WEBVTT 00:00:00.160 --> 00:00:02.160 ทำไมห้องสมุดถึงมีแต่หนังสือ 00:00:02.160 --> 00:00:03.740 สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ 00:00:03.740 --> 00:00:06.500 กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะในรายการวิวเอ๋ยบอกข้าเถิดค่ะ 00:00:06.500 --> 00:00:09.100 รายการที่วิวจะหยิบเอาคำถามที่ทุกคนนะคะ 00:00:09.100 --> 00:00:11.560 ติดแฮชแท็กวิวเอ๋ยบอกข้าเถิดมาตอบทุกคนค่ะ 00:00:11.560 --> 00:00:14.100 ซึ่งถ้าสมมติว่าคำถามมันเหมาะสมกับช่อง Point of View 00:00:14.100 --> 00:00:16.540 มันก็จะมาปรากฏเป็นคลิปวิดีโอแบบนี้นี่แหละค่ะ 00:00:16.540 --> 00:00:19.420 ส่วนถ้าสมมติว่าคำถามมันอาจจะเหมาะกับอีกรูปแบบนึง 00:00:19.420 --> 00:00:21.080 มันก็จะไปอยู่ในอีกช่องนึงของวิวนะคะ 00:00:21.080 --> 00:00:22.600 นั่นก็คือช่องจุดชมวิว 00:00:22.600 --> 00:00:24.520 ซึ่งเป็นช่องที่มีสาระน้อยกว่า 00:00:24.520 --> 00:00:26.600 หรือเรียกได้ว่าไม่มีเลยนั่นเองค่ะ 00:00:26.600 --> 00:00:29.500 ซึ่งในวันนี้นะคะเราได้รับคำถามที่น่าสนใจมากๆค่ะ 00:00:29.500 --> 00:00:30.360 คำถามนี้ 00:00:30.480 --> 00:00:32.220 มาจากคุณ Chanchai นะคะ 00:00:32.220 --> 00:00:34.920 เขาถามมาว่าทำไมห้องสมุดถึงมีแต่หนังสือ 00:00:34.920 --> 00:00:37.580 บอกเลยว่านี่เป็นคำถามนึงที่น่าสนใจมากๆค่ะ 00:00:37.580 --> 00:00:39.040 ดังนั้นนะคะวิวก็เลยเลือกหยิบ 00:00:39.040 --> 00:00:41.240 หัวข้อนี้ขึ้นมาทำเป็นคลิปวิดีโอค่ะ 00:00:41.240 --> 00:00:43.040 ซึ่งเอาจริงๆนะถ้าจะให้ตอบคำถามนี้ 00:00:43.040 --> 00:00:45.240 ตอบได้สั้นๆ คำเดียว แป๊บเดียวจบเลยค่ะ 00:00:45.240 --> 00:00:47.640 แต่อย่างไรก็ตาม มันจะไม่น่าสนใจเท่าไหร่นะคะ 00:00:47.640 --> 00:00:49.840 ดังนั้นนะคะ วิวก็เลยไปค้นหาข้อมูลต่างๆ 00:00:49.840 --> 00:00:51.240 มาเพิ่มเติมมากมายค่ะ 00:00:51.240 --> 00:00:53.900 และเราจะตอบให้มันลึกลงไปอีกหนึ่งชั้นค่ะ 00:00:53.900 --> 00:00:55.820 ดังนั้นพร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้ง 00:00:56.000 --> 00:00:57.680 สนุกแล้วก็มีสาระกันรึยังคะ 00:00:57.680 --> 00:00:59.680 ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ 00:01:02.760 --> 00:01:04.760 เอาจริงๆนะคะถ้าเราจะตอบคำถามว่า 00:01:04.760 --> 00:01:06.620 ทำไมในห้องสมุดถึงมีแต่หนังสือเนี่ย 00:01:06.620 --> 00:01:09.500 เราควรจะเริ่มต้นจากการให้คำนิยามก่อนค่ะว่า 00:01:09.500 --> 00:01:10.880 เอ๊ะ อะไรคือสมุดกันแน่ 00:01:10.880 --> 00:01:12.780 และเอ๊ะ อะไรคือหนังสือกันแน่นะคะ 00:01:12.780 --> 00:01:14.260 ซึ่งหลายคนฟังแบบนี้ก็แบบ 00:01:14.260 --> 00:01:16.520 เอ้า จริงๆเราก็รู้ตั้งแต่เด็กแล้วนะว่าสมุดคืออะไร 00:01:16.520 --> 00:01:17.440 หรือหนังสือคืออะไร 00:01:17.440 --> 00:01:19.640 แต่จริงๆแล้วบอกเลยว่ามันไม่ใช่แบบนั้นค่ะ 00:01:19.640 --> 00:01:21.860 ก่อนที่เราจะไปนิยามสมุดกับหนังสือกันเนี่ย 00:01:21.860 --> 00:01:25.020 เรามาฟังประวัติศาสตร์ของสมุดกับหนังสือกันดีกว่าค่ะว่า 00:01:25.020 --> 00:01:27.260 เอ๊ ในสมัยโบราณเนี่ยเขามีการจดบันทึก 00:01:27.260 --> 00:01:29.440 หรือเขามีการพิมพ์อะไรยังไงบ้างนะคะ 00:01:29.440 --> 00:01:30.580 เอาแบบคร่าวๆพอ 00:01:30.580 --> 00:01:32.580 เพราะว่าวันนี้จริงๆเราไม่ได้ตั้งใจจะมาคุย 00:01:32.580 --> 00:01:34.620 เรื่องประวัติศาสตร์การพิมพ์ตรงนี้ค่ะ 00:01:34.620 --> 00:01:35.820 อะ เข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ 00:01:35.820 --> 00:01:38.000 ก่อนที่เราจะไปพูดเรื่องสมุดหรือหนังสือเนี่ย 00:01:38.000 --> 00:01:40.060 จริงๆแล้วทั้งสองอย่างนี้ก็คือสิ่งที่ 00:01:40.060 --> 00:01:42.580 บันทึกพวกข้อความอะไรต่างๆเอาไว้ใช่ไหมคะ 00:01:42.580 --> 00:01:44.340 ดังนั้นรู้กันไหมคะว่า 00:01:44.340 --> 00:01:46.660 พวกตัวหนังสือต่างๆเนี่ยประดิษฐ์กันขึ้นมาเมื่อไหร่ 00:01:46.660 --> 00:01:48.240 เชื่อว่าหลายๆคนรู้กันอยู่แล้วค่ะ 00:01:48.240 --> 00:01:49.940 เพราะว่าเรียนกันมาตั้งแต่เด็กเนอะว่า 00:01:49.940 --> 00:01:52.980 ตัวหนังสือชุดแรกของโลกก็คืออักษรลิ่มคูนิฟอร์ม 00:01:52.980 --> 00:01:55.840 ประดิษฐ์โดยอารยธรรมเมโสโปเตเมีย 00:01:55.840 --> 00:01:57.700 ก็คือของชาวสุเมเรียนนั่นเอง 00:01:57.700 --> 00:01:59.620 และในยุคนั้นนะคะก็จารึกกันลงบน 00:01:59.620 --> 00:02:02.500 แผ่นดินเหนียวหรือที่เรียกว่า Clay Tablet นั่นเองค่ะ 00:02:02.500 --> 00:02:04.540 