1 00:00:00,000 --> 00:00:02,160 ทำไมสั่งแฮมเบอร์เกอร์แล้วไม่ได้กินแฮม 2 00:00:02,160 --> 00:00:04,080 สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ 3 00:00:04,080 --> 00:00:08,060 เมื่อไม่นานมานี้นะคะ วิวเพิ่งจะเห็นกระทู้กระทู้นึง จากเว็บไซต์ Pantip.com ค่ะ 4 00:00:08,060 --> 00:00:11,280 ก็คือกระทู้นี้เลยนะคะ มีคนคนนึงออกมาบ่นค่ะประมาณว่า 5 00:00:11,280 --> 00:00:14,640 เฮ้ย เนี่ย ฉันไปที่ร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังร้านนึงนะ แล้วฉันก็ 6 00:00:14,640 --> 00:00:16,260 ไปสั่งเมนูที่ชื่อว่าแฮมเบอร์เกอร์ 7 00:00:16,260 --> 00:00:18,900 แต่ฉันน่ะไม่กินเนื้อวัวแล้วฉันก็แพ้เนื้อวัวด้วยนะ 8 00:00:18,900 --> 00:00:20,820 กินแล้วปวดหัวไม่สบายตัวอะไรต่างๆ 9 00:00:20,820 --> 00:00:24,420 ปรากฏว่าสั่งเมนูแฮมเบอร์เกอร์ เพราะมั่นใจมากว่าจะต้องเป็นเนื้อหมูแฮม 10 00:00:24,420 --> 00:00:27,820 สั่งลงไป อ้าว! นี่มันเนื้อวัวชัดๆ ร้านนี้มันหลอกลวงนะคะ 11 00:00:27,820 --> 00:00:30,300 ก็เลยมาตั้งกระทู้พันทิปเตือนภัยทุกคนค่ะ 12 00:00:30,300 --> 00:00:32,460 คือพอฟังคำถามเขาแล้วเนี่ยนะคะมันก็น่าสนใจ 13 00:00:32,460 --> 00:00:34,800 เพราะว่าเวลาที่เราไปที่ร้านแล้วเราสั่งชีสเบอร์เกอร์ 14 00:00:34,800 --> 00:00:36,240 เราก็ได้เมนูที่มีชีส 15 00:00:36,240 --> 00:00:38,900 เวลาเราสั่งฟิชเบอร์เกอร์ เราก็ได้เมนูที่มีปลา 16 00:00:38,900 --> 00:00:41,580 เออ ทำไมเราสั่งแฮมเบอร์เกอร์แล้วเราไม่ได้แฮมล่ะ ใช่มั้ยล่ะ 17 00:00:41,580 --> 00:00:44,780 จริงๆเราก็รู้กันอยู่แล้วแหละว่าแฮมเบอร์เกอร์เนี่ยมันเป็นเนื้อวัว 18 00:00:44,780 --> 00:00:46,560 แต่ว่าแล้วทำไมมันถึงชื่อแฮมเบอร์เกอร์ 19 00:00:46,560 --> 00:00:49,340 แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแฮม ทำไมมันถึงไม่มีแฮมอยู่ข้างในนะคะ 20 00:00:49,340 --> 00:00:54,340 ซึ่งจะบอกว่าคำตอบของเรื่องนี้นะคะสามารถสืบย้อน ไปในประวัติศาสตร์ได้อย่างยาวนานเลยค่ะ 21 00:00:54,340 --> 00:00:57,360 สืบย้อนไปถึงขั้นถึงเจงกีส ข่านเลยทีเดียวนะคะ 22 00:00:57,360 --> 00:01:00,620 ดังนั้นวันนี้วิวก็เลยรวบรวมข้อมูลต่างๆมาเล่าให้ทุกคนฟังค่ะ 23 00:01:00,620 --> 00:01:01,940 เป็นไง น่าสนใจกันมั้ยคะ 24 00:01:01,940 --> 00:01:04,820 ถ้าสนใจกันแล้ว อย่าลืมกดติดตามวิวให้ครบทุกช่องทางค่ะ 25 00:01:04,820 --> 00:01:07,660 ไม่ว่าจะเป็นทาง Facebook, Youtube, Twitter, Instagram นะคะ 26 00:01:07,660 --> 00:01:11,160 จะได้ไม่พลาดคลิปวิดิโอสนุกๆ แล้วก็ข่าวสารดีๆจากช่อง Point of View ค่ะ 27 00:01:11,160 --> 00:01:13,240 บอกเลยว่าแต่ละช่องทางไม่เหมือนกันนะจ๊ะ 