ช่วงโควิดแบบนี้หลายๆคนกลายเป็นแดนเซอร์ แต่รู้ไหมคะว่าในอดีต เคยมีโรคระบาดที่ทำให้คน แดนซ์ไม่หยุดค่ะ สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ เชื่อว่าช่วง COVID-19 แบบนี้นะคะ นอกจากวิถีชีวิตต่างๆของเราจะเปลี่ยนไป จะต้องใส่หน้ากาก จะต้องมี Social Distance อะไรต่างๆแล้วเนี่ย หลายๆคนยังค้นพบสิ่งนึงเพิ่มเติมค่ะ นั่นก็คือ ค้นพบความเป็นแดนเซอร์ในตัวเองนะคะ คือเอาจริงๆตอนนี้ทุกวันไถผ่าน Facebook ไถผ่าน Twitter เนี่ย เพื่อนๆของวิวหลายๆคน กลายเป็นแดนเซอร์กันไปหมดแล้วค่ะ เชื่อว่าหลายๆคนที่ดูอยู่ตอนนี้ ก็น่าจะกลายเป็นแดนเซอร์ไปด้วยนะคะ อยู่ดีๆก็ออกมาอัดคลิปวิดีโอตัวเองเต้นต่างๆมากมาย แต่รู้กันไหมคะว่าในอดีตเนี่ย เคยมีบันทึกทางประวัติศาสตร์ค่ะ เล่าถึงเหตุการณ์นึงที่ แปลกมากๆเลยนะ เป็นเหตุการณ์ที่ เกิดโรคระบาดโรคนึงขึ้นนะคะ และผลของโรคนี้ก็คือการที่ ชาวเมืองออกมาแดนซ์กันไม่หยุดค่ะ เรียกได้ว่าแดนซ์กันจนตายคาฟลอร์เลยทีเดียวนะคะทุกคน หลายๆคนอาจจะคิดว่าไม่จริงนะคะ ไม่ต้องห่วงค่ะ วันนี้วิวหาข้อมูลมาเล่าให้ทุกคนฟังเรียบร้อยแล้วนะคะ สำหรับตอนนี้พร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้ง สนุกแล้วก็ได้สาระกันรึยังคะ ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ ก่อนที่จะเล่าเนี่ยนะคะ ขอออกตัวก่อนค่ะว่าเรื่องที่วิวจะนำมาเล่าเนี่ย วิวไม่ได้มั่วขึ้นมานะคะทุกคน มันเป็นบันทึกเหตุการณ์จริงๆทางประวัติศาสตร์นะ ดังนั้นถ้าสมมติว่าใครอยากไปหาอ่านเพิ่มเติมอะไรต่างๆ วิวลงอ้างอิงไว้ให้ด้านล่างแล้วค่ะ สามารถไปดูได้นะ อะ เรามาเข้าเรื่องของเราดีกว่าค่ะ ต้องบอกว่าโรคที่ทำให้คนแดนซ์ไม่หยุดเนี่ย เป็นเหตุการณ์นึงทางประวัติศาสตร์นะคะที่เกิดขึ้นจริง หลายๆคนเขาจะเรียกเหตุการณ์นี้ว่า Dancing Plague ค่ะ ก็คือ Plague นี่คือโรคระบาดใช่ไหมคะ Dancing ก็คือการเต้น ก็คือโรคระบาดที่ทำให้คนเต้นไม่หยุดค่ะ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุดเนี่ยนะคะเกิดขึ้น เมื่อปีค.