เมื่อไม่นานมานี้
ฉันได้ไปเที่ยวในไฮแลนด์ บนเกาะนิวกินี
และได้พูดคุยกับชายคนหนึ่งที่มีภรรยาสามคน
ฉันถามเขาว่า "คุณอยากจะมีภรรยากี่คน"
เขาเงียบไปพักใหญ่
ฉันคิดกับตัวเองว่า
นี่เขาจะตอบว่า 5 คนหรือเปล่า
หรือว่า 10 คน
หรือว่า 25 คน
เขาโน้มตัวมาหาฉัน
และกระซิบว่า
"ไม่อยากมีเลยสักคน"
(เสียงหัวเราะ)
86 เปอร์เซ็นของสังคมมนุษย์
ยอมให้ผู้ชายมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งคน
มีภรรยาหลายคนพร้อมกัน
แต่กลุ่มคนส่วนมากของวัฒนธรรมเหล่านี้
มีเพียงห้าถึงสิบเปอร์เซ็นของผู้ชายเท่านั้น
ที่มีภรรยาหลายคน
การมีคู่ครองหลายคน
สร้างความเจ็บปวดได้เหมือนปวดฟัน
ในความเป็นจริงแล้ว
ภรรยาทั้งหลายจะทะเลาะกัน
บางครั้งถึงกับกลั่นแกล้งลูกของอีกฝ่าย
และคุณก็จำเป็นต้องมีวัว มีแพะ
มีเงิน และมีที่ดินจำนวนมากมาย
ในการที่จะสร้างฮาเร็มขึ้นมา
มนุษย์เราเป็นสปีชีส์ที่มีการจับคู่
97 เปอร์เซ็นของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ไม่มีการจับคู่กันเพื่อเลี้ยงลูกของตน
แต่มนุษย์เราทำเช่นนั้น
ฉันไม่ได้กำลังบอกว่าพวกเรา
ไม่จำเป็นต้องว่ามีความซื่อสัตย์
ต่อคู่ครองของตนเองเสมอไป
ฉันพบเห็นพฤติกรรมนอกใจใน 42 วัฒนธรรม
ฉันเข้าใจว่าจริง ๆ แล้ว
มันเป็นเหตุผลทางพันธุศาสตร์
และระบบวงจรสมอง
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นปกติทั่วโลก
แต่พวกเรานั้นถูกสร้างมาให้รัก
เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงความรักไปอย่างไร
ฉันจะบอกว่าแทบไม่เปลี่ยนเลย
ฉันศึกษาเรื่องสมอง
ฉันและเพื่อนร่วมงาน
ได้สแกนสมองของคนกว่าร้อยคน
ประกอบด้วยคนที่กำลัง
ตกหลุมรักอย่างมีความสุข
คนที่เพิ่งถูกปฏิเสธความรัก
และคนที่ตกหลุมรักมาอย่างยาวนาน
และมันเป็นไปได้นะคะ
ที่จะตกหลุมรักเป็นเวลายาวนาน
และฉันสนับสนุนความคิดที่ว่า
เราวิวัฒนาการระบบประสาทสามระบบ
ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
เพื่อจับคู่และเจริญพันธุ์
แรงขับทางเพศ
ความรู้สึกรักหวานซึ้งอย่างแรงกล้า
และความรู้สึกยึดติดหยั่งรากลึก
กับคู่ครองที่ครองคู่กันมานาน
และด้วยการทำงานร่วมกันของ
ระบบประสาททั้งสามระบบ
ร่วมกับส่วนอื่น ๆ ของสมอง
ก่อให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์
ความรักอย่างลึกซึ้ง และการสร้างครอบครัว
แต่พวกมันอยู่ต่ำกว่าสมองชั้นนอกมาก
ต่ำลงไปกว่าระบบลิมบิค
ที่ทำให้เรารู้สึกถึงอารมณ์
สร้างอารมณ์ความรู้สึกของเรา
