1 00:00:07,472 --> 00:00:09,753 อุ้ย ขอโทษที 2 00:00:10,338 --> 00:00:11,398 เคยไหม ที่คุณหาว 3 00:00:11,398 --> 00:00:13,418 เพราะคนอื่นเริ่มหาวก่อน 4 00:00:13,418 --> 00:00:15,168 คุณไม่ได้เพลียนัก 5 00:00:15,168 --> 00:00:18,209 แต่ทันใดนั้นคุณก็อ้าปากกว้าง 6 00:00:18,209 --> 00:00:22,124 แล้วหาว 7 00:00:22,124 --> 00:00:23,914 ออกมา 8 00:00:23,914 --> 00:00:27,237 ปรากฏการณ์นี้รู้จักกันในชื่อ การหาวติดต่อกัน 9 00:00:27,237 --> 00:00:29,121 ในขณะที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจดีนัก 10 00:00:29,121 --> 00:00:30,415 ว่าทำไมมันจึงเกิดขึ้น 11 00:00:30,415 --> 00:00:33,499 มีสมมติฐานหลายอย่างกำลังถูกทดสอบ 12 00:00:33,499 --> 00:00:34,873 ลองมาดูสมมติฐานสองสามข้อ 13 00:00:34,873 --> 00:00:36,581 ที่โดดเด่นที่สุดกัน 14 00:00:36,581 --> 00:00:38,999 เริ่มด้วยสมมติฐานด้านสรีระวิทยาสองข้อ 15 00:00:38,999 --> 00:00:41,953 ก่อนจะเป็นด้านจิตวิทยา 16 00:00:41,953 --> 00:00:44,754 สมมติฐานแรก ด้านสรีระวิทยา 17 00:00:44,754 --> 00:00:46,227 กล่าวว่า การหาวติดต่อนั้น 18 00:00:46,227 --> 00:00:48,525 ถูกกระตุ้นโดยตัวกระตุ้นตัวหนึ่ง 19 00:00:48,525 --> 00:00:50,012 นั่นคือการหาวเริ่มต้น 20 00:00:50,012 --> 00:00:52,861 นี่เรียกว่า การกระทำที่ตายตัว (fixed action pattern) 21 00:00:52,861 --> 00:00:55,943 ลองนึกถึงรูปแบบที่ตายตัว ว่าเหมือนกับการตอบสนองแบบอัตโนมัติ 22 00:00:55,943 --> 00:00:58,692 การหาวของคุณทำให้ฉันหาว 23 00:00:58,692 --> 00:01:00,532 คล้ายกับการล้มต่อๆ กัน ของโดนิโน 24 00:01:00,532 --> 00:01:02,115 การหาวของคนหนึ่ง ทำให้เกิดการหาว 25 00:01:02,115 --> 00:01:04,999 โดยอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ ที่เห็นคนแรกหาว 26 00:01:04,999 --> 00:01:06,995 เมื่อการกระตุ้นนี้เกิดขึ้น 27 00:01:06,995 --> 00:01:08,530 มันจะต้องดำเนินไปตามรูปแบบของมัน 28 00:01:08,530 --> 00:01:09,897 คุณเคยลองหยุดหาว 29 00:01:09,897 --> 00:01:11,543 ตอนที่คุณเริ่มหาวไปแล้วหรือเปล่า 30 00:01:11,543 --> 00:01:14,531 โดยปกติแล้วเป็นไปไม่ได้หรอก 31 00:01:15,268 --> 00:01:17,178 อีกสมมติฐานด้านสรีรวิทยา 32 00:01:17,178 --> 00:01:20,300 เป็นที่รู้จักกันในชื่อ การเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว (non-conscious mimicry) 33 00:01:20,300 --> 00:01:22,012 หรือ พฤติกรรมแบบเปลี่ยนแปลงได้ 34 00:01:22,012 --> 00:01:24,584 มันเกิดขึ้นเมื่อคุณเลียนแบบพฤติกรรมใครสักคน 35 00:01:24,584 --> 00:01:25,636 โดยไม่รู้ตัว 36 00:01:25,636 --> 00:01:28,587 กลยุทธการลอกเลียนแบบที่ลึกลับและไม่ได้จงใจ 37 00:01:28,587 --> 00:01:31,163 คนเรามักจะเลียนแบบท่าทางคนอื่น 38 00:01:31,163 --> 00:01:32,705 ถ้าคุณนั่งตรงข้ามใครสักคน 39 00:01:32,705 --> 00:01:34,254 ที่นั่งไขว่ห้าง 40 