ศ. 1518 ค่ะ ที่ฝรั่งเศสนะคะ หรือว่าในสมัยนั้นเนี่ยก็ ยังนับเป็นจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อยู่นะ เพราะว่าเป็นช่วงต้นๆของสมัย Renaissance ปลายๆยุคกลางค่ะ ซึ่งเหตุการณ์ในตอนนั้นเนี่ยก็คือ การที่ชาวเมืองหลายต่อหลายคนเนี่ยนะคะ ออกมาแดนซ์กันตามท้องถนนค่ะ เรียกได้ว่าเต้นกันจนตายคาฟลอร์เลยค่ะ หลายๆคนก็หัวใจวาย heart attack บ้าง บางคนก็ stroke นะคะ เส้นเลือดในสมองแตกก็มี หรือว่าบางคนก็อ่อนเพลียจนตายไปเลยทีเดียวค่ะ เรียกได้ว่าหลายๆคนฟังตอนแรกอาจจะรู้สึกว่า เอ๊ย Dancing Plague ทุกคนก็แค่ออกมาแดนซ์ด้วยกัน น่าจะสนุกๆ จริงๆแล้วเหตุการณ์นี้ไม่ได้สนุกเลยนะคะ แล้วก็ทำให้คนตายไปค่อนข้างมากพอสมควรเลยทีเดียวค่ะ ซึ่งถามว่าเหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นได้ยังไงนะคะ ต้องบอกว่ามันเริ่มขึ้นในวันนึง ในเดือนกรกฎาคม ปีค.ศ. 1518 นี่ล่ะค่ะ มีผู้หญิงคนนึงนะคะชื่อว่า Frau Troffea ค่ะ Frau นี่เหมือนกับคำว่านางอะนะ นาง Troffea ว่าอย่างนั้นเถอะ ผู้หญิงคนนี้ค่ะอยู่ดีๆก็เดินออกมาจากบ้านนะคะ เดินลงไปบนถนนค่ะ แล้วก็เริ่มค่อยๆแดนซ์นะคะ เรียกได้ว่าค่อยๆขยับตัวไปมา บิดองบิดเอว หมุนตัวนู่นนี่นั่น เรียกได้ว่าอยู่ดีๆก็ออกสเต็ปมาซะอย่างนั้นน่ะค่ะ แบบทั้งๆที่ไม่มีเพลงไม่มีอะไรเลยนะคะ แล้วเจ๊แกก็ไปแดนซ์อยู่กลางถนนเรื่อยๆนะคะ แดนซ์ แดนซ์ แดนซ์ แดนซ์อยู่ในความเงียบค่ะ ซึ่งไม่มีเพลงไม่มีอะไรทั้งสิ้น แต่ก็ยังแดนซ์ต่อไปนะคะ เรียกได้ว่าแดนซ์จนตัวเองเนี่ยเหนื่อย พอเหนื่อยก็คือ เป็นลมล้มพับลงไป โอ๊ะ หมดแรง แต่พอมีแรงเมื่อไหร่ เจ๊แกก็ลุกขึ้นมา แล้วก็แดนซ์ต่อไปค่ะ ซึ่งถามว่าเจ๊แกแดนซ์อยู่นานแค่ไหนนะคะ ต้องบอกว่าเจ๊แกแดนซ์อยู่นานถึงประมาณ 1 สัปดาห์เลยทีเดียวค่ะ และแน่นอนนะคะ เหล่าชาวเมืองเนี่ยก็ไม่ได้ปล่อย ให้เจ๊แกแดนซ์อยู่คนเดียวค่ะ หลังจากที่เจ๊แกเนี่ยเริ่มแดนซ์คนแรกนะคะ ผ่านไปไม่นานค่ะ ก็มีคนอีกประมาณ 3 คนเนี่ย ออกมาแดนซ์เป็นเพื่อนนะคะ ทุกคนก็มาเต้นร่วมกัน ตอนนี้มี 4 คนแล้วใช่ไหม หลังจากนั้นนะคะ พอมีคน 4 คนเต้นแล้วเนี่ย เวลาก็ค่อยๆผ่านไปค่ะ จนกระทั่งครบ 1 อาทิตย์นะคะ เหล่าชาวเมืองเนี่ยก็พากัน ค่อยๆทยอยออกมา ทยอยออกมา แดนซ์กันแบบนี้กลางถนนนะคะ จนกระทั่งมีคนประมาณ 30 คนเต้นอยู่กลางถนนค่ะ เรียกได้ว่าก็เต้นกันอย่างนี้ เต้น เป็นลม เต้น เป็นลม ฟื้นขึ้นมาเต้นต่อ เต้นต่อ อ้าว เป็นลม เสร็จก็ลงไปนอน ลงไปนอนเสร็จก็ขึ้นมาเต้นต่อนะคะ ถามว่าเกิดเหตุการณ์นี้แล้ว ผู้ปกครองเมืองจะต้องรู้สึกยังไง ผู้ปกครองเมืองนะคะก็รู้สึกว่า เฮ้ย เรื่องนี้มันไม่ปกติละ จะห้ามจะอะไรก็ไม่หยุดกันซักที เอ๊ะ แล้วก็ไม่มีสาเหตุอะไร เพราะว่าดูแล้วเขาก็ไม่ได้ enjoy กับการเต้นขนาดนั้น เพราะว่าเต้นแล้วเป็นลม เต้นแล้วเป็นอะไรนะคะ ดังนั้นค่ะผู้ปกครองก็พยายามหาวิธีแก้นะคะ แน่นอนว่าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยนั้นน่ะ มันยังไม่ได้ก้าวหน้าอะไรมาก หมอสมัยนั้นนะคะก็พยายามจะ วินิจฉัยโรคไปตามความรู้ของตัวเองต่างๆนานานะ ซึ่งก็ไม่ได้มีความรู้ขนาดนั้น ก็เดาไปเรื่อยค่ะ เอาง่ายๆ จำตอนที่วิวเล่าเรื่อง Black Death ได้ไหม ว่าหมอเดาว่าอะไรแบบ อากาศไม่ดีจะต้องเอาตัวไปแช่ในน้ำส้มสายชูอะไรอย่างนี้ คือมันก็มีความมั่วระดับนึงอยู่แล้ว นึกออกป้ะ ดังนั้นนะคะ หมอในยุคนั้นค่ะเขาเดาว่า โอ๊ย เหตุการณ์นี้นะมันจะต้องเกิดจาก สาเหตุว่าเลือดมันจะต้องร้อนแน่ๆ ไม่ได้หมายถึงเลือดร้อนแบบจะไปต่อยชาวบ้านนะ แต่หมายถึงว่าแบบความร้อนในเลือด มันจะต้องมากเกินไปอะไรอย่างนี้ ทำให้จะต้องมีการขับความร้อนออก ผ่านการเต้น อะ นี่คือสิ่งที่หมอวินิจฉัย ดังนั้นเมื่อเลือดร้อน จะต้องเต้นเพื่อเอาความร้อนออก วิธีแก้ไขก็คือ หนามยอกเอาหนามบ่งค่ะ อะ อยากเต้นใช่ไหม เต้นไปให้พอ เรียกได้ว่าให้เต้นให้แรงที่สุด เลือดมันจะได้หายร้อนเร็วๆนะคะ ดังนั้นสภาเมืองค่ะก็บอกว่า โอเค อยากให้ชาวเมืองเต้นใช่ไหม สภาเมืองจัดให้ค่ะ สภาเมืองก็เลยเปิด Guildhall นะคะ หมายถึงแบบเปิดศาลาว่าการเมืองประมาณนั้นน่ะ แล้วก็เอาเวทีมาตั้ง ไปจ้างวงดนตรีมานะคะบอกว่า อะ พวกเธอแดนซ์เงียบๆมา 1 อาทิตย์แล้วนะ ฉันทนไม่ได้ละ อะ เอาวงดนตรีไป มิวสิกมา น่ะ เพลงค่อยแดนซ์ขึ้นหน่อยนะคะ เมื่อกี้มันดูเงียบไป ดูไม่แดนซ์เลยใช่ไหม ตอนนี้มีอะไรแล้ว มีเวที มีวงดนตรีเล่นเพลงแล้วใช่ไหม สภาเมืองยังคิดไม่จบค่ะ สภาเมืองก็ยังเป็นห่วงชาวเมืองอีกนะคะประมาณว่า เฮ้ย หลายๆคนมันออกมาเต้นน่ะ ท่ามันไม่ได้เรื่องเลย มันคิดท่าเองไม่ได้ เหมือนใน Tiktok อะ ดูบางคนดิ คิดท่าเองไม่ได้เรื่อง มันจะต้องไปเต้นตาม template มีคนเต้นนำ เต้นตาม อ้า อย่างนี้ท่ามันจะได้สวย เหมือนที่แบบเต้นๆกันใช่ไหม ดังนั้นค่ะสภาเมืองก็บอก โอเค