ขอบคุณครับ กาลครั้งหนึ่ง มีพระราชาในอินเดีย วันคล้ายประสูติได้มีพระราชโองการออกไป ให้เสนาบดีทั้งหมดนำของขวัญ ที่เหมาะสมสำหรับพระองค์มาถวาย บ้างก็นำผ้าไหมเนื้อดีมา บ้างก็นำดาบกล้ามาให้ บ้างก็เอาทองคำมา ที่ปลายสุดของแถว ชายชราร่างเล็ก เต็มไปด้วยริ้วรอยคนหนึ่งเดินเข้ามา ผู้ที่ย่ำเดินทางขึ้นมาจากหมู่บ้านของเขา การเดินทางที่กินเวลาหลายวันทางทะเล และขณะที่เขาเดินขึ้นมา เจ้าชายทรงถามว่า "เจ้านำของขวัญอะไรมาถวายแด่พระราชา" ชายชราผู้นั้นค่อยๆ ผายมือออกช้าๆ เพื่อเผยให้เห็น เปลือกหอยชิ้นหนึ่งที่งดงามมาก พรั่งพร้อม ด้วยวงเกลียวสีม่วง เหลือง แดง และสีฟ้า และเจ้าชายทรงตรัสว่า "นั่นไม่ใช่ของขวัญของพระราชา! เป็นของขวัญอะไรกันแน่" ชายชราค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้น มองพระองค์แล้วพูด "การเดินทางมาแต่ไกล... ส่วนหนึ่งของของขวัญ" (เสียงหัวเราะ) ในอีกไม่กี่นาทีนี้ ผมจะให้ของขวัญคุณชิ้นหนึ่ง ของขวัญที่ผมเชื่อว่า คุ้มค่าแก่การเผยแพร่ แต่ก่อนที่ผมจะมอบให้ ขอให้ผมได้พาคุณไป ในการเดินทางยาวนานของผม เช่นเดียวกับพวกคุณทั้งหลาย ผมเริ่มต้นชีวิตจากเด็กตัวเล็กๆ จะมีคุณสักกี่คนที่เกิด มาก็เป็นเด็กน้อยเลย เกิดมาก็เป็นวัยรุ่นแล้ว? ประมาณครึ่งหนึ่งของพวกคุณ..ก็ได้.. (เสียงหัวเราะ) แล้วพวกคุณที่เหลือล่ะ? เกิดมาก็โตเต็มที่เลยเหรอ!? แหม ผมอยากจะพบแม่คุณจัง! มาพูดเรื่องเป็นไปไม่ได้กัน! ตอนที่ยังเล็ก ผมมักจะหลงใหล การทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ วันนี้เป็นวันที่ผมรอคอยมานานหลายปี เพราะวันนี้เป็นวันที่ผมกำลังจะพยายาม ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ต่อสายตาพวกคุณทุกคน ณ ที่ TEDxMaastricht แห่งนี้ ผมจะเริ่มแล้วนะครับ โดยการเฉลยตอนจบ : และผมกำลังจะพิสูจน์ให้คุณเห็น ว่า "เป็นไปไม่ได้" ไม่ใช่ สิ่ง "เป็นไปไม่ได้" และผมกำลังจะยุติด้วยการ ให้ของขวัญที่คุ้มค่าแก่การเผยแพร่ ผมกำลังจะแสดงให้คุณเห็นว่า คุณสามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในชีวิต ในการเสาะหาเพื่อทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ผมพบว่ามันคือ สองอย่างที่เป็นสากล ระหว่างผู้คนทั่วโลก ทุกๆ คนมีความกลัว และทุกๆ คนก็มีความฝัน ในการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ผมพบว่ามีอยู่สามประการ ที่ผมได้ทำมานานหลายปี ค่อนข้างช่วยให้ผมสามารถ ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มากทีเดียว : ดอดจ์บอล หรือที่เรียกว่า "เทรฟบอล" "ซูเปอร์แมน" แล้วก็ "ยุง" พวกนั้นคือคีย์เวิร์ดของผม ทีนี้ คุณก็รู้แล้วว่าทำไมผมถึง ทำเรื่องเป็นไปไม่ได้ในชีวิต ดังนั้น ผมจะพาคุณไปยัง การเดินทางอันยาวไกลของผม จากความกลัวสู่ความฝัน จากถ้อยคำสู่คมดาบ จากดอดจ์บอล สู่ซูเปอร์แมน จนถึงยุง และผมหวังจะแสดงให้คุณได้เห็น ว่าคุณสามารถ ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในชีวิตได้อย่างไร วันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2007 หัวใจผมเต้นแรง สองเข่าของผมสั่น ขณะที่ผมก้าวออกมาบนเวที ที่โรงละครแซนเดอร์ส ในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เพื่อเข้ารับ รางวัลอิกโนเบลสาขาการแพทย์ ในปี ค.