1 00:00:00,952 --> 00:00:03,476 ผมอยากจะเริ่มต้นด้วยการทำการทดลองอันหนึ่ง 2 00:00:04,857 --> 00:00:08,307 ผมจะเล่นวิดีโอของวันฝนตกสามอัน 3 00:00:08,935 --> 00:00:12,819 แต่ผมได้ทำการแทนเสียงหนึ่งในวิดีโอนั้น 4 00:00:12,843 --> 00:00:15,217 โดยแทนที่จะใช้เสียงของฝนจริง ๆ 5 00:00:15,241 --> 00:00:18,309 ผมได้ใส่เสียงทอดเบคอนลงไปแทน 6 00:00:19,137 --> 00:00:23,109 ดังนั้นผมอยากให้คุณคิดดี ๆ ว่า ในคลิปไหนกันแน่ที่เป็นเสียงเบคอน 7 00:00:23,695 --> 00:00:25,607 (เสียงฝนตก) 8 00:00:27,394 --> 00:00:29,300 (เสียงฝนตก) 9 00:00:31,627 --> 00:00:33,532 (เสียงฝนตก) 10 00:00:40,611 --> 00:00:41,893 โอเคครับ 11 00:00:43,064 --> 00:00:45,638 จริง ๆ แล้ว ผมโกหก 12 00:00:45,662 --> 00:00:46,932 เสียงทั้งหมดคือเสียงเบคอน 13 00:00:46,956 --> 00:00:48,531 (เสียงทอดเบคอน) 14 00:00:52,276 --> 00:00:54,303 (เสียงปรบมือ) 15 00:00:57,216 --> 00:01:00,489 ที่ผมทำแบบนี้นั้น ไม่ใช่เพราะผม อยากทำให้คุณหิว 16 00:01:00,513 --> 00:01:02,162 ทุกครั้งที่คุณเห็นฉากฝนตก 17 00:01:02,186 --> 00:01:08,106 แต่เพื่อแสดงให้คุณเห็นว่าสมองของเรานั้น ถูกตั้งค่ามาให้เปิดรับหลอกลวง 18 00:01:08,696 --> 00:01:10,794 เราไม่ได้กำลังมองหาความถูกต้องแม่นยำ 19 00:01:11,754 --> 00:01:14,539 ดังนั้นในเรื่องของการตบตา 20 00:01:14,563 --> 00:01:17,926 ผมอยากจะขออ้างคำพูดของ หนึ่งในนักเขียนที่ผมชื่นชอบคนหนึ่ง 21 00:01:17,950 --> 00:01:24,899 ในหนังสือเรื่อง "ความเสื่อมถอยของการ หลอกลวง" ออสการ์ ไวลด์ ได้เสนอความคิดขึ้น 22 00:01:24,923 --> 00:01:30,532 ว่าศิลปะที่ไม่ดีทั้งหมดนั้นมาจาก การเลียนแบบธรรมชาติและการอยู่กับความจริง 23 00:01:31,096 --> 00:01:36,340 และศิลปะที่ยอดเยี่ยมทั้งหมดนั้นมาจาก การโกหกหลอกลวงและการตบตา 24 00:01:37,030 --> 00:01:40,063 และสื่อถึงสิ่งที่สวยงาม ที่ไม่มีอยู่จริง 25 00:01:40,087 --> 00:01:44,001 ดังนั้น เมื่อคุณกำลังดูหนังอยู่ 26 00:01:44,890 --> 00:01:46,402 แล้วโทรศัพท์ดัง 27 00:01:46,426 --> 00:01:48,428 จริง ๆ แล้วมันไม่ได้ดังจริง ๆ 28 00:01:48,942 --> 00:01:53,196 มันถูกใส่เข้ามาทีหลังใน ขั้นตอนหลังการผลิตงานในสตูดิโอ 29 00:01:53,220 --> 00:01:56,074 เสียงทั้งหมดที่คุณได้ยินคือของปลอม 30 00:01:56,098 --> 00:01:57,908 ทุก ๆ สิ่ง นอกเหนือไปจากบทพูด 31 00:01:57,932 --> 00:01:59,086 ไม่ใช่ของจริง 32 00:01:59,110 --> 00:02:02,770 เมื่อคุณดูหนังสักเรื่อง แล้วคุณเห็นนกกระพือปีก 33 00:02:02,794 --> 00:02:04,815 (เสียงนกกระพือปีก) 34 00:02:06,141 --> 00:02:08,404 พวกเขาไม่ได้อัดเสียงนกจริง ๆ 35 00:02:08,428 --> 00:02:13,422 มันฟังดูเหมือนจริงมากกว่า ถ้าคุณอัดเสียงแผ่นกระดาษ 36 00:02:13,446 --> 00:02:14,998 หรือเขย่าถุงมือที่ใช้ในครัว 37 00:02:15,022 --> 00:02:17,374 (เสียงนกกระพือปีก) 38 00:02:18,849 --> 00:02:21,792 เสียงของมวนบุหรี่ที่ไหม้อยู่ในระยะใกล้นั้น 39 00:02:21,816 --> 00:02:23,813 (เสียงมวนบุหรี่ไหม้) 40 00:02:25,351 --> 00:02:28,102 