งั้นเอาอย่างนี้ จ้างแดนเซอร์ ไป นักเต้นมืออาชีพ โคโยต้งโคโยตี้มาให้พร้อม อะโกก้ง อะโกโก้ เอามาเรียงกันให้หมด เรียงกันให้เต็มเวที บิ๊วมันเข้าไป เพลงก็เปิด แดนเซอร์ก็เต้นนำ คนก็เต้มตามนะคะ เรียกได้ว่าเหมือนปิดเมืองเหมือนจัดปาร์ตี้สงกรานต์อะ แต่ไม่ได้จัดวันเดียวหรือ 3 วัน จัดกันยาวๆไปเลยจนกว่าทุกคนจะหยุดเต้นนะคะ ซึ่งถามว่าเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดอะไรขึ้น ตอนแรกเต้นเงียบๆก็จะแย่แล้ว นี่มีเพลงมีอะไรมาดึ๊งดึ่งดึ๊งดึ่งอะไรกันอีกเต็มไปหมดนะคะ ดังนั้นคนทั้งเมืองก็ออกมาแดนซ์กันแบบ แดนซ์กระจุยกระจายค่ะ หลังจากนั้นนะคะ ไม่นานเลยค่ะ ชัดเลยว่าหมอวินิจฉัยผิด เพราะว่า เหล่าคนที่แค่เต้นแล้วเป็นลม เต้นแล้วเป็นลมเนี่ยนะคะ ก็เริ่มออกอาการค่ะ บางคนก็แบบเต้นๆๆ โอ๊ะ หัวใจวาย แล้วก็ลงไปตายนะคะ หรือบางคนก็แบบโอ๊ะ เส้นเลือดในสมองแตก ตายดีกว่า บางคนก็แบบอ่อนเพลียแล้วก็ ล้มลงไปนะคะ เรียกได้ว่าเต้นแล้วก็ร่วงกันไป เต้นร่วง เต้นร่วงค่ะ แต่ถามว่า การเต้นเหล่านี้ยังหยุดไหม ต้องบอกว่าสิ่งนี้ทำอะไรชาวเมืองไม่ได้นะคะ พวกชาวเมืองนี่ฟลอร์กระจุยกันจริงๆ เพราะว่าใครตายก็ตายไปค่ะ ส่วนคนที่เต้นก็เต้นต่อนะคะ เรียกได้ว่า เต้นกันต่อไปเรื่อยๆค่ะ ซึ่งเขาบอกว่าเหตุการณ์ตอนที่ผู้หญิงคนแรกออกมาเต้นเนี่ย มันเริ่มต้นเมื่อตอนเดือนกรกฎาคมใช่ไหม พอถึงเดือนสิงหาคมค่ะ หนึ่งเดือนผ่านไปเนี่ย ตอนนี้มีคนออกมาเต้นร่วมกันนะคะประมาณ 400 คนเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเหมือนแบบปาร์ตี้ขนาดใหญ่เลยนะคะ ใหญ่กว่านี้ก็คือจัดคอนเสิร์ต อิมแพคอารีน่าอะไรอย่างนี้แล้วนะ คนก็แดนซ์กันไปค่ะ ก็แดนซ์ตาย แดนซ์ตาย อย่างนี้กันไปเรื่อยๆนะคะ จนกระทั่งเวลาผ่านไปทั้งหมด 2 เดือนนะคะ ถึงเดือนกันยายนเนี่ย อยู่ดีๆเหตุการณ์การเต้นมันก็หยุดลงซะอย่างนั้นเลย ซึ่งตามตำนานเนี่ย เขาก็เล่าลือกันต่อมานะคะ ว่าสาเหตุที่การเต้นหยุดลงเนี่ย เพราะว่าสภาเมืองตัดสินใจ กลับค่ะ กลับตัวนะคะ ประมาณว่า เฮ้ย ฉันไปบิ๊วมันไม่ได้ละ ถ้าฉันไปบิ๊วมันเนี่ย มันจะเต้นต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นต้องเบรก ตอนนี้จิตใจร้อนรุ่ม ต้องทำให้อารมณ์เย็นลง ด้วยการไล่มันขึ้นเขาไปให้หมด อะ ทุกคนขึ้นไปยอดเขา