ศ. 2007 สำหรับบทความงานวิจัยทางการแพทย์ ที่ผมได้ร่วมเขียน ชื่อว่า "การกลืนดาบ... ...และผลข้างเคียง" (เสียงหัวเราะ) บทความได้เผยแพร่ลงในวารสารเล็กๆ ที่ผมไม่เคยอ่านมาก่อน วารสารการแพทย์บริติช และสำหรับผมแล้ว นั่นเป็นความฝัน ที่ไม่น่าจะกลายมาเป็นความจริงได้ มันเป็นเซอร์ไพรส์ที่คาดไม่ถึง สำหรับคนอย่างผม เป็นเกียรติที่ผมจะไม่มีวันลืม แต่ไม่ใช่สิ่งมีค่า น่าจดจำมากที่สุดในชีวิตผม วันที่ 4 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1967 เด็กขี้กลัว ขี้อาย ผอมแห้งแรงน้อยคนนี้ ทุกข์ทรมานจากความกลัวจับขั้วหัวใจ ขณะที่เขากำลังจะก้าวออกไปบนเวที หัวใจของเขาเต้นรัว สองเข่าของเขาสั่นระริก เขาออกไปเพื่อเปิดปากพูด แต่ไม่มีคำพูดเล็ดลอดออกมา เขายืนสั่นเทาด้วยน้ำตาคลอเบ้า ขยับไม่ได้ด้วยความตื่นตระหนก เย็นเยียบด้วยความกลัว เด็กขี้กลัว ขี้อาย ผอมแห้งแรงน้อยคนนี้ ทุกข์ทรมานจากความกลัวจับขั้วหัวใจ เขากลัวความมืด กลัวความสูง กลัวแมงมุมและกลัวงู มีใครกลัวแมงมุมกับงูบ้างไหมครับ อืม ไม่กี่คนเอง.. เขากลัวน้ำและฉลาม.. เขากลัวคุณหมอ พยาบาล และหมอฟัน กลัวเข็ม สว่าน และของมีคม แต่ทว่าเหนือสิ่งอื่นใด เขาหวาดกลัว ผู้คน เด็กขี้กลัว ขี้อาย ผอมแห้งแรงน้อยผู้นั้น คือตัวผมเอง ผมหวาดกลัวความล้มเหลวและการถูกปฏิเสธ ความภูมิใจในตนเองต่ำ มีปมด้อย และบางสิ่งที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าคุณอาจถูกตราหน้าในสมัยก่อน : โรคกลัวการเข้าสังคม เพราะว่าผมมีความกลัว พวกขี้แกล้ง ถึงชอบรุมรังแกผมและซ้อมผม พวกเขาเคยหัวเราะและเรียกผมด้วยชื่อต่างๆ พวกเขาไม่เคยยอมให้ผมเล่น เกมไหนๆ ที่เป็น "เกมคนวงใน" อ่า มีอยู่เกมหนึ่งที่พวกนั้น ยอมให้ผมเล่นด้วย.. ดอดจ์บอล และผมก็ไม่ใช่คนปาเก่งอะไร พวกชอบแกล้งจะเรียกชื่อผม และผมก็จะมองหา แล้วก็เห็นดอดจ์บอลสีแดงพวกนี้ อัดเข้าที่หน้าของผมด้วยความเร็วเหนือเสียง ปึง ปึง ปึง! แล้วผมจำหลายวันเหล่านั้น ที่ผมเดินจากโรงเรียนกลับมาบ้านได้ หน้าของผมแดงและแสบ หูของผมแดงและอื้อ ดวงตาของผมลุกโชน ไปด้วยน้ำตา และคำพูดของพวกนั้น ก็แผดเผาหูของผม และใครก็ตามที่พูดว่า "ท่อนไม้และก้อนหินหักกระดูกฉันได้ แต่คำพูดมันทำอะไรฉันไม่ได้".. เป็นคำโกหก คำพูดคนเชือดเฉือนได้ดั่งมีด คำพูดคนเสียบแทงได้เช่นเดียวกับดาบ คำพูดสามารถสร้างบาดแผลร้าวลึก ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ ผมจึงมีความกลัว และคำพูดก็เป็นศัตรูร้ายกาจที่สุดของผม และยังคงเป็นอยู่ แต่ผมยังมีความฝัน ผมจะกลับบ้านและหนีไปขลุกกับ การ์ตูนซุเปอร์แมน แล้วผมก็จะอ่านแต่การ์ตูนซูเปอร์แมน และใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ เหมือนอย่างซูเปอร์แมน ผมอยากจะต่อสู้เพื่อความถูกต้อง และความยุติธรรม ผมอยากจะต่อกรกับผู้ร้ายและคริปโตไนท์ ผมอยากจะเหาะไปทั่วโลก แสดงฝีมือยอดมนุษย์และช่วยชีวิตคน ผมยังมีความตื่นเต้นกับสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่จริง