ระบบประสาทเหล่านี้วางตัวอยู่
ในส่วนดั้งเดิมของสมองเชื่อมต่อกับพลังงาน
การเพ่งความคิด ความปรารถนา
แรงบันดาลใจ ความต้องการ และแรงขับ
ในกรณีนี้
เป็นแรงขับที่จะให้ได้มาซึ่งรางวัล
อันยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต
นั่นคือ คู่สืบพันธุ์
โดยมีวิวัฒนาการมากว่า 4.4 ล้านปี
ตั้งแต่ยุคแรกของบรรพบุรุษ
และมันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ไม่ว่าคุณจะปัดหน้าจอแอปทินเดอร์ไปซ้ายหรือขวา
(เสียงหัวเราะ)
(เสียงปรบมือ)
เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนวิธีที่เราใช้จีบกัน
อย่างไม่ต้องสงสัย
อีเมล ส่งข้อความ
สัญลักษณ์อิโมจิเพื่อสื่ออารมณ์
ข้อความหรือรูปภาพติดเรท
การกดไลค์รูป การถ่ายเซลฟี
พวกเรากำลังมองเห็นกฎเกณฑ์
และข้อห้ามใหม่ ๆ สำหรับการจีบกัน
แต่คุณคิดว่า
สิ่งเหล่านี้กำลังเปลี่ยนแปลงความรัก
อย่างมากมายจริง ๆ น่ะหรือ
ลองคิดถึงสมัยปลายทศวรรษที่ 40 สิ
ตอนที่รถยนต์เป็นที่นิยมมาก
ทันใดนั้นพวกเราก็มีห้องนอนที่เขย่าไปมาได้
(เสียงหัวเราะ)
หรือว่าการเกิดขึ้นของยาคุมกำเนิด
ที่ช่วยปลดปล่อยผู้หญิงจากภัยคุกคาม
ของการตั้งครรภ์และความย่อยยับทางสังคม
ในที่สุดผู้หญิงก็สามารถแสดงออกถึง
ความต้องการทางเพศจากสัญชาตญาณดิบได้
แม้กระทั่งเว็บไซต์หาคู่
ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรัก
ฉันเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์
ของเว็บ Match.com
มาเป็นระยะเวลา 11 ปีแล้ว
ฉันเฝ้าบอกพวกเขา และพวกเขาก็เห็นด้วย
ว่าเว็บเหล่านี้ไม่ใช่เว็บหาคู่
แต่เป็นเพียงเว็บแนะนำตัว
เมื่อคุณนั่งลงในบาร์
ในร้านกาแฟ
บนม้านั่งในสวนสาธารณะ
สมองดึกดำบรรพ์ของคุณเริ่มปฏิบัติการ
เหมือนแมวหลับที่ถูกปลุกให้ตื่น
และคุณก็เริ่มยิ้ม
และหัวเราะ
และตั้งใจฟัง
และทำสิ่งต่าง ๆ ที่บรรพบุรุษของเราทำ
เฉกเช่นเมื่อหนึ่งแสนปีที่แล้ว
เราสามารถมอบผู้คนมากมายให้กับคุณ
เหมือนเช่นที่เว็บไซต์หาคู่ทำ
แต่อัลกอริทีมที่แท้จริงคือ
สมองของมนุษย์ต่างหาก
เทคโนโลยีไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้
เทคโนโลยีไม่ได้เปลี่ยนคนที่คุณเลือกที่จะรัก
ฉันศึกษาชีววิทยาด้านบุคลิกภาพ
และฉันเชื่อ
ว่าเราค่อย ๆ พัฒนาวิธีการคิด
และพฤติกรรมอย่างกว้าง ๆ 4 แบบ
ที่เชื่อมโยงกับระบบโดพามีน, เซโรโทนิน,
เทสโทสเตอโรน และ เอสโทรเจน
ดังนั้น ฉันจึงได้สร้างแบบสอบถาม
ที่พัฒนาจากวิทยาศาสตร์ด้านสมอง
เพื่อวัดระดับที่คนแสดงคุณสมบัติ