บนเขามีวัดนะ มีโบสถ์อะไรต่างๆ ไป ไปสารภาพบ่ง สารภาพบาป นั่งสมาธิ สวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้า เอาให้พอ เอาให้จิตใจสงบ ก็ไม่รู้ว่าบังเอิญสิ่งนี้ไป trigger ชาวเมืองรึเปล่านะคะ ทำให้ชาวเมืองค่อยๆหยุดเต้นกันไปทีละคนสองคนสามคน หรือว่าบังเอิญ Dancing Plague เนี่ยมันจบลงพอดีนะคะ ทำให้ชาวเมืองเนี่ยหยุดเต้นกันค่ะ ดังนั้นเหตุการณ์ Dancing Plague ในครั้งนั้นนะคะ ก็เลยจบลงแบบงงๆ เหมือนกับตอนที่มันเริ่มแบบงงๆ คือไม่มีใครรู้ว่า เกิดขึ้นยังไงแล้วก็จบลงยังไงนะคะ เป็นเหตุการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นมา แล้วก็จบลงภายใน 2 เดือน ซะอย่างนั้นเลย แต่หลายคนนะคะฟังแบบนี้ก็อาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่เกิดขึ้นจริงรึเปล่า มันมั่วรึเปล่า อะไรยังไงนะคะ ต้องบอกว่ามันมีเอกสารทางประวัติศาสตร์นะคะ ในศตวรรษที่ 16 เนี่ยที่ บันทึกเรื่องราวนี้ไว้อย่างค่อนข้างละเอียดเลยทีเดียวค่ะ ดังนั้นนี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์นะคะและ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวค่ะ แต่ว่าตลอดตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 ถึงศตวรรษที่ 16 เนี่ย เกิดเหตุการณ์นี้หลายต่อหลายครั้งมากๆในยุโรปค่ะ ไม่ว่าจะเป็นที่สวิตเซอร์แลนด์ ที่ฮอลแลนด์ หรือว่าที่เยอรมนีเองก็ตามนะคะ ก็ล้วนแต่เคยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเช่นเดียวกันค่ะ ทีนี้นักประวัติศาสตร์ในสมัยปัจจุบันก็พยายาม จะสันนิษฐานกันนะคะว่า เอ๊ะ เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไงอะไรต่างๆ มันเป็นที่อาการทางร่างกาย หรืออาการทางสมอง หรือมันเป็นอะไรนะคะ ซึ่งเขาก็สันนิษฐานออกมาได้ทั้งหมด 4 ข้อด้วยกันค่ะ เดี๋ยวเรามาฟังกันไปทีละข้อเลยเนอะ ข้อแรกค่ะ เขาบอกว่า มันมีนักบุญอยู่คนนึงนะคะในศาสนาคริสต์ ที่ชาวบ้านในสมัยนั้นน่ะ ค่อนข้างจะเชื่อกันว่าสามารถสาปคนได้ค่ะและ เขาไม่ได้สาปธรรมดา เขาจะสาปแบบปิ้ว ขอให้แกจงเต้นไม่หยุด ประมาณนี้ ก็เป็นคำสาปที่แปลกดี เหมือนกับเป็นเทพเจ้าเท้าไฟอะไรอย่างนี้รึเปล่า อะ ไม่เกี่ยวนะคะ กลับมา ทีนี้พอมันมีความเชื่อเรื่องนักบุญคนนี้นะคะ ที่สามารถสาปคนได้เนี่ย บังเอิญว่าช่วงในปีค.