มันจะฟังเหมือนจริงกว่ามาก 41 00:02:28,126 --> 00:02:30,971 ถ้าคุณบีบลูกบอลที่ห่อด้วยกระดาษแก้ว 42 00:02:30,995 --> 00:02:32,213 แล้วปล่อยมือออก 43 00:02:32,237 --> 00:02:35,380 (เสียงลูกบอลถูกปล่อยมือ) 44 00:02:35,869 --> 00:02:37,272 ต่อยงั้นหรอ? 45 00:02:37,296 --> 00:02:38,818 (เสียงต่อย) 46 00:02:38,842 --> 00:02:40,774 อุ๊ปส์ เดี๋ยวขอผมเล่นอีกครั้งหนึ่ง 47 00:02:40,798 --> 00:02:41,997 (เสียงต่อย) 48 00:02:42,535 --> 00:02:46,271 เสียงนี้มักจะทำขึ้นโดยการปักมีดเข้าไปในผัก 49 00:02:46,295 --> 00:02:47,717 และมักจะเป็นกะหล่ำปลี 50 00:02:48,661 --> 00:02:50,113 (เสียงมีดปักกะหล่ำปลี) 51 00:02:50,788 --> 00:02:53,752 อันต่อไป คือเสียงหักกระดูก 52 00:02:53,776 --> 00:02:56,001 (กระดูกหัก) 53 00:02:56,670 --> 00:02:59,004 จริง ๆ แล้ว ไม่มีใครถูกทำอันตราย 54 00:02:59,028 --> 00:03:00,428 มันเป็นเพียงแค่ 55 00:03:01,163 --> 00:03:04,418 การหักผักขึ้นช่าย หรือไม่ก็ผักกะหล่ำแช่แข็ง 56 00:03:04,442 --> 00:03:06,483 (เสียงหักกะหล่ำแช่แข็งหรือผักขึ้นช่าย) 57 00:03:06,947 --> 00:03:08,179 (เสียงหัวเราะ) 58 00:03:09,253 --> 00:03:13,968 การสร้างเสียงที่ตรงนั้น ไม่ได้ง่ายเหมือนกับ 59 00:03:13,992 --> 00:03:15,899 การเดินไปห้างสรรพสินค้า 60 00:03:15,923 --> 00:03:18,619 แล้วไปยังแผนกผักผลไม้ 61 00:03:18,643 --> 00:03:21,018 แต่มันมักจะซับซ้อนมากกว่านั้นมาก 62 00:03:21,042 --> 00:03:24,065 ดังนั้น เรามาแยกองค์ประกอบ 63 00:03:24,089 --> 00:03:26,413 ของการสร้างซาวด์เอฟเฟกต์กัน 64 00:03:26,437 --> 00:03:29,786 หนึ่งในเรื่องที่ผมชอบคือเรื่องของ แฟรงค์ เซราฟีนี 65 00:03:29,810 --> 00:03:31,661 เขาเป็นผู้ที่มีคุณูปการ คนหนึ่งต่อคลังเสียงของเรา 66 00:03:31,685 --> 00:03:35,247 และเป็นนักออกแบบเสียงที่ยอดเยี่ยมให้กับ ภาพยนตร์เรื่อง Tron, Star Trek และอื่น ๆ 67 00:03:36,291 --> 00:03:41,549 เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมบริษัทพาราเมาต์ที่ ได้รับรางวัลออสการ์สาขาลำดับเสียงยอดเยี่ยม 68 00:03:41,573 --> 00:03:43,504 สำหรับเรื่อง "ล่าตุลาแดง (The Hunt for Red October)" 69 00:03:43,528 --> 00:03:46,918 ในหนังคลาสสิคเกี่ยวกับสงครามเย็นนี้ ในทศวรรษที่ 90 70 00:03:46,942 --> 00:03:51,727 พวกเขาได้รับคำสั่งให้สร้างเสียง ของใบพัดเรือดำน้ำ 71 00:03:51,751 --> 00:03:53,096 แต่พวกเขาก็มีปัญหาเล็ก ๆ อยู่อย่างหนึ่ง 72 00:03:53,120 --> 00:03:56,640 ก็คือพวกเขาไม่สามารถหาเรือดำน้ำได้ ในเวสต์ฮอลลีวูด 73 00:03:56,664 --> 00:04:00,322 ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งที่พวกเขาทำก็คือ 74 00:04:00,346 --> 00:04:03,701 พวกเขาไปที่สระว่ายน้ำของเพื่อนคนหนึ่ง 75 00:04:03,725 --> 00:04:08,260 แล้วแฟรงค์ก็กระโดดลงสระ ด้วยท่างอเข่าหรือบอมบา 76 00:04:09,069 --> 00:04:11,265 พวกเขาติดตั้งไมค์ไว้ใต้น้ำ 77 00:04:11,289 --> 00:04:14,065 และไมค์เหนือหัวด้านบนนอกสระว่ายน้ำ 78 00:04:14,089 --> 00:04:17,342 และนี่ก็คือเสียงที่ได้จากไมค์ใต้น้ำ 