ผมได้อ่านบันทึกสถิติโลกกินเนสบุ๊ค และอ่านหนังสือของริปลีย์"เชื่อหรือไม่" มีใครเคยอ่านบันทึกสถิติโลกกินเนสบุ๊คหรือ หนังสือของริปลีย์บ้างไหมครับ ผมรักหนังสือพวกนั้นมากเลย! ผมได้เห็นคนจริงๆ ได้แสดงฝีมือจริงๆ แล้วผมก็บอกว่า ผมอยากทำแบบนั้นบ้าง ถ้าหากพวกชอบแกล้งไม่ยอมให้ผม เล่นในเกมกีฬาใดๆ ของพวกนั้น ผมอยากจะเสกคาถาให้เป็นจริง แสดงฝีมือล้ำลึกจริงๆ ผมอยากจะทำอะไรสักอย่างที่โดดเด่นมากๆ ที่จอมรังแกพวกนั้นทำไม่ได้ ผมอยากจะหาจุดหมายและการเรียกร้อง ของตัวเอง ผมอยากจะรู้ว่าชีวิตผมมีความหมายไหม ผมอยากจะทำสิ่งที่เหลือเชื่อ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ผมอยากจะพิสูจน์ว่า "ความเป็นไปไม่ได้" ไม่ใช่สิ่งที่ "เป็นไปไม่ได้" 10 ปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าวันเกิดปีที่ 21 ของผม สองสิ่งเกิดขึ้นในวันเดียว ที่จะ เปลี่ยนแปลงชีวิตผมไปตลอดกาล ผมอาศัยอยู่ในทมิฬ นาดู อินเดียทางตอนใต้ ผมไปเป็นหมอสอนศาสนาที่นั่น คนที่เป็นทั้งครูและเพื่อนของผม ถามว่า "คุณมี Thromes บ้างไหม แดเนียล" แล้วผมก็พูด "Thromes เหรอ Thromes คืออะไรล่ะ" เขาตอบว่า "Thromes คือเป้าหมายหลักๆ ในชีวิต เป็นการหลอมรวมกันระหว่าง ความฝันกับเป้าหมายที่คุณอยากทำให้ได้ ทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากจะทำ ไปที่ไหนก็ได้ที่คุณอยากจะไป เป็นใครก็ได้ที่คุณอยากเป็น คุณอยากไปที่ไหน คุณอยากทำอะไร คุณอยากเป็นใครล่ะ" ผมพูดว่า "ผมทำไม่ได้หรอก! ผมขี้กลัวจนเกินไป! ผมกลัวตั้งหลายอย่าง!" คืนนั้นผมเอาเสื่อข้าวฟ่าง ขึ้นไปปูบนหลังคาบังกาโล เหยียดกายภายใต้ดาวเต็มฟ้า และเฝ้ามองค้างคาวดำดิ่งควานหายุง และทั้งหมดที่ผมคิดคือ "Thromes" ความฝันและเป้าหมาย พวกจอมรังแกกับดอดจ์บอล ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาผมก็ลุกขึ้น หัวใจผมเต้นรัว เข่าสองข้างสั่นระริก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความกลัว ร่างของผมสั่นเทาไปทั่วทั้งร่าง และในห้าวันต่อมา ผมอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นบนเตียง ต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเอง สมองของผมกำลังร้อนไหม้ ด้วยไข้มาเลเรีย 105 องศา และเมื่อใดที่ผมฟื้นคืนสติ ทั้งหมดที่คิดได้มีแต่เป้าหมายหลักของชีวิต ผมคิดว่า "นี่ฉันอยากจะทำอะไรกับชีวิตตัวเองดีนะ" สุดท้าย คืนก่อนวันเกิดปีที่ 21 ของผม ในช่วงเวลาสำคัญแห่งความกระจ่าง ผมก็ได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่า : ผมรู้แล้วว่าเจ้ายุงตัวเล็กๆ "Anopheles Stephensi" ไอ้ยุงเล็กพรรค์นั้นแหละ ที่หนักน้อยกว่า 5 ไมโครแกรม เบาเสียยิ่งกว่าเม็ดเกลือ ถ้าเจ้ายุงนั่นสามารถเขี่ย ผู้ชายหนัก 170 ปอนด์ 80 กิโลทิ้งได้ ผมได้รับรู้แล้วว่านั่นคือ คริปโตไนท์ของผม จากนั้นผมก็ได้รู้ว่า เปล่าเลย ไม่ใช่เพราะยุงหรอก เป็นเพราะปรสิตตัวจี๊ด ที่อยู่ในตัวยุงต่างหาก "Plasmodium Falciparum" ที่ฆ่าคนได้มากกว่าล้านคนต่อปี จากนั้นผมก็รับรู้ได้ว่า ไม่ใช่ มันเล็กจิ๋วยิ่งกว่านั้นอีก แต่สำหรับผม มันดูใหญ่กว่ามากมายนัก