1 00:00:00,000 --> 00:00:02,541 MED Cram 2 00:00:02,541 --> 00:00:05,365 ครับ ขอต้อนรับสู่การบรรยายอีกหัวข้อหนึ่งของ MED CRAM 3 00:00:05,365 --> 00:00:07,824 เราจะพูดถึงอาการไอเรื้อรัง 4 00:00:07,824 --> 00:00:17,456 ซึ่งจะใช้นิยามสำหรับใครก็ตามที่มีอาการไอต่อเนื่องมาแล้วอย่างน้อย 8 สัปดาห์ 5 00:00:17,456 --> 00:00:32,760 โดยทั่วไป สิ่งแรกที่คุณควรทำเมื่อมีอาการนี้ คือ คุณต้องเอ็กซ์เรย์ทรวงอก เพื่อตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อ 6 00:00:32,760 --> 00:00:38,926 มันจะเป็นปัญหาใหญ่มาก ถ้าคุณมีคนไข้โรคติดเชื้อ ดังนั้นให้คุณสงสัยเลยว่ามีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับวัณโรค 7 00:00:38,926 --> 00:00:45,285 ถ้าคุณสงสัยว่ามันอาจเกี่ยวกับปอดบวม ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่คุณต้องให้แพทย์ตรวจคัดกรองโดยเร็วที่สุด 8 00:00:45,285 --> 00:00:53,486 อย่างไรก็ตาม สมมุติว่าผลเอ็กซ์เรย์ทรวงอกเป็นปกติ สิ่งที่คุณต้องคัดกรองเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจอีกอย่างหนึ่งคือ คนไข้ไม่ได้กำลังกินยาลดความดันโลหิตสูงที่อยู่ในกลุ่ม ACE inhibitor 9 00:00:53,486 --> 00:01:01,675 ซึ่งยาเหล่านี้มักจะมีชื่อลงท้ายด้วยคำว่า "pril" เช่น แค็ปโตพริล ไลไซโนพริล อินาลาพริล รามิพริล เป็นต้น 10 00:01:01,675 --> 00:01:10,978 ซึ่งยาในกลุ่ม ACE Inhibitor เหล่านี้สามารถก่อให้เกิดอาการไอได้โดยไปเพิ่มการเกิดสารแบรดีไคนิน 11 00:01:10,978 --> 00:01:15,848 ดังนั้น หากใครมีอาการไอเรื้อรังจนคุณต้องหาทางทดสอบเพื่อหาสาเหตุแล้วล่ะก็ 12 00:01:15,848 --> 00:01:23,093 สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ คุณต้องมั่นใจว่าคุณได้ทำการเอ็กซเรย์ทรวงอกเพื่อตรวจคัดกรองปัญหาการติดเชื้อแล้ว หลังจากนั้นก็ให้พิจารณาว่ายาที่พวกเค้ากำลังรับประทานอยู่นั้นไม่ใช่ยาในกลุ่ม ACE Inhibitor 13 00:01:23,093 --> 00:01:35,352 ผมพูดได้เลยว่าประมาณร้อยละ 30 ของคนไข้ที่กินยากลุ่ม ACE Inhibitor จะมีอาการไอแห้งเรื้อรัง เอาล่ะ เมื่อคุณคัดกรองเรื่องพวกนี้ออกไปแล้ว ความเป็นไปได้อย่างอื่นคืออะไร 14 00:01:35,352 --> 00:01:48,271 มาพูดถึงความเป็นไปได้อื่นกันดีกว่า มันมีความเป็นไปได้อยู่ 3 อย่าง ที่ผมมักจะมองหาเมื่อคนไข้มีอาการไอเรื้อรัง และสิ่งแรกที่ผมมักจะทำคือเริ่มจากสาเหตุที่เกิดจากด้านบนก่อน ถ้าคุณอยากทำนะ 15 00:01:48,271 --> 00:01:59,683 เอาล่ะ ถ้าคุณรู้ว่ามี ดูที่รูปเล็กๆ นี่นะ นี่คือหัว จมูก และปากนะ 16 00:01:59,683 --> 00:02:04,856 คุณรู้แล้วว่าช่องโพรงจมูกจะต่ำลงไปทางนี้ ถัดจากนั้นก็คือลิ้น 17 00:02:04,856 --> 00:02:15,355 ถ้าคนไข้มีอาการอักเสบจากภูมิแพ้เกิดขึ้นที่บริเวณนี้ จะมีการสร้างน้ำมูกจำนวนมาก และน้ำมูกเหล่านี้จะหลั่งออกมารวมกันจนเหนียวข้นจนเป็นเสมหะ แล้วไหลลงไปที่คอส่วนหลัง 18 00:02:15,355 --> 00:02:28,318 ซึ่งทำให้คุณต้องกำจัดมันออกไปจากคอ ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่าเสมหะไหลลงคอ หรือคออักเสบจากภูมิแพ้ 19 00:02:28,318 --> 00:02:36,998 เข้าใจนะ เสมหะไหลลงคอซึ่งเป็นการอักเสบจากภูมิแพ้ แล้วอาการของมันคืออะไร มันก็คือการพยายามกำจัดเสมหะออกจากลำคอบ่อยๆไงล่ะ 20 00:02:36,998 --> 00:02:45,273 ถ้าคุณมองไปที่คอส่วนหลัง จะเห็นว่ามีปุ่มเกิดขึ้นลักษณะคล้ายปุ่มหิน เรียกว่า Cobblestone 21 00:02:45,273 --> 00:02:54,532 ซึ่งจะเกิดขึ้นเวลาที่คุณคันเปลือกตาหรือเกิดภูมิแพ้เช่นกัน นึกออกนะ 22 00:02:54,532 --> 00:03:01,688 ทีนี้ลองนึกถึงสิ่งที่จะเกิดเมื่อมีเสมหะไหลลงหรือคออักเสบจากภูมิแพ้สิ 23 00:03:01,688 --> 00:03:04,717 ผมพูดได้เลยว่าคนไข้ทุกคนที่มีอาการไอเรื้อรังนอกเกิดจากการที่เราขับเสมหะออกจากร่างกาย 24 00:03:04,717 --> 00:03:10,110 ซึ่งจะมีคนไข้อยู่ประมาณ 9 เปอร์เซ็นต์ที่ไอเรื้อรังจากสาเหตุนี้ 25 00:03:10,110 --> 00:03:12,611 ดังนั้น ถ้าคราวหน้ามีคนไข้มาด้วยอาการไอเรื้อรังให้คิดถึงเรื่องนี้ด้วย 26 00:03:12,611 --> 00:03:16,738 ว่ามันค่อนข้างจะเป็นไปได้ที่เราจะเจอคนไข้ที่มีเสมหะไหลลงคอ 27 00:03:16,738 --> 00:03:23,332 แล้วการรักษาสำหรับอาการนี้คืออะไร? คุณต้องพยายามหาสาเหตุของการเกิดภูมิแพ้ 28 00:03:23,332 --> 00:03:34,489 แต่สำหรับการรักษานั้น โดยทั่วไปก็จะใช้ยาสเตียรอยด์พ่นช่องจมูก ทันนะ? 29 00:03:34,489 --> 00:03:40,597 คุณอาจจะเคยได้ยินชื่อยาเนโซเน็กซ์ , Flonase, Astelin หรือ Astepro 30 00:03:40,597 --> 00:03:49,858 ยาเหล่านี้ล้วนเป็นยาสเตียรอยด์พ่นช่องจมูก หรือลดอาการภูมิแพ้ทั้งนั้น ทันนะ? 31 00:03:49,858 --> 00:03:56,118 อีกอย่างหนึ่งที่เป็นตัวชี้วัดว่าเป็นการอักเสบจากภูมิแพ้คือมันมีอาการแค่อย่างเดียว 32 00:03:56,118 --> 00:03:59,905 เอาล่ะ อาจมีอะไรอย่างอื่นที่คุณจะใช้ได้ในการวินิจฉัยอาการไอเรื้อรัง 33 00:03:59,905 --> 00:04:03,702 แต่ถ้าอาการมันเหมือนกับที่กล่าวมา ก็ดีเลย 34 00:04:03,702 --> 00:04:14,726 ทีนี้มาต่อที่ความเป็นไปได้อย่างต่อไป ซึ่งมีอยู่ประมาณ 9% แต่แทนที่จะเกิดจากส่วนบนไปยังส่วนล่าง มันกลับเกิดจากส่วนล่างขึ้นสู่ส่วนบนแทน 35 00:04:14,726 --> 00:04:28,571 คุณมีหลอดลม แต่ที่ติดอยู่กับหลอดลม อันที่จริงคือมันติดอยู่หลังหลอดลมเลยคือหลอดอาหาร ซึ่งเชื่อมลงไปยังกระเพาะ 36 00:04:28,571 --> 00:04:33,456 แต่ถ้ามีอะไรไปขวางอยู่ในนั้น คุณจะเป็นโรคที่เรียกว่าโรคกรดไหลย้อน ซึ่งเกิดจากการไหลย้อนกลับของกรด หรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารส่วนบนอย่างผิดปกติ 