเครื่องบินฉันอยู่ไหนเนี่ยคริส NOTE Paragraph 00:16:18.000 --> 00:16:22.000 (หัวเราะ) NOTE Paragraph 00:16:22.000 --> 00:16:27.000 (ปรบมือ) NOTE Paragraph 00:16:27.000 --> 00:16:30.000 นี่ไง เอาอีกแล้ว 00:16:30.000 --> 00:16:32.000 มันมาอีกแล้ว 00:16:32.000 --> 00:16:34.000 เราได้ความคิดใหม่ๆ 00:16:34.000 --> 00:16:37.000 เราเล่าเรื่องราวอีกเรื่อง 00:16:37.000 --> 00:16:40.000 เราสัมมนาอีกอัน 00:16:40.000 --> 00:16:42.000 แต่เนื้อเรื่องคือเรื่องนี้ 00:16:42.000 --> 00:16:44.000 เหมือนกับที่พวกคุณฟังมาเป็นร้อยๆพันๆครั้ง 00:16:44.000 --> 00:16:46.000 คือถูกค้นพบอีกครั้งจากความสงสัย 00:16:46.000 --> 00:16:48.000 และสำหรับฉันแล้ว 00:16:48.000 --> 00:16:51.000 ถ้าคุณอยากค้นพบสิ่งเหล่านี้ 00:16:51.000 --> 00:16:53.000 คุณจะต้องคิดนอกกรอบ 00:16:53.000 --> 00:16:59.000 ออกมาจากที่คับแคบแย่ๆแห่งความถูกต้องนั่น 00:16:59.000 --> 00:17:02.000 มองดูรอบๆกันและกัน 00:17:02.000 --> 00:17:05.000 มองไปยังที่โล่งกว้าง 00:17:05.000 --> 00:17:08.000 ที่ที่สับสนและลึกลับ 00:17:08.000 --> 00:17:11.000 ของจักรวาล 00:17:11.000 --> 00:17:14.000 แล้วสามารถพูดได้ว่า 00:17:14.000 --> 00:17:18.000 ว้าว ฉันไม่รู้เลย 00:17:18.000 --> 00:17:20.000 บางทีฉันคงผิด NOTE Paragraph 00:17:20.000 --> 00:17:22.000 ขอบคุณค่ะ NOTE Paragraph 00:17:22.000 --> 00:17:25.000 (ปรบมือ) NOTE Paragraph 00:17:25.000 --> 00:17:27.000 ขอบคุณทุกคนนะคะ NOTE Paragraph 00:17:27.000 --> 00:17:30.000 (ปรบมือ)