1 00:00:00,669 --> 00:00:03,444 นี่เป็นการพูดเกี่ยวกับเรื่องน้ำตาลและมะเร็งค่ะ 2 00:00:03,889 --> 00:00:07,166 ฉันมาสนใจในเรื่องน้ำตาลตอนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย 3 00:00:07,190 --> 00:00:09,042 ไม่ใช่น้ำตาลประเภทนี้นะคะ 4 00:00:09,066 --> 00:00:14,017 มันเป็นน้ำตาลที่ศาสตราจารย์ ที่สอนวิชาชีววิทยาของเราสอนเรา 5 00:00:14,041 --> 00:00:18,183 ในบริบทของสารเคลือบเซลล์ของเรา 6 00:00:18,733 --> 00:00:22,843 บางทีคุณอาจไม่ทราบว่าเซลล์ของคุณนั้น ถูกเคลือบด้วยน้ำตาล 7 00:00:22,867 --> 00:00:24,442 และแต่ก่อนฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน 8 00:00:24,466 --> 00:00:26,621 จนกระทั่งได้เรียนหลักสูตรเหล่านั้นในมหาวิทยาลัย 9 00:00:26,645 --> 00:00:28,057 แต่ก่อนหน้านั้น -- 10 00:00:28,081 --> 00:00:31,640 เอาเป็นว่าตอนนั้น เรียกได้ว่าเป็นยุค 1980 -- 11 00:00:32,560 --> 00:00:36,814 ผู้คนไม่รู้กันมากนักว่า ทำไมเซลล์ของเราจึงต้องถูกเคลือบด้วยน้ำตาล 12 00:00:36,838 --> 00:00:40,805 และเมื่อฉันเจาะลึกลงไปในบันทึกของฉัน สิ่งที่ฉันสังเกตเห็นในบันทึกที่ฉันจดเอาไว้ 13 00:00:40,829 --> 00:00:45,374 ก็คือว่าน้ำตาลที่เคลือบเซลล์ของเราไว้นั้น เหมือนกับน้ำตาลที่เคลือบ 14 00:00:45,398 --> 00:00:46,604 อยู่บนถั่วช็อกโกแลต M แอนด์ M 15 00:00:47,198 --> 00:00:50,864 และในอดีตผู้คนก็คิดกันว่า น้ำตาลที่เคลือบอยู้บนเซลล์ของเรานั้น 16 00:00:50,888 --> 00:00:52,718 ก็เหมือนกับสารเคลือบป้องกัน 17 00:00:52,742 --> 00:00:55,993 ที่ไม่ว่าด้วยอะไรก็ตาม มันทำให้เซลล์ของเรานั้น แข็งแรงและทนทานมากขึ้น 18 00:00:56,934 --> 00:00:59,060 แต่หลายทศวรรษต่อมาเรารู้แล้วว่า 19 00:00:59,084 --> 00:01:01,360 มันซับซ้อนกว่านั้นมาก 20 00:01:01,906 --> 00:01:06,367 และน้ำตาลบนเซลล์ของเรานั้น จริง ๆ แล้วซับซ้อนมาก 21 00:01:07,183 --> 00:01:12,695 และถ้าหากคุณสามารถย่อส่วนตัวคุณเองลง จนมีขนาดเท่ากับเครื่องบินลำจิ๋ว 22 00:01:12,719 --> 00:01:16,501 แล้วบินไปตามแนวพื้นผิวของเซลล์ของคุณ 23 00:01:16,525 --> 00:01:18,891 มันก็อาจจะดูเหมือนอะไรบางอย่างที่มีหน้าตาแบบนี้ -- 24 00:01:18,915 --> 00:01:21,116 ที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์ 25 00:01:21,140 --> 00:01:25,170 และขณะนี้ น้ำตาลที่ซับซ้อนนั้น ก็คือต้นไม้และพุ่มไม้เหล่านี้ -- 26 00:01:25,194 --> 00:01:27,726 ต้นหลิวลู่ที่โอนไปตามแรงลม 