WEBVTT 00:00:13.980 --> 00:00:20.980 ชีวิต อิสรภาพ และการไล่ตามความสุข 00:00:24.780 --> 00:00:27.900 พวกเราดำรงชีพโดยไล่จับความสุข "อยู่ที่นั่น" 00:00:27.950 --> 00:00:30.400 เสมือนกับว่ามันเป็นสินค้า 00:00:30.500 --> 00:00:38.500 พวกเราเป็นทาสของความอยากและความกระหายของตนเอง 00:00:39.460 --> 00:00:41.490 ความสุขไม่ใช่สิ่งที่สามารถไล่จับ 00:00:41.540 --> 00:00:44.840 หรือซื้อได้เหมือนชุดสูทราคาถูก 00:00:44.890 --> 00:00:46.020 นี่คือมายา 00:00:46.070 --> 00:00:46.979 ภาพลวงตา 00:00:47.129 --> 00:00:51.750 การละเล่นที่ไม่มีที่สิ้นสุด 00:00:51.750 --> 00:00:53.420 ในประเพณีพุทธ 00:00:53.420 --> 00:00:56.429 สังสารวัฏหรือวงเวียนอันไม่มีที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ 00:00:56.529 --> 00:00:59.019 ถูกทำให้เป็นอมตะโดยความกระหายในความพอใจ 00:00:59.069 --> 00:01:03.120 และความรังเกียจในความเจ็บปวด 00:01:03.220 --> 00:01:07.409 ฟรอยด์เรียกสิ่งนี้ว่า "หลักแห่งความพอใจ" 00:01:07.409 --> 00:01:10.329 ทุกสิ่งที่เราทำคือความพยายามที่จะสร้างความพอใจ 00:01:10.379 --> 00:01:12.329 เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราต้องการ 00:01:12.379 --> 00:01:19.079 หรือเพื่อผลักบางสิ่งอันไม่พึงประสงค์ที่เราไม่ต้องการ 00:01:19.670 --> 00:01:23.630 แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่เรียบง่ายอย่างโปรโตซัวน้ำจืด (paramecium) ก็ทำอย่างนี้ 00:01:23.680 --> 00:01:26.340 มันเรียกว่าการตอบสนองต่อสิ่งเร้า 00:01:26.440 --> 00:01:30.850 ไม่เหมือนโปรโตซัวน้ำจืด มนุษย์มีทางเลือกมากกว่า 00:01:30.850 --> 00:01:34.959 พวกเรามีอิสระที่จะคิด และนั่นคือแก่นของปัญหา 00:01:35.059 --> 00:01:48.709 มันคือความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เราต้องการนั่นเอง ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมในปัจจุบันนี้ 00:02:10.158 --> 00:02:14.139 สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในสังคมปัจจุบัน คือสิ่งที่พวกเราค้นหาเพื่อเข้าใจโลก 00:02:14.150 --> 00:02:17.430 โดยไม่ใช้ความรู้สึกตัวภายในอันล้าสมัย 00:02:17.430 --> 00:02:20.380 แต่โดยใช้การวัดปริมาณและคุณภาพที่พวกเรามองเห็น 00:02:20.380 --> 00:02:25.819 ว่าเป็นโลกภายนอกโดยใช้วิธีการและแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ 00:02:25.819 --> 00:02:30.319 การคิดนำมาเพียงการคิดที่มากขึ้นและคำถามที่มากขึ้น 00:02:30.319 --> 00:02:33.770 พวกเราค้นหาเพื่อที่จะรู้จักพลังด้านในสุดซึ่งสร้างโลก 00:02:33.770 --> 00:02:35.710 และชี้นำวิถีทางของมัน 00:02:35.750 --> 00:02:39.230 แต่พวกเราเข้าใจว่าแก่นสารนี้เป็นสิ่งนอกตัว 00:02:39.270 --> 00:02:44.809 ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เป็นเนื้อแท้ภายในธรรมชาติของเรา 00:02:44.829 --> 00:02:48.870 นักจิตวิทยาผู้โด่งดังชื่อ คาร์ล ยุง พูดว่า 00:02:48.910 --> 00:02:55.990 "บุคคลผู้มองภายนอกนั้นฝัน บุคคลที่มองภายในนั้นตื่น" 00:02:56.130 --> 00:02:59.120 มันไม่ผิดที่ต้องการที่จะตื่น 00:03:00.480 --> 00:03:04.099 สิ่งที่ผิดคือการค้นหาความสุขจากภายนอก 00:03:04.119 --> 00:03:11.019 ในเมื่อมันสามารถพบได้เฉพาะจากภายใน 00:03:34.720 --> 00:03:40.490 วันที่ 4 ตุลาคม 2010 ที่การประชุมเทคโคโนมี (Techonomy conference) ที่ทะเลสาบทาโฮ แคลิฟอเนีย 00:03:40.500 --> 00:03:45.819 เอริก ชมิดต์ ผู้จัดการบริษัทกูเกิล (Google) ได้พูดถึงตัวเลขสถิติที่น่าตกใจ 00:03:45.819 --> 00:03:49.500 ปัจจุบันนี้ทุกสองวันพวกเราผลิตข้อมูลจำนวนมากเทียบเท่ากับที่ผลิต 00:03:49.500 --> 00:03:53.170 ตั้งแต่ยุครุ่งสางแห่งความศิวิไลซ์มาจนถึงปี 2003 00:03:53.190 --> 00:03:54.599 ตามที่ชมิดต์พูด 00:03:54.599 --> 00:04:01.599 นั่นคือข้อมูลประมาณ 5 เอกซะไบต์ 00:04:02.060 --> 00:04:05.590 ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษย์ที่มีการคิดมากมาย 00:04:05.590 --> 00:04:11.410 และมีความสับสนอลหม่านมากมายเกิดขึ้นบนโลกอย่างนี้ 00:04:11.450 --> 00:04:15.490 มันเป็นไปได้ไหมที่ทุกครั้งที่เราคิดถึงคำตอบของปัญหาหนึ่ง 00:04:15.510 --> 00:04:18.519 เราได้สร้างปัญหาเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นสอง ? 