ซึ่งหลังจากยุคสมัยนั้นเนี่ยนะคะก็ต้องบอกว่า 00:02:04.540 --> 00:02:07.620 ประวัติศาสตร์การจดบันทึกของมนุษย์ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ 00:02:07.620 --> 00:02:08.800 กระจัดกระจายไปทั่วค่ะ 00:02:08.800 --> 00:02:11.180 ไม่ว่าจะเป็นบันทึกลงในม้วนกระดาษ 00:02:11.180 --> 00:02:12.980 อย่างกระดาษปาปิรุสของชาวอียิปต์ 00:02:12.980 --> 00:02:15.320 บางกลุ่มเนี่ยนะคะก็เลือกแกะสลักลงบนหิน 00:02:15.320 --> 00:02:17.540 บางกลุ่มก็เลือกที่จะแกะสลักลงบนไม้ 00:02:17.540 --> 00:02:18.900 เปลือกไม้ อะไรต่างๆ 00:02:18.900 --> 00:02:21.040 หรือบางกลุ่มก็ประดิษฐ์กระดาษของตัวเอง 00:02:21.040 --> 00:02:23.100 เหมือนชาวจีน อะไรอย่างนี้เป็นต้นนะคะ 00:02:23.100 --> 00:02:24.600 เมื่อมันมีการประดิษฐ์ขึ้นมาแล้ว 00:02:24.600 --> 00:02:26.960 มันก็จะต้องมีการเขียนกันอย่างแพร่หลายใช่ไหมคะ 00:02:26.960 --> 00:02:28.600 บอกเลยค่ะว่านักประวัติศาสตร์เนี่ย 00:02:28.600 --> 00:02:30.140 พบหลักฐานการเขียนอย่างนี้ 00:02:30.140 --> 00:02:32.140 แพร่หลายมากๆตามจุดต่างๆนะคะ 00:02:32.140 --> 00:02:34.840 เอาแค่ Clay Tablet ของพวกชาวเมโสโปเตเมียเนี่ย 00:02:34.840 --> 00:02:37.160 ก็ค้นพบประมาณ 30,000 ชิ้นแล้วนะคะ 00:02:37.160 --> 00:02:39.920 เรียกได้ว่าเยอะมากๆๆๆๆเลยทีเดียวค่ะ 00:02:39.920 --> 00:02:41.600 เมื่อมันมีการเขียนเกิดขึ้นเนี่ย 00:02:41.600 --> 00:02:43.920 มันก็จะต้องมีการจัดเก็บงานเขียนใช่ไหมคะ 00:02:43.920 --> 00:02:46.160 ดังนั้นเนี่ยเราก็จะมีการพบหลักฐานว่าแบบ 00:02:46.160 --> 00:02:49.400 เออ บางจุดมันมีงานเขียนรวมกันมากกว่าปกติ 00:02:49.400 --> 00:02:51.740 เป็นแบบเหมือนเป็นคอลเลกชันอะไรต่างๆนะคะ 00:02:51.740 --> 00:02:53.680 ดังนั้นคอนเซ็ปต์ของความเป็นห้องสมุดเนี่ย 00:02:53.680 --> 00:02:56.280 ก็เริ่มต้นมาพร้อมๆกับการเขียนนี่ล่ะค่ะ 00:02:56.280 --> 00:02:59.040 ซึ่งพวกคอลเลกชันงานเขียนต่างๆที่มีคนเก็บรวบรวมไว้เนี่ย 00:02:59.040 --> 00:03:01.040 ในสมัยก่อนเราก็จะไปพบพวกแบบว่า 00:03:01.040 --> 00:03:03.480 ห้องเก็บเอกสารส่วนตัวของฟาโรห์อียิปต์ 00:03:03.480 --> 00:03:06.900 หรือว่าพวกห้องเก็บเอกสารส่วนตัวของกษัตริย์อัสซีเรีย 00:03:06.900 --> 00:03:08.060 อะไรทำนองนี้นะคะ 00:03:08.060 --> 00:03:10.600 บางทีก็อาจจะมีพวกพ่อค้าพาณิชบ้างอะไรต่างๆ 00:03:10.600 --> 00:03:12.140 อย่างที่เราน่าจะเห็นกันที่ดังขึ้นมา 00:03:12.140 --> 00:03:13.500 เมื่อประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์ที่แล้ว 00:03:13.500 --> 00:03:15.100 ในวงการประวัติศาสตร์นะว่าแบบ 00:03:15.100 --> 00:03:17.600 มี Clay Tablet หรือว่าแผ่นดินเหนียวที่เป็น 00:03:17.600 --> 00:03:20.140 จารึกที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 00:03:20.140 --> 00:03:21.660 ที่พูดถึงการ complain 00:03:21.660 --> 00:03:23.980 อะไรอย่างนี้ที่มันเก็บรวบรวมกันอยู่เป็นห้องเลย 00:03:23.980 --> 00:03:25.940 อะไรก็มีประมาณนั้นเหมือนกันค่ะ 00:03:25.940 --> 00:03:26.960 อย่างไรก็ตามนะคะ 00:03:26.960 --> 00:03:29.560 ในบรรดาคอลเลกชันการเก็บนู่นเก็บนี่เนี่ย 00:03:29.560 --> 00:03:32.440 ของชาติต่างๆ ชาตินึงที่โดดเด่นมากๆเลยก็คือ 00:03:32.440 --> 00:03:34.060 ชนชาติกรีกนั่นเองค่ะ 00:03:34.060 --> 00:03:36.080 เรารู้กันดีกว่าชนชาติกรีกเนี่ยเป็นชนชาติ 00:03:36.080 --> 00:03:38.060 ที่ค่อนข้างจะวิชาการใช่ไหมคะ 00:03:38.060 --> 00:03:40.160 มีงานเขียนต่างๆเกิดขึ้นมากมาย 00:03:40.160 --> 00:03:43.000 มีนักปราชญ์ มีนักกฎหมาย นักอะไรต่างๆ 00:03:43.000 --> 00:03:45.460 ซึ่งเขาก็จะบันทึก บันทึก บันทึกกันมากมายค่ะ 00:03:45.460 --> 00:03:47.240 ในยุคสมัยกรีกเนี่ยนะคะต้องบอกว่า 00:03:47.240 --> 00:03:49.100 พวกเรื่องหนังสือเรื่องการจดบันทึกเนี่ย 00:03:49.100 --> 00:03:50.960 เฟื่องฟูหนักมากค่ะจนกระทั่ง 00:03:50.960 --> 00:03:53.840 เกิดห้องสมุดทั้งสาธารณะแล้วก็ส่วนตัวเนี่ยนะคะ 00:03:53.840 --> 00:03:55.940 ผุดกันขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเลยค่ะ เรียกได้ว่า 00:03:55.940 --> 00:03:57.760 ใครที่มีกำลังทรัพย์หน่อยก็จะหา 00:03:57.760 --> 00:04:00.280 พวกงานเขียนต่างๆมาเก็บๆๆไว้กับตัวนะคะ 00:04:00.280 --> 00:04:02.780 แล้วถามว่างานเขียนพวกนั้นเนี่ยมาได้ยังไง 00:04:02.780 --> 00:04:04.780 ก็ต้องบอกว่าสมัยก่อนเขาใช้วิธีนี้ค่ะ 00:04:04.780 --> 00:04:06.460 สมมติว่ามีนักปราชญ์ซักคนนึง 