27 00:01:27,750 --> 00:01:29,787 และเคลื่อนตัวไปตามคลื่น 28 00:01:29,811 --> 00:01:33,624 และเมื่อตอนที่ฉันเริ่มคิด เกี่ยวกับน้ำตาลที่ซับซ้อนพวกนี้ 29 00:01:33,648 --> 00:01:36,574 ซึ่งเหมือนกับแมกไม้บนเซลล์ของเรา 30 00:01:36,598 --> 00:01:39,715 มันก็กลายเป็นปัญหาหนึ่ง ที่ฉันพบว่ามันน่าสนใจที่สุด 31 00:01:39,739 --> 00:01:42,743 ในฐานะที่เป็นนักชีววิทยา แล้วก็ยังเป็นนักเคมีอีกด้วย 32 00:01:43,657 --> 00:01:46,592 และดังนั้นในปัจจุบัน เรามีแนวโน้มที่จะคิดถึงน้ำตาลเหล่านี้ 33 00:01:46,616 --> 00:01:49,884 ที่อยู่บนพื้นผิวเซลล์ของเรา 34 00:01:49,908 --> 00:01:51,703 ว่าเป็นเหมือนกับภาษา 35 00:01:52,342 --> 00:01:56,223 พวกมันมีข้อมูลอยู่มากมาย ซึ่งถูกเก็บเอาไว้ในโครงสร้างที่ซับซ้อนของมัน 36 00:01:57,142 --> 00:01:59,711 แต่พวกมันกำลังพยายามจะบอกอะไรเราอยู่หรือ 37 00:02:00,548 --> 00:02:03,863 ฉันสามารถบอกคุณได้ว่าเราทราบถึงข้อมูลบางอย่าง 38 00:02:03,887 --> 00:02:05,492 ที่มาจากน้ำตาลเหล่านี้ 39 00:02:05,516 --> 00:02:08,451 และกลายเป็นว่ามันสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ 40 00:02:08,475 --> 00:02:10,295 ในโลกทางการแพทย์ไปแล้ว 41 00:02:10,777 --> 00:02:14,438 ตัวอย่างเช่น สิ่งหนึ่งที่น้ำตาลของคุณกำลังบอกเรา 42 00:02:14,462 --> 00:02:15,919 คือหมู่เลือดของคุณ 43 00:02:17,041 --> 00:02:21,195 ดังนั้น เม็ดเลือดแดงของคุณถูกเคลือบด้วยน้ำตาล 44 00:02:21,219 --> 00:02:25,896 และโครงสร้างทางเคมีของน้ำตาลเหล่านั้น เป็นตัวกำหนดหมู่เลือดของคุณ 45 00:02:25,920 --> 00:02:29,843 ดังนั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อฉันรู้ว่าฉันมีหมู่เลือดกลุ่มโอ 46 00:02:29,867 --> 00:02:32,978 มีกี่คนคะที่มีหมู่เลือดโอ 47 00:02:33,002 --> 00:02:34,160 ยกมือขึ้นค่ะ 48 00:02:34,184 --> 00:02:35,377 มันค่อนข้างพบได้ทั่วไป 49 00:02:35,401 --> 00:02:38,336 ฉะนั้น เมื่อฉันเห็นคนยกมือไม่กี่คน มันอาจเป็นไปได้ว่า คุณไม่ได้สนใจฟัง 50 00:02:38,360 --> 00:02:41,250 หรือไม่ก็คุณก็ไม่ทราบว่าหมู่เลือดของคุณคือหมู่ใด ซึ่งมันก็แย่ทั้งคู่ 51 00:02:41,274 --> 00:02:42,289 (เสียงหัวเราะ) 52 00:02:42,313 --> 00:02:44,976 แต่สำหรับผู้ที่มีหมู่เลือดโอเหมือนกับฉัน 53 00:02:45,000 --> 00:02:47,715 สิ่งนี้หมายความว่าเรามีโครงสร้างทางเคมีนี้ 54 00:02:47,739 --> 00:02:49,777 อยู่บนพื้นผิวของเม็ดเลือดของเรา 55 00:02:50,296 --> 00:02:54,019 น้ำตาลที่ไม่ซับซ้อนสามตัว เชื่อมต่อกันเป็นน้ำตาลที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น 56 00:02:54,043 --> 00:02:56,311 และตามคำจำกัดความนั่นคือหมู่เลือดโอ 57 00:02:57,366 --> 00:02:59,496 ค่ะ มีกี่คนคะ ที่มีหมู่เลือดเอ 58 00:03:00,574 --> 00:03:01,743 อยู่ตรงนี้เอง 59 00:03:01,767 --> 00:03:04,728 นั่นหมายความว่า คุณมีเอนไซม์อยู่ในเซลล์ของคุณ 60 00:03:04,752 --> 00:03:07,168 ที่เพิ่มหน่วยโครงสร้างหลักเข้ามาอีกหนึ่งตัว 61 00:03:07,192 --> 00:03:08,567 น้ำตาลสีแดงตัวนั้น 62 00:03:08,591 --> 00:03:10,415 เพื่อสร้างโครงสร้างที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น 63 00:03:11,116 --> 00:03:13,506 ทีนี้ มีกี่คนคะ ที่มีหมู่เลือดบี 64 00:03:14,298 --> 00:03:15,463 หลายคนทีเดียว 65 00:03:15,487 --> 00:03:18,215 คุณมีตัวเอนไซม์ที่ต่างออกไป จากคนที่มีหมู่เลือดเอเล็กน้อย 66 00:03:18,239 --> 00:03:20,355 คุณจึงสร้างโครงสร้างที่แตกต่างออกไปบ้าง 67 00:03:20,379 --> 00:03:22,492 และท่านทั้งหลายที่หมู่เลือดเอบีนั้น 68 00:03:22,516 --> 00:03:25,708 มีตัวเอนไซม์ที่มาจากคุณแม่ และเอนไซม์อีกตัวหนึ่งจากคุณพ่อ 69 00:03:25,732 --> 00:03:29,507 และทีนี้คุณก็สร้างโครงสร้างทั้งสองนั้น อยู่ในสัดส่วนประมาณเท่า ๆ กัน 70 00:03:29,531 --> 00:03:31,935 และเมื่อเรื่องนี้ได้รับการค้นพบ 71 00:03:31,959 --> 00:03:34,697 ซึ่งก็คือเมื่อศตวรรษก่อนหน้านี้ 72 00:03:34,721 --> 00:03:38,238 มันทำให้วิธีการทางการแพทย์ ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในโลกเป็นไปได้ 73 00:03:38,262 --> 00:03:40,640 แน่นอนค่ะ มันก็คือ การถ่ายเลือด 74 00:03:40,664 --> 00:03:42,560 การรู้ว่าหมู่เลือดของคุณคือหมู่ใด 75 00:03:42,584 --> 00:03:45,176 เราก็สามารถตรวจสอบให้แน่ใจได้ว่า เมื่อคุณจำเป็นต้องได้รับการถ่ายเลือด 76 00:03:45,200 --> 00:03:47,721 ผู้บริจาคเลือดให้คุณนั้น จะมีหมู่เลือดเดียวกับคุณ 77 00:03:47,745 --> 00:03:51,066 เพื่อที่ว่าร่างกายของคุณนั้น จะไม่เห็นน้ำตาลแปลกปลอมเข้าไป 78 00:03:51,783 --> 00:03:54,220 ซึ่งมันจะไม่ชอบ และก็จะปฏิเสธอย่างแน่นอน 79 00:03:56,113 --> 00:04:00,355 มีอะไรอีกที่น้ำตาลบนพื้นผิวของเซลล์ พยายามจะบอกกับเรา 80 00:04:01,112 --> 00:04:05,805 ค่ะ น้ำตาลเหล่านั้นอาจกำลังบอกเราว่า คุณเป็นมะเร็ง 81 00:04:06,708 --> 00:04:08,960 เมื่อสองสามทศวรรษที่ผ่านมา 82 