00:04:18.559 --> 00:04:20.609 ความคิดเหล่านี้มีอะไรดี ? 00:04:20.629 --> 00:04:24.010 หากมันไม่นำพาไปสู่ความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่า ? 00:04:24.050 --> 00:04:25.570 พวกเรามีความสุขมากขึ้นหรือ ? 00:04:25.590 --> 00:04:27.040 สงบมากขึ้น ? 00:04:27.070 --> 00:04:30.020 เบิกบานขึ้นอันเป็นผลเนื่องมาจากความคิดเหล่านี้ ? 00:04:30.960 --> 00:04:33.180 หรือมันแยกพวกเรา ? 00:04:33.200 --> 00:04:39.600 ตัดขาดพวกเราจากประสบการณ์ชีวิตที่ลึกและมีความหมายยิ่งกว่า 00:04:42.939 --> 00:04:45.450 การคิด การแสดงออก และการกระทำ 00:04:45.450 --> 00:04:48.560 ต้องถูกทำให้สมดุลด้วย "การเป็น" 00:04:48.580 --> 00:05:00.440 ไม่ว่าอย่างไร พวกเราคือผู้เป็นอยู่อย่างมนุษย์ ไม่ใช่ผู้กระทำอยู่อย่างมนุษย์ 00:05:04.490 --> 00:05:09.650 พวกเราต้องการความเปลี่ยนแปลง...และต้องการความเสถียรในเวลาเดียวกัน 00:05:09.650 --> 00:05:13.200 หัวใจของพวกเราถูกตัดขาดจากวงก้นหอยแห่งชีวิต 00:05:13.300 --> 00:05:15.100 ซึ่งเป็นกฎแห่งความเปลี่ยนแปลง 00:05:15.100 --> 00:05:18.039 เมื่อจิตที่คิดของพวกเราได้นำพาเราไปยังความเสถียร 00:05:18.039 --> 00:05:24.430 ความปลอดภัย และการทำให้ประสาทสัมผัสต่างๆสงบลง 00:05:25.580 --> 00:05:29.270 ด้วยแรงดึงดูดที่ไม่ปกติ พวกเราดูการฆ่า สึนามิ 00:05:29.370 --> 00:05:34.090 แผ่นดินไหวและสงคราม 00:05:34.390 --> 00:05:38.780 พวกเราพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะครอบครองจิตของตนโดยทำให้มันเต็มไปด้วยข่าวสาร 00:05:38.830 --> 00:05:41.700 รายการทีวีหลั่งไหลมาจากทุกอุปกรณ์ที่เป็นไปได้ 00:05:41.750 --> 00:05:43.550 เกมส์และปริศนาต่างๆ 00:05:43.600 --> 00:05:44.770 การส่งข้อความตัวอักษร 00:05:44.820 --> 00:05:48.000 และเรื่องไม่เป็นสาระทุกเรื่องเท่าที่เป็นไปได้ 00:05:48.100 --> 00:05:49.919 พวกเราปล่อยให้ตนเองดื่มด่ำกับ 00:05:50.019 --> 00:05:51.970 ภาพใหม่ๆที่หลั่งไหลมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด 00:05:53.370 --> 00:06:00.270 วิธีใหม่ๆที่จะยั่วเย้าประสาทสัทผัสและทำให้มันสงบลง 00:06:00.669 --> 00:06:03.539 เมื่อถึงเวลาแห่งการสะท้อนภายในอย่างเงียบสงบ 00:06:03.639 --> 00:06:08.360 หัวใจของเราอาจบอกเราว่าชีวิตมีมากกว่าความเป็นจริงที่พวกเราเป็นอยู่ในปัจจุบัน 00:06:08.410 --> 00:06:11.710 ว่าพวกเราดำรงชีวิตอยู่ในโลกแห่งปีศาจผู้หิวโหย 00:06:11.810 --> 00:06:18.410 ความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุด และไม่เคยพอใจ 00:06:24.360 --> 00:06:27.829 พวกเราสร้างความอลหม่านแห่งข้อมูลบินว่อนไปทั่วโลก 00:06:27.929 --> 00:06:30.289 เพื่ออำนวยความสะดวกในการคิด 00:06:30.339 --> 00:06:33.370 ส่งเสริมความคิดเกี่ยวกับการกู้โลก 00:06:33.420 --> 00:06:38.220 เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงเพราะจิตสร้างมันขึ้นมา 00:06:38.320 --> 00:06:45.970 การคิดได้สร้างความยุ่งเหยิงทั้งมวลที่พวกเรากำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน 00:06:46.060 --> 00:06:50.739 พวกเราทำสงครามกับโรคภัยไข้เจ็บ ศัตรู และปัญหา 00:06:50.839 --> 00:06:55.239 สิ่งที่ขัดแย้งกันเองก็คือสิ่งใดที่เธอต่อต้านมันจะคงอยู่ 00:06:55.339 --> 00:06:59.210 ยิ่งเธอต่อต้านมัน มันก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้น 00:06:59.260 --> 00:07:01.260 เหมือนการออกกำลังกล้ามเนื้อ 00:07:01.360 --> 00:07:05.399 ความจริงเธอกำลังทำให้สิ่งที่เธอต้องการกำจัดแข็งแกร่งขึ้น 00:07:05.699 --> 00:07:09.900 ถ้าอย่างนั้น อะไรจะเป็นสิ่งทดแทนการคิดได้ ? 