00:04:06.460 --> 00:04:08.720 เกิดคิดบทละครขึ้นมาได้ชุดนึง 00:04:08.720 --> 00:04:11.540 เขาก็จะเขียนๆๆๆๆ เป็นต้นฉบับของเขาใช่ไหมคะ 00:04:11.540 --> 00:04:14.140 แล้วเขาก็จะส่งไปที่โรงก็อปปี้ค่ะ 00:04:14.140 --> 00:04:16.200 คือมันเป็นเหมือนกับโรงงานโรงงานนึง 00:04:16.200 --> 00:04:18.660 ซึ่งจะมีคนแบบนั่งรออยู่ละ นั่งๆๆๆ รออยู่ 00:04:18.660 --> 00:04:20.860 อะ แล้วก็จัดการลอกนะคะ 00:04:20.860 --> 00:04:22.980 ด้วยมือค่ะ ลอกๆๆๆๆ ออกมา 00:04:22.980 --> 00:04:25.420 คัดก็อปปี้ออกมานะคะ คัดออกมา คัดๆๆๆๆ 00:04:25.420 --> 00:04:27.820 แล้วก็ส่งฉบับก็อปปี้เนี่ยไปขายค่ะ 00:04:27.820 --> 00:04:30.300 ดังนั้นนะคะถ้าสมมติว่าใครอยากได้งานเขียนชิ้นไหนเนี่ย 00:04:30.300 --> 00:04:32.180 ก็จะต้องไปที่ร้านขายค่ะแล้วก็ 00:04:32.180 --> 00:04:34.800 ไปซื้อฉบับก็อปปี้ที่มีคนลอกด้วยลายมือเนี่ยนะคะ 00:04:34.800 --> 00:04:37.500 กลับมาที่บ้านค่ะ มาเก็บไว้ในคอลเลกชันส่วนตัว 00:04:37.500 --> 00:04:40.480 นี่ก็เป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของห้องสมุดยุคนั้นนะคะ 00:04:40.480 --> 00:04:42.040 และต้องบอกว่าชนชาติกรีกเนี่ย 00:04:42.040 --> 00:04:45.420 ก็ได้ส่งต่ออารยธรรมการจัดเก็บเอกสารนะคะ 00:04:45.420 --> 00:04:48.680 ไปให้กับชนชาตินึงค่ะที่สำคัญมากๆเลยนั่นก็คือ 00:04:48.680 --> 00:04:50.160 ชนชาติอียิปต์นั่นเองค่ะ 00:04:50.160 --> 00:04:53.200 โดยส่งต่อไปให้คิงปโตเลมีที่ 1 แห่งอียิปต์นะคะ 00:04:53.200 --> 00:04:54.780 ซึ่งเอาจริงๆเขาก็เป็นราชวงศ์ 00:04:54.780 --> 00:04:56.720 ที่สืบต่อมาจากแบบกรีกอะไรอย่างนี้ 00:04:56.720 --> 00:04:58.440 เหมือนแบบว่ากรีกมาซิโดเนียอะไรอย่างนี้ 00:04:58.440 --> 00:04:59.740 เข้ามายึดอียิปต์ใช่ไหมคะ 00:04:59.740 --> 00:05:02.020 จำได้ใช่ไหมคะที่เป็นบรรพบุรุษของคลีโอพัตรา 00:05:02.020 --> 00:05:03.380 ที่วิวเคยเล่าไปนั่นแหละค่ะ 00:05:03.380 --> 00:05:06.140 ซึ่งถามว่าคิงปโตเลมีได้รับความรู้นี้เข้าไปแล้ว 00:05:06.140 --> 00:05:07.100 เขาเอาไปทำอะไรนะคะ 00:05:07.100 --> 00:05:09.940 ท่านก็เอาไปจัดตั้งห้องสมุดแห่งนึงขึ้นมาค่ะ 00:05:09.940 --> 00:05:12.400 ชื่อว่า The Great Library of Alexandria นะคะ 00:05:12.400 --> 00:05:14.180 หรือว่าห้องสมุดอเล็กซานเดรียนั่นเอง 00:05:14.180 --> 00:05:17.120 ซึ่งถือว่าเป็นห้องสมุดสาธารณะที่ใหญ่มากๆ 00:05:17.120 --> 00:05:18.880 มากๆ มากๆ และมากๆค่ะ 00:05:18.880 --> 00:05:20.900 ซึ่งห้องสมุดนี้นะคะก็ตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 00:05:20.900 --> 00:05:22.720 300 ปีก่อนคริสตกาลนั่นเอง 00:05:22.720 --> 00:05:25.080 เรียกได้ว่าก็ผ่านมาค่อนข้างจะยาวนานแล้วเนอะ 00:05:25.080 --> 00:05:26.640 ส่วนก่อนหน้านั้นถามว่ามีห้องสมุดไหม 00:05:26.640 --> 00:05:28.140 ก็มีแหละเหมือนที่วิวเล่าไปนะคะ 00:05:28.140 --> 00:05:30.080 ก็คือเป็นห้องสมุดส่วนตัวบ้างอะไรบ้าง 00:05:30.080 --> 00:05:32.800 สาธารณะบ้างเล็กๆน้อยๆของตามกรีกอะไรอย่างนี้นะ 00:05:32.800 --> 00:05:35.980 ซึ่งเกิดมาตั้งแต่แบบสี่ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราชแล้วค่ะ 00:05:35.980 --> 00:05:38.500 อย่างไรก็ตามนะคะทั้งหมดนี้วิวไม่ได้จะมาเล่าเพื่อมาบอก 00:05:38.500 --> 00:05:41.620 เรื่องประวัติศาสตร์การเกิดห้องสมุดอะไรต่างๆนะคะ 00:05:41.620 --> 00:05:43.740 แต่วิวตั้งใจแค่จะเล่าให้ทุกคนฟังว่า 00:05:43.740 --> 00:05:45.440 คอนเซ็ปต์ของความเป็นห้องสมุดเนี่ย 00:05:45.440 --> 00:05:48.800 มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนสมัยของการพิมพ์แล้วค่ะ 00:05:48.800 --> 00:05:51.140 โอเคมันอาจจะมีการพิมพ์บ้างแบบอนาล็อกอะนะ 00:05:51.140 --> 00:05:53.720 แบบว่าทำตัวปั๊มขึ้นมาแล้วก็แบบปั๊มๆๆๆ 00:05:53.720 --> 00:05:56.400 หรือว่าแบบแกะสลักอะไรสักอย่างขึ้นมาแล้วกดลงไปนะคะ 00:05:56.400 --> 00:06:00.340 แต่นี่คือก่อนยุคสมัยของทศวรรษที่ 1450 ค่ะ 00:06:00.340 --> 00:06:01.600 ซึ่งเป็นทศวรรษที่ 00:06:01.600 --> 00:06:03.820 Johannes Gutenberg นะคะประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ขึ้นมา 00:06:03.820 --> 00:06:05.740 แล้วทำให้การพิมพ์เนี่ยแพร่หลาย 00:06:05.740 --> 00:06:08.000 ทำให้พวกหนังสือเนี่ยผลิตขึ้นมาง่ายขึ้นค่ะ 00:06:08.000 --> 00:06:09.320 ซึ่งในยุคสมัยนั้นนะคะ 00:06:09.320 --> 00:06:10.740 ก่อนที่เครื่องพิมพ์จะเกิดขึ้นเนี่ย 00:06:10.740 --> 00:06:12.320 หนังสือเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า 00:06:12.320 --> 00:06:14.920 แพงมากๆ มากๆๆๆ และมากๆค่ะ 00:06:14.920 --> 00:06:15.720 ถามว่าทำไม 00:06:15.720 --> 00:06:18.100 ลองนึกสภาพว่าถ้าทุกวันนี้เราอยากได้หนังสือเล่มนึง 00:06:18.100 --> 00:06:19.220 แล้วเราไม่มีเครื่องพิมพ์ 00:06:19.220 --> 00:06:20.340 เราต้องใช้วิธี 00:06:20.340 --> 00:06:22.460 เดินไปที่ร้านหนังสือแล้วไปขอลอกเอาทีละตัว 00:06:22.460 --> 00:06:23.620 ทีละตัว ทีละตัวเนี่ย 00:06:23.620 --> 00:06:26.180 ก็ไม่แปลกเลยนะคะที่หนังสือจะมีราคาแพงมากๆ 00:06:26.180 --> 00:06:27.440 และบางครั้งที่เราบอกว่า 00:06:27.440 --> 00:06:30.000 ก็เกิดห้องสมุดขึ้นมีความใหญ่มากอะไรอย่างนี้ 00:06:30.000 --> 00:06:31.920 มันอาจจะไม่ได้มีหนังสือเยอะขนาดนั้น 00:06:31.920 --> 00:06:33.860 เพราะว่ามันก็ค่อนข้างจะหายากอะนะ 00:06:33.860 --> 00:06:35.540 ยกตัวอย่างเช่นห้องสมุด Bodleian 00:06:35.540 --> 00:06:37.260 ที่วิวเคยพาไปที่อ็อกซ์ฟอร์ด 00:06:37.260 --> 00:06:39.640 จำได้ใช่ไหมคะที่เป็นสถานที่ถ่ายทำแฮร์รี่ พอตเตอร์ 00:06:39.640 --> 00:06:41.080 ตอนนั้นวิวก็เคยเล่าไว้ว่า 00:06:41.080 --> 00:06:42.840 ห้องสมุดทั้งห้องสมุดใหญ่ๆเนี่ย 00:06:42.840 --> 00:06:45.760 เกิดขึ้นเพราะว่ามีลอร์ดคนนึงชื่อว่า Lord Humphrey เนี่ย 00:06:45.760 --> 00:06:48.380 บริจาคหนังสือแค่ 200 เล่มเท่านั้นเองค่ะ 00:06:48.380 --> 00:06:50.500 ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเยอะมากๆแล้วนะคะ 00:06:50.500 --> 00:06:53.500 และทั้งหมดนี้นะคะก็คือยุคสมัยก่อนที่เครื่องพิมพ์จะเข้ามา 00:06:53.500 --> 00:06:55.640 ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ 00:06:55.640 --> 00:06:57.040 หรือว่ายุค Renaissance นะคะ 00:06:57.040 --> 00:06:59.860 ซึ่งมันก็จะเข้ามาแบบเสริมกับ Renaissance อะไรต่างๆ 00:06:59.860 --> 00:07:02.800 ทำให้วิชาความรู้เนี่ยแพร่กระจายไปทั่วค่ะ 00:07:02.800 --> 00:07:05.120 อย่างไรก็ตามนะคะ ก่อนที่วิวจะนอกเรื่องไปมากกว่านี้ 00:07:05.120 --> 00:07:07.840 แล้วจะมีคนมาหาว่าวิวเวิ่นตอบนอกเรื่องเนี่ยนะคะ 00:07:07.840 --> 00:07:09.560 เรากลับมาที่เรื่องของห้องสมุด 00:07:09.560 --> 00:07:11.480 แล้วก็หนังสือของเราดีกว่าค่ะ 00:07:11.480 --> 00:07:13.220 อะ ถ้าสมมติเราพูดถึงภาษาอังกฤษ 00:07:13.220 --> 00:07:15.880 ทั้งหมดที่ผ่านมาเราพูดถึงอารยธรรมตะวันตกเนอะ 00:07:15.880 --> 00:07:18.040 ดังนั้นเมื่อเราพูดถึงภาษาอังกฤษเนี่ย 00:07:18.040 --> 00:07:19.640 จริงๆเขาบันทึกกันมาตั้งนานแล้วค่ะ 00:07:19.640 --> 00:07:22.480 ตั้งแต่ตอนที่มันเป็นต้นฉบับเขียนด้วยลายมืออะไรต่างๆ 00:07:22.480 --> 00:07:24.460 เขาก็เรียกมันว่า book แล้วใช่ไหมคะ 00:07:24.460 --> 00:07:26.620 เพราะว่าคำว่า book เนี่ยจริงๆรากศัพท์มันมาจาก 00:07:26.620 --> 00:07:28.520 คำคำนึงค่ะที่แปลว่าแบบ 00:07:28.520 --> 00:07:31.180 เหมือนเป็นชื่อไม้ที่ใช้สลักลงไปอะไรอย่างนี้ 00:07:31.180 --> 00:07:33.860 ในสมัยที่ยังใช้ไม้ในการจดบันทึกอยู่นะคะ 00:07:33.860 --> 00:07:35.620 ดังนั้นคอนเซ็ปต์ของคำว่า book เนี่ยนะคะ 00:07:35.620 --> 00:07:37.580 มันไม่ได้แปลว่าหนังสือตรงๆ 00:07:37.580 --> 00:07:39.340 แบบคำว่าหนังสือในภาษาไทยค่ะ 00:07:39.340 --> 00:07:41.140 เพราะว่าคำว่า book เนี่ยมันหมายถึง 00:07:41.140 --> 00:07:43.860 สิ่งที่จัดเก็บข้อมูลอะไรอย่างนี้ไว้ 00:07:43.860 --> 00:07:45.840 จะว่าด้วยการเขียน จะว่าด้วยการพิมพ์ 00:07:45.840 --> 00:07:47.240 ก็เป็น book เหมือนกันนะคะ 00:07:47.240 --> 00:07:50.200 ในขณะที่คำว่า notebook ที่เราชอบเอามาแปลว่าสมุดเนี่ย 00:07:50.200 --> 00:07:52.580 จริงๆเราควรจะแปลมันเต็มๆว่าสมุดจดมากกว่า 00:07:52.580 --> 00:07:54.940 เพราะว่าพอพูดถึง notebook เซนส์มันจะหมายถึงแบบ 00:07:54.940 --> 00:07:56.920 สมุดที่เอาไว้แบบว่าจดนู่นจดนี่ 00:07:56.920 --> 00:07:58.280 โน้ตไอเดียอะไรอย่างนี้ 00:07:58.280 --> 00:07:59.480 ประมาณนั้นนะคะ 00:07:59.480 --> 00:08:01.300 อะ ก่อนที่เราจะมึนไปมากกว่านี้ 00:08:01.300 --> 00:08:03.140 กลับมาที่ประเทศไทยของเราดีกว่า 00:08:03.140 --> 00:08:05.740 ที่คำว่าหนังสือแล้วก็คำว่าสมุดนะคะ 00:08:05.740 --> 00:08:07.880 ก่อนที่เราจะนำเอาคำว่าสมุด คำว่าหนังสือ 00:08:07.880 --> 00:08:08.760 มาใช้แบบทุกวันนี้ 00:08:08.760 --> 00:08:11.100 คิดว่าแต่ก่อนคำว่าสมุดกับคำว่าหนังสือ 00:08:11.100 --> 