79 00:04:17,366 --> 00:04:18,901 (เสียงใต้น้ำ) 80 00:04:19,608 --> 00:04:21,114 และเมื่อเพิ่มเสียงไมค์ด้านบนเข้าไป 81 00:04:21,138 --> 00:04:23,091 ก็จะได้เป็นเสียงแบบนี้ 82 00:04:23,115 --> 00:04:25,490 (เสียงน้ำกระเด็น) 83 00:04:25,514 --> 00:04:29,961 แล้วทีนี้ พวกเขาก็นำเสียงนั้นมา แล้วลดระดับเสียงของมันไปหนึ่งระดับ 84 00:04:29,985 --> 00:04:32,461 คล้าย ๆ กับการลดความเร็วของเพลงลง 85 00:04:32,850 --> 00:04:35,266 (เสียงน้ำกระเด็นที่ระดับเสียงลดลง) 86 00:04:35,929 --> 00:04:38,697 จากนั้นพวกเขาก็เอาคลื่นความถี่สูงออก หลาย ๆ ความถี่ 87 00:04:38,721 --> 00:04:40,996 (เสียงน้ำกระเด็น) 88 00:04:41,020 --> 00:04:43,076 แล้วก็ลดระดับเสียงลงไปอีกหนึ่งระดับ 89 00:04:44,314 --> 00:04:46,602 (เสียงน้ำกระเด็นที่ระดับเสียงลดลง) 90 00:04:46,626 --> 00:04:49,132 จากนั้นพวกเขาก็เพิ่ม เสียงน้ำกระเด็นเข้าไปอีกนิดหน่อย 91 00:04:49,156 --> 00:04:51,440 จากไมโครโฟนด้านบน 92 00:04:51,464 --> 00:04:54,629 (เสียงน้ำกระเด็น) 93 00:04:54,653 --> 00:04:57,191 และจากการทำวน ๆ แบบนี้กับเสียงไปเรื่อย ๆ 94 00:04:57,215 --> 00:04:58,405 พวกเขาก็ได้สิ่งนี้ 95 00:04:58,429 --> 00:05:01,270 (เสียงใบพัดเรือดำน้ำหมุน) 96 00:05:04,463 --> 00:05:10,991 ความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโยลีนั้นถูก เชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพื่อลวงให้เราคิด 97 00:05:11,015 --> 00:05:14,186 ว่าเราอยู่ในเรือดำน้ำ 98 00:05:14,868 --> 00:05:18,229 แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณ สร้างเสียงของคุณขึ้นมา 99 00:05:18,253 --> 00:05:20,647 แล้วคุณนำไปรวมเข้ากับรูปภาพ 100 00:05:20,671 --> 00:05:24,722 คุณก็จะอยากให้เสียงเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่ง ของโลกแห่งเรื่องราวนั้น ๆ 101 00:05:25,397 --> 00:05:29,431 และหนึ่งในทางที่ดีที่สุดก็คือ การเพิ่มเสียงก้องเข้าไป 102 00:05:29,997 --> 00:05:32,612 ดังนั้น นี่จึงเป็นอุปกรณ์เสียงชิ้นแรก ที่ผมอยากจะพูดถึง 103 00:05:33,198 --> 00:05:38,320 เสียงสะท้อนกลับ หรือเสียงก้อง คือการคงอยู่ของเสียง 104 00:05:38,344 --> 00:05:40,275 หลังจากที่เสียงต้นนั้นหายไป 105 00:05:40,299 --> 00:05:42,867 ดังนั้นมันก็คล้าย ๆ กับ 106 00:05:42,891 --> 00:05:45,927 การสะท้อนทั้งหมดที่เกิดจากวัสดุ 107 00:05:45,951 --> 00:05:48,838 วัตถุ และกำแพงรอบ ๆ เสียงนั้น 108 00:05:48,862 --> 00:05:51,074 ยกตัวอย่างเช่น เสียงยิงปืน 109 00:05:51,098 --> 00:05:54,100 เสียงต้นของมันนั้นอยู่ไม่ถึงครึ่งวินาที 110 00:05:56,138 --> 00:05:57,288 (เสียงยิงปืน) 111 00:05:57,747 --> 00:05:59,436 เมื่อเพิ่มเสียงก้องเข้าไปนั้น 112 00:05:59,460 --> 00:06:02,677 เราสามารถทำให้มันมีเสียงราวกับว่า เสียงนั้นถูกอัดในห้องน้ำ 113 00:06:03,470 --> 00:06:05,033 (เสียงปืนก้องในห้องน้ำ) 114 00:06:05,057 --> 00:06:08,562 หรือเหมือนกับว่าเสียงนั้นถูกอัดใน ห้องสวดมนต์หรือโบสถ์ 115 00:06:08,887 --> 00:06:10,440 (เสียงปินก้องในโบสถ์) 116 00:06:11,043 --> 00:06:13,047 หรือในหุบเขาลึก 117 00:06:14,199 --> 00:06:15,960 (เสียงปืนก้องในหุบเขาลึก) 118 00:06:15,984 --> 00:06:18,637 ดังนั้น เสียงก้องนั้นให้ข้อมูลมากมายกับเรา 119 00:06:18,661 --> 00:06:23,591 เกี่ยวกับพื้นที่ระหว่างผู้ฟัง และแหล่งกำเนิดเสียงดั้งเดิม 120 00:06:23,615 --> 00:06:25,724 ถ้าเปรียบเทียบเสียงเป็นรสชาติ 121 00:06:25,748 --> 00:06:29,932 เสียงสะท้อนก็เหมือนกับกลิ่นของเสียงนั่นเอง 122 00:06:30,309 --> 00:06:32,467 แต่เสียงสะท้อนทำอะไรได้มากกว่านั้นมาก 123 00:06:32,491 --> 00:06:36,401 การได้ยินเสียงที่มีการสะท้อนน้อยกว่า 124 00:06:36,425 --> 00:06:38,508 สิ่งที่เกิดขึ้นในฉากนั้น 125 00:06:38,532 --> 00:06:41,552 จะเป็นการบอกเราทันที 126 00:06:41,576 --> 00:06:44,219 ว่าเรากำลังฟังเสียงผู้บรรยายอยู่ 127 00:06:44,243 --> 00:06:49,034 ผู้บรรยายที่ไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในฉาก 128 00:06:50,471 --> 00:06:54,662 เช่นเดียวกัน ในช่วงเวลาของความใกล้ชิด ผูกพันธ์ทางอารมณ์ในโรงภาพยนตร์นั้น 129 00:06:54,686 --> 00:06:56,633 มักจะไม่มีเสียงสะท้อนเลย 130 00:06:56,657 --> 00:07:00,627 เพราะว่ามันจะให้ความรู้สึกเหมือนกับ ว่ามีใครสักคนพูดใส่หูของเราโดยตรง 131 00:07:01,024 --> 00:07:02,985 ในทางตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง 132 00:07:03,009 --> 00:07:05,505 การเพิ่มเสียงสะท้อนไปที่เสียงพูดมาก ๆ 133 00:07:05,529 --> 00:07:08,906 จะทำให้เราคิดว่าเรากำลังฟังเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในอดีต 134 00:07:09,637 --> 00:07:12,946 หรืออาจเหมือนกับว่าเรานั้นอยู่ในหัวของ ตัวละครสักตัวหนึ่ง 135 00:07:13,946 --> 00:07:16,422 หรือการที่เรากำลังฟังเสียงของพระเจ้า 136 00:07:16,446 --> 00:07:18,708 หรือ ฟังสิ่งที่ทรงพลังมากกว่าในภาพยนตร์ 137 00:07:18,732 --> 00:07:20,219 มอร์แกน ฟรีแมน 138 00:07:20,243 --> 00:07:21,527 (เสียงหัวเราะ) 139 00:07:21,551 --> 00:07:22,718 ดังนั้น 140 00:07:22,742 --> 00:07:24,972 (เสียงปรบมือ) 141 00:07:25,502 --> 00:07:29,373 ว่าแต่ว่าอุปกรณ์หรือเครื่องมืออื่น ๆ 142 00:07:29,397 --> 00:07:31,257 ที่นักออกแบบเสียงใช้กันคืออะไรล่ะ 143 00:07:32,186 --> 00:07:34,489 จริง ๆ แล้ว สิ่งนี้สำคัญมากเลยทีเดียว 144 00:07:39,901 --> 00:07:41,198 คือความเงียบนั่นเอง 145 00:07:41,807 --> 00:07:45,411 เพียงแค่ความเงียบไม่กี่ชั่วขณะ ก็สามารถทำให้เราเพ่งความสนใจได้ 146 00:07:45,881 --> 00:07:48,321 และในโลกตะวันตก 147 00:07:48,345 --> 00:07:50,468 เราไม่ค่อยคุ้นชินกับความเงียบเวลาพูดมากนัก 148 00:07:50,492 --> 00:07:53,521 เพราะมันถูกมองว่าทำให้อึดอัดและไม่สุภาพ 149 00:07:54,537 --> 00:07:58,110 ดังนั้นความเงียบที่มาก่อน การสื่อสารด้วยการพูดนั้น 150 00:07:59,021 --> 00:08:01,081 สามารถก่อให้เกิดความตึงเครียดได้มากมาย 151 00:08:01,105 --> 00:08:04,810 แต่คุณลองจินตนาการถึงภาพยนตร์ฮอลลีวูด