กลุ่มของคุณสมบัติ
ที่เชื่อมโยงกับแต่ละระบบสมองทั้งสี่ชนิดนี้
จากนั้นฉันได้ใส่แบบสอบถามนี้
ลงในเว็บหาคู่ต่าง ๆ
ใน 40 ประเทศ
ขณะนี้มีคนตอบแบบสอบถามนี้แล้ว
มากกว่า 14 ล้านคน
และฉันก็ได้เห็นว่า
ตามธรรมชาติแล้ว คนแบบไหนจะดึงดูดกัน
ฉันพบว่า
คนที่มีการแสดงออก
ของระบบโดพามีนอย่างชัดเจน
มีแนวโน้มที่จะขี้สงสัย สร้างสรรค์
ตอบสนองทันที มีพลังงาน
ซึ่งฉันอยากจะคิดว่า
มีผู้คนมากมายในห้องนี้มีลักษณะเช่นนี้
จะดึงดูดคนที่มีลักษณะเหมือนกับตนเอง
คนที่ขี้สงสัยและมีความคิดสร้างสรรค์
ต้องการผู้คนแบบเดียวกับตน
คนที่มีการแสดงออก
ของระบบเซโรโทนินอย่างชัดเจน
มีแนวโน้มที่เป็นพวกจะอนุรักษ์นิยม
และปฏิบัติตามกฎ
เคารพผู้ที่มีอำนาจมากกว่า
การเลื่อมใสในศาสนา
ก็แสดงออกในระบบเซโรเทนิน
และคนที่เป็นอนุรักษ์นิยม
ก็เลือกที่จะไปกับคนที่เป็นอนุรักษ์นิยม
กรณีนี้ คนที่เหมือนกันจะดึงดูดดัน
ในกรณีที่เหลืออีก 2 กรณีนั้น
คนที่ต่างกันดึงดูดกัน
คนที่มีการแสดงออก
ของระบบเทสโทสเตอโรนอย่างชัดเจน
มีแนวโน้มที่จะช่างวิเคราะห์ คิดเป็นระบบ
ตรงไปตรงมา ตัดสินใจได้เด็ดขาด
พวกเขาจะเลือกคนที่ตรงข้ามกับตน
พวกเขามองหาคนที่มีระดับเอสโตรเจนสูง
คนที่มีทักษะทางด้านภาษาดี
มีทักษะกับคนที่ดี
มีความคิดริเริ่ม
คนที่ชอบดูแลคนอื่น
และแสดงออกทางอารมณ์อย่างชัดเจน
เรามีรูปแบบทางธรรมชาติของการเลือกคู่
เทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
คนที่เราเลือกที่จะรัก
แต่เทคโนโลยีกำลัง
สร้างแนวโน้มใหม่อย่างหนึ่ง
ที่ฉันพบว่าสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
มันเกี่ยวข้องกับแนวคิด
เรื่องความย้อนแย้งของการมีทางเลือก
เป็นเวลาหลายล้านปีมาแล้ว
เราอาศัยเป็นกลุ่มขนาดเล็ก
ล่าสัตว์ เก็บของป่า
พวกคุณไม่ได้มีโอกาสที่จะต้องเลือก
หนึ่งคนจากตัวเลือกหนึ่งพันคน
เหมือนในเว็บหาคู่
จริง ๆ แล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้
ฉันได้ทำการศึกษา
และคิดว่าในสมองของเรานั้น
มีจุดที่ค่อนข้างอ่อนหวาน
ฉ้นไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่จากการอ่านข้อมูลจำนวนมาก
คนเราจะจัดการกับตัวเลือก 5-9 คนได้
แต่หากมากกว่านั้น
คุณจะเกิดอาการที่ศัพท์วิชาการเรียกว่า
"ภาระเกินของกระบวนการรับรู้"
และคุณจะไม่เลือกใครเลย
ดังนั้น ฉันจึงคิดว่า
การเกิดภาระเกินทางการรับรู้นี้
จะนำไปสู่การสร้างรูปแบบการจีบกันแบบใหม่
ที่ฉันเรียกว่า "รักอย่างช้า ๆ"