00:07:10.000 --> 00:07:18.900 มีกลไกอื่นใดที่มนุษย์สามารถใช้ดำรงชีพในโลกใบนี้ได้ ? 00:07:32.839 --> 00:07:37.220 ในขณะที่วัฒนธรรมตะวันตกในหลายศตวรรษที่ผ่านมามุ่งไปที่การสำรวจทางกายภาพ 00:07:37.270 --> 00:07:39.869 โดยใช้ความคิดและการวิเคราะห์ 00:07:39.919 --> 00:07:48.740 วัฒธรรมโบราณอื่นๆได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสำรวจความว่างภายในขึ้นด้วยความช่ำชองเสมอกัน 00:07:48.849 --> 00:07:51.539 มันคือการสูญเสียความเชื่อมโยงกับโลกภายในของพวกเรา 00:07:51.589 --> 00:07:56.090 ซึ่งสร้างความไม่สมดุลให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ 00:07:56.290 --> 00:07:58.869 คติโบราณที่ว่า "รู้จักตนเอง" 00:08:04.369 --> 00:08:07.079 การตอบคำถามที่ว่า "ฉันคือใคร ?" 00:08:07.229 --> 00:08:14.229 ไม่ใช่เรื่องผิวเผินที่จะอธิบายโดยสิ่งที่เขียนอยู่ในนามบัตรของเธอ 00:08:15.759 --> 00:08:19.930 ในพุทธศาสนา เธอไม่ใช่สิ่งที่บรรจุอยู่ในความรู้สึกตัวของเธอ 00:08:20.030 --> 00:08:23.620 เธอไม่ได้เป็นเพียงการชุมนุมกันของความคิดหรือความเห็นต่างๆ 00:08:23.670 --> 00:08:34.020 เพราะเบื้องหลังความคิดทั้งมวล ยังมีคนหนึ่งซึ่งคอยสังเกตความคิดอยู่ 00:08:35.950 --> 00:08:38.950 โจทย์ว่าด้วยการ "รู้จักตนเอง" คือโกอานของเซ็น 00:08:41.100 --> 00:08:45.350 ในที่สุดจิตก็จะหมดกำลังในการหาคำตอบ 00:08:45.450 --> 00:08:48.100 เสมือนหมาวิ่งไล่งับหางตนเอง 00:08:50.100 --> 00:08:52.470 ที่ต้องการหาคำตอบ 00:08:57.020 --> 00:09:01.260 ความจริงที่ว่าเธอเป็นใครนั้นไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ 00:09:01.310 --> 00:09:08.110 เพราะทุกคำถามถูกสร้างขึ้นมาจากจิตที่ถือตัวถือตน 00:09:08.260 --> 00:09:15.260 เธอไม่ใช่จิตของเธอ 00:09:16.420 --> 00:09:23.420 ความจริงไม่ได้อยู่ในคำตอบที่เพิ่มขึ้น แต่อยู่ในคำถามที่น้อยลง 00:09:25.170 --> 00:09:27.280 อย่างที่ โจเซฟ แคมพ์เบลล์ กล่าวไว้ว่า 00:09:27.380 --> 00:09:30.320 "ฉันไม่เชื่อว่าผู้คนกำลังหาความหมายของชีวิต 00:09:30.370 --> 00:09:37.220 มากพอกับที่กำลังหาประสบการณ์แห่งการมีชีวิต" 00:09:53.000 --> 00:09:55.990 เมื่อพระพุทธเจ้าถูกถามว่า "คุณเป็นอะไร ?" 00:09:57.490 --> 00:09:59.380 "ฉันตื่นอยู่" 00:09:59.480 --> 00:10:06.380 มันแปลว่าอะไร ที่ว่าตื่นอยู่ ? 00:10:07.910 --> 00:10:10.060 พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดโดยตรง 00:10:10.160 --> 00:10:13.510 เพราะการเบ่งบานของแต่ละชีวิตแตกต่างกัน 00:10:13.610 --> 00:10:15.860 แต่ท่านได้กล่าวขึ้นมาสิ่งหนึ่ง 00:10:21.990 --> 00:10:26.490 ศาสนาหลักทุกศาสนามีชื่อเรียกสำหรับสภาวะแห่งการตื่น 00:10:26.580 --> 00:10:27.810 สวรรค์ 00:10:27.810 --> 00:10:29.050 นิพพาน 00:10:29.050 --> 00:10:32.570 หรือโมกษะ 00:10:32.670 --> 00:10:37.240 จิตที่เงียบสงบคือทั้งหมดที่เธอจำเป็นต้องมีเพื่อตระหนักรู้ในธรรมชาติแห่งกระแสนั้น 00:10:37.540 --> 00:10:40.880 สิ่งอื่นทั้งมวลจะเกิดขึ้นเมื่อจิตเธอเงียบสงบ 00:10:40.930 --> 00:10:44.110 ในความสงบนิ่ง พลังงานภายในจะตื่น 00:10:44.110 --> 00:10:48.410 และทำงานโดยปราศจากความพยายามใดๆในส่วนของเธอ 00:10:48.510 --> 00:10:55.410 อย่างที่เมธีเต๋ากล่าวว่า "ชี่เกิดตามความรู้สึกตัว" 00:10:56.200 --> 00:11:01.700 ด้วยความนิ่ง