ใหญ่ ๆ สักเรื่องหนึ่งดูสิ 152 00:08:04,834 --> 00:08:09,178 เรื่องที่เต็มไปด้วยเสียงระเบิด และเสียงปืนกล 153 00:08:10,389 --> 00:08:13,984 เสียงดังนั้นกลายเป็นเสียงที่ไม่ดังอีกต่อไป เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง 154 00:08:14,008 --> 00:08:15,952 ดังนั้น ตามรูปแบบของหยินและหยาง 155 00:08:15,976 --> 00:08:19,113 ความเงียบนั้นต้องการความดัง และความดังก็ต้องการความเงียบเช่นกัน 156 00:08:19,137 --> 00:08:21,535 เพื่อให้อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดผลขึ้นมา 157 00:08:22,350 --> 00:08:23,727 แต่ความเงียบหมายถึงอะไรล่ะ 158 00:08:23,751 --> 00:08:26,689 จริง ๆ แล้ว มันขึ้นกับว่ามันถูกใช้อย่างไร ในหนังแต่ละเรื่อง 159 00:08:27,416 --> 00:08:30,595 ความเงียบอาจนำเราเข้าไปในหัวของตัวละคร 160 00:08:30,619 --> 00:08:32,237 หรือกระตุ้นให้เกิดความคิด 161 00:08:32,261 --> 00:08:35,314 เรามักเชื่อมโยงความเงียบเข้ากับ 162 00:08:36,654 --> 00:08:37,972 การไตร่ตรอง 163 00:08:38,558 --> 00:08:39,815 การเพ่งสมาธิ 164 00:08:41,185 --> 00:08:42,752 การครุ่นคิด 165 00:08:44,569 --> 00:08:47,671 แต่นอกจากจะมีเพียงแค่หนึ่งความหมาย 166 00:08:47,695 --> 00:08:49,865 ความเงียบนั้นกลับกลายเป็นเหมือนผ้าใบว่าง ๆ 167 00:08:49,889 --> 00:08:54,414 ที่ผู้ชมนั้นต่างได้รับการเชิญชวน ให้มาวาดลวดลายและระบายความคิดของพวกเขาเอง 168 00:08:54,962 --> 00:08:58,638 แต่ผมต้องบอกให้ชัดเจนก่อนว่า จริง ๆ แล้วความเงียบนั้นไม่มีอยู่จริง 169 00:08:59,192 --> 00:09:03,637 และผมรู้ว่ามันฟังดูเหมือนแถลงการณ์ TED Talk ที่อวดฉลาดมากที่สุด 170 00:09:04,835 --> 00:09:10,140 แต่ถึงแม้ว่าคุณจะเข้าไปในห้อง ที่ไม่มีเสียงสะท้อนเลย 171 00:09:10,164 --> 00:09:12,229 รวมถึงไม่มีเสียงจากภายนอกเข้ามา 172 00:09:12,253 --> 00:09:15,370 คุณก็จะยังคงได้ยิน เสียงเลือดของคุณสูบฉีดอยู่ดี 173 00:09:16,004 --> 00:09:20,321 และในโรงภาพยนตร์ ในยุคก่อนนั้น ไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่เงียบ 174 00:09:20,345 --> 00:09:22,265 เพราะว่ามีเสียงของเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ 175 00:09:22,716 --> 00:09:25,163 และถึงแม้จะเป็นโลกดอลบีทุกวันนี้ 176 00:09:26,034 --> 00:09:29,315 ก็ไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่เงียบอย่างแท้จริง ถ้าคุณลองฟังไปรอบ ๆ ตัวคุณ 177 00:09:30,485 --> 00:09:32,710 เพราะมันมักจะมีเสียงรบกวนอยู่เสมอ ๆ 178 00:09:32,734 --> 00:09:35,661 ทีนี้ เมื่อความเงียบนั้นไม่มีอยู่จริง 179 00:09:35,685 --> 00:09:39,256 แล้วผู้สร้างภาพยนตร์กับ นักออกแบบเสียงใช้อะไรกันล่ะ 180 00:09:39,280 --> 00:09:43,776 จริง ๆ แล้วพวกเขาใช้สิ่งที่มีความหมาย คล้าย ๆ กัน นั่นก็คือ เสียงบรรยากาศ 181 00:09:44,307 --> 00:09:48,176 เสียงบรรยากาศคือเสียงพื้นหลัง ที่มีเอกลักษณ์หนึ่งเดียว 182 00:09:48,200 --> 00:09:51,248 ที่มีความจำเพาะต่อสถานที่แต่ละที่ 183 00:09:51,272 --> 00:09:53,121 