ผมรับรู้ได้แล้วว่า "ความกลัว" ต่างหาก คือคริปโตไนท์ของผม ปรสิตของผม ที่ทำให้ผมเป็น "ง่อย" มาทั้งชีวิต รู้ไหมครับ มันมีความต่างระหว่าง อันตรายกับความกลัว อันตรายคือของจริง แต่ความกลัวคือทางเลือก แล้วผมก็ตระหนักว่าผมมีทางเลือก ผมอาจจะตกอยู่ในความหวาดผวา และตายอย่างพ่ายแพ้ในคืนนั้นก็ได้ หรือผมอาจจะปลิดชีพความกลัว นั้นซะ แล้วผมก็อาจจะ เอื้อมถึงสิ่งที่ผมฝัน กล้าที่จะใช้ชีวิตได้ แล้วรู้ไหมครับว่า มีบางสิ่ง ตอนที่นอนรอความตายอยู่บนเตียง และการเผชิญหน้ากับความตายนั้น ทำให้คุณอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปจริงๆ ผมได้รู้ว่า ทุกคนต้องตาย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ได้ใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ตอนที่กำลังจะตายคือ ตอนที่เราได้ใช้ชีวิต คุณรู้ไหม เมื่อคุณรู้ว่าจะตาย คุณถึงได้เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่จริงๆ ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะเปลี่ยน เรื่องราวของผมในคืนนั้น ผมยังไม่อยากตาย ผมจึงได้ขอพรเล็กๆ ไว้ข้อหนึ่ง ผมขอว่า "พระผู้เป็นเจ้า หากท่านให้ผม อยู่ต่อถึงวันเกิดปีที่ 21 ผมจะไม่ปล่อยให้ความกลัว มาบงการชีวิตของผมอีกต่อไป ผมจะปลิดชีพความกลัวเสีย ผมจะไขว่คว้าให้ถึงความฝันของผม ผมอยากจะเปลี่ยนความคิดตัวเอง ผมอยากจะทำอะไรสักอย่างที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยชีวิตผม ผมอยากแสวงหาจุดหมาย และการเรียกร้องของตัวเอง ผมอยากจะรู้ว่า ความเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้" ผมจะไม่บอกคุณหรอกผมว่ารอดในคืนนั้นไหม ผมจะให้คุณคิดเอาเอง (เสียงหัวเราะ) แต่คืนนั้นผมได้ทำลิสต์เป้าหมายหลัก อย่างแรกสุด 10 รายการ ผมตั้งใจว่าผมอยากจะไปเที่ยว ทวีปหลักๆ ไปเที่ยว 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เรียนรู้หลายๆ ภาษา ใช้ชีวิตบนเกาะร้าง ใช้ชีวิตบนเรือลำหนึ่งในมหาสมุทร ใช้ชีวิตกับชนเผ่าหนึ่งของอินเดียนในแอมะซอน ปีนให้ถึงยอดเขาสูงที่สุดในสวีเดน ผมอยากจะเห็นยอดเขา เอเวอเรสต์ตอนอาทิตย์ขึ้น ทำงานในวงการธุรกิจดนตรีที่แนชวิลล์ ผมอยากจะทำงานกับคณะละครสัตว์ แล้วผมก็อยากจะกระโดดร่มจากเครื่องบิน ยี่สิบกว่าปีต่อมา ผมทำสำเร็จเกือบทั้งหมดแล้ว ทุกๆ ครั้งผมจะทำเครื่องหมายในลิสต์ ผมก็จะเพิ่ม 5 หรือ 10 รายการบนลิสต์ แล้วลิสต์ของผมก็เติบโตไปเรื่อยๆ ในเจ็ดปีต่อมา ผมได้ใช้ชีวิตบนเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งในบาฮามาส อยู่ประมาณเจ็ดปีได้ ในกระท่อมมุงจาก แทงฉลามกับปลากระเบนขึ้นมากิน เป็นคนเดียวในเกาะ ในชุดผ้าเตี่ยวชุดเดียว แล้วผมก็ได้เรียนรู้ที่จะว่ายน้ำกับฉลาม แล้วจากที่นั่น ผมย้ายไปเม็กซิโก จากนั้น ผมก็ย้ายไปที่ลุ่มแม่น้ำแอมะซอน ในเอควาดอร์ "พูโจ พองโก แห่งเอควาดอร์" แล้วอยู่กับชนเผ่าหนึ่งที่นั่น ผมได้ความมั่นใจมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จากเพียงแค่เป้าหมายหลักเท่านั้น ผมได้ย้ายไปอยู่วงการธุรกิจดนตรีในแนชวิลล์ แล้วจากนั้นก็สวีเดน ย้ายไปที่สต็อกโฮล์ม แล้วทำงานในแวดวงธุรกิจดนตรีที่นั่น ที่ที่ผมได้ปีนไปถึงยอดเขาแคบนีไคเซอ เหนืออาร์กติกเซอร์เคิล ผมได้เรียนการแสดงตลก และการเล่นกล เรียนการเดินบนไม้ต่อขา การขี่จักรยานล้อเดียว การกินไฟ การกินแก้ว ในปี ค.