00:04:08,984 --> 00:04:14,377 ความสัมพันธ์เริ่มจะปรากฏขึ้นให้เห็น จากการวิเคราะห์เซลล์เนื้องอก 83 00:04:14,401 --> 00:04:18,912 และสถานการณ์โดยทั่วไป ก็คือคนไข้จะได้รับการตรวจพบว่ามีเนื้องอก 84 00:04:18,936 --> 00:04:22,764 และเนื้อเยื่อนั้นก็จะถูกตัดออกมา ในกระบวนการตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจ 85 00:04:22,788 --> 00:04:25,558 แล้วจึงนำส่งลงไปยังห้องทดลองทางพยาธิวิทยา 86 00:04:25,582 --> 00:04:29,713 ที่ซึ่งเนื้อเยื่อนั้นจะถูกวิเคราะห์ เพื่อสำรวจหาความเปลี่ยนแปลงทางเคมี 87 00:04:29,737 --> 00:04:34,451 ที่อาจจะบอกนักมะเร็งวิทยา เกี่ยกับวิธีการรักษาที่ดีที่สุดได้ 88 00:04:34,979 --> 00:04:37,863 และสิ่งที่ได้ถูกค้นพบจากการศึกษาเช่นนี้ 89 00:04:37,887 --> 00:04:40,751 ก็คือน้ำตาลนั้นได้เปลี่ยนไป 90 00:04:40,775 --> 00:04:45,772 เมื่อเซลล์ที่สุขภาพดี เปลี่ยนไปเป็นเซลล์ที่เจ็บป่วย 91 00:04:46,823 --> 00:04:51,806 และความสัมพันธ์เหล่านั้น ก็แสดงออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า 92 00:04:52,497 --> 00:04:56,963 แต่ปัญหาใหญ่ในสาขาวิชาดังกล่าว ที่มีตลอดมาก็คือ: ทำไมล่ะ 93 00:04:56,987 --> 00:05:01,231 ทำไมมะเร็งจึงมีน้ำตาลที่แตกต่างออกไป ความสำคัญของสิ่งนั้น คืออะไร 94 00:05:01,255 --> 00:05:04,616 ทำไมมันจึงเกิดขึ้น และเราจะทำอะไร เกี่ยวกับมันได้บ้างถ้าปรากฏว่า 95 00:05:04,640 --> 00:05:08,395 มันสัมพันธ์กันกับกระบวนการการเกิดโรค 96 00:05:09,783 --> 00:05:12,994 ค่ะ ความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่เราศึกษา 97 00:05:13,018 --> 00:05:18,563 ก็คือ การเพิ่มขึ้นในของความหนาแน่น ของน้ำตาลจำเพาะ 98 00:05:18,587 --> 00:05:20,916 ที่เรียกว่า กรดไซแอลิก 99 00:05:21,617 --> 00:05:25,541 และฉันคิดว่า มันจะเป็นน้ำตาลที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่ง 100 00:05:25,565 --> 00:05:26,723 แห่งยุคของเรา 101 00:05:26,747 --> 00:05:30,822 ฉันจึงอยากจะกระตุ้นให้ทุก ๆ คนคุ้นเคยกับคำ ๆ นี้ 102 00:05:31,502 --> 00:05:34,467 กรดไซแอลิกไม่ได้เป็นน้ำตาลชนิดที่เรากินกัน 103 00:05:34,491 --> 00:05:36,047 น้ำตาลพวกนั้นแตกต่างออกไป 104 00:05:36,602 --> 00:05:39,566 นี่เป็นน้ำตาลประเภทที่พบได้ 105 00:05:39,590 --> 00:05:42,718 ที่ระดับหนึ่งบนเซลล์ทั้งหมดในร่างกาย 106 00:05:42,742 --> 00:05:45,610 จริง ๆ แล้วมันถูกพบได้ทั่วไปบนเซลล์ของคุณ 107 