ฉันได้แนวคิดนี้
ในระหว่างที่ทำงานกับ Match.com
ทุก ๆ ปีตลอด 6 ปีที่ผ่านมา
เราทำการศึกษาที่เรียกว่า
"คนโสดในอเมริกา"
เราไม่ได้สำรวจความคิดเห็น
เฉพาะคนที่ใช้เว็บไซต์ Match.com
เราสำรวจความคิดเห็น
ของประชาชนชาวอเมริกา
โดยใช้คนอย่างน้อยห้าพันคน
เป็นกลุ่มตัวอย่างของชาวอเมริกัน
ที่อยู่ในสำมะโนประชากรของอเมริกา
ในขณะนี้เราได้ข้อมูล
จากผู้คนมากกว่าสามหมื่นคน
และทุก ๆ ปี
ฉันมองเห็นรูปแบบที่เหมือนเดิมบางอย่าง
ทุก ๆ ปีที่ฉันตั้งคำถาม
พบว่ามากกว่า 50 เปอร์เซ็นของคน
ที่มีความสัมพันธ์แบบคู่นอนคืนเดียว
ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นปีที่แล้ว
แต่ช่วงใดช่วงหนึ่งในชีวิต
50 เปอร์เซ็นเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง
กับเพื่อนแต่ไม่ผูกพัน
อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต
และมากกว่า 50 เปอร์เซ็น
ใช้ชีวิตคู่อย่างยาวนาน
ก่อนที่จะแต่งงานกัน
เนื่องจากคนอเมริกาคิดว่านี่เป็นเรื่องที่เสี่ยง
ฉันสงสัยมานานแล้ว
รูปแบบดังกล่าวมีความชัดเจนเกินไป
มันต้องอธิบายได้ด้วยทฤษฎีของดาร์วิน
ไม่ใช่ว่าผู้คนมากมายกำลังเป็นบ้า
และฉันก็พบคำอธิบายทางสถิติ
ที่น่าเชื่อถือโดยบังเอิญ
จากบทความทางวิชาการที่น่าสนใจฉบับนึง
ฉันพบว่า 67 เปอร์เซ็นต์
ของคนโสดชาวอเมริกา
ที่ใช้ชีวิตคู่กับใครสักคนอย่างยาวนาน
แต่ไม่ยอมแต่งงาน
เป็นเพราะพวกเขากลัวการหย่าร้าง
พวกเขากลัวผลลัพธ์ทางสังคม
ทางกฎหมาย ทางอารมณ์
ทางเศรษฐกิจ ของการหย่าร้าง
ดังนั้น ฉันไม่คิดว่า
เหตุผลคือการกลัวความเสี่ยง
แต่คิดว่ามันคือความหวาดระแวง
ทุกวันนี้ คนโสดต่างอยากรู้
ทุก ๆ รายละเอียดเกี่ยวกับคนที่คบหา
ก่อนจะแต่งงานกัน
คุณเรียนรู้มากมายบนเตียง
ไม่เพียงแต่ว่าวิธีการร่วมรักของเขา
แต่เรียนรู้ด้วยว่าคน ๆ นั้น
จิตใจดีหรือไม่
เขารู้จักรับฟังไหม
และสำหรับคนรุ่นฉัน
เรียนรู้ด้วยว่าเขามีอารมณ์ขันหรือไม่
(เสียงหัวเราะ)
และในยุคที่เราต่างมีทางเลือกเกินพอ
แถมยังไม่ต้องกังวลว่าจะท้องหรือจะติดโรค
และไม่มีต้องละอาย
เรื่องมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน
ฉันคิดว่าผู้คนจึงใช้เวลาในการศึกษากัน
จริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ
เรากำลังมองเห็น
ขั้นแรกก่อนจะเริ่มผูกมัด
ก่อนจะขมวดปมให้แน่นต่อไป
ในสมัยก่อน การแต่งงาน
เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์
ในตอนนี้ ถือเป็นจุดสุดท้าย
แต่สมองของคนนั้น...