ศ. 1997 ผมได้ยินมาว่า นักกลืนดาบเหลืออยู่ไม่กี่สิบคนแล้ว ผมจึงพูดว่า "ฉันต้องทำให้ได้!" ผมพบนักกลืนดาบอยู่คนหนึ่ง และถามเขาถึงบางเคล็ดลับ เขาตอบว่า "ได้ ผมจะให้เคล็ดลับ 2 อย่าง อย่างที่ 1 : มันอันตรายสุดๆ คนตายเพราะกลืนดาบมานักต่อนักแล้ว อย่างที่ 2 : อย่าลองเป็นอันขาด!" (เสียงหัวเราะ) ผมจึงได้เพิ่มมันไว้ในลิสต์เป้าหมายหลัก แล้วผมก็ฝึกฝน 10 ถึง 12 ครั้งต่อวัน ทุกๆ วัน เป็นเวลาสี่ปี มาตอนนี้ ผมคำนวณออกมาได้.. 4 x 365 ก็เป็นความพยายามที่ไม่สำเร็จ ประมาณ 13,000 ครั้ง ก่อนที่ผมจะได้ลงดาบแรกไปในคอผม ตอนปี ค.ศ. 2001 ระหว่างช่วงเวลานั้นผมตั้งเป้าไว้ ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ ของโลกในการกลืนดาบ ดังนั้นผมจึงสรรหาหนังสือทุกเล่ม นิตยสาร บทความหนังสือพิมพ์ รายงานทางการแพทย์ทุกฉบับ ผมร่ำเรียนกายวิภาคศาสตร์กับสรีรวิทยา ผมได้พูดคุยกับคุณหมอ พยาบาล เชื่อมโยงเครือข่ายนักกลืนดาบเข้าด้วยกัน ให้เป็นสมาคมนักกลืนดาบนานาชาติ และทำบทความวิจัยทางการแพทย์ 2 ปี ในเรื่อง "การกลืนดาบและผลข้างเคียง" ที่ได้เผยแพร่ลงในวารสารการแพทย์บริติช (เสียงหัวเราะ) ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ) แล้วผมก็ได้เรียนรู้บางอย่างที่น่าหลงใหล เกี่ยวกับการกลืนดาบ บางอย่างที่ผมพนันว่าคุณไม่เคยนึกมาก่อน แต่คุณจะคิดหลังจากคืนนี้ ครั้งหน้าที่คุณกลับบ้านไป แล้วคุณกำลัง ตัดชิ้นสเต็กด้วยมีด หรือดาบ หรือ "Bestek" ของคุณ คุณจะนึกถึงสิ่งนี้.. ผมได้เริ่มเรียนรู้การกลืนดาบในอินเดีย ที่ที่ผมได้เห็นเป็นครั้งแรก ตอนเป็นเด็กอายุ 20 ปี ประมาณ 4,000 ปีก่อน ราว 2,000 ปีก่อนคริสตศักราช เป็นเวลามากว่า 150 ปี ที่นักกลืนดาบถูกใช้ ในการศึกษาวิทยาศาสตร์และการแพทย์ เพื่อช่วยในการคิดค้นกล้องส่องแบบแข็ง (rigid endoscope) ในปี 1868 โดย ดร. อดอล์ฟ คุสส์มัล ในฟรายบวร์ก เยอรมนี ในปี ค.ศ. 1906 ในการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ที่เวลส์ เพื่อค้นคว้าความผิดปกติในการกลืน และการย่อยอาหาร พวกกล้องส่องหลอดลม อะไรประมาณนั้น แต่มากกว่า 150 ปีที่ผ่านมา เรารู้จักอาการบาดเจ็บมานับร้อย และการตายมาเป็นสิบๆ.. นี่คือลำกล้องแบบแข็งที่ได้รับการ คิดค้นโดย ดร.อดอล์ฟ คุสส์มัล แต่เราพบว่ามีคนตายถึง 29 คน ในช่วงมากกว่า 150 ปีที่ผ่านมา รวมถึงนักกลืนดาบคนนี้ในลอนดอน ที่แทงทะลุหัวใจด้วยดาบของเขาเอง เรายังได้ทราบว่ามีอาการบาดเจ็บรุนแรง ประมาณ 3-8 ครั้งในแต่ละปี ที่ผมรู้ก็เพราะผมได้รับโทรศัพท์ ผมมีอาการแค่สองครั้ง ครั้งหนึ่งจากสวีเดน อีกครั้งจากออร์แลนโด เพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา นักกลืนดาบที่ต้องไปอยู่ในโรงพยาบาล จากอาการบาดเจ็บ ดังนั้นจึงอันตรายอย่างยิ่งยวด อีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ก็คือ การกลืนดาบนั้นใช้เวลา จาก 2 ปีถึง 10 ปี