00:08:12.240 หมายความว่ายังไงคะ 00:08:12.240 --> 00:08:13.220 คำว่าสมุดเนี่ยนะคะ 00:08:13.220 --> 00:08:15.960 พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ 00:08:15.960 --> 00:08:17.920 หรือว่าหม่อมเจ้าวรรณไวทยากรเนี่ยนะคะ 00:08:17.920 --> 00:08:20.460 ท่านเนี่ยทรงให้ที่มาที่ไปไว้ว่า 00:08:20.460 --> 00:08:22.300 คำว่าสมุดคำนี้น่าจะมาจาก 00:08:22.300 --> 00:08:24.340 ภาษาสันสกฤตนะคะ คำว่า สัมปุฎ ค่ะ 00:08:24.340 --> 00:08:26.600 และเราก็ไม่ได้รับมาจากสันสกฤตโดยตรงหรอก 00:08:26.600 --> 00:08:28.980 แต่ว่าเรารับมาผ่านภาษาเขมรอีกทีนึงนะคะ 00:08:28.980 --> 00:08:30.780 ซึ่งในภาษาเขมรเนี่ยนะคะ เขาจะเรียกว่า 00:08:30.780 --> 00:08:32.160 สมบุตร นั่นเองค่ะ 00:08:32.160 --> 00:08:33.340 สมุดในสมัยก่อนเนี่ย 00:08:33.340 --> 00:08:35.220 มันไม่ได้หน้าตาเป็นสมุดแบบเล่มๆ 00:08:35.220 --> 00:08:37.680 พลิกๆๆๆๆ แบบที่เราเห็นทุกวันนี้หรอกค่ะ 00:08:37.680 --> 00:08:40.460 แต่ว่าสมุดในสมัยก่อนเนี่ยเขาหมายถึงสมุดไทยนะคะ 00:08:40.460 --> 00:08:42.440 หรือว่าสมุดข่อยนั่นเอง 00:08:42.440 --> 00:08:43.360 ชื่อคุ้นๆไหมคะ 00:08:43.360 --> 00:08:46.160 สมุดข่อยนี่ก็คือกระดาษที่ทำจากต้นข่อยนะคะ 00:08:46.160 --> 00:08:47.960 เอามาทำเป็นแผ่นยาวๆค่ะ 00:08:47.960 --> 00:08:50.880 แล้วก็เอามาพับทบไปทบมา ทบไปทบมานะคะ 00:08:50.880 --> 00:08:52.940 หลังจากนั้นก็สามารถเอามาจดบันทึก 00:08:52.940 --> 00:08:54.660 หรือว่ามาเขียนเรื่องต่างๆได้ค่ะ 00:08:54.660 --> 00:08:56.840 เวลาเปิดอ่านเขาก็จะใช้วิธีเปิดอย่างนี้ 00:08:56.840 --> 00:08:58.880 เปิดพลิกไป พลิกไป พลิกไปนะคะ 00:08:58.880 --> 00:09:00.520 เพราะว่าไม่ได้ใช้วิธีการเย็บเล่มค่ะ 00:09:00.520 --> 00:09:02.080 แต่ใช้วิธีการพับเอาเนอะ 00:09:02.080 --> 00:09:03.900 ซึ่งสมุดไทยเนี่ยก็ต้องบอกว่า 00:09:03.900 --> 00:09:05.400 มีถึงสองสีด้วยกันค่ะ 00:09:05.400 --> 00:09:07.200 สีแรกนะคะก็คือสีขาวนั่นเอง 00:09:07.200 --> 00:09:08.940 และอีกสีนึงก็คือสีดำนะคะ 00:09:08.940 --> 00:09:10.580 วิธีการทำของทั้งสองอย่างเนี่ย 00:09:10.580 --> 00:09:11.760 เหมือนกันเลยคือเหมือนกับว่า 00:09:11.760 --> 00:09:14.120 เอาต้นข่อยมาผ่านกระบวนการกรรมวิธี 00:09:14.120 --> 00:09:15.940 การต้มการทำอะไรต่างๆ 00:09:15.940 --> 00:09:17.260 วุ่นวายมากมายเนี่ยนะคะ 00:09:17.260 --> 00:09:18.480 ซึ่งขออนุญาตไม่เจาะลึก 00:09:18.480 --> 00:09:19.420 ถ้าใครอยากรู้เนี่ยนะ 00:09:19.420 --> 00:09:22.000 วิธีการมันคล้ายๆกับการทำกระดาษของญี่ปุ่น 00:09:22.000 --> 00:09:23.780 ซึ่งวิวเคยเล่าไว้ตอนที่ 00:09:23.780 --> 00:09:25.660 ไปที่โคจิแล้วนะคะ 00:09:25.660 --> 00:09:27.680 ดังนั้นสามารถไปดูได้ในคลิปนั้นนะ 00:09:27.680 --> 00:09:29.840 หลังจากที่ทำออกมาเป็นกระดาษเรียบร้อยแล้วเนี่ย 00:09:29.840 --> 00:09:31.400 เขาก็จะแตกต่างกันนิดนึง 00:09:31.400 --> 00:09:33.660 ตรงขั้นตอนการย้อมสีขั้นสุดท้ายนะคะ 00:09:33.660 --> 00:09:37.220 ถ้าสมมติว่าเขาใช้น้ำปูนขาวผสมกับกาวแป้งเปียกเนี่ย 00:09:37.220 --> 00:09:39.480 มันก็จะกลายเป็นสมุดไทยสีขาว 00:09:39.480 --> 00:09:41.320 ส่วนถ้าผสมกับเขม่าดิน 00:09:41.320 --> 00:09:43.340 หรือว่ากาบมะพร้าวเผาลงไปเนี่ย 00:09:43.340 --> 00:09:45.980 เขาก็จะกลายเป็นสมุดไทยสีดำนั่นเองค่ะ 00:09:45.980 --> 00:09:48.240 ซึ่งวิธีการจดบันทึกก็คล้ายๆกันนี่แหละ 00:09:48.240 --> 00:09:51.340 แต่ว่าสมุดที่สีขาวก็จะใช้พวกหมึกสีๆใส่ลงไป 00:09:51.340 --> 00:09:54.660 ส่วนสมุดสีดำเนี่ยก็จะใช้สีขาวเขียนลงไปนั่นเองค่ะ 00:09:54.660 --> 00:09:57.100 ทีนี้เราก็น่าจะเคยได้ยินกันใช่ไหม 00:09:57.100 --> 00:09:59.320 ชื่อแบบสมุดไทย สมุดไทย อะไรต่างๆ 00:09:59.320 --> 00:10:02.040 เช่นเวลาที่เราไปอ่านวรรณคดีอะไรต่างๆ 00:10:02.040 --> 00:10:04.020 เราก็จะเห็นว่า อะ จบเล่มสมุดไทยที่หนึ่ง 00:10:04.020 --> 00:10:05.200 จบเล่มสมุดไทยที่สอง 00:10:05.200 --> 00:10:07.040 เพราะว่าในสมัยต่อมาเนี่ยนะคะ 00:10:07.040 --> 00:10:09.500 มันก็มีการนำเข้ากระดาษแบบฝรั่งเข้ามาค่ะ 00:10:09.500 --> 00:10:12.060 และเราก็จะเรียกกระดาษแบบใหม่นี้ว่าสมุดฝรั่ง 00:10:12.060 --> 00:10:13.600 ดังนั้นสมุดแบบเก่าก็เลย 00:10:13.600 --> 00:10:15.140 กลายเป็นสมุดไทยไปค่ะ 00:10:15.140 --> 00:10:16.620 ส่วนสมุดฝรั่งเนี่ยต่อมาก็ 00:10:16.620 --> 00:10:19.100 กลายมาเป็นสมุดแบบที่เราใช้ทุกวันนี้นี่แหละ 00:10:19.100 --> 00:10:21.060 ดังนั้นถ้าถามว่าสมุดในความเข้าใจ 00:10:21.060 --> 00:10:22.940 ของคนไทยสมัยก่อนเนี่ยคือยังไง 00:10:22.940 --> 00:10:24.780 ก็ต้องบอกว่ามันคือกระดาษเป็นเล่มๆ 00:10:24.780 --> 00:10:26.240 ที่เอาไว้ใช้จดบันทึก 00:10:26.240 --> 00:10:29.120 หรือเอาไว้ใช้เขียนเรื่องราวต่างๆนั่นเองค่ะ 00:10:29.120 --> 00:10:30.920 ก็จะมีความต่างจาก notebook นิดนึงนะ 00:10:30.920 --> 00:10:33.520 คือไม่ว่าจะเป็นการก็อปปี้มาหรืออะไรก็ตาม 00:10:33.520 --> 00:10:35.980 ถ้ามันมีการเขียนลงไปในหน้ากระดาษเปล่าๆเนี่ย 00:10:35.980 --> 00:10:38.140 เราจะเรียกสิ่งนั้นว่าสมุดหมดเลยค่ะ 00:10:38.140 --> 00:10:40.600 ในขณะที่คำว่าหนังสือของไทยเนี่ยนะคะ 00:10:40.600 --> 00:10:42.240 ต้องบอกว่าถ้าไปเปิดพจนานุกรม 00:10:42.240 --> 00:10:44.160 ฉบับราชบัณฑิตยสถานตอนนี้ 00:10:44.160 --> 00:10:46.100 จะเห็นว่าความหมายของหนังสือเนี่ยมีถึง 00:10:46.100 --> 00:10:47.360 สองความหมายด้วยกันค่ะ 00:10:47.360 --> 00:10:48.160 เห็นแบบนี้ไหม 00:10:48.160 --> 00:10:50.940 ซึ่งปัจจุบันนี้เรามักจะใช้ความหมายที่สองเป็นหลักนะคะ 00:10:50.940 --> 00:10:53.080 ก็คือหมายถึงพวกแบบปึกกระดาษเล่มๆ 00:10:53.080 --> 00:10:55.120 ที่มันมีเนื้อหาพิมพ์อยู่ข้างใน ถูกไหม 00:10:55.120 --> 00:10:57.140 แต่จริงๆแล้วนะคะในสมัยโบราณเนี่ย 00:10:57.140 --> 00:10:58.240 ความหมายของหนังสือ 00:10:58.240 --> 00:11:00.200 ค่อนข้างจะเป็นความหมายแรกมากกว่าค่ะ 00:11:00.200 --> 00:11:01.760 คือหนังสือเนี่ยหมายถึง 00:11:01.760 --> 00:11:03.820 เครื่องหมายที่ใช้ขีดเขียนลงไปนะคะ 00:11:03.820 --> 00:11:05.080 เพื่อสื่อความหมายค่ะ 00:11:05.080 --> 00:11:08.300 นั่นก็คือหนังสือในสมัยก่อนเนี่ยก็หมายถึงตัวหนังสือนั่นเองค่ะ 00:11:08.300 --> 00:11:11.760 ดังนั้นเราจะเห็นร่องรอยของสิ่งนี้ได้จากคำพูดบางคำนะ 00:11:11.760 --> 00:11:15.060 เช่นสมมติว่ามีใครมาพูดอะไรกับเราแบบลอยๆซักอย่างนึง 00:11:15.060 --> 00:11:17.120 แล้วเราก็บอกว่าไม่ๆๆ ฉันไม่อยากฟังลอยๆ 00:11:17.120 --> 00:11:18.660 ไปเขียนเป็นหนังสือมาก่อน 00:11:18.660 --> 00:11:20.540 อะ ไปเขียนเป็นหนังสือมาก่อน 00:11:20.540 --> 00:11:23.020 ไม่ได้แปลว่าแค่คำพูดไม่กี่คำของเขาเนี่ย 00:11:23.020 --> 00:11:24.240 จะต้องไปเขียนเป็นเล่มนะคะ 00:11:24.240 --> 00:11:26.200 แต่หมายความว่าจดลงมาก่อน 00:11:26.200 --> 00:11:28.000 เขียนให้มันเป็นลายลักษณ์อักษร 00:11:28.000 --> 00:11:30.420 หรือว่าเวลาเราพูดถึงหนังสือราชการ 00:11:30.420 --> 00:11:33.280 ก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นแบบหนังสือเล่มๆ เย็บเล่มถูกไหม 00:11:33.280 --> 00:11:34.920 กระดาษแผ่นเดียวที่มีตัวอักษรเนี่ย 00:11:34.920 --> 00:11:36.820 ก็นับเป็นหนังสือราชการเหมือนกัน 00:11:36.820 --> 00:11:39.320 เพราะว่าคอนเซ็ปต์ของคำว่าหนังสือคือ 00:11:39.320 --> 00:11:41.400 ลายลักษณ์อักษรนั่นเองค่ะ 00:11:41.400 --> 00:11:44.460 ซึ่งต่อมาเนี่ยนะคะโดยเฉพาะช่วงยุคของรัชกาลที่ 4 00:11:44.460 --> 00:11:47.680 ก็จะเห็นว่ามันมีการพิมพ์เข้ามาในประเทศไทยถูกไหม 00:11:47.680 --> 00:11:50.560 ดังนั้นเราจะเห็นสิ่งนี้จากคำว่าหนังสือพิมพ์ 00:11:50.560 --> 00:11:53.520 ก็คือการพิมพ์ตัวหนังสือลงไปบนกระดาษนะคะ 00:11:53.520 --> 00:11:56.140 ซึ่งในสมัยต่อมาเนี่ยมันก็เหมือนกลืนกันไปเรื่อยๆ 00:11:56.140 --> 00:11:58.200 ความหมายของคำว่าหนังสือเนี่ยก็เพี้ยนไปเรื่อยๆ 00:11:58.200 --> 00:12:00.180 ก็เลยกลายเป็นว่าไอ้สิ่งที่พิมพ์ลงไป 00:12:00.180 --> 00:12:01.780 แล้วพิมพ์ออกมาเสร็จแล้วเป็นเล่มเนี่ย 00:12:01.780 --> 00:12:03.960 ก็เลยเรียกว่าหนังสือในที่สุดค่ะ 00:12:03.960 --> 00:12:05.980 จะเห็นว่าความหมายของหนังสือสมัยก่อน 00:12:05.980 --> 00:12:07.640 มันก็เป็นประมาณนี้นะคะ 00:12:07.640 --> 00:12:09.960 ซึ่งตอนนี้เราก็รู้ความหมายของคำว่าสมุด 00:12:09.960 --> 00:12:11.780 แล้วก็คำว่าหนังสือเรียบร้อยแล้วใช่ไหม 00:12:11.780 --> 00:12:14.440 ทีนี้เรากลับมาที่เรื่องห้องสมุดของเราดีกว่าค่ะ 00:12:14.440 --> 00:12:17.420 จะเห็นว่าในไทยเนี่ยก็คล้ายๆกับในชาติตะวันตกเลย 00:12:17.420 --> 00:12:19.740 คือในสมัยก่อนที่เครื่องพิมพ์จะเข้ามาเนี่ยนะคะ 00:12:19.740 --> 00:12:22.200 เวลาที่เราต้องการจะได้ 00:12:22.200 --> 00:12:24.180 เนื้อหาอะไรบางอย่างมาไว้กับตัวเองเนี่ย 00:12:24.180 --> 00:12:26.700 มันก็จะต้องมีการคัดลอกเกิดขึ้นถูกต้องไหม 