00:05:46,393 --> 00:05:47,704 แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง 108 00:05:48,451 --> 00:05:53,939 เซลล์มะเร็ง อย่างน้อยที่สุด ก็ในโรคที่ลุกลามไปอย่างมาก 109 00:05:53,963 --> 00:05:57,072 มีแนวโน้มที่จะมีกรดไซแอลิก 110 00:05:57,096 --> 00:05:59,443 มากกว่าเซลล์ปกติที่สุขภาพดีแข็งแรงจะมี 111 00:05:59,467 --> 00:06:00,909 ทำไมหรือคะ 112 00:06:00,933 --> 00:06:02,179 นั่นหมายความว่าอย่างไร 113 00:06:03,276 --> 00:06:04,728 สิ่งที่เราได้เรียนรู้ 114 00:06:04,752 --> 00:06:08,227 ก็คือ มันจะต้องเกี่ยวข้อง กับระบบภูมิคุ้มกันของคุณ 115 00:06:08,935 --> 00:06:12,501 ค่ะ ขออนุญาตเล่าสักนิด เกี่ยวกับความสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน 116 00:06:12,525 --> 00:06:13,689 ในเรื่องโรคมะเร็ง 117 00:06:13,713 --> 00:06:17,231 และนี้เป็นสิ่งที่ฉันคิดว่า มันถูกพบได้บ่อย ๆ ในข่าวเดี๋ยวนี้ 118 00:06:17,255 --> 00:06:20,161 แบบว่า ผู้คนกำลังเริ่มคุ้นเคยกับคำว่า 119 00:06:20,185 --> 00:06:22,947 "การรักษามะเร็งด้วยการบำบัดทางภูมิคุ้มกัน 120 00:06:22,971 --> 00:06:24,782 และบางท่านก็อาจแม้กระทั่งรู้จัก 121 00:06:24,806 --> 00:06:28,713 คนที่กำลังได้ประโยชน์ จากวิธีการรักษามะเร็งแบบที่ใหม่มาก ๆ นี้ 122 00:06:29,848 --> 00:06:33,089 ที่เรารู้ในตอนนี้ก็คือ เซลล์ภูมิคุ้มกันของคุณ 123 00:06:33,113 --> 00:06:37,047 ซึ่งคือเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งกระแสเลือดของคุณนั้น 124 00:06:37,071 --> 00:06:41,727 ปกป้องคุณจากสิ่งที่จะเลวร้ายทุกเมื่อเชื่อวัน -- 125 00:06:41,751 --> 00:06:43,092 ที่รวมถึงโรคมะเร็ง 126 00:06:43,951 --> 00:06:45,942 ดังนั้นในรูปนี้ 127 00:06:45,966 --> 00:06:48,687 ลูกบอลสีเขียวเหล่านั้น คือ เซลล์ภูมิคุ้มกันของคุณ 128 00:06:48,711 --> 00:06:51,659 และเซลล์ใหญ่สีชมพูนั่นคือ เซลล์มะเร็ง 129 00:06:52,250 --> 00:06:57,015 และเซลล์ภูมิคุ้มกันพวกนี้ก็เคลื่อนไปทั่ว และชิมรสทุก ๆ เซลล์ในร่างกายของคุณ 130 00:06:57,039 --> 00:06:58,334 นั่นแหละคือหน้าที่ของมัน 131 00:06:58,913 --> 00:07:01,668 และส่วนใหญ่ เซลล์พวกนั้นก็มีรสชาดดีใช้ได้ 132 00:07:01,692 --> 00:07:04,196 แต่บางครั้งเซลล์อาจจะรสชาดไม่ดีเลย 133 00:07:04,744 --> 00:07:06,555 หวังว่า นั่นจะเป็นเซลล์มะเร็ง 134 00:07:06,579 --> 00:07:08,962 และเมื่อเซลล์ภูมิคุ้มกันเหล่านั้น สัมผัสกับรสชาดที่ไม่ดี 