ในแต่ละที่จะมีเสียงเฉพาะหนึ่งเสียง 184 00:09:53,145 --> 00:09:55,121 และในห้องแต่ละห้อง ก็จะมีเสียงเฉพาะอีกหนึ่งเสียง 185 00:09:55,145 --> 00:09:56,718 ที่เรียกว่าเสียงสภาพบรรยากาศของห้อง 186 00:09:56,742 --> 00:09:59,165 และนี่คือเสียงที่อัดมาจาก ตลาดแห่งหนึ่งในโมร็อกโก 187 00:09:59,189 --> 00:10:02,129 (เสียงคน เสียงดนตรี) 188 00:10:05,470 --> 00:10:08,238 และนี่ก็คือเสียงที่อัดจาก ไทม์สแควร์ในนิวยอร์ก 189 00:10:08,843 --> 00:10:13,366 (เสียงการจราจร เสียงแตรรถ เสียงคน) 190 00:10:15,449 --> 00:10:19,071 เสียงสภาพบรรยากาศของห้องนั้นคือการเพิ่ม เสียงรบกวนทั้งหมดในห้องเข้าไป 191 00:10:19,095 --> 00:10:21,484 ทั้งเสียงการระบายอากาศ การทำความร้อน เสียงตู้เย็น 192 00:10:21,508 --> 00:10:24,419 และนี่ก็คือเสียงที่อัดจาก อะพาร์ตเมนต์ของผมในบรุกลิน 193 00:10:24,443 --> 00:10:29,321 (คุณจะได้ยินเสียงระบายอากาศ เสียงกาต้มน้ำ เสียงตู้เย็น และเสียงจราจร) 194 00:10:35,422 --> 00:10:39,726 เสียงบรรยากาศนั้นทำงาน ในรูปแบบพื้นฐานที่สุด 195 00:10:40,718 --> 00:10:43,572 มันสามารถพูดเข้าสู่สมองของเราได้โดยตรง โดยอาศัยจิตใต้สำนึก 196 00:10:44,538 --> 00:10:50,387 ดังนั้น นกที่ร้องจิ๊บ ๆ อยู่นอกหน้าต่าง อาจบ่งบอกถึงภาวะปกติ 197 00:10:50,937 --> 00:10:53,728 ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า ในฐานะที่เราเป็นสปีชีส์ ๆ หนึ่ง 198 00:10:53,752 --> 00:10:57,889 เราคุ้นเคยกับเสียงนั้นในทุก ๆ เช้า มาเป็นเวลาหลายล้านปี 199 00:10:58,360 --> 00:11:02,303 (เสียงนกร้อง) 200 00:11:05,839 --> 00:11:09,480 ในทางตรงกันข้าม เสียงทางอุตสาหกรรม นั้นเพิ่งมาถึงเรา 201 00:11:09,504 --> 00:11:10,995 เมื่อไม่นานมานี้ 202 00:11:11,969 --> 00:11:14,027 ถึงแม้ว่าผมจะชอบมันมาก โดยส่วนตัวก็ตาม 203 00:11:14,051 --> 00:11:16,464 เสียงนั้นได้ถูกใช้โดยหนึ่งในฮีโร่ของผม เดวิด ลินช์ 204 00:11:16,488 --> 00:11:18,423 และนักออกแบบเสียงของเขา อลัน สเปร็ต 205 00:11:18,447 --> 00:11:21,009 เสียงทางอุตสาหกรรมมักมี ความหมายแฝงในแง่ลบ 206 00:11:21,033 --> 00:11:23,787 (เสียงเครื่องจักร) 207 00:11:28,092 --> 00:11:32,948 ทีนี้ ซาวด์เอฟเฟคก็สามารถกระตุ้น ความทรงจำทางอารมณ์ของเราได้ 208 00:11:34,869 --> 00:11:37,226 ในบางครั้ง มันอาจสำคัญมากจนกระทั่ง 209 00:11:37,250 --> 00:11:39,824 มันกลายเป็นตัวละครสักตัวหนึ่งในหนัง 210 00:11:40,569 --> 00:11:45,174 เสียงฟ้าผ่านั้นอาจแสดงถึงการแทรกแทรง หรือการบันดาลโทสะของเทพเจ้า 211 00:11:46,373 --> 00:11:49,338 (เสียงฟ้าผ่า) 212 00:11:51,957 --> 00:11:55,932 เสียงระฆังในโบสถ์อาจทำให้เรานึกถึง การผ่านไปของเวลา 213 00:11:55,956 --> 00:11:57,861 หรือบางทีอาจหมายถึงความตายของเราเอง 214 00:11:59,827 --> 00:12:03,341 (เสียงระฆัง) 215 00:12:07,773 --> 00:12:12,263 และเสียงแก้วแตกนั้นอาจแสดงถึง จุดจบของความสัมพันธ์ 216 00:12:12,287 --> 00:12:13,515 หรือความเป็นเพื่อนกัน 217 00:12:14,390 --> 00:12:16,191 (เสียงแก้วแตก) 218 00:12:16,788 --> 