28 00:01:13,240 --> 00:01:17,300 สำหรับตอนนี้พร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ ทั้งสนุกแล้วก็มีสาระกันรึยังคะ 29 00:01:17,300 --> 00:01:19,260 ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ 30 00:01:23,160 --> 00:01:25,080 ใครที่ฟังเรื่องราวที่วิวเล่าต่อจากนี้แล้ว 31 00:01:25,080 --> 00:01:28,120 อยากหาอ่านเพิ่มเติมนะคะ วิวลงอ้างอิงไว้ให้ด้านล่างค่ะ 32 00:01:28,120 --> 00:01:30,020 สามารถไปค้นหาเพิ่มเติมกันได้เลยนะคะ 33 00:01:30,020 --> 00:01:31,960 สำหรับตอนนี้เข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ 34 00:01:31,960 --> 00:01:35,520 ถ้าเราจะพูดว่าทำไมในแฮมเบอร์เกอร์ ถึงไม่มีส่วนผสมของแฮมเนี่ยนะคะ 35 00:01:35,520 --> 00:01:39,240 เราต้องมองย้อนกลับไปที่ประวัติของอาหารชนิดนี้ค่ะ 36 00:01:39,240 --> 00:01:42,200 ย้อนไปไกลแสนไกลแสนไกล ไกลมากๆเลยนะคะ 37 00:01:42,200 --> 00:01:44,640 ไกลจนกระทั่งถึงยุคเจงกีส ข่านเลยทีเดียวค่ะ 38 00:01:44,640 --> 00:01:47,240 เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นกับชื่อเจงกีส ข่านกันดีใช่มั้ยคะ 39 00:01:47,240 --> 00:01:50,780 ผู้นำชาวมองโกลที่ขึ้นมาปกครองจีนช่วงยุคราชวงศ์หยวนน่ะนะ 40 00:01:50,780 --> 00:01:55,060 ซึ่งเจงกีส ข่านเนี่ยทุกคนก็น่าจะรู้กันดีว่า แผ่กระจายอำนาจไปกว้างไกลมากนะคะ 41 00:01:55,060 --> 00:01:58,380 ทั้งในยุคของเจงกีส ข่าน แล้วก็ในยุคต่อมาคือกุบไล ข่านนะคะ 42 00:01:58,380 --> 00:02:01,240 ทีนี้ถามว่าเจงกีส ข่านมันเกี่ยวอะไรกับแฮมเบอร์เกอร์ 43 00:02:01,240 --> 00:02:04,068 ก็ต้องบอกว่ามันเกี่ยวกับที่ว่ากองทัพของเจงกีส ข่าน 44 00:02:04,068 --> 00:02:06,160 เป็นกองทัพที่ค่อนข้างจะน่ากลัวมากๆค่ะ 45 00:02:06,160 --> 00:02:07,920 แล้วก็แผ่กระจายอำนาจไปทั่วเลยนะคะ 46 00:02:07,920 --> 00:02:12,040 จนกระทั่งแม้แต่ชาวยุโรปเนี่ยยังเกรงกลัว กองทัพของเจงกีส ข่านเลยค่ะ 47 00:02:12,040 --> 00:02:15,340 ทีนี้ถามว่ากองทัพจะน่ากลัวได้ขนาดนั้นเพราะว่าอะไร 48 00:02:15,340 --> 00:02:18,540 เพราะว่ากองทัพกองทัพนี้นะคะทำตัวไม่เหมือนมนุษย์เท่าไหร่ค่ะ 49 00:02:18,540 --> 00:02:22,520 คือเค้าเนี่ยพยายามทำยังไงก็ได้นะคะ ให้ทำสงครามได้ผลที่สุดค่ะ 50 00:02:22,520 --> 00:02:25,820 ดังนั้นเรื่องอาหารการกินอะไรต่างๆเนี่ย ไม่มีเวลาทำหรอก 51 00:02:25,820 --> 00:02:28,700 คือจะมานั่งปรุงอาหงปรุงอาหารอะไรแบบผู้ดงผู้ดีนะคะ 52 00:02:28,700 --> 00:02:30,740 ไม่มีเวลาค่ะ รบไปเสียเวลานะคะ 53 00:02:30,740 --> 00:02:35,160 ดังนั้นกองทัพของเจงกีส ข่านนะคะก็เลยคิด ทั้งวิธีถนอมอาหารต่างๆขึ้นมามากมาย 54 