บุคคลจะเริ่มได้ยินปัญญาแห่งพืชและสัตว์ 00:11:01.810 --> 00:11:05.560 เสียงกระซิบเงียบในความฝัน 00:11:05.560 --> 00:11:07.480 แล้วบุคคลจะเรียนรู้กลไกลึกลับ 00:11:07.580 --> 00:11:11.650 เมื่อความฝันเหล่านั้นกลายมาเป็นรูปแบบวัตถุ 00:11:11.650 --> 00:11:17.310 ในคัมภีร์เต๋าเต๋อจิง การใช้ชีวิตเช่นนี้เรียกว่า "เว วู เว" 00:11:17.660 --> 00:11:22.670 "ทำ โดยไม่ทำ" 00:11:22.770 --> 00:11:24.900 พระพุทธเจ้ากล่าวถึง "ทางสายกลาง" 00:11:28.270 --> 00:11:31.510 อริสโตเติลอธิบายค่าเฉลี่ยสีทอง 00:11:31.560 --> 00:11:35.230 ซึ่งเป็นค่ากลางระหว่างสุดโต่งสองอย่าง ว่าเป็นทางแห่งความงดงาม 00:11:35.580 --> 00:11:39.810 ไม่พยายามมากเกินไป แต่ก็ไม่น้อยเกินไปด้วย 00:11:39.910 --> 00:11:45.710 หยินและหยางในความสมดุลอันบริบูรณ์ 00:11:57.480 --> 00:12:00.440 ข้อคิดของเวทานต์ (คัมภีร์พระเวท) เกี่ยวกับมายาหรือภาพลวงตา 00:12:00.540 --> 00:12:03.690 นั่นคือพวกเราไม่ได้รับรู้สิ่งแวดล้อมอย่างที่ตัวมันเป็น 00:12:03.790 --> 00:12:08.270 แต่รับรู้ภาพสะท้อนของมัน ซึ่งสร้างขึ้นโดยความคิด 00:12:08.270 --> 00:12:13.710 แน่นอนว่าความคิดของเธอทำให้เธอได้รับรู้โลกอันสั่นไหวโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง 00:12:13.710 --> 00:12:21.520 แต่ความสงบภายในของเราจำเป็นต้องไม่ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ภายนอก 00:12:22.060 --> 00:12:26.880 ความเชื่อในโลกภายนอก โดยไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่หยั่งรู้ในใจ 00:12:26.980 --> 00:12:30.380 คือพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ 00:12:30.380 --> 00:12:34.200 แต่ประสาทสัมผัสของเรานำพาเพียงข้อมูลทางอ้อมมาให้เรา 00:12:34.200 --> 00:12:37.500 ความเข้าใจของพวกเราเกี่ยวกับโลกกายภาพที่สร้างขึ้นโดยความคิดนี้ 00:12:37.500 --> 00:12:44.170 ได้ถูกกรองผ่านประสาทสัมผัสเสมอ และเพราะอย่างนั้นเองจึงไม่สมบูรณ์เสมอ 00:12:44.170 --> 00:12:49.200 มีสนามแห่งการสั่นสะเทือนหนึ่งเดียวที่ซ่อนอยู่ใต้ประสาทสัมผัสทั้งมวล 00:12:49.200 --> 00:12:51.810 ผู้คนที่อยู่ในสภาวะ "ซินเนสทีเซีย (synesthesia)" 00:12:51.850 --> 00:12:56.100 บางครั้งได้รับประสบการณ์ของสนามแห่งการสั่นสะเทือนนี้ในวิถีต่างๆกัน 00:12:57.260 --> 00:13:00.700 ผู้ที่อยู่ในสภาวะซินเนสทีเซียสามารถเห็นเสียงเป็นสีหรือรูปร่างต่างๆ 00:13:00.760 --> 00:13:04.690 หรือรับรู้ในประสาทสัมผัสชนิดหนึ่งกับอีกชนิดหนึ่งควบคู่กันไป 00:13:05.470 --> 00:13:12.470 คำว่าซินเนสทีเซียมาจากการสังเคราะห์ (synthesis) หรือการผสมประสาทสัมผัสเข้าด้วยกัน 00:13:13.180 --> 00:13:16.200 จักระทั้งหลายกับประสาทสัมผัสเป็นเสมือนดังปรึซึม (prism) 00:13:16.240 --> 00:13:19.960 กลั่นกรองอนุกรมแห่งการสั่นสะเทือน 00:13:19.960 --> 00:13:22.710 ทุกสิ่งในจักรวาลกำลังสั่นสะเทือน 00:13:22.710 --> 00:13:27.790 แต่ในอัตราเร็วและความถี่ที่ต่างกัน 00:13:27.790 --> 00:13:31.340 ดวงตาของฮอรัสสร้างขึ้นมาจากสัญลักษณ์หกอย่าง 00:13:31.340 --> 00:13:34.450 แต่ละอย่างเป็นตัวแทนของประสาทสัมผัสหนึ่งชนิด 00:13:34.450 --> 00:13:36.890 เหมือนระบบพระเวทโบราณ 00:13:36.890 --> 00:13:43.890 ความคิดถูกพิจารณาให้เป็นประสาทสัมผัสชนิดหนึ่ง 00:13:44.410 --> 00:13:49.240 "ความคิด" ถูกรับรู้ในขณะเดียวกับที่ "ความรู้สึก" ถูกรับรู้บนร่างกาย 00:13:49.290 --> 00:13:54.370 พวกมันผุดขึ้นมาจากแหล่งกำเนิดความสั่นสะเทือนอันเดียวกัน 00:13:54.370 --> 00:13:56.390 การคิดเป็นเพียงเครื่องมือ 00:13:56.390 --> 00:13:58.610 หนึ่งในประสาทสัมผัสทั้งหก 00:13:58.650 --> 00:14:01.790 แต่พวกเรากลับยกมันขึ้นไปอยู่ในสถานะอันสูงส่ง 00:14:01.830 --> 00:14:07.010 จนกระทั่งพวกเราอธิบายตนเองด้วยความคิด 00:14:07.010 --> 00:14:10.600 ความจริงที่ว่าพวกเราไม่ตระหนักรู้ว่าการคิดเป็นเพียงหนึ่งในหกประสาทสัมผัส 00:14:10.620 --> 00:14:12.730 ช่างโดดเด่นเสียเหลือเกิน 00:14:12.770 --> 00:14:17.880 การที่พวกเราหมกมุ่นอยู่ในความคิดที่พยายามจะอธิบายความคิดว่าเป็นประสาทสัมผัส 00:14:17.880 --> 00:14:21.010 ก็เหมือนกับการบอกปลาเกี่ยวกับน้ำ 00:14:21.050 --> 00:14:27.730 น้ำ น้ำอะไร ? 