(เสียงหัวเราะ)
สมองมักจะชนะเสมอ
ในสหรัฐอเมริกาตอนนี้
86 เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกา
แต่งงานตอนอายุ 49 ปี
กระทั่งในวัฒนธรรมทั่วโลก
ที่การแต่งงานไม่เกิดขึ้นบ่อย ๆ
ก็เริ่มยอมรับการอยู่ร่วมกันนาน ๆ
ก่อนแต่งงานมากขึ้น
ดั้งนั้นฉันจึงคิดว่า
ในช่วงขั้นแรกก่อนจะเริ่มผูกมัดนี้
ถ้าคุณสามารถยกเลิกความสัมพันธ์
ที่แย่ ๆ ก่อนแต่งงานได้
บางทีเราอาจจะเห็นคู่แต่งงาน
ที่มีความสุขมากขึ้นก็ได้
ฉันจึงทำการศึกษาคู่แต่งงาน
1,100 คู่ในอเมริกา
แน่นอนไม่ใช่พวกที่อยู่ใน Match.com
ฉันถามคำถามพวกเขามากมาย
แต่หนึ่งสิ่งที่ถามคือ
คุณจะแต่งงานอีกครั้ง
กับคนที่คุณแต่งอยู่ตอนนี้ไหม
81 เปอร์เซ็นต์ตอบว่า แต่ง
ความจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงมากที่สุด
ของชีวิตรักและครอบครัวสมัยใหม่
ไม่ใช่เทคโนโลยี
ไม่ใช่กระทั่งการรักอย่างช้า ๆ
แต่คือการที่ผู้หญิงได้เข้าสู่ตลาดแรงงาน
ในวัฒนธรรมทั่วโลก
เป็นเวลากว่าหลายล้านปี
บรรพบุรุษของเราอาศัยในสังคมขนาดเล็ก
ล่าสัตว์และเก็บอาหาร
ผู้หญิงทำงานด้วยการเก็บเกี่ยวพืชผล
และนำอาหารกลับบ้าน
สำหรับ 60-80 เปอร์เซ็นต์ของมื้อเย็น
ครอบครัวต้องการผู้มีรายได้ทั้งสองคน
และผู้หญิงได้รับการยอมรับ
ด้านเศรษฐกิจ สังคม
และมีอำนาจทางเพศเท่าเทียมเพศชาย
การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
เมื่อหนึ่งหมื่นปีที่แล้ว
เป็นจุดเริ่มต้นของการทำกสิกรรม
ซึ่งทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างตั้งมั่น
ที่จะแต่งงานกับคนที่เหมาะสม
ทั้งด้านพื้นความหลัง
ด้านศาสนา
และมีเครือญาติและการเชื่อมโยง
ทางสัมคมการเมืองที่ตรงกัน
งานของผู้ชายมีความสำคัญมากขึ้น
พวกเขาต้องเคลื่อนหิน
ตัดต้นไม้ ไถพรวนดิน
นำสินค้าไปขายที่ตลาดและกลับบ้าน
ด้วยเงินตอบแทนที่เท่าเทียมกัน
ในช่วงนั้น
เรามองเห็นจุดเริ่มต้นของความเชื่อ
เรื่องการรักษาพรหมจรรย์ก่อนแต่งงาน
การคลุมถุงชนที่เข้มงวด
เห็นความเชื่อว่าผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว
และที่ของผู้หญิงคือบ้าน
ที่สำคัญที่สุดคือ
การรักษาเกียรติของสามี
ตราบจนตายจากกัน
สิ่งเหล่านี้ได้สูญหายไปหมดแล้ว
อาจยังมีอยู่ในหลายที่
แต่อีกในหลายที่
ก็ไม่มีอีกแล้ว
ตอนนี้เราอยู่ในช่วง
การปฏิวัติด้านการแต่งงาน
เราค่อย ๆ ปล่อยวัฒนธรรมของสังคมกสิกรรม
เมื่อหนึ่งหมื่นปีที่แล้วให้สูญหายไป
และมุ่งไปสู่ความเสมอภาค
ของความสัมพันธ์ระหว่างเพศ