00:12:20,341 นักวิทยาศาสตร์ต่างเชื่อว่าเสียง ที่ไม่ประสานกันอย่างลงตัวนั้น 219 00:12:20,365 --> 00:12:25,136 เช่น เสียงเครื่องเป่าทองเหลือง หรือเครื่องเป่าลมไม้ที่ดังมาก ๆ 220 00:12:26,438 --> 00:12:30,882 อาจทำให้เรานึกถึงเสียงสัตว์ ที่เห่าหอนอยู่ในธรรมชาติ 221 00:12:30,906 --> 00:12:34,033 แล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิด หรือหวาดกลัว 222 00:12:34,506 --> 00:12:37,437 (เสียงเครื่องเป่า) 223 00:12:40,714 --> 00:12:43,886 ตอนนี้เราก็ได้พูดถึงเสียงในฉาก เรียบร้อยแล้ว 224 00:12:44,298 --> 00:12:48,931 แต่ในบางครั้ง แหล่งกำเนิดของเสียงนั้น ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ 225 00:12:48,955 --> 00:12:51,479 ซึ่งเราเรียกเสียงแบบนี้ว่าเสียงนอกฉาก 226 00:12:51,503 --> 00:12:52,951 หรือเสียง "อคูสมาติก" 227 00:12:53,641 --> 00:12:55,275 เสียงอคูสมาติก 228 00:12:55,887 --> 00:13:00,920 จริง ๆ แล้ว คำว่า "อคูสมาติก" นั้นมาจาก พีทาโกรัสที่อยู่ในยุคกรีกโบราณ 229 00:13:00,944 --> 00:13:04,535 ผู้ที่เคยสอนหนังสืออยู่ด้านหลังผ้าคลุม หรือผ้าม่านมาเป็นเวลาหลายปี 230 00:13:04,559 --> 00:13:07,749 โดยไม่เปิดเผยหน้าตาและรูปลักษณ์ ของเขาจริง ๆ ต่อลูกศิษย์ของเขา 231 00:13:07,773 --> 00:13:10,561 ผมคิดว่านักคณิตศาสตร์ และนักปรัชญาคงต่างคิดว่า 232 00:13:11,727 --> 00:13:12,878 เมื่อทำแบบนั้นแล้ว 233 00:13:13,584 --> 00:13:17,621 ลูกศิษย์ของพวกเขาจะเพ่งความสนใจไปที่เสียง 234 00:13:17,645 --> 00:13:19,609 คำพูด และความหมายของมัน 235 00:13:19,633 --> 00:13:22,803 มากกว่าสนใจตัวเขาที่กำลังพูดอยู่ 236 00:13:22,827 --> 00:13:25,526 ซึ่งก็จะคล้าย ๆ กับพ่อมดแห่งออซ 237 00:13:25,550 --> 00:13:30,364 หรือพี่เบิ้มในภาพยนตร์เรื่อง 1984 238 00:13:30,388 --> 00:13:33,654 ที่แยกเสียงพูดออกจากแหล่งกำเนิดเสียง 239 00:13:33,678 --> 00:13:35,569 แยกสาเหตุและผลลัพธ์ออกจากกัน 240 00:13:36,379 --> 00:13:40,174 คล้าย ๆ กับการสร้างความรู้สึกของการมีอยู่ ทุกหนทุกแห่งหรือมองเห็นได้จากจุด ๆ เดียว 241 00:13:40,198 --> 00:13:42,278 แล้วก็ก่อให้เกิดอำนาจ 242 00:13:43,156 --> 00:13:46,217 มีสิ่งหนึ่งที่ทำกันต่อมาอย่างเคร่งครัด ในการใช้เสียงอคูสมาติก 243 00:13:47,129 --> 00:13:53,739 เมื่อก่อน แม่ชีที่อยู่ในโบสถ์ในกรุงโรม และเวนิสต่างร้องเพลงในห้องต่าง ๆ 244 00:13:53,763 --> 00:13:57,622 ในจุดที่สูงขึ้นไปใกล้ ๆ กับเพดาน 245 00:13:57,646 --> 00:14:01,586 และสร้างภาพลวงตาเหมือนกับว่าเรากำลัง ฟังเสียงของเทพเทวดาบนท้องฟ้า 246 00:14:02,390 --> 00:14:06,080 ริชาร์ด วาร์กเนอร์ ได้สร้างวงออเคสตร้า ที่ถูกซ่อนไว้ลับ ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม 247 00:14:06,104 --> 00:14:09,940 ซึ่งอยู่ในหลุมระหว่างเวทีและผู้ชม 248 00:14:09,964 --> 00:14:15,007 และหนึ่งในฮีโร่ของผม เอเฟ็กซ์ ทวิน ก็ซ่อน อยู่ในมุมมืดของผับได้อย่างดีเยี่ยมเช่นกัน 249 00:14:15,420 --> 00:14:20,163 ผมคิดว่าสิ่งที่ศิลปินที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ รู้ก็คือว่า ในการซ่อนแหล่งกำเนิดเสียงนั้น 250 00:14:20,187 --> 00:14:21,850 คุณกำลังทำให้เกิดความรู้สึกลึกลับ 251 00:14:21,874 --> 00:14:23,943 สิ่งนี้สามารถพบเห็นได้ในโรงภาพยนตร์ ซ้ำแล้วซ้ำอีก 252 00:14:23,967 --> 00:14:27,047 อย่างฮิตช์ค็อกและริดลีย์ สก็อต ในภาพยนตร์เรื่อง "เอเลี่ยน" 253 00:14:27,071 --> 00:14:29,463 การได้ยินเสียงโดยที่ไม่รู้แหล่งที่มา ของเสียงนั้น 254 00:14:29,487 --> 00:14:32,712 จะทำให้เกิดความรู้สึกตึงเครียดบางอย่าง 255 00:14:34,530 --> 00:14:40,144 เช่นเดียวกัน มันก็สามารถลดข้อจำกัด ทางด้านภาพบางอย่างที่ผู้กำกับมี 256 00:14:40,168 --> 00:14:43,858 และแสดงบางสิ่งที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น ระหว่างการถ่ายทำ 257 00:14:43,882 --> 00:14:45,967 และถ้าเสียงเหล่านี้ดูเป็นทฤษฎีเกินไปหน่อย 258 00:14:45,991 --> 00:14:48,397 ผมก็อยากจะเล่นวิดีโอสั้น ๆ พวกนี้ 259 00:14:49,289 --> 00:14:51,816 (เสียงบีบของเล่น) 260 00:14:52,383 --> 00:14:55,034 (เสียงพิมพ์ดีด) 261 00:14:55,761 --> 00:14:58,267 (เสียงกลอง) 262 00:14:59,164 --> 00:15:01,485 (เสียงปิงปอง) 263 00:15:02,484 --> 00:15:05,444 (เสียงลับคมมีด) 264 00:15:05,786 --> 00:15:08,832 (เสียงเก่าแผ่น) 265 00:15:09,405 --> 00:15:10,591 (เสียงเลื่อย) 266 00:15:10,615 --> 00:15:12,072 (เสียงผู้หญิงกรีดร้อง) 267 00:15:12,663 --> 00:15:16,458 สิ่งที่ผมพยายามจะสาธิตให้เห็น ด้วยเครื่องมือเหล่านี้ 268 00:15:17,930 --> 00:15:20,119 ก็คือเสียงนั้นเป็นภาษาภาษาหนึ่ง 269 00:15:20,516 --> 00:15:23,658 มันอาจลวงเราโดยการพาเราไปยัง สถานที่อื่น ๆ บนโลกใบนี้ 270 00:15:24,571 --> 00:15:26,087 มันอาจเปลี่ยนอารมณ์เรา 271 00:15:26,579 --> 00:15:28,000 มันอาจกำหนดจังหวะของสิ่งต่าง ๆ 272 00:15:29,482 --> 00:15:32,936 มันอาจทำให้เราหัวเราะ หรือทำให้เราหวาดกลัวได้ 273 00:15:34,698 --> 00:15:38,048 โดยส่วนตัวแล้ว ผมตกหลุมรักกับภาษานั้น 274 00:15:38,072 --> 00:15:39,389 เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา 275 00:15:39,413 --> 00:15:44,020 และด้วยเหตุผลบางอย่างก็ได้ ทำให้มันกลายเป็นอาชีพ 276 00:15:45,274 --> 00:15:48,500 และผมคิดว่าด้วยงานของพวกผม ผ่านคลังเสียงนั้น 277 00:15:48,524 --> 00:15:54,320 เรากำลังขยายคลังคำศัพท์ของภาษานั้น 278 00:15:55,797 --> 00:15:59,279 และด้วยวิธีนี้เอง พวกผมก็อยากที่จะนำเสนอ เครื่องมือที่เหมาะสม 279 00:15:59,303 --> 00:16:00,943 ให้กับนักออกแบบเสียง 280 00:16:00,967 --> 00:16:02,315 ผู้สร้างภาพยนตร์ 281 00:16:02,339 --> 00:16:04,174 และนักออกแบบวิดีโอเกมและแอป 282 00:16:04,748 --> 00:16:07,883 เพื่อให้พวกเขาได้บอกเล่าเรื่องราว ที่ดีขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ 283 00:16:08,382 --> 00:16:11,114 หรือแม้กระทั่งสร้างความหลอกลวงที่งดงาม มากยิ่งขึ้นไปอีก 284 00:16:11,138 --> 00:16:12,425 ยังไงก็ ขอบคุณมากที่มาฟังครับ 285 00:16:12,449 --> 00:16:15,968 (เสียงปรบมือ)