00:14:31.870 --> 00:14:34.670 ในอุปนิษัท (แห่งคัมภีร์พระเวท) มีคำกล่าวว่า 00:14:34.670 --> 00:14:40.890 ไม่ใช่สิ่งนั้นที่ตามองเห็นได้ แต่เป็นที่นั่นที่ใช้ตามองเห็นได้ 00:14:40.890 --> 00:14:47.600 รู้จักสิ่งนั้นก็เป็นพรหมาผู้เป็นนิรันดร์ และก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนที่นี่นิยม 00:14:47.600 --> 00:14:54.050 ไม่ใช่สิ่งนั้นที่หูสามารถได้ยิน แต่เป็นที่นั่นที่สามารถใช้หูได้ยิน 00:14:54.050 --> 00:15:01.050 รู้จักสิ่งนั้นก็เป็นพรหมาผู้เป็นนิรันดร์ และก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนที่นี่นิยม 00:15:03.030 --> 00:15:09.290 ไม่ใช่สิ่งนั้นที่คำพูดทำให้กระจ่างได้ แต่เป็นที่นั่นที่ใช้คำพูดทำให้กระจ่างได้ 00:15:09.290 --> 00:15:16.290 รู้จักสิ่งนั้นก็เป็นพรหมาผู้เป็นนิรันดร์ และก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนที่นี่นิยม 00:15:22.700 --> 00:15:28.890 ไม่ใช่สิ่งนั้นที่จิตคิดได้ แต่เป็นที่นั่นที่ใช้จิตคิดได้ 00:15:28.890 --> 00:15:35.890 รู้จักสิ่งนั้นก็เป็นพรหมาผู้เป็นนิรันดร์ และก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนที่นี่นิยม 00:16:04.490 --> 00:16:10.550 ในทศวรรษล่าสุดที่ผ่านมา ความก้าวหน้าได้เกิดขึ้นในงานวิจัยด้านสมอง 00:16:10.670 --> 00:16:13.550 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ "การยืดหยุ่นของสมอง (neuroplasticity)" 00:16:13.550 --> 00:16:17.490 ซึ่งเป็นคำศัพท์สื่อถึงแนวคิดที่ว่าการเชื่อมเป็นสายทางกายภาพของสมอง 00:16:17.490 --> 00:16:21.300 จะเปลี่ยนไปตามความคิดที่เคลื่อนที่ผ่านมัน 00:16:21.300 --> 00:16:24.040 อย่างที่นักจิตวิทยาชาวแคนนาดา โดนัลด์ เฮบบ์ ได้สรุปไว้ว่า 00:16:24.040 --> 00:16:31.040 "เซลประสาทที่ติดไฟขึ้นพร้อมกัน เชื่อมเป็นสายเดียวกัน" 00:16:34.990 --> 00:16:41.000 เซลประสาทมักเชื่อมเป็นสายเดียวกันเมื่อบุคคลอยู่ในสภาวะที่มีความสนใจตั้งมั่น 00:16:41.000 --> 00:16:46.310 ความหมายของประเด็นนี้ก็คือมันเป็นไปได้ที่จะกำกับประสบการณ์ส่วนตัวแห่งความเป็นจริงของเธอ 00:16:46.540 --> 00:16:52.680 ตามตัวหนังสือ หากความคิดของเธอจัดอยู่ในจำพวกความกลัว ความกังวล ความเครียด และความเป็นลบ 00:16:52.680 --> 00:16:56.490 นั่นหมายถึงเธอได้สร้างสายสำหรับเพาะความคิดเหล่านั้นให้เจริญงอกงาม 00:16:56.590 --> 00:16:58.790 หากเธอกำกับความคิดของเธอให้อยู่ในจำพวกความรัก 00:16:58.790 --> 00:17:02.000 ความเมตตา ความกตัญญู และความรื่นเริง 00:17:02.000 --> 00:17:05.680 เธอก็ได้สร้างสายสำหรับการเกิดซ้ำของประสบการณ์เหล่านั้น 00:17:05.780 --> 00:17:10.049 แต่เราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรในเมื่อพวกเราถูกห้อมล้อมด้วยความรุนแรงและความทุกข์ 00:17:10.049 --> 00:17:15.110 นี่เป็นความหลงผิดหรือความคิดที่พึงปรารถนา ? 