เพื่อเรียนรู้วิธีในการกลืนดาบ หลายต่อหลายคน แต่การค้นพบที่น่าหลงใหลที่สุด ที่ผมได้ทราบมาก็คือ บรรดานักกลืนดาบสามารถเรียนรู้ที่จะ ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างไรกันนะ และผมกำลังจะให้เคล็ดลับเล็กน้อยกับคุณ อย่าพุ่งเป้าไปที่ร้อยละ 99.9 ที่เป็นไปไม่ได้ แต่ให้มุ่งเน้นไปที่ร้อยละ 0.1 ที่เป็นไปได้ คิดหาคำตอบถึงวิธีทำให้มันเป็นไปได้ ทีนี้ ให้ผมพาคุณไปบนเส้นทาง สู่ความคิดของนักกลืนดาบคนหนึ่ง ในการกลืนดาบสักเล่ม มันจำเป็นต้องมีสมาธิยิ่งกว่าการเข้าฌาณ เพ่งสมาธิที่แหลมคม หาตำแหน่งที่เที่ยงตรง เพื่อที่จะแยกจากอวัยวะภายใน และ เอาชนะปฎิกิริยาอัตโนมัติของร่างกาย ผ่านการบังคับให้สมองทำความเข้าใจ ผ่านการจดจำของกล้ามเนื้อซ้ำๆ ฝึกฝนด้วยความตั้งใจ มากกว่า 10,000 ครั้ง คราวนี้ให้ผมพาคุณไปยังการเดินทางเล็กๆ เข้าไปในร่างกายของนักกลืนดาบคนหนึ่ง ในการกลืนดาบสักเล่ม ผมจะต้องเคลื่อนดาบให้ ข้ามลิ้นของผมไป กดรีเฟล็กซ์การกลืนไว้ ข้างในปากหลอดอาหาร หาตำแหน่งสัก 90 องศา หักมุมตรงฝาปิดกล่องเสียง ผ่านไปยังกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนบน กดรีเฟล็กซ์การบีบตัว ของหลอดอาหาร เคลื่อนดาบลงไปในช่องอก ระหว่างปอดทั้งสองข้าง ณ จุดนี้ อันที่จริงผมต้องสะกิดถูกหัวใจอยู่ข้างๆ หากคุณตั้งใจดูดีๆ แล้ว คุณจะเห็นการเต้นของหัวใจผ่านดาบของผม เพราะมันพิงอยู่กับหัวใจ แยกห่างจากกันด้วยเนื้อเยื่อหลอดอาหาร ประมาณแปดนิ้ว มันไม่ใช่สิ่งที่คุณจะแกล้งทำได้ จากนั้นผมก็ต้องเลื่อนดาบผ่านกระดูกอกไป ผ่านกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง ลึกลงไปยังกระเพาะอาหาร กดรีเฟล็กซ์ยืดในกระเพาะ ลงไปในลำไส้เล็กส่วนต้น "ง่ายนิดเดียว!" (เสียงหัวเราะ) หากว่าผมไปไกลยิ่งกว่านั้น ลึกลงไปจรดถึงท่อนำไข่ของผม เอ๋ ท่อนำไข่!? ทุกท่านครับ เดี๋ยวค่อยถาม ภรรยาคุณเรื่องนั้นทีหลังก็แล้วกัน ผู้คนพากันถามผมว่า "มันต้องใช้ความกล้าอย่างมากเลยสินะ ในการเสี่ยงชีวิตคุณเอง ที่จะสะกิดโดนหัวใจคุณเอง แล้วกลืนดาบเอาไว้.." ไม่ใช่เลย สิ่งที่ใช้ความกล้าแท้จริง คือการที่เด็กขี้กลัว ขี้อาย ผอมแห้งแรงน้อยคนนั้น กล้าเสี่ยงในความล้มเหลวและการปฏิเสธ กล้าที่จะเปิดใจให้กว้าง แล้วกลืนความทระนงของเขา ขึ้นมายืนอยู่ที่แห่งนี้ ต่อหน้าผู้คนไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิง แล้วบอกเล่าเรื่องราวของเขา ถึงความกลัวและความฝัน เสี่ยงที่จะ "แฉหมดเปลือก" ทั้งตามจริงและโดยอุปมา เข้าใจนะครับ ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ) เห็นไหมครับ สิ่งที่น่าทึ่งจริงๆ แล้วก็คือ ผมอยากจะทำสิ่งที่ไม่ธรรมดาในชีวิต มาโดยตลอด แล้วตอนนี้ผมก็ได้ทำแล้ว แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดาจริงๆ แล้วก็คือ ไม่ใช่ที่ผมสามารถกลืน ดาบ 21 เล่มในครั้งเดียว หรืออยู่ในบ่อน้ำลึกถึง 20 ฟุต ที่มีฉลามและปลากระเบน 88 ตัว เพื่อหนังสือ ริปลีย์เชื่อหรือไม่ (Ripley's Believe It or Not) หรืออุ่นให้เดือดถึง 1,500 องศาร้อนจี๋ สำหรับความเหนือมนุษย์ของสแตนลี เป็น "คนเหล็ก" และที่กลืนลงไปนั่นมันร้อนจริงๆ! หรือดึงรถทั้งคันด้วยดาบในหนังสือริปลีย์ หรือกินเนส หรือทำได้ถึงรอบสุดท้ายใน "America's Got Talent" หรือชนะรางวัลอิกโนเบล ในสาขาการแพทย์ ปี ค.