00:12:26.700 --> 00:12:28.740 แล้วในไทยเราก็มีงานเขียนมา 00:12:28.740 --> 00:12:29.900 ค่อนข้างจะยาวนานแล้ว 00:12:29.900 --> 00:12:31.760 ก่อนที่เครื่องพิมพ์จะเข้ามาใช่ไหมคะ 00:12:31.760 --> 00:12:33.760 ซึ่งงานเขียนสมัยก่อนเนี่ยส่วนมากก็จะเป็น 00:12:33.760 --> 00:12:35.100 พวกคัมภีร์พระไตรปิฎก 00:12:35.100 --> 00:12:37.640 เป็นวรรณกรรม เป็นตำรายา ตำราโหร 00:12:37.640 --> 00:12:38.820 อะไรพวกอย่างนี้ใช่ไหม 00:12:38.820 --> 00:12:41.360 และแน่นอนว่ามันก็จะต้องมีสถานที่ที่ใช้ 00:12:41.360 --> 00:12:43.400 จัดเก็บงานเขียนพวกนี้เข้าด้วยกันค่ะ 00:12:43.400 --> 00:12:45.100 และด้วยความที่งานเขียนพวกนี้ 00:12:45.100 --> 00:12:47.240 เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะมีราคาแพงมากๆ 00:12:47.240 --> 00:12:50.200 เพราะว่าใช้แรงงานคนในการเขียนหนักมากๆเนี่ย 00:12:50.200 --> 00:12:51.940 ดังนั้นคนที่จะเก็บพวกนี้ได้เนี่ย 00:12:51.940 --> 00:12:53.200 หนึ่ง ต้องมีเงินนะคะ 00:12:53.200 --> 00:12:55.680 และสอง ต้องเป็นคนที่อ่านหนังสือออกค่ะ 00:12:55.680 --> 00:12:57.760 คือชาวบ้านชาวนาที่อ่านหนังสือไม่ออก 00:12:57.760 --> 00:13:00.540 จะเอาหนังสือไปเก็บไว้ทำไม ก็ไม่มีประโยชน์ถูกต้องไหม 00:13:00.540 --> 00:13:03.560 ดังนั้นนะคะ สถานที่ที่มีโอกาสได้เก็บงานเขียนเหล่านี้ 00:13:03.560 --> 00:13:06.260 ส่วนมากก็เลยจะเป็นวัดกับวังนั่นเองค่ะ 00:13:06.260 --> 00:13:09.380 ซึ่งให้เรานึกภาพไปที่บ้านเรือนไทยสมัยก่อนนะคะ 00:13:09.380 --> 00:13:10.860 เราเคยดูหนังกันมาหลายเรื่อง 00:13:10.860 --> 00:13:13.680 เราจะเห็นว่าลักษณะของบ้านสมัยก่อนของประเทศไทยเนี่ย 00:13:13.680 --> 00:13:15.920 เราไม่ได้มีลักษณะของการกั้นห้อง ถูกไหม 00:13:15.920 --> 00:13:17.940 เราไม่ได้มีแบบเรือนหนึ่งหลังแล้วกั้นห้อง 00:13:17.940 --> 00:13:18.940 กั้นห้องอะไรต่างๆ 00:13:18.940 --> 00:13:21.880 แต่เราใช้วิธีว่าเราสร้างแบบบ้านเรือนไทยขึ้นมาหนึ่งหลัง 00:13:21.880 --> 00:13:23.780 แล้วก็สร้างอีกหนึ่งหลัง หนึ่งหลัง หนึ่งหลัง 00:13:23.780 --> 00:13:24.960 หนึ่งหลังคือหนึ่งห้อง 00:13:24.960 --> 00:13:26.880 แล้วก็ใช้เหมือนกับว่าเป็นระเบียงบ้านอะ 00:13:26.880 --> 00:13:29.840 ต่อกัน ต่อๆๆๆ ให้มันเป็นหมู่อาคาร ถูกไหม 00:13:29.840 --> 00:13:32.140 ดังนั้นเวลาเราไปดูพวกบ้านเรือนไทยที่เป็นบ้านใหญ่ๆ 00:13:32.140 --> 00:13:34.440 มันจะค่อนข้างเป็นหมู่อาคาร ถูกต้องไหมคะ 00:13:34.440 --> 00:13:36.060 แล้วหนึ่งหลังที่เป็นหนึ่งห้องเนี่ย 00:13:36.060 --> 00:13:37.380 เขาก็จะเรียกว่าหอค่ะ 00:13:37.380 --> 00:13:40.140 ซึ่งเราก็จะเห็นจากคำศัพท์สมัยก่อนที่มีแบบว่า 00:13:40.140 --> 00:13:42.360 ห้องไหนเอาไว้นอนก็เรียกว่าหอนอน 00:13:42.360 --> 00:13:44.800 ห้องไหนเอาไว้ไหว้พระ เราก็จะเรียกว่าหอพระ 00:13:44.800 --> 00:13:45.380 ถูกต้องไหม 00:13:45.380 --> 00:13:47.020 สถานที่ที่เก็บสมุด 00:13:47.020 --> 00:13:50.000 ในสมัยที่เราต้องไปลอกอะไรต่างๆลงมาในสมุด 00:13:50.000 --> 00:13:51.720 เอามาเก็บรวบรวมกันไว้มากๆ 00:13:51.720 --> 00:13:54.240 ก็เลยเรียกว่าหอสมุดนั่นเองค่ะ 00:13:54.240 --> 00:13:56.060 หรือว่าในบางกรณีที่อยู่ในวัด 00:13:56.060 --> 00:13:58.260 หรือว่าเป็นสถานที่ที่เอาไว้เก็บพวก 00:13:58.260 --> 00:14:00.480 งานเขียนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาก็จะเรียกว่า 00:14:00.480 --> 00:14:01.680 หอพระสมุดนะคะ 00:14:01.680 --> 00:14:03.480 ทีนี้ในระยะเวลาต่อมาค่ะ 00:14:03.480 --> 00:14:06.500 แน่นอนว่ามันก็มีพัฒนาการต่างๆเข้ามา 00:14:06.500 --> 00:14:08.500 ความเป็นตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาในไทย 00:14:08.500 --> 00:14:10.980 มีสองอย่างนะคะที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้ 00:14:10.980 --> 00:14:12.160 เหตุการณ์แรกก็คือ 00:14:12.160 --> 00:14:13.980 การพิมพ์เข้ามาในประเทศไทยค่ะ 00:14:13.980 --> 00:14:16.800 ดังนั้นจากเดิมที่เวลาต้องการเอกสารอะไรต่างๆ 00:14:16.800 --> 00:14:18.920 ต้องใช้การลอกด้วยมือลงในสมุดเนี่ย 00:14:18.920 --> 00:14:21.460 ก็กลายเป็นหนังสือเล่มๆที่พิมพ์ขึ้นใช่ไหมคะ 00:14:21.460 --> 00:14:23.440 และแน่นอนว่าหนังสือที่พิมพ์ขึ้นมาเป็นเล่มๆ 00:14:23.440 --> 00:14:24.960 จะไปเก็บที่อื่นทำไมในเมื่อ 00:14:24.960 --> 00:14:26.820 มันก็มีสถานที่เก็บเอกสารอยู่แล้ว 00:14:26.820 --> 00:14:28.520 ดังนั้นหนังสือเล่มๆเนี่ยก็เลย 