เราคิดถึงผู้นำที่ยิ่งใหญ่
แบบกัปตันที่ไม่หวั่นไหว
ผู้นำพาเราไปข้างหน้า
ผ่านความท้าทายและความซับซ้อน
ผู้นำที่มั่นใจไม่หวั่นไหว
ผู้ที่พร้อมด้วยข้อมูลและประสบการณ์
ได้รับการยกย่องเชิดชู
ทั้งในแวดวงธุรกิจและการเมือง
แต่บางครั้ง และโดยเฉพาะขณะนี้
ภาวะวิกฤติคืบคลานเข้ามา
ซึ่งทั้งแปลกใหม่และเร่งด่วน
ซึ่งมันเปลี่ยนทุกอย่าง
ที่เราคิดว่าเรารู้
[วิถีที่เราทำงาน]
[เกิดขึ้นได้ด้วยการสนับสนุนจาก Dropbox]
สิ่งหนึ่งเรารู้แน่นอนคือ
การเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย
กำลังจะเกิดขึ้น
ในโลกที่เชื่อมถึงกันอย่างสมบูรณ์
การลุกฮือทางการเมืองที่หนึ่ง
คลิปไวรัล สึนามิที่เกิดขึ้นไกลออกไป
หรือเชื้อไวรัสขนาดเล็ก
สามารถส่งผลกระทบไปทั่วโลก
การเปลี่ยนแปลงสร้างความตื่นกลัว
และท่ามกลางความตื่นกลัวนั้น
ผู้คนมองหาความมั่นคง
ซึ่งทำให้ผู้นำโอนเอน
ไปใช้ความขึงขัง ความมั่นใจ
และความแน่วแน่แบบเดิม ๆ
แต่มันไม่ได้ผล
เราจะต้องพลิกดูคู่มือภาวะผู้นำกันสักหน่อย
อย่างแรก ภาวะผู้นำแบบนี้ต้องอาศัย
การสื่อสารด้วยความโปร่งใส
และการสื่อสารบ่อย ๆ
แล้วผู้นำจะนำได้อย่างไร
ในเมื่อความแน่นอนมีน้อยมาก
และความชัดเจนที่บางเบา
ไม่ว่าคุณจะเป็นซีอีโอ
นายกรัฐมนตรี ผู้บริหารระดับกลาง
หรือแม้กระทั่งครูใหญ่ของโรงเรียน
การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
หมายถึงคุณจะต้องยกระดับความถ่อมตน
เมื่อสิ่งที่คุณรู้นั้นมีจำกัด
การแสร้งว่าคุณรู้
ไม่ช่วยอะไรเลย
ท่ามกล่างการเปลี่ยนแปลง
ผู้นำต้องแบ่งปันสิ่งที่รู้
และยอมรับว่าอะไรที่ไม่รู้
ความซื่อสัตย์แบบนี้
ช่วยสร้างความปลอดภัยทางจิตวิทยามากขึ้น
ไม่ใช่น้อยลง
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อโรคระบาด
ทำลายอุตสาหกรรมสายการบิน
เพียงข้ามคืน
เอ็ด บาสเตียน ซีอีโอของเดลตาแอร์ไลน์
สื่อสารกับพนักงานมากขึ้น
แม้ว่าสถานการณ์
จะมีความชัดเจนน้อยมาก
เกี่ยวกับหนทางข้างหน้า
ที่มีผลลัพธ์เลวร้ายมาก ๆ
ณ จุด ๆ หนึ่งในปี 2020
มีความเสียหายมากกว่า
ร้อยล้านดอลลาร์ต่อวัน
มันอาจจะง่ายกว่ามาก
สำหรับบาสเตียน
ที่จะรอข้อมูลมากกว่านี้
ก่อนจะลงมือทำอะไร
แต่ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ
ในช่วงการเปลี่ยนแปลง
จะไม่หลบซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
ความจริงแล้ว
เหมือนที่บาสเตียนกล่าว
มันสำคัญมากที่จะสื่อสาร
เมื่อคุณไม่มีคำตอบมากกว่าที่คุณมี
อย่างที่สอง ลงมืออย่างเร่งด่วน
แม้จะมีข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
การยอมรับว่าคุณไม่มีคำตอบ
ไม่ได้หมายความว่าคุณนิ่งเฉยไม่ทำอะไร
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องธรรมชาติ
ที่จะรู้สึกต้องการข้อมูลเพิ่ม
แต่การลงมืออย่างรวดเร็ว
มักจะเป็นทางเดียวที่จะได้ข้อมูลมากขึ้น
ที่แย่กว่า คือการไม่ลงมือทำ
จะทำให้คนรู้สึกเคว้งคว้างและไม่ปลอดภัย
เมื่อจาซินดา อาร์เดน
นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์
ประกาศมาตรการ 4 ระดับ
ตั้งแต่ช่วงแรก
ของวิกฤตโควิด-19
เธอไม่มีข้อมูลที่จะใช้ระบุ
ว่าต้องเป็นระดับไหน
แม้ว่าจะไม่มีคำตอบ
เธอไม่รีรอที่จะสื่อสาร
กับประชาชนถึงความเสี่ยง
ในตอนแรกเธอออกมาตรการระดับสอง
และเปลี่ยนเป็นระดับสี่ในสองวันถัดมา
เมื่อมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น
นทำให้มีการปิดประเทศ
และรักษาชีวิตไว้นับไม่ถ้วน
อย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากนั้น เมื่อการติดเชื้อเริ่มลดลง
เธอจึงตัดสินใจเรื่องอื่น ๆ
ที่สอดรับกับข้อมูลใหม่ ๆ
อย่างที่สาม ผู้นำจะต้องยึดมั่น
ในเจตจำนงและค่านิยม
แม้ว่าเป้าหมาย
และสถานการณ์จะเปลี่ยน
ค่านิยมจะเป็นเหมือนแสงสว่างนำทาง
เมื่อทุกอย่างไม่แน่นอน
ถ้าคุณใส่ใจเรื่องประสบการณ์ของลูกค้า
อย่ามองข้ามมันไป
ในช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
ถ้าค่านิยมหลักคือสุขภาพและความปลอดภัย
ก็ควรยึดมันเป็นจุดศูนย์กลาง
ของการตัดสินใจทุกอย่าง
การทำแบบนี้ต้องอาศัยความซื่อสัตย์มาก ๆ
ว่าค่านิยมของคุณคืออะไร
ด้วยแนวทางนี้
ความแน่วแน่ของคุณจะแสดงถึง
ค่านิยมของคุณ ไม่ใช่แผนการของคุณ
เจตจำนงของนายกรัฐมนตรีอาร์เดน
ชัดเจนมาโดยตลอด
นั่นคือการปกป้องชีวิตของมนุษย์
แม้ว่าเป้าหมายระยะสั้นจะเปลี่ยน
จากการป้องกันโรค
เป็นการเตรียมระบบสาธารณสุข
และการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจัง
ท้ายที่สุด จงมอบอำนาจการตัดสินใจ
สัญชาติญาณของเรา
จะอยากยึดติด
ที่จะใช้อำนาจควบคุมในช่วงเวลาคับขัน
แต่มันกลับส่งผลร้าย
วิธีที่จะแสดงภาวะผู้นำ
ที่มีประสิทธิภาพที่สุดทางหนึ่ง
ซึ่งอาจจะขัดกับความรู้สึก
คือการมอบอำนาจในการตัดสินใจ
ไปให้คนรอบข้าง
การทำแบบนี้ต้องอาศัยการขอความช่วยเหลือ
และการแสดงออกที่ชัดเจน
ว่าคุณทำมันคนเดียวไม่ได้
สิ่งนี้จะกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม
ในขณะที่ช่วยให้คนอื่น
ได้รับรู้ถึงความหมาย
ในภาวะวิกฤติ
ไม่มีอะไรแย่ไปกว่า
ความรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่คุณจะช่วยได้
เราทำตามผู้นำแบบใหม่นี้
ในช่วงการเปลี่ยนแปลง
เพราะเรามั่นใจ
ไม่ใช่ในแผนที่แต่มั่นใจในเข็มทิศ
เราเชื่อว่าพวกเขาเลือกทางที่ถูกต้อง
ด้วยข้อมูลที่มีอยู่
และพวกเขาจะปรับวิธีการไปเรื่อย ๆ
เหนือสิ่งอื่นใด เราไว้ใจพวกเขา
และเราต้องการจะช่วยพวกเขา
มองหาและกำหนด
เส้นทางสู่อนาคต