ศ. 2007 เปล่าเลย นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าทึงที่แท้จริง นั่นเป็นสิ่งที่คนคิดกัน ไม่ ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย สิ่งที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง คือ พระเจ้าได้ทำให้เด็กขี้กลัว ขี้อาย ผอมแห้งแรงน้อยคนนั้น คนที่กลัวความสูง คนที่กลัวน้ำและฉลาม และหมอกับพยาบาล แล้วก็เข็มกับของมีคม แล้วก็การพูดคุยกับผู้คน เดี๋ยวนี้ ท่านทำให้ผมได้บินไปทั่วโลก ที่ความสูง 30,000 ฟุต ได้กลืนของมีคม อยู่ใต้น้ำ ในบ่อน้ำที่มีแต่ฉลาม และพูดคุยกับคุณหมอ พยาบาล และผู้ชมอย่างพวกคุณทั่วโลก นั่นคือสิ่งที่น่าทึ่งอย่างแท้จริงสำหรับผม ผมมักจะอยากทำ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสมอ ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ) ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ) ผมมักจะอยากทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อยู่เสมอ และตอนนี้ก็ทำได้แล้ว ผมอยากทำบางสิ่งที่ยอดเยี่ยมด้วยชีวิตผม และเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ และตอนนี้ผมก็ทำได้แล้ว ผมอยากเหาะไปทั่วโลก แสดงฝีมือเหนือมนุษย์เสมอมา และช่วยชีวิตคน ตอนนี้ผมทำได้แล้ว แล้วคุณรู้ไหมครับ ยังมีความฝันอันยิ่งใหญ่บางส่วนนิดๆ ของเด็กน้อยคนนั้น ลึกๆ ในใจ (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) แล้วคุณรู้ไหมครับ ผมอยากจะแสวงหา จุดหมายและการเรียกร้องของผมมาตลอด และตอนนี้ผมก็ได้พบแล้ว แต่ลองทายดูซิครับ ไม่ใช่ด้วยดาบ ไม่ใช่สิ่งที่คุณคิด ไม่ใช่ด้วยความเข้มแข็งของผม จริงๆ แล้วด้วยความอ่อนแอของผมเอง คำพูดของผมเอง จุดหมายและการเรียกร้องของผม คือสิ่งที่พลิกผันโลกใบนี้ ด้วยการลัดข้ามผ่านความกลัว ดาบหนึ่ง เพียงครั้งเดียว ถ้อยคำหนึ่ง เพียงครั้งเดียว มีดหนึ่ง เพียงครั้งเดียว หนึ่งชีวิต แค่ครั้งเดียว เพื่อมอบแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนเป็นซูเปอร์ฮีโร่ และทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ในชีวิตพวกเขา จุดหมายของผมคือช่วยให้คนอื่น ตามหาจุดหมายของพวกเขา แล้วของคุณล่ะคืออะไร จุดหมายของพวกคุณคืออะไร คุณเดิมพันด้วยสิ่งใด ผมเชื่อว่าเราทุกคน เกิดมาเพื่อเป็นยอดมนุษย์ พลังยอดมนุษย์ของคุณคืออะไร ประชากรทั้งโลก กว่าเจ็ดพันล้านคน มีนักกลืนดาบไม่กี่สิบคน ที่เหลืออยู่ในโลกปัจจุบันนี้ แต่คุณมีเพียงแค่คนเดียว คุณไม่เหมือนใคร เรื่องราวของคุณเป็นอย่างไร อะไรที่ทำให้คุณแตกต่าง เล่าเรื่องราวของคุณครับ ต่อให้เสียงของคุณจะแผ่วเบาหรือสั่นเครือ "Thromes" ของคุณคืออะไรบ้าง ถ้าคุณสามารถทำอะไรก็ได้ เป็นใครก็ได้ ไปที่ไหนก็ได้ คุณจะทำอะไร คุณจะไปที่ไหน คุณจะทำอะไรครับ คุณอยากจะทำอะไรกับชีวิตล่ะครับ ความฝันอันยิ่งใหญ่ของคุณคืออะไร ความฝันอันยิ่งใหญ่ของคุณ ตอนเป็นเด็กน้อยคืออะไร คิดย้อนดู