00:17:15.160 --> 00:17:18.480 การยืดหยุ่นของสมองไม่ใช่สิ่งเดียวกับความเข้าใจในยุคใหม่ (new age) 00:17:18.530 --> 00:17:22.789 ที่เธอสร้างความเป็นจริงของเธอขึ้นมาด้วยการคิดบวก 00:17:22.939 --> 00:17:28.610 ที่จริงมันเป็นสิ่งเดียวกับที่พระพุทธเจ้าสอนเมื่อ 2500 ปีที่แล้ว 00:17:30.630 --> 00:17:34.110 วิปัสสนาภาวนา หรือการทำสมาธิลึก 00:17:34.260 --> 00:17:39.530 สามารถถูกอธิบายได้ว่าเป็นการกำกับความยืดหยุ่นของสมองด้วยตนเอง 00:17:39.630 --> 00:17:43.520 เธอยอมรับความเป็นจริงของเธออย่างที่มันเป็น 00:17:47.220 --> 00:17:50.770 โดยเธอรับรู้มันที่ระดับรากของประสาทสัมผัส 00:17:50.870 --> 00:17:53.540 ที่ระดับการสั่นสะเทือนหรือพลังงาน 00:17:53.740 --> 00:17:56.730 โดยปราศจากอคติหรืออิทธิพลของความคิด 00:17:56.830 --> 00:18:00.920 ผ่านความสนใจตั้งมั่นที่ระดับรากของความรู้สึกตัว 00:18:00.920 --> 00:18:07.520 การเชื่อมสายแห่งการหยั่งรู้ความเป็นจริงที่แตกต่างทั้งมวลก็ถูกสร้างขึ้น 00:18:18.800 --> 00:18:21.250 พวกเราดำเนินการกลับหลังเกือบตลอดเวลา 00:18:21.450 --> 00:18:27.790 พวกเราปล่อยให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับโลกภายนอกกำหนดรูปร่างของระบบประสาทเรา 00:18:27.990 --> 00:18:34.770 แต่ความสงบภายในของเราจำเป็นต้องไม่ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ภายนอก 00:18:34.770 --> 00:18:37.870 สิ่งแวดล้อมไม่ใช่สาระ 00:18:37.870 --> 00:18:41.860 มีเพียงสภาวะความรู้สึกตัวของฉันเท่านั้นที่เป็นสาระ 00:18:41.910 --> 00:18:44.760 การทำสมาธิในภาษาสันสกฤตหมายถึงการเป็นอิสระจากการตรวจวัด 00:18:44.860 --> 00:18:47.110 อิสระจากการเปรียบเทียบทั้งมวล 00:18:47.160 --> 00:18:49.710 อิสระจากการเป็นทั้งปวง 00:18:49.810 --> 00:18:52.370 เธอไม่ได้กำลังพยายามที่จะเป็นสิ่งอื่นใด 00:18:52.470 --> 00:18:57.600 เธอตกลงปลงใจกับสิ่งที่เป็น 00:18:57.650 --> 00:19:01.020 วิธีผุดขึ้นเหนือความทุกข์แห่งขอบเขตทางกายภาพ 00:19:01.020 --> 00:19:03.190 ก็คือการอ้าแขนรับมัน 00:19:03.240 --> 00:19:05.430 คือการตอบตกลงกับมัน 00:19:05.430 --> 00:19:08.120 ดังนั้นมันจึงเป็นบางอย่างที่อยู่ในเธอ 00:19:08.120 --> 00:19:15.120 มากกว่าที่เธอจะเป็นบางอย่างที่อยู่ในมัน 00:19:21.110 --> 00:19:23.110 บุคคลจะอยู่อย่างไร 00:19:23.210 --> 00:19:27.480 ความรู้สึกตัวจึงจะไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในมัน ? 00:19:27.480 --> 00:19:32.280 บุคคลจะทำให้หัวใจแห่งความทะยานอยากอันคับแคบว่างเปล่าได้อย่างไร ? 00:19:32.280 --> 00:19:35.650 มันต้องมีการปฏิวัติองค์รวมในด้านความรู้สึกตัว 00:19:35.650 --> 00:19:41.510 การยกระดับอย่างถึงรากถึงโคน จากทิศทางสู่โลกภายนอกมาสู่โลกภายใน 00:19:41.610 --> 00:19:45.900 มันไม่ใช่การปฏิวัติที่ดำเนินการด้วยความตั้งใจหรือความพยายามเพียงเท่านั้น 00:19:45.900 --> 00:19:48.800 แต่มันเป็นการยอมจำนนด้วย 00:19:48.800 --> 00:19:55.800 ยอมรับความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น 00:20:01.050 --> 00:20:05.270 รูปพระคริสต์เปิดใจ ชี้นำอย่างแรงกล้าสู่ความคิดเห็นที่ว่า 00:20:05.320 --> 00:20:08.500 บุคคลต้องเปิดใจให้กับความเจ็บปวดทั้งมวล 00:20:08.500 --> 00:20:14.520 บุคคลต้องยอมรับทั้งหมด หากเขาจะดำรงอยู่อย่างเปิดกว้างต่อแหล่งกำเนิดแห่งวิวัฒนาการ 00:20:14.800 --> 00:20:17.420 นี่ไม่ได้หมายความว่าเธอกลายเป็นมาโซคิสต์ (masochist) 00:20:17.620 --> 00:20:19.290 เธอไม่ได้แสวงหาความเจ็บปวด 00:20:19.490 --> 00:20:23.550 แต่เมื่อความเจ็บปวดมาถึง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 00:20:23.550 --> 00:20:27.160 เธอเพียงยอมรับความเป็นจริงง่ายๆอย่างที่มันเป็น 00:20:27.160 --> 00:20:32.330 แทนการทะยานอยากในความเป็นจริงอย่างอื่น 00:20:32.330 --> 00:20:34.140 ชาวฮาวายมีความเชื่ออย่างยาวนาน 00:20:34.240 --> 00:20:37.600 ว่าหัวใจเป็นสิ่งที่เราสามารถใช้เรียนรู้ความจริง 00:20:37.700 --> 00:20:44.600 หัวใจมีปัญญาเฉพาะตัวอย่างเป็นเอกเทศพอๆกับที่สมองมี 00:20:44.680 --> 00:20:47.850 ชาวอียิปต์เชื่อว่าเป็นหัวใจ ไม่ใช่สมอง 00:20:47.950 --> 00:20:49.950 