ศ. 1518 เนี่ยนะคะ เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น ในฝรั่งเศสค่ะ ก็คือตอนนั้นเนี่ยเป็นตอนที่ฝรั่งเศสแห้งแล้งมากๆ โดยเฉพาะในหมู่บ้านที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นนะคะ แล้วก็มีความอดอยาก มีอะไรต่างๆ ประชาชนเครียดค่ะ เรียกได้ว่าเครียดแบบเครียดมากๆ สติจะแตกอยู่แล้วนะ พร้อมสติแตกทุกเมื่อ เมื่อมันมีความเชื่อเรื่องแบบนักบุญที่สามารถ สาปให้คนเต้นได้เนี่ยขึ้นมา มันก็เลยทำให้คนแรกเนี่ยเหมือนกับว่า สติหลุดอะ แล้วเข้าใจไปเองว่าตัวเองโดนนักบุญสาป ก็เลยออกมาแดนซ์กลางถนนซะอย่างนั้นเลยนะคะ ส่วนหลังจากนั้นเนี่ย ชาวบ้านคนอื่นๆ พอเห็นผู้หญิงคนนี้แดนซ์ไม่หยุด ก็เลยไปได้คอนเซ็ปต์มาว่า เฮ้ย มันจะต้องมีนักบุญมาสาปให้แดนซ์ไม่หยุดแน่ๆเลย ฉันโดนรึเปล่า ฉันโดนรึเปล่า ฉันก็สติจะหลุดแล้วเหมือนกัน ฉันก็เลยออกมาเต้นด้วยซะอย่างนั้น ทำให้ทั้งเมืองเนี่ยออกมาเต้นกันไปหมด ด้วยความเครียด ความแพนิก แล้วก็ ความเหมือนแบบหลอนไปเองว่าฉันโดนสาป ประมาณนั้นค่ะ ถือว่าเป็นอาการทางจิตอย่างนึงนะ ส่วนอย่างที่สองเนี่ยนะคะ เขาเชื่อกันว่า อาจจะเกิดจากความเชื่ออะไรบางอย่างในช่วงนั้นค่ะ อารมณ์เหมือนกับคล้ายๆประเทศไทยอะ ที่อยู่ดีๆก็มีน้ำผุดขึ้นมากลางหมู่บ้านแล้วก็มีคนบอกว่า น้ำนี่เป็นน้ำวิเศษ ใครกินแล้วจะหายจากโรคทุกอย่าง อารมณ์นั้นเลย มันก็เป็นอุปทานหมู่ต่อไปเรื่อยๆ คนแรกมากินแล้วก็บอกว่าอุ๊ย หายทุกอย่างเลย คนที่สองก็เลยมากินตาม แล้วทั้งหมู่บ้านก็เลยไปรุมกินกัน ทั้งๆที่นั่นคือน้ำส้วมแตกอะไรอย่างนี้นะคะ เช่นเดียวกันนะคะ เป็นไปได้ว่าในฝรั่งเศสตอนนั้นเนี่ย อาจจะเกิดความเชื่อลัทธิอะไรใหม่ๆขึ้นมา มีใครมาบอกว่า การออกมาแดนซ์เนี่ยจะทำให้พระเจ้าโปรดหรือว่าอะไรต่างๆ ทำให้ความอดอยากทำให้อะไรหายไป ทำให้ชาวเมืองเนี่ยอุปทานหมู่นะคะ แล้วก็พากันออกมาแดนซ์ เพื่อบูชาพระเจ้า บูชาเทพเจ้าต่างๆ แล้วก็เลยเป็นสาเหตุที่แบบ ต่อให้ล้มลงไปก็จะต้องฮึดขึ้นมา เพื่อบูชาเทพเจ้าต่อแล้วก็แดนซ์ต่อค่ะ ส่วนสาเหตุที่สามนะคะเขาเชื่อว่า อาจจะเกิดจากการกินอาหารค่ะ ประมาณว่า อาจจะไปกินโดนเห็ดพิษหรืออะไรต่างๆ ที่เป็นเห็ดเมาหรือว่ายาเสพติดโดยที่ไม่รู้ตัว