135 00:07:08,986 --> 00:07:11,795 มันก็จะเริ่มโจมตีและฆ่าเซลล์เหล่านั้นเสีย 136 00:07:12,630 --> 00:07:13,783 ค่ะ เราเรื่องนั้น 137 00:07:13,807 --> 00:07:18,223 เรายังรู้อีกว่า หากคุณสามารถ เสริมศักยภาพให้กับการชิมรสนั้น 138 00:07:18,247 --> 00:07:22,075 หากคุณสามารถส่งเสริม เซลล์ภูมิคุ้มกันให้กำจัด 139 00:07:22,099 --> 00:07:23,342 เซลล์มะเร็งได้อย่างแท้จริง 140 00:07:23,366 --> 00:07:26,957 คุณจะปกป้องตัวเองจากมะเร็ง ได้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วัน 141 00:07:26,981 --> 00:07:28,713 และบางทีอาจทำให้หายจากโรคมะเร็งได้ 142 00:07:29,509 --> 00:07:32,355 และตอนนี้เรามียาอยู่สองตัวในท้องตลาด 143 00:07:32,379 --> 00:07:34,450 ที่ใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง 144 00:07:34,474 --> 00:07:37,215 ซึ่งทำงานแบบเดียวกับกระบวนการนี้ 145 00:07:37,726 --> 00:07:39,355 พวกมันไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน 146 00:07:39,379 --> 00:07:42,126 เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันนั้นมีพลังแข็งขันยิ่งขึ้น 147 00:07:42,150 --> 00:07:43,902 ในการปกป้องเราจากโรคมะเร็ง 148 00:07:43,926 --> 00:07:45,969 อันจริง หนึ่งในตัวยาที่ว่านี้ 149 00:07:45,993 --> 00:07:48,983 อาจได้ช่วยรักษาชีวิต ประธานาธิบดี จิมมี่ คาร์เตอร์ เอาไว้ 150 00:07:49,516 --> 00:07:53,996 จำได้ไหมคะ ประธานาธิบดี คาร์เตอร์ เป็นโรคมะเร็งเมลาโนมาชนิดลุกลาม 151 00:07:54,020 --> 00:07:56,878 ที่ได้แพร่กระจายไปถึงสมองของเขา 152 00:07:56,902 --> 00:08:00,256 และการวินิจฉัยพบโรคอะไรแบบนั้น ปกติแล้วจะมาพร้อมกับตัวเลข 153 00:08:00,280 --> 00:08:02,125 เช่น "จะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่เดือน" 154 00:08:03,093 --> 00:08:07,488 แต่เขาได้รับการรักษาด้วยยาใหม่ ที่ไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันพวกนี้ 155 00:08:07,512 --> 00:08:10,871 และตอนนี้ โรคมะเร็งเมลาโนมาของเขา ก็อยู่ในระยะที่โรคสงบไม่มีอาการใด ๆ 156 00:08:10,895 --> 00:08:12,536 ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าที่ง 157 00:08:12,560 --> 00:08:16,001 เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์แค่เมื่อไม่กี่ปีก่อน 158 00:08:16,025 --> 00:08:17,845 จริง ๆ แล้มันน่าทึ่งมากเสียจน 159 00:08:17,869 --> 00:08:20,669 ข้อความที่เร้าใจอย่างเช่น 160 