00:02:35,160 --> 00:02:37,880 เพื่อที่จะทำมีเสบียงอาหารตลอดเวลานะคะ 55 00:02:37,880 --> 00:02:41,020 หรือว่าคิดวิธีกินอะไรที่แบบรวดเร็วไม่ต้องปรุงเยอะนะคะ 56 00:02:41,020 --> 00:02:42,360 วิธีถนอมอาหารนะคะก็เช่น 57 00:02:42,360 --> 00:02:45,180 คิดวิธีการทำโยเกิร์ต การทำนมเปรี้ยวต่างๆ 58 00:02:45,180 --> 00:02:48,700 ส่วนวิธีกินเร็วๆเนี่ยที่หลายๆคนคุ้นกันดีก็คือชาบูใช่มั้ย 59 00:02:48,700 --> 00:02:50,820 ที่เอาเนื้อมาปาดๆๆๆให้บางที่สุด 60 00:02:50,820 --> 00:02:53,840 เพื่อจะได้จุ่มปุ๊บสุกปั๊บ ไม่ต้องมานั่งคลุกนานๆค่ะ 61 00:02:53,840 --> 00:02:57,020 นอกจากนี้ก็มีวิธีการกินที่น่ากลัวๆอยู่เหมือนกันนะคะ เช่น 62 00:02:57,020 --> 00:03:01,340 เวลาขี่ๆม้าไปแล้วม้ามันแบบหมดสภาพแล้ว ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่แล้ว 63 00:03:01,340 --> 00:03:04,200 แต่คนที่ขี่อยู่เนี่ยรู้สึกแบบต้องการดื่มน้ำนะคะ 64 00:03:04,200 --> 00:03:07,440 บางทีก็มีการปาดคอม้าดื่มเลือดม้าอะไรแบบนี้เหมือนกัน 65 00:03:07,440 --> 00:03:10,420 ก็เรียกได้ว่ามีวิธีการกินที่โหดร้ายพอสมควรนะคะ 66 00:03:10,420 --> 00:03:14,400 และหนึ่งในวิธีการกินที่ทำให้ประหยัดเวลาที่สุด ก็คือการกินเนื้อดิบนั่นเองนะคะ 67 00:03:14,400 --> 00:03:18,420 สมัยนี้ก็มีหลักฐานเหมือนกันนะคะว่า เค้าเอาเนื้อม้าหรือเนื้อวัวเนี่ยมาสับๆๆๆนะคะ 68 00:03:18,420 --> 00:03:22,480 แล้วก็ไม่ต้องปรุงอะไรมาก ใส่แค่เครื่องปรงเครื่องปรุงแล้วก็ใส่ไว้ใต้อานม้าค่ะ 69 00:03:22,480 --> 00:03:24,460 ในขณะที่ขี่ไปกุบๆๆๆเนี่ยนะคะ 70 00:03:24,460 --> 00:03:27,600 ก็จะทำให้เนื้อนั้นนุ่มขึ้นกินง่ายขึ้นประมาณนั้นค่ะ 71 00:03:27,600 --> 00:03:31,100 นี่ก็เป็นวิธีการกินอาหารประเภทนึงของกองทัพเจงกีส ข่านนะคะ 72 00:03:31,100 --> 00:03:33,880 ซึ่งทำให้ชาวยุโรปเกรงกลัวกองทัพนี้มาก 73 00:03:33,880 --> 00:03:38,340 ถึงขั้นขนานนามกลุ่มคนกลุ่มนึงนะคะที่เป็น ส่วนนึงของกองทัพเจงกีส ข่านเนี่ยว่า 74 00:03:38,340 --> 00:03:42,780 Tartarus ที่แปลว่า Hell หรือแปลว่านรกนั่นเองนะคะ ประมาณว่ากองทัพจากนรกค่ะ 75 00:03:42,780 --> 00:03:44,960 แต่ถึงจะเป็นกองทัพจากนรกยังไงก็ตามนะคะ 76 00:03:44,960 --> 00:03:48,460 ไอเนื้อดิบๆนั่นน่ะมันก็แพร่กระจายเข้าไปในยุโรปค่ะ 77 00:03:48,460 --> 00:03:50,660 คือแพร่กระจายเข้าไปที่รัสเซียนั่นเองนะคะ 78 00:03:50,660 --> 00:03:54,460 รัสเซียรับวิธีการกินอาหารแบบนี้เข้าไปค่ะ เสร็จแล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่า 79 00:03:54,460 --> 00:03:56,400 เออ เรามาทำอาหารตามเค้ากันเถอะ 80 00:03:56,400 --> 00:04:00,560 