ผมพนันได้เลยว่าไม่ใช่สิ่งนี้ จริงไหม ความฝันหลุดโลกของคุณคืออะไร ที่คุณคิดว่าแปลกสุดๆ และลึกลับ ผมพนันได้เลยว่าสิ่งนี้จะทำให้ความฝัน ของคุณดูไม่แปลกเลยสักนิด ใช่ไหมครับ "ดาบ" ของคุณคืออะไร คุณแต่ละคนจะมีดาบอยู่เล่มหนึ่ง "ดาบสองคม" ของความกลัวและความฝัน กลืนดาบของคุณเสีย ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร คุณสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษครับ "ตามฝันของคุณให้ได้" มันไม่มีวันสายเกินไปที่จะเป็น ไม่ว่าคุณอยากจะเป็นอะไรก็ตาม สำหรับคนที่รังแกผมด้วยดอดจ์บอลพวกนั้น สำหรับเด็กเหล่านั้นที่คิดว่า ผมไม่มีทางทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำเร็จ ผมมีเพียงสิ่งเดียวที่จะพูดกับพวกเขา : "ขอบคุณ" เพราะหากไม่มีตัวร้าย เราคงไม่มีซูเปอร์ฮีโร่ ผมมาอยู่ที่แห่งนี้เพื่อพิสูจน์ว่า ความเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่สิ่ง "เป็นไปไม่ได้" สิ่งนี้อันตรายอย่างยิ่งยวด มันอาจฆ่าผมได้เลย ผมหวังว่าคุณจะสนุกกับมันนะครับ (เสียงหัวเราะ) ผมต้องการความช่วยเหลือ จากพวกคุณอยู่อย่างหนึ่ง ผู้ชม: สอง สาม.. แดน : ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ ผมต้องการให้ช่วย นับให้ผม คุณทั้งหมดเลย ได้ไหมครับ (เสียงหัวเราะ) หากคุณรู้คำนะครับ ได้ไหม นับไปกับผม พร้อมนะครับ หนึ่ง! สอง! สาม! ไม่ใช่ครับ นั่นคือ 2 แต่คุณก็พอรู้แล้วนะ ผู้ชม : หนึ่ง สอง สาม! (อ้าปากค้าง) (เสียงปรบมือ) แดน : เยี่ยม! (เสียงปรบมือ) (เสียงโห่ร้องด้วยความยินดี) ขอบคุณอย่างยิ่งครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณจากส่วนลึกของหัวใจ อันที่จริง ต้องขอบคุณจากส่วนลึก ของกระเพาะอาหาร ผมบอกแล้วว่ามาที่นี่เพื่อทำ สิ่งเป็นไปไม่ได้ และตอนนี้ก็ได้ทำแล้ว แต่นี่ไม่ใช่สิ่งเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ผมทำสิ่งนี้อยู่ทุกวัน สิ่งเป็นไปไม่ได้นั้นสำหรับเด็กขี้กลัว ขี้อาย ผอมแห้งแรงน้อยที่ประจันหน้ากับความกลัว ก้าวขึ้นมาอยู่ที่นี่ บนเวที(ของ TEDx) และเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ด้วยคำพูดหนึ่งคำในครั้งเดียว ดาบเดียว เพียงครั้งเดียว ชีวิตเดียว แค่ครั้งเดียว ถ้าผมทำให้คุณคิดในแบบใหม่ๆ ถ้าผมทำให้คุณเชื่อว่า ความเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ สิ่งที่ "เป็นไปไม่ได้" หากผมทำให้คุณได้รู้ว่าคุณสามารถ ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในชีวิตคุณ ถ้าอย่างนั้นงานของผมก็สำเร็จแล้ว และของคุณเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น อย่าได้หยุดใฝ่ฝัน อย่าได้หยุดเชื่อมั่น ขอบคุณที่"เชื่อมั่น"ในตัวผม และขอบคุณที่เป็นส่วนหนึ่งของความฝันผม และนี่คือของขวัญที่ผมจะให้คุณครับ "ความเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่สิ่งที่.. ผู้ชม : เป็นไปไม่ได้! การเดินทางที่ยาวไกล คือส่วนหนึ่งของของขวัญ" (เสียงปรบมือ) ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ) (เสียงโห่ร้องด้วยความยินดี) พิธีกร : ขอบคุณค่ะ! แดน ไมเยอร์ ว้าว!