00:08:20,693 --> 00:08:24,408 ผู้คนกำลังพูดกันว่า "เรากำลังอยู่ในช่วงพบยาปฏิชีวนะสำหรับมะเร็ง" 161 00:08:24,432 --> 00:08:26,253 ด้วยตัวยาการรักษาด้ยภูมิคุ้มกันใหม่ ๆ เหล่านี้ 162 00:08:26,277 --> 00:08:29,475 มันเป็นสิ่งที่ห้าวหาญที่จะพูดถึงโรคภัย 163 00:08:29,499 --> 00:08:32,148 ซึ่งเราได้ต่อสู้กับมันมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน 164 00:08:32,172 --> 00:08:34,252 และส่วนใหญ่แล้วเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับมัน 165 00:08:34,855 --> 00:08:36,384 ฉะนั้น เรื่องนี้จึงน่าตื่นเต้นมาก 166 00:08:36,907 --> 00:08:39,319 แล้วเรื่องนี้มาเกี่ยวอะไรกับเรื่องน้ำตาลล่ะ 167 00:08:39,343 --> 00:08:42,063 ค่ะ ฉันจะบอกคุณว่า เราได้เรียนรู้อะไรไปแล้วบ้าง 168 00:08:42,944 --> 00:08:49,280 เมื่อเซลล์ภูมิคุ้มกันแนบชิดกับเซลล์มะเร็ง เพื่อลิ้มรสอยู่นั้น 169 00:08:49,304 --> 00:08:51,953 มันกำลังมองหาสัญญาณของโรคภัย 170 00:08:51,977 --> 00:08:53,896 และถ้ามันพบสัญญาณเหล่านั้น 171 00:08:53,920 --> 00:08:58,166 เซลล์ภูมิคุ้มกันจะถูกกระตุ้น และส่งขีปนาวุธเข้าจู่โจม และก็ฆ่าเซลล์นั้นเสีย 172 00:08:59,269 --> 00:09:05,079 แต่ถ้าเซลล์มะเร็งตัวนั้น มีน้ำตาล หรือกรดไซแอลิก อยู่อย่างหนาทึบ 173 00:09:05,731 --> 00:09:08,699 ค่ะ มันก็เริ่มจะมีรสชาดดีมาก 174 00:09:09,507 --> 00:09:14,151 และมันก็มีโปรตีนบนเซลล์ภูมิคุ้มกัน ที่คอยจับกรดไซแอลิก 175 00:09:14,175 --> 00:09:17,976 และถ้าหากตัวโปรตีนนั้นจับอยู่ระหว่าง ไซแนปส์ (synapse) 176 00:09:18,000 --> 00:09:20,424 ของเซลล์ภูมิคุ้มและเซลล์มะเร็งแล้ว 177 00:09:21,171 --> 00:09:23,156 มันก็จะทำให้การกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มหยุดชะงัก 178 00:09:23,809 --> 00:09:27,111 กรดไซอแอลิกกำลังบอกเซลล์ภูมิคุ้มกันว่า 179 00:09:27,135 --> 00:09:30,336 "นี่ เซลล์ตัวนี้น่ะสบายดี ไม่มีอะไรต้องดูตรงนี้แล้ว ไปต่อเถอะ 180 00:09:30,360 --> 00:09:31,854 ไปมองหาที่อื่นเถอะ" 181 00:09:32,741 --> 00:09:33,963 พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ 182 00:09:33,987 --> 00:09:38,731 ตราบใดที่เซลล์ของเรานั้น มีกรดไซแอลิกเคลือบอยู่หนา 183 00:09:39,399 --> 00:09:41,417 พวกมันก็จะดูดี ใช่ไหมคะ 184 00:09:42,036 --> 00:09:43,388 มันน่าที่ง 185 00:09:44,524 --> 00:09:47,678 และสมมุติว่าถ้าคุณเอาสารที่เคลือบอยู่นั้นออกไปได้ 186 