ดังนั้นชาวรัสเซียนะคะก็เลยทำอาหารชนิดนึงขึ้นมาค่ะ เรียกว่า สเต็ก ทาร์ทาร์ 81 00:04:00,560 --> 00:04:03,900 คือสเต็กที่เกิดจากการเอาเนื้อวัวดิบๆเนี่ยนะคะ มาสับๆๆเป็นลูกเต๋า 82 00:04:03,900 --> 00:04:06,760 แล้วก็ไปคลุกกับไข่ดิบแล้วก็คลุกกับเครื่องปรุงอะไรต่างๆ 83 00:04:06,760 --> 00:04:08,720 แล้วก็เอามาปั้นเป็นแผ่นกลมๆเนี่ยนะคะ 84 00:04:08,720 --> 00:04:13,620 แล้วก็เรียกอาหารชนิดนั้นนะคะตามชื่อของกองทัพ ที่บอกว่า ทาร์ทารัส แปลว่านรกใช่มั้ย 85 00:04:13,620 --> 00:04:16,360 ก็เลยเรียกอาหารชนิดนี้ว่าสเต็ก ทาร์ทาร์นั่นเองค่ะ 86 00:04:16,360 --> 00:04:19,000 หลังจากชาวรัสเซียเนี่ยกินอาหารชนิดนี้มาเรื่อยๆนะคะ 87 00:04:19,000 --> 00:04:22,540 ไม่นานหรอกค่ะ อาหารชนิดนี้ก็แพร่กระจาย เข้าไปที่ประเทศอื่นนะคะ 88 00:04:22,540 --> 00:04:26,680 จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 18 ค่ะ อาหารชนิดนี้ก็เข้าไปที่เยอรมนีนะคะ 89 00:04:26,680 --> 00:04:31,480 แล้วก็ฮิตกันไปทั่วเมืองเลย แต่อาจจะแบบ วิธีการกินแบบเจงกีส ข่านอาจจะโหดไปนิดนึง 90 00:04:31,480 --> 00:04:34,820 คือให้กินเนื้อดิบๆเลยมันก็แบบ ไม่ค่อยถูกปากใครหลายๆคนนะคะ 91 00:04:34,820 --> 00:04:40,220 ดังนั้นพออาหารชนิดนี้แพร่กระจายเข้าไปในเยอรมนี ก็เลยมีการปรับเปลี่ยนวิธีการปรุงเล็กๆน้อยๆค่ะ 92 00:04:40,220 --> 00:04:42,340 เช่น ตอนแรกเนี่ยเอาเนื้ออะไรก็ไม่รู้แหละ 93 00:04:42,340 --> 00:04:44,900 แต่ว่าชาวเยอรมันก็ปกติก็กินสเต็กอยู่แล้วใช่มั้ย 94 00:04:44,900 --> 00:04:48,060 ตอนนั้นก็คิดว่า เออ มันก็มีเนื้อส่วนหลายๆส่วน ที่มันเป็นเนื้อที่แข็งๆ 95 00:04:48,060 --> 00:04:50,620 หรือคุณภาพไม่ดี เอามาย่างสเต็กก็เคี้ยวไม่ไหว 96 00:04:50,620 --> 00:04:52,600 ก็เออ อาหารประเภทนี้ตอบโจทย์นะ 97 00:04:52,600 --> 00:04:58,800 ก็เลยเอาเนื้อพวกนั้นเนี่ยนะคะมาสับๆๆๆแล้วก็บดค่ะ บดเสร็จก็ปรุงเครื่องปรุงอะไรต่างๆ ปรุงไปปรุงมา 98 00:04:58,800 --> 00:05:04,920 แล้วก็จะกินดิบๆก็ไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ก็เลยบางที่ก็เอาไปย่าง บางที่ก็เอาไปทอด เอาไปอบ อะไรประมาณนี้นะคะ 99 00:05:04,920 --> 00:05:07,580 กลายเป็นอาหารอีกชนิดนึงที่ดังไปทั่วประเทศเลยค่ะ 100 00:05:07,580 --> 00:05:10,860 เพราะว่าไร เพราะว่ามันง่ายไง มันแบบอุ๊ย ทำง่าย ใครก็ทำได้ 101 00:05:10,860 --> 00:05:13,180 เห็นวิธีทำครั้งเดียวก็ทำตามกันได้แล้วนะคะ 102 00:05:13,180 --> 00:05:15,860 นี่ก็คือต้นตระกูลของแฮมเบอร์เกอร์นั่นเอง 103 00:05:15,860 --> 00:05:18,280 ทีนี้ถามว่าแล้วมันได้ชื่อแฮมเบอร์เกอร์มาจากไหน 104 00:05:18,280 --> 00:05:20,980 จากสเต็ก