เหมือนกับว่าไปเก็บพืชผักธัญญาหารอะไรมากิน แล้วแบบไม่รู้อะ พอกินเข้าไปมันก็เลยหลอนนะคะ แล้วก็เลยออกมาเต้นกัน เหมือนแบบเมาเห็ดเมาว่าอย่างนั้นเถอะ ส่วนเหตุการณ์ที่สี่เนี่ย ก็ค่อนข้างจะ make sense มากนิดนึง คือเขาบอกว่าชาวฝรั่งเศสช่วงนั้นน่ะ กินขนมปังใช่ไหม แล้วมันก็จะมีขนมปังจากแป้งหลายชนิด ชาวเมืองเนี่ยอาจจะไปกินโดนขนมปังจากแป้ง Rye ซึ่งมันมักจะมีเชื้อราค่ะ และเชื้อราที่อยู่ในแป้ง Rye เนี่ย เป็นเชื้อราที่ส่งผลต่อสมองนะคะ คือถ้ากินเข้าไปแล้วสมองจะมีปัญหาอะไรต่างๆ ทำให้เกิดภาพหลอนแล้วก็เลยทำให้ ชาวเมืองเนี่ยหลอนแล้วก็ออกมาเต้นกันนะคะ ซึ่งเชื้อราในแป้ง Rye เนี่ย ต้องบอกว่าส่งผลต่อสมองจริงๆนะ เพราะว่าปัจจุบันเราก็เอาเชื้อราตัวนี้ มาทำเป็นยาไมเกรนนั่นเอง ดังนั้นชัดเจนมากว่ามันส่งผลต่อสมองนะคะ ก็เอาจริงๆแล้วเนี่ย สมัยปัจจุบันเราก็ไม่รู้หรอกค่ะว่า สาเหตุไหนคือสาเหตุจริงๆกันแน่ เพราะว่า หมอปัจจุบันก็ไม่สามารถ ไปตรวจสอบเหตุการณ์ในอดีตได้ คือเราก็ไม่ได้มีซากศพใครที่แบบติดโรคนี้หรืออะไร ที่จะสามารถมาผ่าพิสูจน์อะไรต่างๆได้ ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นปริศนาต่อไปเรื่อยๆนะคะ แต่อย่างไรก็ดีค่ะ ต้องบอกว่าเรื่องนี้ มันก็มีคนเอามาบันทึกไว้ในรูปแบบต่างๆมากมาย อย่างที่วิวบอกเนี่ยมันก็มีบันทึก อยู่ในประวัติศาสตร์แล้วใช่ไหม เท่านั้นยังไม่พอ มันยังเป็นแรงบันดาลใจของวรรณกรรม อะไรหลายๆเรื่องด้วยนะคะ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องนึงเนี่ย ที่ส่วนตัววิวอ่านมาแล้วก็เจอ แล้วคิดว่าเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้แน่ๆ ขอย้ำอีกรอบว่าเป็นการคิดเอง แต่คิดว่าเกี่ยวแน่ๆเพราะมันชัดมาก ก็คือเรื่องแมรี่ ป๊อปปินส์นั่นเองนะคะ ถ้าใครเคยอ่านแมรี่ ป๊อปปินส์เล่มเต็มเนี่ยจะเห็นว่า มันมีเรื่องราวที่เกี่ยวกับ แม่วัวที่แดนซ์ไม่หยุดนะคะใน บทที่เจนหรือว่าเด็กผู้หญิงตัวเอกของเรื่องเนี่ยนะ ป่วยนอนอยู่บนเตียงค่ะ แล้วก็ไมเคิลซึ่งเป็นน้องของเจนเนี่ย ก็เล่าให้เจนฟังว่านอกหน้าต่างมีวัวตัวนึง มาเดิน นี่มาเดินทำอะไรอยู่ที่ ถนนหน้าบ้านเรานะ ทำให้แมรี่ ป๊อปปินส์เนี่ย เล่าเรื่องราวของวัวตัวนี้ให้ฟังค่ะ ก็เป็นแม่วัวที่ บังเอิญอยู่ในทุ่งแดนดิไลออนของตัวเอง