00:09:47,702 --> 00:09:50,000 และเอาน้ำตาลนั้นออกไปได้ล่ะ 187 00:09:50,024 --> 00:09:53,023 ค่ะ ระบบภูมิคุ้มกันของคุณ 188 00:09:53,047 --> 00:09:57,248 ก็อาจมองเห็นเซลล์มะเร็งตัวนั้น ว่าตัวตนของมันจริง ๆ เป็นเช่นอะไร 189 00:09:57,272 --> 00:09:59,496 คือ มันเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องถูกทำลาย 190 00:10:00,875 --> 00:10:03,186 เรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในห้องทดลอง 191 00:10:03,704 --> 00:10:06,026 เรากำลังพัฒนาตัวยาใหม่ ๆ ขึ้นมา 192 00:10:06,050 --> 00:10:09,107 ซึ่งโดยหลักการแล้ว มันเป็นเสมือน เครื่องตัดหญ้าบนพื้นผิวของเซลล์ -- 193 00:10:09,861 --> 00:10:13,514 โมเลกุลที่ลงไปเกาะอยู่บนพื้นผิว ของเซลล์มะเร็งเหล่านี้ 194 00:10:13,538 --> 00:10:16,403 และตัดไซแอลิกเหล่านั้นออกไป 195 00:10:16,427 --> 00:10:20,732 เพื่อที่ว่าระบบภูมิคุ้มกัน จะได้สามารถทำงานได้เต็มศักยภาพของมัน 196 00:10:20,756 --> 00:10:23,413 ในการกำจัดเซลล์มะเร็งเหล่านั้น ออกไปจากร่างกายเรา 197 00:10:24,983 --> 00:10:27,114 ในตอนจบของการบรรยายนี้ 198 00:10:27,819 --> 00:10:29,972 ให้ฉันได้ย้ำเตือนคุณอีกครั้งว่า 199 00:10:29,996 --> 00:10:32,263 เซลล์ของคุณนั้นถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำตาล 200 00:10:32,972 --> 00:10:37,667 น้ำตาลซึ่งกำลังบอกเซลล์ที่อยู่รอบ ๆ เซลล์นั้นว่า 201 00:10:37,691 --> 00:10:39,611 เซลล์ตัวนั้นดีหรือไม่ดี 202 00:10:40,682 --> 00:10:41,847 และนั่นเป็นเรื่องสำคัญ 203 00:10:41,871 --> 00:10:44,927 เพราะว่าระบบภูมิคุ้มกันของเรานั้น จำเป็นต้องเก็บเซลล์ที่ดีเอาไว้ 204 00:10:44,951 --> 00:10:47,421 มิฉะนั้น เราก็จะเป็นโรคแพ้ภูมิคุ้มตัวเอง 205 00:10:48,315 --> 00:10:51,463 แต่บางครั้ง มะเร็งก็มีความสามารถ 206 00:10:51,487 --> 00:10:53,043 ที่จะสร้างน้ำตาลใหม่ ๆ เหล่านี้ได้ 207 00:10:53,067 --> 00:10:54,399 ในตอนนี้เราเข้าใจ 208 00:10:54,423 --> 00:10:57,583 ว่าน้ำตาลพวกนั้นสะกดระบบภูมิคุ้มกันของเรา ให้งงงันได้อย่างไร 209 00:10:57,607 --> 00:11:01,792 เราสามารถสร้างยาใหม่ ที่จะปลุกเซลล์ภูมิคุ้มกันเหล่านั้น 210 00:11:01,816 --> 00:11:05,043 และบอกพวกมันว่า "อย่าไปสนใจน้ำตาลพวกนั้น กินเซลล์นั่นซะ 211 00:11:05,067 --> 00:11:07,650 และขอให้อร่อยกับมะเร็งนะ" 212 00:11:08,574 --> 00:11:09,737 ขอบคุณค่ะ 213 00:11:10,073 --> 00:11:12,441 (เสียงปรบมือ)