ทาร์ทาร์กลายมาเป็นแฮมเบอร์เกอร์ได้ยังไงนะคะ 105 00:05:20,980 --> 00:05:25,300 ก็ต้องบอกว่าเริ่มตอนที่ชาวเยอรมัน เริ่มย้ายถิ่นฐานไปที่อเมริกาค่ะ 106 00:05:25,300 --> 00:05:31,400 ซึ่งตอนที่ย้ายถิ่นฐานไปแน่นอนว่าก็จะต้องเอาอาหาร ประเภทนี้ติดตัวไปด้วยนะคะ แล้วก็ไปฮิตที่อเมริกาค่ะ 107 00:05:31,400 --> 00:05:36,080 ทีนี้คนในอเมริกาก็คงอยากจะมีชื่อเรียก อาหารชนิดนี้แหละ ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี 108 00:05:36,080 --> 00:05:38,480 ก็เลยไปได้ชื่อมาจากเมืองๆนึงนะคะ 109 00:05:38,480 --> 00:05:41,080 นั่นก็คือเมืองฮัมบูร์กในเยอรมนีนั่นเองค่ะ 110 00:05:41,080 --> 00:05:44,840 คือเยอรมนีเนี่ยถ้าใครดูบอลจะรู้ว่ามันมีสโมสรฮัมบูร์กใช่มั้ย 111 00:05:44,840 --> 00:05:46,760 คือฮัมบูร์กเป็นชื่อเมืองในเยอรมนีค่ะ 112 00:05:46,760 --> 00:05:49,680 ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญตั้งแต่สมัยโบราณเลยนะคะ 113 00:05:49,680 --> 00:05:54,540 ดังนั้นในสมัยก่อนถ้าจากเยอรมนีจะไปอเมริกาเนี่ย มันคงไม่ได้นั่งเครื่องบินอะไรไปหรอกค่ะ 114 00:05:54,540 --> 00:05:55,940 ก็จะต้องนั่งเรือไปใช่มั้ย 115 00:05:55,940 --> 00:05:59,160 เรือส่วนมากที่ออกจากเยอรมนีไปที่สหรัฐอเมริกาเนี่ย 116 00:05:59,160 --> 00:06:01,300 ก็มาจากท่าเรือเมืองฮัมบูร์กนี่แหละค่ะ 117 00:06:01,300 --> 00:06:05,420 ดังนั้นเมื่อไปที่อเมริกาเนี่ยนะคะ คนก็จะแบบ นี่อาหารอะไรเนี่ย นี่อาหารอะไร 118 00:06:05,420 --> 00:06:09,040 ก็คงมีคนพูดประมาณว่า อาหารจากเมืองฮัมบูร์กอะเธอ 119 00:06:09,040 --> 00:06:13,880 ดังนั้นนะคะ คนก็เลยกลายเป็นเรียกอาหารชนิดนี้ว่า ฮัมบูร์ก หรือว่า แฮมเบิร์ก ในที่สุดค่ะ 120 00:06:13,880 --> 00:06:17,340 ซึ่งหลังจากที่แฮมเบิร์กหรือว่าฮัมบูร์กเนี่ยนะคะ เข้าไปที่สหรัฐอเมริกาแล้ว 121 00:06:17,340 --> 00:06:19,380 ปัจจุบันเราก็ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะว่า 122 00:06:19,380 --> 00:06:23,880 ใครเป็นอัจฉริยะคนแรกนะคะที่คิดว่าแบบ เออ ฉันจะกินเนื้อเปล่าๆมันแบบว่าไม่ฟินเลย 123 00:06:23,880 --> 00:06:27,800 เอาขนมปังมาปะหัวปะท้ายดีกว่า จนกลายมาเป็นแฮมเบอร์เกอร์แบบปัจจุบันนะคะ 124 00:06:27,800 --> 00:06:32,720 เพราะว่าทุกคนก็พยายามจะเคลมตัวเองว่าแบบ ฉันเป็นคนคิดคนแรกจ้า ดูเมนูของร้านพ่อฉันสิ 125 00:06:32,720 --> 00:06:34,960 เห็นมั้ยขายมาตั้งแต่ปี 1899 126 00:06:34,960 --> 00:06:38,760 อะ ดูของร้านพ่อฉันสิ พ่อฉันขายมาก่อนเธอห้าปีนะ ประมาณนั้นค่ะ 127 00:06:38,760 --> 00:06:43,100 ทุกคนก็พยายามจะเคลมว่า ฉันเป็นต้นแบบของแฮมเบอร์เกอร์นะคะ 128 00:06:43,100 --> 00:06:48,640 อย่างไรก็ดีค่ะ สิ่งที่เรารู้ก็คือในปี 1904 แฮมเบอร์เกอร์ก็แพร่กระจายไปทั่วอเมริกานะคะ 129 00:06:48,640 --> 00:06:50,480 แล้วก็ฮิตติดลมบนสุดๆเลยนะคะ 130 00:06:50,480 --> 00:06:53,260 เป็นที่มาของการที่เราเรียกอาหารชนิดนี้ 131 00:06:53,260 --> 00:06:59,140 ที่เป็นเนื้อบดย่างๆปิ้งๆทอดๆตรงกลางเนี่ย แล้วก็มีขนมปังประกบสองด้านว่า แฮมเบอร์เกอร์ นั่นเองค่ะ 132 00:06:59,140 --> 00:07:01,460 แต่ คิดว่าคลิปนี้จบเท่านี้ใช่มั้ยคะ 133 00:07:01,460 --> 00:07:04,940 บอกเลยว่าถ้าคลิปนี้จบเท่านี้นี่ เบสิกไปสำหรับช่อง Point of View นะคะ 134 00:07:04,940 --> 00:07:08,360 เพราะว่าถ้าเราพูดถึงเมืองแฮมเบิร์ก มันก็ยังมีคำว่าแฮมอยู่ดีอะ 135 00:07:08,360 --> 00:07:11,380 เมืองนี้มันเกี่ยวอะไรกับแฮมเหรอ มันเป็นเมืองที่แฮมดังหรือว่าอะไรนะคะ 136 00:07:11,380 --> 00:07:12,820 ก็ต้องบอกว่า ไม่ใช่ค่ะ 137 00:07:12,820 --> 00:07:16,760 ถ้าเราอยากรู้เนี่ยนะคะเราต้องมาแยก ส่วนประกอบของคำว่า แฮม กับ บูร์ก ค่ะ 138 00:07:16,760 --> 00:07:20,740 คำว่า บูร์ก หรือ เบิร์ก เนี่ยนะคะ เป็นคำที่ชอบต่อท้ายชื่อเมืองในยุโรปใช่มั้ย 139 00:07:20,740 --> 00:07:25,260 เราน่าจะคุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็นเมืองฮัมบูร์กเอง หรือว่าเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 140 00:07:25,260 --> 00:07:28,760 หรือว่าเมืองเอดินเบิร์กหรือว่าเอดินเบอระเนี่ยนะคะ ก็คำเดียวกันหมดค่ะ 141 00:07:28,760 --> 00:07:31,900 คือคำว่าเบิร์กเนี่ยแปลว่า ป้อมปราการหรือเนินเขานั่นเอง 142 00:07:31,900 --> 00:07:35,180 ก็นึกสภาพปราสาทในสมัยยุโรปโบราณทำนองนั้นแหละ 143 00:07:35,180 --> 00:07:37,040 เป็นที่ดินโล่งๆกว้างๆเนี่ยนะคะ 144 00:07:37,040 --> 00:07:38,820 ถ้ามันมีเนินเขาขึ้นมาตึ๊งนึง 145 00:07:38,820 --> 00:07:41,080 สมมติว่าเราเป็นเจ้าเมือง จะต้องไปตั้งเมืองซักที่นึง 146 00:07:41,080 --> 00:07:43,040 เราก็คงเลือกตั้งบนเนินเขาอะใช่มั้ย 147 00:07:43,040 --> 00:07:47,540 เพื่อที่ว่าตัวปราสาทของเราเนี่ยจะได้สูงขึ้นไป ตระหง่านท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี 148 00:07:47,540 --> 00:07:50,460 เวลามีใครมาบุกเราจะได้เห็นชัดๆ ประมาณนั้นค่ะ 149 00:07:50,460 --> 00:07:55,560 เราน่าจะคุ้นกับภาพปราสาทที่อยู่บนเขาหรือ อยู่บนเนินกันดีจากพวกแบบหนังต่างๆที่เราได้ดูล่ะนะ 150 00:07:55,560 --> 00:07:58,080 ไม่ต้องอธิบายมากค่ะ เพราะไม่เกี่ยวกับเรื่องแฮมเนอะ 151 00:07:58,080 --> 00:08:03,160 คือเมืองส่วนใหญ่เนี่ยนะคะที่ลงท้ายด้วยคำว่าเบิร์กเนี่ย ก็แปลว่า เคยเป็นป้อมปราการเก่านั่นเองค่ะ 152 00:08:03,160 --> 00:08:08,320 ก็ป้อมปราการอะนะ ปกติมีปราการก็ไว้ ป้องกันการรุกรานจากข้าศึกภายนอกใช่มั้ยคะ 153 00:08:08,320 --> 00:08:09,960 ก็จะต้องมีคนมาอยู่มาอาศัย 154 00:08:09,960 --> 00:08:11,960 แล้วต่อมาเมื่อมีการค้าอะไรมากขึ้น 155 00:08:11,960 --> 00:08:15,580 มันก็พัฒนาขยายตัว ขยายตัว ขยายตัว จนกลายเป็นเมืองในที่สุดค่ะ 156 00:08:15,580 --> 00:08:19,940 ดังนั้นพวกที่ลงท้ายด้วยเบิร์ก เบิร์ก เบิร์กทั้งหลาย ก็เคยเป็นป้อมปราการเก่าทั้งนั้นแหละค่ะ 157 00:08:19,940 --> 00:08:21,840 รวมถึงเมืองแฮมบูร์กนี่ด้วยนะคะ 158 00:08:21,840 --> 00:08:26,720 ซึ่งเป็นป้อมปราการที่พระเจ้าชาร์เลอมาญ สร้างขึ้นเมื่อประมาณปีค.ศ. 808 อะนะ 159 00:08:26,720 --> 00:08:30,420 ก็ตั้งป้อมปราการนี้ขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่าอื่นๆมารุกรานค่ะ 160 00:08:30,420 --> 00:08:32,660 นี่ก็เป็นที่มาของเมืองแฮมบูร์กนะคะ 161 00:08:32,660 --> 00:08:35,600 ทีนี้แล้วทำไมถึงเรียกป้อมปราการนี้ว่าแฮมล่ะ 162 00:08:35,600 --> 00:08:39,480 คำว่าแฮมจากเมืองแฮมบูร์กเนี่ย เกี่ยวอะไรกับแฮมที่เป็นขาหมูรึเปล่านะคะ 163 00:08:39,480 --> 00:08:41,360 ก็ต้องบอกว่าเกี่ยวนิดๆค่ะ 164 00:08:41,360 --> 00:08:44,140 คือถ้าเราย้อนกลับไปที่ประวัติของคำว่าแฮมเนี่ยนะคะ 165 00:08:44,140 --> 00:08:46,080 ในสมัยโบร๊าณ โบราณ โบราณ 166 00:08:46,080 --> 00:08:48,380 ไปจนกระทั่งถึงภาษาเยอรมันโบราณเนี่ยนะคะ 167 00:08:48,380 --> 00:08:52,380 คำว่าแฮมเค้าไม่ได้หมายถึงขาหมูค่ะ แต่เค้าหมายถึงขาคนต่างหาก 168 00:08:52,380 --> 00:08:54,560 แปลกใจมั้ย ขาคนนะ ไม่ใช่ขาหมู 169 00:08:54,560 --> 00:08:59,920 ถ้าใครแปลกใจนะคะ ให้ไปดูศัพท์ทางการแพทย์ค่ะ คือศัพท์ในการแพทย์ปัจจุบันยังเก็บคำนี้ไว้อยู่นะคะ 170 00:08:59,920 --> 00:09:01,640 คือคำว่า Hamstring นั่นเอง 171 00:09:01,640 --> 00:09:04,660 คำว่า Hamstring นี่หมายถึงกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหลังเข่านะคะ 172 00:09:04,660 --> 00:09:06,900 ที่เป็นข้อพับ แล้วมันแบบประมาณแถวๆนี้นะคะ 173 00:09:06,900 --> 00:09:10,240 แต่ว่าคำนี้เกิดไม่ค่อยฮิตเท่าไหร่ คนก็เลยเลิกใช้ไปค่ะ 174 00:09:10,240 --> 00:09:13,720 เวลาผ่านไปไม่นานนะคะ พอเอามาเรียก ใช้กับขาคนไม่ฮิตใช่มั้ย 175 00:09:13,720 --> 00:09:15,660 ก็เลยเอาไปใช้เรียกกับขาสัตว์แทนนะคะ 176 00:09:15,660 --> 00:09:18,840 ตอนแรกๆเนี่ยนะคะ ขาสัตว์ทุกชนิดเรียกว่า แฮม ได้หมดเลยนะ 177 00:09:18,840 --> 00:09:23,360 แต่ว่าเวลาผ่านไปนะคะก็ตามธรรมชาติของภาษาค่ะ คือความหมายมันเปลี่ยนแปลงเสมอนะ 178 00:09:23,360 --> 00:09:25,820 ความหมายของคำว่าแฮมก็เลยแคบลง แคบลง แคบลง 179 00:09:25,820 --> 00:09:29,900 มาจนกระทั่งถึงขาของสัตว์ที่เราพูดถึงบ่อยที่สุดค่ะ ก็คือขาหมูนั่นเอง 180 00:09:29,900 --> 00:09:34,200 ดังนั้นหลังจากเวลาผ่านไปเราก็เลยเรียก ขาหมูว่า แฮม นะคะ 181 00:09:34,200 --> 00:09:38,080 แล้วทีนี้ถามว่าขาคนเกี่ยวอะไรกับเมืองแฮมเบิร์ก ก็ต้องบอกว่ายังตอบไม่ได้ค่ะ 182 00:09:38,080 --> 00:09:40,660 เราต้องมองคำว่าแฮมลึกเข้าไปอีกหนึ่งชั้นนะคะ 183 00:09:40,660 --> 00:09:42,380 จากคำว่าแฮมที่เป็นขาคนเนี่ย 184 00:09:42,380 --> 00:09:46,520 ต้องบอกว่าก่อนหน้านั้น คำว่าแฮมมีความหมายที่เก่ากว่านั้นอีกนะคะ 185 00:09:46,520 --> 00:09:52,080 น่ะ เจาะลึกมากเลยนะ ไม่รู้ว่าลึกเกินไปรึเปล่า แต่ส่วนตัวเนี่ยตอนรู้ รู้สึกว่าแบบอู้ว เท่มากเลยนะคะ 186 00:09:52,080 --> 00:09:56,840 คือคำว่าแฮมเนี่ยนะคะก่อนที่มันจะไปแปลว่า ขาคนตรงส่วนข้อพับด้านหลังเข่าเนี่ย 187 00:09:56,840 --> 00:09:59,540 มันแปลว่าการหักโค้งหรือว่าหักงอมาก่อนค่ะ 188 00:09:59,540 --> 00:10:05,080 ดังนั้นพอบอกว่าตรงนี้คือส่วนที่หักโค้ง ตรงนี้คือส่วนที่งอ มันก็คือหมายถึงเข่าคนนั่นเองนะคะ 189 00:10:05,080 --> 00:10:09,640 ทีนี้เขาบอกว่าเมืองแฮมบูร์กเนี่ยมันอยู่ตรง บริเวณที่แม่น้ำมันหักหรือมันโค้งประมาณนี้ 190 00:10:09,640 --> 00:10:14,880 ดังนั้นแฮมบูร์กเนี่ยน่าจะหมายถึง ป้อมปราการที่อยู่บริเวณแม่น้ำหักโค้ง ประมาณนั้นค่ะ 191 00:10:14,880 --> 00:10:18,060 แม้ว่าที่มาจะมาร่วมกับขาหมูแฮมนะคะ แต่ว่าสุดท้ายแล้ว 192 00:10:18,060 --> 00:10:22,940 คำว่าแฮมเบอร์เกอร์ก็เลยไม่ได้เกี่ยวข้องกับ แฮมที่เราชอบกินกันในปัจจุบันซักเท่าไหร่ค่ะ 193 00:10:22,940 --> 00:10:26,940 เป็นไงบ้างคะ ได้คำตอบกันมั้ยคะว่า ทำไมเวลาที่เราไปที่ร้านแล้วสั่งแฮมเบอร์เกอร์เนี่ย 194 00:10:26,940 --> 00:10:29,160 ถึงไม่ได้เมนูที่มีหมูแฮมอยู่ข้างในนะคะ 195 00:10:29,160 --> 00:10:31,180 ถ้าใครชื่นชอบคลิปประมาณนี้ก็อย่าลืม 196 00:10:31,180 --> 00:10:34,420 กดไลก์เป็นกำลังใจให้วิว แล้วกดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆมาดูด้วยกันนะคะ 197 00:10:34,420 --> 00:10:37,160 แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้าค่ะ บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ 198 00:10:37,260 --> 00:10:41,720 เป็นไงบ้างคะ เชื่อว่าหลายๆคนนะคะน่าจะมีคำถามโลกแตก อะไรประมาณนี้อยู่ในหัวอีกมากมายนะคะ 199 00:10:41,720 --> 00:10:46,640 ลองคอมเมนต์มาด้านล่างได้ค่ะ ถ้าสมมติว่ามีโอกาส วิวจะไปหาคำตอบมาเล่าให้ทุกคนฟังอีกนะคะ 200 00:10:46,640 --> 00:10:50,520 สำหรับวันนี้ลาไปก่อนละกันนะคะทุกคน บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