เหมือนอย่างที่บรรพบุรุษ
สมัยดึกดำบรรพ์ของเราทำ
ฉันไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดีเกินไป
ยังมีเรื่องน่าเศร้าอีกมาก
ฉันศึกษาเรื่องการหย่าร้าง
ใน 80 วัฒนธรรม
อย่างที่กล่าวมาแล้ว
ฉันศึกษาเรื่องการนอกใจ
มันมีกองปัญหาขนาดใหญ่
ดังที่กวี วิลเลี่ยม บัทเลอร์ ยีทส์
ได้กล่าวไว้ว่า
"ความรักคือความคดโกง"
ฉันจะเพิ่มอีกว่า
"ไม่มีใครรอดออกมาอย่างมีชีวิตสักคน"
(เสียงหัวเราะ)
เราทุกคนต่างมีปัญหา
แต่ฉันว่าบทกลอนของ แรนดอลล์ จาร์เรลล์
กล่าวสรุปได้ดีที่สุด
ว่า "ในชีวิตครอบครัวที่มืดมนและเป็นทุกข์
คนที่เยี่ยมที่สุดอาจล้มเหลว
และคนที่ต่ำต้อยที่สุดกลับชนะ"
ฉันจะทิ้งท้ายไว้ดังนี้
ความรักและความผูกพันจะชนะ
เทคโนโลยีไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้
และฉันจะสรุป โดยกล่าวว่า
การจะเข้าใจในความสัมพันธ์ใด ๆ ต้องคำนึงถึง
หนึ่งในพฤติกรรมที่ทรงพลังของมนุษย์ คือ
ความกระหาย
ความสามารถในการปรับตัว
และแรงขับเคลื่อนเพื่อไขว่คว้าความรัก
ขอบคุณค่ะ
(เสียงปรบมือ)
เคลลี่ สเตทเซล:
ขอบคุณมากค่ะ เฮเลน
อย่างที่รู้ เรามีผู้พูดอีกท่านที่นี่
ที่ทำงานในสาขาเดียวกับคุณ
เธอศึกษาด้วยวิธีที่แตกต่างกัน
เอสเธอร์ เพเรล
เป็นนักจิตวิทยาที่ทำงานกับคู่แต่งงาน
คุณศึกษาด้วยการเก็บข้อมูล
เอสเธอร์ศึกษาจาก
สิ่งที่คู่สมรสเล่าให้เธอฟัง
เมื่อพวกเขามาขอคำปรึกษาจากเธอ
เชิญเธอขึ้นมาบนเวทีเลยค่ะ
เอสเธอร์
(เสียงปรบมือ)
เอสเธอร์คะ
เมื่อคุณฟังสิ่งที่ เฮเลน พูดมา
มีส่วนไหนบ้างไหม
ที่สอดคล้องกับงานของคุณ
หรือคุณอยากจะให้ความเห็นเพิ่มเติม
เอสเธอร์ เพเรล:
น่าสนใจค่ะ เพราะว่าในทางหนึ่งแล้ว
ความต้องการรักเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไป
แต่วิธีที่เรารัก
ความหมายของความรัก
ในมุมมองของแต่ละคน
วิธีการดำเนินความสัมพันธ์ ฉันคิดว่า
ได้เปลี่ยนแปลงไป
เราเคยถูกสร้างจากรูปแบบ
ซึ่งถูกควบคุมด้วยหน้าที่
และความรับผิดชอบเป็นหลัก
ความต้องการการรวมกลุ่มและการยอมรับ
แต่ตอนนี้ เราเปลี่ยนไป
สู่รูปแบบของการมีทางเลือกอิสระ
และเชื่อในสิทธิของบุคคล
การเติมเต็มและหาความสุขให้ตัวเอง
และสิ่งแรกที่ฉันคิดถึงคือ
ความต้องการไม่เคยเปลี่ยนไป
เพียงแต่วิธีที่เราควบคุมความสัมพันธ์เหล่านี้
ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
การมีทางเลือกที่มากเกินไป
ทำให้เราเพลิดเพลินกับสิ่งใหม่ ๆ
และความสนุกสนาน
จากการมีตัวเลือกมากมาย
ในขณะเดียวกัน