37 00:04:33,456 --> 00:04:41,958 บางครั้งเวลามันเกิด จะทำให้ระคายเคืองหลอดลม และเป็นสาเหตุของภาวะที่เรียกว่ากรดไหลย้อน (เกิร์ด) 38 00:04:41,958 --> 00:04:53,298 แล้วเราจะดูได้ยังไงว่ามีกรดไหลย้อนเกิดขึ้นหรือหรือเปล่า โรคกรดไหลย้อนจะมักจะเกิดและสัมพันธ์กับการไอ และที่แน่ๆ มันมักเกิดกับคนอายุน้อย คุณไม่ต้องอยากแก่ก็ได้นะ 39 00:04:53,298 --> 00:05:03,882 โดยทั่วไป สิ่งที่คุณจะพบคือรู้สึกเหมือนมีรสเปรี้ยวของกรดในตอนเช้า ลองชันตัวขึ้นสิ คุณจะรู้สึกดีขึ้นนิดนึง รู้แล้วนะ 1. คือรู้สึกเหมือนมีรสเปรี้ยวของกรดในตอนเช้า 40 00:05:03,882 --> 00:05:12,802 อ่า อาการหนึ่งที่บ่งชี้ว่าคุณเป็นกรดไหลย้อนแน่ๆ ก็คืออาการแสบร้อนกลางอก 41 00:05:12,802 --> 00:05:22,878 อืม.. บางทีอาจมีการถูกทำลายจากกรดเกิดขึ้นที่ด้านหลังของคอ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ฟันของคุณอาจมีการถูกกัดกร่อน 42 00:05:22,878 --> 00:05:27,967 หรือเมื่อเวลาส่องคออย่างที่แพทย์หูคอจมูกทำกัน จะเห็นว่ามันเป็นยังไง 43 00:05:27,967 --> 00:05:37,465 แล้วอะไรคือวิธีการรักษาล่ะ? คุณสามารถใช้ยายับยั้งการหลั่งกรดในกลุ่ม Proton Pump Inhibitor ได้ 44 00:05:37,465 --> 00:05:46,463 คุณสามารถไปซื้อที่ร้านขายยาได้ มันชื่อว่า Prilosec หรือจะใช้ยา Protonix Pantoprazole ก็ได้เช่นกัน เพราะยาในที่ยับยั้งการหลั่งของกรดในกลุ่ม Proton Pump Inhibitor นั้นมีอยู่หลายตัว 45 00:05:46,463 --> 00:05:56,059 แต่มีอีกวิธีคือให้คุณยกศีรษะให้สูงขึ้นจากที่นอน และใช้อิฐสองก้อนหนุนขาหัวเตียง เพื่อที่ใบหน้าคุณก็จะได้ยกสูง 46 00:05:56,059 --> 00:06:07,268 ทางเลือกในการรักษาอีกอย่างหนึ่งคือการนอนหนุนเบาะสามเหลี่ยม (wedge) วัตถุประสงค์ในการใช้เบาะนี้ก็เพื่อรักษาสภาพศีรษะให้ยกสูงจากที่นอน ดังนั้น สิ่งผิดปกติจะไม่สามารถไหลย้อนขึ้นมาได้ และทำให้หลอดลมอยู่ในแนวดิ่ง 47 00:06:07,268 --> 00:06:26,199 อีกอย่างที่ทำได้คืองดทานอาหารก่อนเอนนอน 3 ชั่วโมง 48 00:06:26,199 --> 00:06:34,268 และที่กระเพาะอาหารก็มีกล้ามเนื้อหูรูดอยู่ มีอยู่สองสามสิ่งที่เรารู้ว่าจะทำให้หูรูดเปิดออก ซึ่งคุณต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้น 49 00:06:34,268 --> 00:06:52,853 สิ่งที่เราควรหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน คือ แอลกอฮอล์ คาเฟอีน อาหารรสจัด และช็อคโกแล็ต 50 00:06:52,853 --> 00:07:02,325 เอาล่ะ ถ้าดูแล้วว่ามันเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่คุณต้องพยายามที่จะไม่ทำสิ่งเหล่านี้ 51 00:07:02,325 --> 00:07:11,494 ความเป็นไปได้อย่างสุดท้ายเป็นเรื่องที่พบบ่อย คือประมาณ 39% และเหมือนจะเป็นกลุ่มหลักๆ นั่นคือ โรคหอบหืด 52 00:07:11,494 --> 00:07:29,371 คนไข้อาจไม่ได้หายใจมีเสียงหวีด พวกเขาอาจมีแค่อาการไอ หรือในบางรายแต่ก็ไม่เสมอไปที่อาจจะมีเสียงหวีดได้ แต่ที่แน่ๆ คือ คนไข้ไอมาก ซึ่งก็อาจเป็นอาการของโรคหอบหืดที่ตรวจพบได้อย่างเดียว 53 00:07:29,371 --> 00:07:35,872 แล้วคนไข้กลุ่มนี้เป็นอะไร คนไข้จะมีอาการของโรคหอบหืดแต่แทนที่จะมีเสียงหวีดพวกเขาจะมีอาการไอแทน 54 00:07:35,872 --> 00:07:43,405 ดังนั้นจึงต้องมีวิธีลดอาการ บางทีคนไข้อาจต้องหยุดใช้หมอนหรือเครื่องนอนที่มีขนสัตว์ 55 00:07:43,405 --> 00:07:52,282 นอกจากนี้ยังต้องไม่ให้มีสัตว์เลี้ยงในห้องนอน หรือลดสิ่งที่ก่อภูมิแพ้ 56 00:07:52,282 --> 00:07:58,048 ที่จริงแล้วคุณจะยังไม่รู้หรอกว่าคุณเป็นอะไรจนกว่าจะได้ทำการตรวจการทำงานของปอด 57 00:07:58,048 --> 00:08:02,712 เรามาดูการบรรยายของ MED CRAM เรื่องการตรวจการทำงานของปอดเพื่อให้เข้าใจว่าโรคหอบหืดเป็นอย่างไร 58 00:08:02,712 --> 00:08:09,185 และอีกสิ่งที่ใช้วินิจฉัยร่วมด้วยคือการทำ methocholine challenge test เพื่อวัดความไวของหลอดลมหลังให้สารเมธาโคลิน (methocholine) 59 00:08:09,185 --> 00:08:16,379 นี่คือเวลาที่คนไข้หายใจเข้า แล้ววัดปริมาตรของอากาศที่หายใจออกอย่างเร็วและแรงเต็มที่หลังจากหายใจเข้าเต็มที่ จากนั้นจึงให้สารเมธาโคลิน (methocholine) 60 00:08:16,379 --> 00:08:24,671 คุณจะเห็นเลยว่าคนไข้เป็นอย่างไร ถ้าคนไข้อาการแย่ลง ก็จะทราบได้ว่าคนไข้ไวต่อสารเมธาโคลิน (methocholine) ซึ่งหมายถึงคนไข้เป็นโรคหอบหืด 61 00:08:24,671 --> 00:08:28,570 จากนั้นจะให้ยา albuterol พ่นเข้าทางปาก เพื่อให้คนไข้กลับสู่ภาวะปกติ 62 00:08:28,570 --> 00:08:34,970 ถ้าการทดสอบเป็นเช่นนี้ คุณก็จะทราบได้ว่าการทดสอบความไวของหลอดลมมีผลบวก ซึ่งหมายถึงคนไข้เป็นโรคหอบหืดอย่างที่คุณคิดไว้ 63 00:08:34,970 --> 00:08:52,229 และถ้าคนไข้รายนั้นต้องใช้ยาพ่น หรือยาสูด หรือยาสเตียรอยด์แบบสูดพ่น นั่นคือวิธีการเดียวกับการรักษาโรคหอบหืด 64 00:08:52,229 --> 00:09:00,566 นี่คือวิธีต่างๆ ที่ใช้วินิจฉัย แต่ส่วนใหญ่แล้วอาการไอเรื้อรังอาจไม่ได้เกิดจากสาเหตุอย่างใดอย่างใด แต่จริงๆ แล้วเกิดจากหลายอย่างร่วมกัน 65 00:09:00,566 --> 00:09:11,851 และคุณจะเห็นว่ามันเป็นอาการคาบเกี่ยวกันระหว่างกลุ่มโรคที่แตกต่างกันเหล่านี้ ฉะนั้น คุณต้องให้การรักษาที่ต่างกันไปในแต่ละกลุ่มโรค 66 00:09:11,851 --> 00:09:20,794 ดังนั้น ครั้งต่อไปเมื่อมีคนไข้มาด้วยอาการไอเรื้อรัง ให้นึกถึงอาการไอที่สัมพันธ์กับโรคหอบหืดอย่างหนึ่ง 67 00:09:20,794 --> 00:09:28,229 โรคกรดไหลย้อนอย่างหนึ่ง และโรคภูมิแพ้อีกอย่างหนึ่ง 68 00:09:28,229 --> 00:09:29,985 ขอบคุณมากครับ 69 00:09:30,000 --> 00:09:40,215 ดนตรีบรรเลง