00:01:34,254 --> 00:01:36,712 คุณอาจจะนั่งไขว่ห้างบ้าง 41 00:01:36,712 --> 00:01:38,915 สมมติฐานนี้อ้างว่า 42 00:01:38,915 --> 00:01:41,224 เราหาวเมื่อเห็นคนอื่นหาว 43 00:01:41,224 --> 00:01:43,031 เพราะว่าเราเลียนแบบการกระทำของเขา 44 00:01:43,031 --> 00:01:44,533 โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการคิด 45 00:01:44,533 --> 00:01:47,188 นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าพฤติกรรมที่เลียนแบบได้นี้ 46 00:01:47,188 --> 00:01:50,054 เกิดขึ้นได้เพราะเส้นประสาทกลุ่มพิเศษ 47 00:01:50,054 --> 00:01:52,475 ที่เรียกว่า เซลล์กระจกเงา (mirror neurons) 48 00:01:53,336 --> 00:01:55,586 เซลล์กระจกเงานเป็นเซลล์สมองชนิดหนึ่ง 49 00:01:55,586 --> 00:01:58,146 ที่ตอบสนองเท่าๆ กันเมื่อเรามีอากัปกิริยาต่างๆ 50 00:01:58,146 --> 00:01:59,704 เมื่อเราเห็นใครบางคน 51 00:01:59,704 --> 00:02:01,504 ทำอากัปกิริยานั้นๆ 52 00:02:01,504 --> 00:02:02,831 เซลล์ประสาทเหล่านี้มีความสำคัญ 53 00:02:02,831 --> 00:02:04,771 ต่อการเรียนรู้และการรู้สึกตัว 54 00:02:04,771 --> 00:02:07,922 ยกตัวอย่างเช่น เรากำลังมองใครสักคนทำอะไรบางอย่าง 55 00:02:07,922 --> 00:02:09,900 เช่นถักไหมพรม 56 00:02:09,900 --> 00:02:10,652 หรือทาลิปสติก 57 00:02:10,652 --> 00:02:14,590 สามารถช่วยให้คุณทำสิ่งเดียวกันนั้นได้อย่างถูกต้อง 58 00:02:14,590 --> 00:02:17,420 การศึกษาภาพถ่ายเซลล์ประสาทโดยใช้ fMRI 59 00:02:17,420 --> 00:02:19,701 ซึ่งย่อมาจาก functional magnetic resonance imaging 60 00:02:19,701 --> 00:02:21,839 แสดงว่า เมื่อเราเห็นใครสักคนหาว 61 00:02:21,839 --> 00:02:23,921 หรือแม้แต่ได้ยินพวกเขาหาว 62 00:02:23,921 --> 00:02:25,794 พื้นที่จำเพาะส่วนหนึ่งในสมอง 63 00:02:25,794 --> 00:02:27,392 ที่เป็นที่อยู่ของเซลล์กระจกเงา 64 00:02:27,392 --> 00:02:28,586 มักจะสว่างขึ้น 65 00:02:28,586 --> 00:02:30,800 ซึ่งทำให้เราตอบสนอง 66 00:02:30,800 --> 00:02:33,996 ด้วยอากัปกิริยาเดียวกัน ซึ่งก็คือการหาว 67 00:02:33,996 --> 00:02:36,752 สมมติฐานด้านจิตวิทยาของเราเข้ามาเกี่ยวข้อง 68 00:02:36,752 --> 00:02:38,644 กับการทำงานของเซลล์กระจกเงาเหล่านี้ด้วย 69 00:02:38,644 --> 00:02:41,800 เราจะเรียกมันว่า การร่วมหาว 70 00:02:41,800 --> 00:02:43,582 การเกิดอารมณ์ร่วมเป็นความสามารถในการเข้าใจ 71 00:02:43,582 --> 00:02:45,170 ว่าใครสักคนรู้สึกอะไร 72 00:02:45,170 --> 00:02:46,742 และมีอารมณ์ร่วมไปกับอารมณ์ของเขา 73 00:02:46,742 --> 00:02:49,891 ซึ่งเป็นความสามารถที่สำคัญยิ่ง สำหรับสัตว์สังคมอย่างเรา 74 00:02:49,891 --> 00:02:52,442 ไม่นานมานี้ นักประสาทวิทยาได้พบว่า 75 00:02:52,442 --> 00:02:54,091 หน่วยย่อยของเซลล์กระจกเงานี้ 76 00:02:54,091 --> 00:02:56,409 ทำให้เราสามารถเข้าใจอารมณ์ของคนอื่น 77 00:02:56,409 --> 00:02:58,207 