เมื่อคุณพูดถึงภาระเกินของกระบวนการรับรู้
ฉันเห็นผู้คนมากมาย
ที่กลัวความไม่แน่นอน
และมีความสงสัยในตัวเอง
อันเนื่องมาจากทางเลือกที่มากมายนี้
ไปสู่สิ่งที่เรีกว่า "โฟโม"
ซึ่งขับเคลื่อนเรา
โฟโมคือความกลัว
ที่จะพลาดโอกาสหรือสูญเสีย
เช่น "ฉันจะรู้ได้อย่างไร
ว่าได้พบคนที่ใช่แล้ว"
ด้วยเหตุนี้ เราจึงสร้างสิ่งที่ฉันเรียกว่า
"ความคลุมเครืออย่างมั่นคง"
ความคลุมเครืออย่างมั่นคงเกิดขึ้น
เมื่อคุณกลัวเกินไปที่จะอยู่คนเดียว
แต่ก็ไม่เต็มใจ
ที่จะสร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใคร
เป็นวิธีการยื้อเวลาแห่งความไม่แน่นอน
ของการมีความสัมพันธ์
ทั้งยังยื้อเวลาของความไม่แน่นอน
ในการเลิกกันด้วย
ด้วยเหตุนี้ บนอินเตอร์เน็ต
เราจะพบความสัมพันธ์สามรูปแบบ
รูปแบบแรก เรียกว่า
การโรยน้ำตาลไอซิงและการเคี่ยว
ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม
ของการครอบครองรูปแบบหนึ่ง
เป็นการย้ำถึงธรรมชาติ
ของความสัมพันธ์ที่ไม่มีนิยาม
แต่ในขณะเดียวกัน
ก็มอบความมั่นคงให้คุณพอสมควร
และยังมอบอิสระอย่างเพียงพอ
ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่มีนิยาม
(เสียงหัวเราะ)
ใช่ไหมคะ
และ มาถึงรูปแบบที่เรียกว่า ผี
รูปแบบผี คือ
การที่คุณทำตัวหายไปเลย
และไม่ต้องจัดการกับความเจ็บปวด
ที่สร้างให้กับอีกฝ่าย
คุณทำมันราวกับมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเห็น
แม้กระทั่งตัวคุณเอง
(เสียงหัวเราะ)
ใช่ไหม
ดั้งนั้น ตอนที่กำลังฟังคุณพูด ฉันก็คิดว่า
คำศัพท์สามารถสร้างสรรค์ความจริงได้อย่างไร
และในขณะเดียวกัน
นี่คือคำถามที่ฉันอยากจะถามคุณ
คุณคิดว่าเมื่อบริบทแวดล้อมเปลี่ยนไป
ธรรมชาติของความรัก
จะยังคงเหมือนเดิมหรือไม่
คุณศึกษาสมอง
ฉันศึกษาความสัมพันธ์ของคนและเรื่องราว
ฉันคิดว่ามันเกี่ยวกับทุกอย่างที่คุณพูดมา
แต่ฉันไม่รู้ว่าบริบทแวดล้อม
ต้องเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด
หรือว่า ณ จุดหนึ่ง
จึงเริ่มมีเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
ถ้าความหมายเปลี่ยนแปลงไป
มันจะเปลี่ยนความต้องการไปด้วย
หรือความต้องการนั้น
ไม่เปลี่ยนไปตามบริบททั้งหมด
เฮเลน: ว้าว! อืม
(เสียงหัวเราะ)
(เสียงปรบมือ)
ฉันได้สามคำถามใช่ไหมคะ
ก่อนอื่น คำถามแรกของคุณ
แน่นอนว่าพวกเราเปลี่ยนแปลงไป
ตอนนี้เราต้องการใครสักคนมารัก
และในหลายพันปีที่ผ่านมา
เราต้องแต่งงานกับคนที่ใช่
ใช่ในด้านพื้นเพและเครือข่ายที่มี
และความจริงแล้วในการศึกษา