แล้วอยู่ดีๆวันนึงเนี่ย ก็มีดวงดาว หล่นลงมาปักอยู่ที่เขา ทำให้แม่วัวตัวนี้แดนซ์ไม่หยุดนะคะ เต้นไม่หยุด เต้นจนเหนื่อยแบบ จะเป็นจะตาย สุดท้ายก็เลยต้องไปให้พระราชาช่วย เพื่อที่จะดึงดาวดวงนี้ออกไป แต่ว่าพระราชาก็ไม่สามารถช่วยดึงได้นะคะ ในที่สุดพระราชาก็คิดวิธีออกค่ะว่า ให้แม่วัวเนี่ยกระโดดให้สูงที่สุด กระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า ดาวจะได้กลับไปติดบนท้องฟ้าอีกรอบนึง แม่วัวก็เลยกระโดดนะคะ แล้วดาวก็ กลับไปติดที่ท้องฟ้าจริงๆ ทำให้แม่วัวกลับสู่สภาพปกติของตัวเองนะคะแล้วก็ กลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบอีกครั้งนึง อย่างไรก็ตามนะคะ แม่วัวในเรื่องเนี่ยติดใจ คือชีวิตที่ผ่านมาทั้งชีวิต ตัวเองเป็น แม่วัวที่สุภาพ เป็นแม่วัวที่เรียบร้อย แม่วัวที่อยู่ในกรอบประเพณี ไม่เคยได้ออกมาปลดปล่อยเลย ตั้งแต่ที่มีดาวติดหัวเนี่ย ก็รู้สึกว่าตัวเองได้ปลดปล่อย ได้สนุก ก็เลยออกเดินทาง ตามหาดาวดวงนั้นอีกรอบนึงนะคะ เป็นเหมือนกับว่าแม่วัวนี่เข้าร่วมโครงการ เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวซะอย่างนั้นเลยนะจ๊ะ นี่ก็เป็นเรื่องราวที่น่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ Dancing Plague ในครั้งนั้นค่ะ เป็นไงบ้างเรื่องราวนี้สนุกสนานกันไหม ก็เป็นเกร็ดประวัติศาสตร์สนุกๆอีกข้อนึงนะคะ สำหรับใครที่อยากฟังเรื่องราวแบบนี้อีกก็สามารถ คอมเมนต์มาได้ด้านล่างนะคะว่าอยากฟังเรื่องอะไรค่ะ ส่วนใครที่ชื่นชอบคลิปนี้นะคะก็อย่าลืม กดไลก์เป็นกำลังใจให้วิวแล้วก็ กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆมาดูด้วยกันค่ะ สำหรับตอนนี้ลาไปก่อนนะคะทุกคน บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ เอาจริงก็นับเป็นเหตุการณ์ที่โหดร้ายอยู่นะคะ กับการเต้นจนแบบตาย เต้นจนตาย เต้นจนตาย ซึ่งจริงๆแล้วเนี่ย ในโลกใบนี้ยังมีเหตุการณ์แปลกๆที่เราไม่คิดว่า เฮ้ย มันเกิดขึ้นจริงเนี่ย อีกเต็มไปหมดเลยนะคะ ถ้าเดี๋ยวมีโอกาสจะลอง หยิบขึ้นมาเล่าให้ฟังกันค่ะ แต่สำหรับวันนี้ลาไปก่อนแล้วกันนะคะทุกคน บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ คิดว่าจะเห็นวิวเต้นกันใช่ไหม ไม่มีทางค่ะ ไม่มีทาง เสียใจด้วยนะจ๊ะ