ในขั้นที่ลึกซึ้งกว่า 78 00:02:58,207 --> 00:02:59,252 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ 79 00:02:59,252 --> 00:03:01,500 การตอบสนองแบบอารมณ์ร่วมต่อการหาว 80 00:03:01,500 --> 00:03:03,120 ระหว่างการทดสอบสมมติฐานแรกที่เราได้พูดถึง 81 00:03:03,120 --> 00:03:04,716 ที่เรียกว่า พฤติกรรมแบบตายตัว 82 00:03:04,716 --> 00:03:06,503 การศึกษานี้ถูกออกแบบขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า 83 00:03:06,503 --> 00:03:08,966 สุนัขจะแสดงการตอบสนองโดยการหาว 84 00:03:08,966 --> 00:03:11,784 เพียงแค่ได้ยินเสียงมนุษย์หาว 85 00:03:11,784 --> 00:03:14,530 ในขณะที่การศึกษาของพวกเขาแสดงให้เห็น ว่านี่เป็นความจริง 86 00:03:14,530 --> 00:03:16,580 พวกเขาพบอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ 87 00:03:16,580 --> 00:03:19,797 สุนัขหาวเมื่อได้ยินเสียงหาวที่คุ้นเคย 88 00:03:19,797 --> 00:03:21,297 เช่นเสียงหาวของนายของมัน 89 00:03:21,297 --> 00:03:24,088 ถี่กว่าเสียงหาวที่ไม่คุ้นเคยจากคนแปลกหน้า 90 00:03:24,088 --> 00:03:25,250 จากการศึกษานี้ 91 00:03:25,250 --> 00:03:27,042 การศึกษาอื่นๆ บนมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 92 00:03:27,042 --> 00:03:29,048 ได้แสดงให้เห็นว่าการหาวติดต่อกันนั้น 93 00:03:29,048 --> 00:03:32,895 เกิดขึ้นบ่อยๆ ในกลุ่มเพื่อนๆ มากกว่าในกลุ่มคนแปลกหน้า 94 00:03:32,895 --> 00:03:35,708 ที่จริงแล้ว การหาวติดต่อกันเริ่มจะเกิดขึ้น 95 00:03:35,708 --> 00:03:38,960 เมื่อเราอายุได้สี่หรือห้าขวบ 96 00:03:38,960 --> 00:03:39,396 ในจุดที่เด็กๆ 97 00:03:39,396 --> 00:03:42,602 กำลังพัฒนาความสามารถ ที่จะบ่งบอกอารมณ์ของคนอื่นได้เป็นอย่างดี 98 00:03:43,201 --> 00:03:45,885 ถึงอย่างนั้น ในขณะที่การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ 99 00:03:45,885 --> 00:03:47,329 พุ่งเป้าไปที่การพิสูจน์ว่าการหาวติดต่อ 100 00:03:47,329 --> 00:03:49,413 ขึ้นอยู่กับความสามารถของการมีอารมณ์ร่วม 101 00:03:49,413 --> 00:03:50,630 เรายังต้องการงานวิจัยอีกเป็นจำนวนมาก 102 00:03:50,630 --> 00:03:52,995 ที่จะเป็นแสงนำทาง ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นอยู่จริงๆ 103 00:03:52,995 --> 00:03:54,930 มันเป็นไปได้ที่คำตอบนั้น 104 00:03:54,930 --> 00:03:56,912 อยู่ในสมมติฐานอื่นๆ 105 00:03:56,912 --> 00:03:59,147 ในครั้งหน้าที่คุณโดนจับได้ว่าหาว 106 00:03:59,147 --> 00:04:01,470 ลองใช้เวลาสักหน่อยคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น 107 00:04:02,653 --> 00:04:04,534 คุณกำลังคิดถึงการหาวอยู่หรือเปล่า 108 00:04:05,026 --> 00:04:07,015 หรือใครสักคนใกล้ๆ กำลังหาวอยู่ 109 00:04:07,015 --> 00:04:09,995 คนคนนั้นเป็นคนแปลกหน้า หรือเป็นคนสนิท 110 00:04:11,025 --> 00:04:14,144 และตอนนี้คุณกำลังหาวอยู่หรือเปล่า