ผู้คนห้าพันคนทุก ๆ ปี
ฉันถามพวกเขาว่า
"คุณกำลังมองหาอะไร"
และทุก ๆ ปี
มี 97 เปอร์เซ็นตอบว่า
เอสเธอร์: ความยืนยาว
เฮเลน: ไม่ใช่ค่ะ
โดยพื้นฐาน คือ
มากกว่า 97 เปอร์เซ็นของคน
ต้องการคนที่เคารพ
และให้เกียรติตนเอง
คนที่เชื่อใจและไว้ใจได้
คนที่ทำให้หัวเราะได้
คนที่มีเวลาให้กับพวกเขามากพอ
และ คนที่ทำให้รู้สึกดึงดูดทางกาย
สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยน
และ ยังมีอีกสองส่วน
เอสเธอร์:
แต่ว่าสำหรับฉันแล้ว
นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนเคยพูดถึงนะ
เฮเลน: ถูกต้องที่สุดค่ะ
เอสเธอร์: พวกเขาบอกว่า
ต้องการใครสักคนที่อยู่เคียงข้างกัน
สนับสนุนด้านการเงิน มีลูก
เราก้าวจากเศรษฐกิจที่เน้นการผลิต
มาสู่เศรษฐกิจที่เน้นการบริการ
(เสียงหัวเราะ)
เราทำอย่างนี้ในวัฒนธรรมที่กว้างใหญ่ขึ้น
และทำผ่านการแต่งงาน
เฮเลน: ใช่ค่ะ ไม่ต้องสงสัยเลย
แต่มันน่าสนใจนะที่คน Gen Y
(Millennium) อยากจะเป็นพ่อแม่ที่ดี
ในขณะที่คนยุคก่อนนั้น
อยากจะมีชีวิตแต่งงานที่ดี
โดยไม่จดจ่อกับการเป็นพ่อแม่ที่ดีมากนัก
คุณมองเห็นความแตกต่างเล็ก ๆ นี้ได้
มีองค์ประกอบพื้นฐาน
ของบุคลิกภาพสองประการ
นั่นคือ วัฒนธรรม
ทุกสิ่งที่ทำและเชื่อในขณะที่เติบโตมา
และนิสัยใจคอของคุณ
ซึ่งสิ่งที่ฉันได้อ้างถึงก่อนหน้านี้
คือ นิสัยใจคอของคุณ
นิสัยเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา
และตามความเชื่อ
และในแง่ของการมีทางเลือกที่มากเกินไป
มันสร้างความยุ่งยากอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อล้านปีที่แล้ว
คุณอาจพบเด็กหนุ่มที่แสนอ่อนหวาน
ที่แอ่งน้ำอีกด้านหนึ่ง
และคุณก็มุ่งไปหาเลย
เอสเธอร์: ใช่ แต่คุณ
เฮเลน: ฉันอยากจะกล่าวเพิ่มอีกอย่าง
สิ่งสำคัญของสังคมล่าสัตว์
และเก็บอาหารคือ
ผู้คนมีแนวโน้มที่จะมีคู่เพียงสองหรือสามคน
ตลอดช่วงชีวิตของพวกเขา
พวกเขาไม่ได้ซื่อสัตย์
แต่ฉันก็ไม่ได้บอกว่าพวกเราซื่อสัตย์
สิ่งสำคัญคือ
เรามีทางเลือกเสมอ
มนุษย์เป็นแบบนั้น
ความจริงแล้ว
สมองถูกสร้างมาให้เกิดความสมดุล
เพื่อพยายามและตัดสินใจ
ฉันจะมาหรือจะอยู่
ฉันจะไปหรือจะอยู่
ที่นี่มีโอกาสอะไรบ้าง
ฉันจะจัดการสิ่งนี้อย่างไร
และฉันคิดว่าเรากำลังเห็นการเผยตัว
ของสิ่งนี้ในตอนนี้แล้ว
เคลลี่: ขอบคุณพวกคุณทั้งสองมาก
ฉันคิดว่าคุณกำลังจะมีคู่เดท
ในมื้อเย็นนี้นับล้านคู่เลยล่ะ
(เสียงปรบมือ)
ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