ที่เป็นแหล่งกำเนิดปัญญาของมนุษย์ 00:20:50.150 --> 00:20:54.290 หัวใจได้รับการพิจารณาให้เป็นศูนย์กลางของจิตวิญญาณและบุคลิกภาพ 00:20:54.800 --> 00:20:58.030 เป็นหัวใจนี่เองที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช้พูดผ่าน 00:20:58.030 --> 00:21:05.030 ถ่ายทอดความรู้แห่งหนทางที่แท้จริงให้กับชาวอียิปต์โบราณ 00:21:05.690 --> 00:21:09.150 แผ่นกระดาษพาพิรัสนี้แสดงถึง "การชั่งน้ำหนักหัวใจ" 00:21:09.350 --> 00:21:13.540 มันเป็นการดีที่จะก้าวเข้าสู่ชีวิตหลังความตายด้วยหัวใจที่เบา 00:21:13.610 --> 00:21:20.610 มันหมายถึงเธอได้ใช้ชีวิตมาแล้วอย่างดี 00:21:21.510 --> 00:21:24.390 สภาวะหนึ่งเดียวอันเป็นสากลหรือต้นแบบ 00:21:24.410 --> 00:21:28.250 ที่บุคคลได้ประสบในกระบวนการแห่งการปลุกศูนย์กลางของหัวใจ 00:21:28.270 --> 00:21:35.270 คือการมีประสบการณ์ในพลังงานส่วนบุคคล ในฐานะของพลังงานแห่งจักรวาล 00:21:44.510 --> 00:21:47.630 เมื่อเธออนุญาตให้ตนเองรู้สึกถึงความรักนี้ 00:21:47.690 --> 00:21:49.570 กลายเป็นความรักนี้ 00:21:49.570 --> 00:21:53.460 เมื่อเธอเชื่อมต่อโลกภายในของเธอกับโลกภายนอก 00:21:53.560 --> 00:21:56.770 เมื่อนั้นทั้งหมดคือหนึ่งเดียว 00:21:56.870 --> 00:22:00.860 ทำอย่างไรบุคคลจึงจะได้รับประสบการณ์เสียงเพลงแห่งการโคจรของดวงดาว ? 00:22:00.860 --> 00:22:04.880 ทำอย่างไรหัวใจจึงจะเปิด ? 00:22:07.330 --> 00:22:09.430 รามานะ มหาฤษี กล่าวว่า 00:22:09.530 --> 00:22:12.360 "พระเจ้าอยู่ในเธอ อย่างที่เป็นเธอ 00:22:12.410 --> 00:22:17.600 และเธอไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใด เพื่อให้ตระหนักรู้ในพระเจ้าหรือตระหนักรู้ในตนเอง 00:22:17.660 --> 00:22:21.020 มันคือความจริงและสภาวะธรรมชาติของเธอ 00:22:21.070 --> 00:22:23.130 ขอเพียงล้มเลิกการค้นหา 00:22:23.180 --> 00:22:25.200 หันเหความสนใจของเธอมาสู่ภายใน 00:22:25.200 --> 00:22:27.980 และสละจิตของเธอให้แก่ตัวตนเดียว 00:22:28.130 --> 00:22:31.390 ที่ฉายรัศมีอยู่ในหัวใจแห่งความมีอยู่เป็นอยู่อย่างยิ่งของเธอ 00:22:31.440 --> 00:22:35.000 เพื่อให้สิ่งนี้เป็นประสบการณ์ที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะของเธอ 00:22:35.000 --> 00:22:42.000 การสำรวจตนเองเป็นวิธีที่ตรงและรวดเร็ว 00:22:48.490 --> 00:22:52.020 เมื่อเธอทำสมาธิและสังเกตประสาทสัมผัสภายใน 00:22:52.020 --> 00:22:54.130 ความมีชีวิตอยู่ภายในของเธอ 00:22:58.130 --> 00:23:01.360 แรงแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้คือการผุดขึ้นและจากไป 00:23:01.460 --> 00:23:04.810 ในรูปของการเปลี่ยนแปลงพลังงาน 00:23:04.810 --> 00:23:08.570 ระดับที่บุคคลเข้าร่วมหรือรู้แจ้งได้ 00:23:08.620 --> 00:23:11.280 คือระดับที่บุคคลได้รับความสามารถ 00:23:11.280 --> 00:23:13.480 ที่จะปรับตัวเข้าสู่ทุกขณะเวลา 00:23:13.480 --> 00:23:16.260 หรือที่จะเปลี่ยนสภาพกระแสแห่งมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 00:23:16.260 --> 00:23:19.560 ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม ความเจ็บปวด และความพอใจ 00:23:19.560 --> 00:23:26.560 ให้กลายเป็นความผาสุก 00:23:29.020 --> 00:23:33.520 ลีโอ ตอลสตอย นักเขียนนวนิยายเรื่อง "สงครามและสันติภาพ (War and Peace)" กล่าวว่า 00:23:33.620 --> 00:23:36.550 "ทุกคนคิดที่จะเปลี่ยนแปลงโลก 00:23:36.600 --> 00:23:43.500 แต่ไม่มีใครคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง" 00:23:46.300 --> 00:23:50.110 ดาร์วินกล่าวถึงลักษณะเฉพาะสำคัญที่สุดสำหรับการรอดชีวิตของสปีชีส์ต่างๆว่า 00:23:50.150 --> 00:23:53.110 ไม่ใช่ความเข้มแข็ง หรือความเฉลียวฉลาด 00:23:53.160 --> 00:23:59.360 แต่เป็นความสามารถในการปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลง 00:24:08.600 --> 00:24:11.780 บุคคลควรชำนาญในการปรับตัวสู่ความเปลี่ยนแปลง 00:24:11.780 --> 00:24:15.270 นี่เป็นการตีความหมายคำสอนพระพุทธเจ้าเรื่อง "อนิจจา" ในแง่มุมหนึ่ง 00:24:15.320 --> 00:24:18.260 ทุกสิ่งผุดขึ้นมาและจากไป 00:24:19.510 --> 00:24:21.710 เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 00:24:21.710 --> 00:24:28.710 ความทุกข์เกิดเพียงเพราะเราไปยึดติดกับรูปแบบพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง 00:24:31.800 --> 00:24:34.620 เมื่อเธอเชื่อมโยงอยู่กับส่วนที่ทำหน้าที่สังเกตเห็นของเธอเอง 00:24:34.660 --> 00:24:37.160 ด้วยความเข้าใจในอนิจจา 00:25:24.310 --> 00:25:27.060 นักบุญ นักปราชญ์ และโยคีในประวัติศาสตร์ 00:25:27.160 --> 00:25:31.180 อธิบายเป็นเสียงเดียวกันถึงการรวมเป็นหนึ่งเดียวอันศักดิ์สิทธ์ว่าเกิดขึ้นในใจ 00:25:31.280 --> 00:25:34.320 ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนของนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน 00:25:34.370 --> 00:25:37.250 บทกวีของรูมี 00:25:37.300 --> 00:25:39.760 หรือการสอนแบบตันตระของอินเดีย 00:25:39.760 --> 00:25:47.100 คำสอนทั้งหมดที่แตกต่างกันนี้ล้วนพยายามแสดงถึงความลึกซึ้งอันลึกลับของหัวใจ 00:25:47.140 --> 00:25:50.750 ในหัวใจมีการรวมตัวกันของศิวะและศักติ 00:25:50.750 --> 00:25:54.580 การแทรกซึมความเป็นบุรุษเพศเข้าไปในวงก้นหอยแห่งชีวิต 00:25:54.580 --> 00:25:58.980 และความยอมจำนนแห่งสตรีเพศต่อการเปลี่ยนแปลง 00:25:59.020 --> 00:26:00.080 การสังเกต 00:26:00.080 --> 00:26:06.730 และการยอมรับอย่างไร้เงื่อนไขสำหรับสิ่งทั้งมวลที่เป็นอยู่ 00:26:06.730 --> 00:26:08.400 เพื่อเปิดหัวใจของเธอ 00:26:08.450 --> 00:26:11.530 เธอต้องเปิดตัวเองสู่ความเปลี่ยนแปลง 00:26:11.530 --> 00:26:14.240 การดำรงชีพอยู่ในโลกที่ดูเหมือนจับต้องได้ 00:26:14.240 --> 00:26:15.540 เต้นรำไปกับมัน 00:26:15.540 --> 00:26:17.170 ข้องเกี่ยวกับมัน 00:26:17.170 --> 00:26:18.440 ใช้ชีวิตเต็มบริบูรณ์ 00:26:18.440 --> 00:26:20.500 รักเต็มบริบูรณ์ 00:26:20.500 --> 00:26:23.300 แต่ก็รู้ว่ามันไม่ถาวร 00:26:23.300 --> 00:26:29.990 และท้ายที่สุดรูปแบบทั้งมวลล้วนหลอมละลายและเปลี่ยนแปลง 00:26:29.990 --> 00:26:33.790 ความผาสุกเป็นพลังงานที่ตอบสนองต่อความสงบนิ่ง 00:26:33.790 --> 00:26:37.600 มันมาจากการทำความรู้สึกตัวต่อสิ่งที่บรรจุอยู่ทั้งหมดให้ว่างเปล่า 00:26:37.600 --> 00:26:43.000 สิ่งที่บรรจุอยู่ในพลังความผาสุกอันเกิดจากความสงบนิ่งนี้คือความรู้สึกตัว 00:26:43.040 --> 00:26:45.420 เป็นความรู้สึกตัวชนิดใหม่ของหัวใจ 00:26:45.440 --> 00:02:59.140 เป็นความรู้สึกตัวที่เชื่อมโยงกับทั้งหมดที่เป็นอยู่ 00:02:59.140 --> 00:03:00.440 ที่จะมีความสุข 00:03:25.620 --> 00:03:30.000 ตอนที่ 4 เหนือการคิด 00:05:52.000 --> 00:05:53.250 ข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ 00:07:58.900 --> 00:08:04.200 ได้ถูกแทนที่ด้วยความต้องการประสบการณ์ในโลกภายนอกแห่งรูปแบบทั้งหลาย 00:08:48.200 --> 00:08:39.049 มันเป็นเพียงเอกลักษณ์ของความถือตัวถือตน 00:08:39.049 --> 00:08:41.099 ปริศนาที่ตอบไม่ได้ 00:08:52.550 --> 00:08:54.650 วัตถุประสงค์ 00:09:56.050 --> 00:09:57.400 ท่านตอบอย่างเรียบง่าย 00:10:15.950 --> 00:10:19.550 มันคือการสิ้นสุดของความทุกข์ 00:11:24.950 --> 00:11:28.200 ว่าเป็นเสมือนทางนำไปสู่การตรัสรู้ 00:17:43.600 --> 00:17:47.000 อย่างที่มันเป็นจริงๆ 00:22:54.230 --> 00:22:58.080 ที่จริงเธอกำลังสังเกตความเปลี่ยนแปลง 00:24:18.310 --> 00:24:19.410 เปลี่ยนแปลง 00:24:37.200 --> 00:24:40.750 ความผาสุกปรากฎขึ้นในหัวใจ