00:14:28.520 --> 00:14:31.720 ได้รับการเอามาเก็บเข้าในหอสมุดเช่นเดียวกันค่ะ 00:14:31.720 --> 00:14:33.840 และอีกเรื่องนึงที่เกิดขึ้นนะคะก็คือ 00:14:33.840 --> 00:14:36.020 บ้านของไทยมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปค่ะ 00:14:36.020 --> 00:14:38.540 จากเดิมที่หนึ่งหอหนึ่งห้อง ถูกต้องไหม 00:14:38.540 --> 00:14:41.780 หลังๆก็เริ่มมีการสร้างตึกฝรั่งบ้าง ตึกแบบจีนบ้าง 00:14:41.780 --> 00:14:43.700 แล้วก็มีการกั้นห้องเกิดขึ้นค่ะ 00:14:43.700 --> 00:14:44.800 ดังนั้นบางทีเนี่ยนะคะ 00:14:44.800 --> 00:14:46.800 การเก็บพวกหนังสือหรือสมุดเนี่ย 00:14:46.800 --> 00:14:48.920 ก็ไม่ได้เก็บในหอทั้งหอเหมือนเดิมแล้ว 00:14:48.920 --> 00:14:50.620 แต่เก็บแค่ในห้องห้องเดียวค่ะ 00:14:50.620 --> 00:14:52.520 จากที่เรียกว่าหอสมุดก็เลย 00:14:52.520 --> 00:14:54.560 กลายเป็นห้องสมุดนั่นเองนะคะ 00:14:54.580 --> 00:14:56.580 และนี่นะคะก็คือสาเหตุที่ว่า 00:14:56.580 --> 00:14:58.740 ทำไมในห้องสมุดเนี่ยถึงมีแต่หนังสือ 00:14:58.740 --> 00:15:02.160 ไม่ได้มีสมุดเต็มไปหมดอย่างที่ชื่อมันบอกไว้ค่ะ 00:15:02.160 --> 00:15:04.280 เพราะว่าในสมัยก่อนเนี่ยเขาไว้ใช้เก็บสมุด 00:15:04.280 --> 00:15:06.220 ที่เป็นการคัดลอกข้อมูลมาจริงๆ 00:15:06.220 --> 00:15:08.740 ก่อนที่หนังสือจะค่อยๆเข้ามาแย่งที่ 00:15:08.740 --> 00:15:10.440 แย่งที่ แย่งที่ แย่งที่ แล้วก็ 00:15:10.440 --> 00:15:13.340 ไล่สมุดออกไปจากห้องสมุดในที่สุดค่ะ 00:15:13.340 --> 00:15:14.520 ซึ่งในปัจจุบันเนี่ยนะคะ 00:15:14.520 --> 00:15:16.280 ถ้าเราไปดูความหมายของห้องสมุด 00:15:16.280 --> 00:15:18.780 ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานเนี่ย 00:15:18.780 --> 00:15:20.720 ก็จะเห็นว่าจริงๆแล้วห้องสมุดเนี่ย 00:15:20.720 --> 00:15:22.720 ไม่ได้มีไว้เก็บหนังสือแต่อย่างเดียวนะคะ 00:15:22.720 --> 00:15:24.940 แต่ว่าความหมายนี่เขาให้ไว้แบบนี้ค่ะ 00:15:24.940 --> 00:15:26.740 จะเห็นว่ามันสามารถเก็บแบบ 00:15:26.740 --> 00:15:28.840 ต้นฉบับลายมือเขียนซึ่งเป็นสมุด 00:15:28.840 --> 00:15:29.920 ก็ยังได้เหมือนกัน 00:15:29.920 --> 00:15:31.500 เก็บไมโครฟิล์มก็ได้เหมือนกัน 00:15:31.500 --> 00:15:32.740 หรือในสมัยปัจจุบันมากๆ 00:15:32.740 --> 00:15:34.600 เราก็จะเห็นว่าห้องสมุดหลายๆแห่งเนี่ย 00:15:34.600 --> 00:15:35.880 มีการพัฒนาออกไปนะคะ 00:15:35.880 --> 00:15:37.480 ก็มีการเก็บอะไรที่ 00:15:37.480 --> 00:15:39.840 ไม่ใช่ทั้งสมุดและหนังสือเพิ่มขึ้น เช่น 00:15:39.840 --> 00:15:42.880 ห้องสมุดดิจิตอลที่มีการเก็บไฟล์ดิจิตอลต่างๆ 00:15:42.880 --> 00:15:45.640 หรือสมัยเก่าไปหน่อยก็จะมีการเก็บเทป 00:15:45.640 --> 00:15:47.400 เก็บวิดีโออะไรอย่างนี้ 00:15:47.400 --> 00:15:49.220 เป็นสื่อโสตทัศน์ต่างๆ 00:15:49.220 --> 00:15:51.580 ให้เราสามารถเข้าไปดูได้เช่นเดียวกันค่ะ 00:15:51.580 --> 00:15:54.080 ดังนั้นเอาจริงๆแล้วคอนเซ็ปต์ของห้องสมุดเนี่ย 00:15:54.080 --> 00:15:55.400 เราก็ไม่ต้องไปสนใจหรอกค่ะ 00:15:55.400 --> 00:15:57.980 ว่าในห้องสมุดจะเก็บสมุดหรือเก็บหนังสือมากกว่ากัน 00:15:57.980 --> 00:16:00.000 เพราะจริงๆแล้วคอนเซ็ปต์ของห้องสมุดก็คือ 00:16:00.000 --> 00:16:02.280 การเก็บความรู้ต่างๆไว้ในห้องสมุด 00:16:02.280 --> 00:16:05.820 เพื่อที่จะให้คนเข้าไปค้นหาข้อมูลความรู้นั่นเองค่ะ 00:16:05.820 --> 00:16:09.080 และนี่ก็คือคำตอบที่วิวหามาให้ทุกคนในวันนี้ค่ะ 00:16:09.080 --> 00:16:11.140 เป็นยังไงบ้างคะ ถ้าใครชื่นชอบคลิปนี้อย่าลืม 00:16:11.140 --> 00:16:12.620 กดไลก์เป็นกำลังใจให้วิวแล้วก็ 00:16:12.620 --> 00:16:14.740 กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆมาดูด้วยกันนะคะ 00:16:14.740 --> 00:16:17.280 ส่วนใครที่มีคำถามอยากถามวิวเนี่ยก็อย่าลืม 00:16:17.280 --> 00:16:19.220 ติดแฮชแท็กวิวเอ๋ยบอกข้าเถิด แล้วก็ 00:16:19.220 --> 00:16:20.720 ส่งคำถามเข้ามาได้เลยค่ะ 00:16:20.720 --> 00:16:23.580 คุณอาจจะได้รับคำตอบมาเป็นวิดีโอแบบนี้นะคะ 00:16:23.580 --> 00:16:25.400 สำหรับวันนี้ลาไปก่อนแล้วกันค่ะทุกคน 00:16:25.400 --> 00:16:26.620 บ๊ายบาย 00:16:26.620 --> 00:16:27.220 สวัสดีค่ะ 00:16:27.220 --> 00:16:28.980 เป็นไงกันบ้างคะได้คำตอบกันไปไหม 00:16:28.980 --> 00:16:30.320 สำหรับเรื่องห้องสมุดกับหนังสือ 00:16:30.320 --> 00:16:32.980 ก็ตอบเวิ่นเว้อนอกเรื่องไปไกลเช่นเดิมนะคะ 00:16:32.980 --> 00:16:35.060 อย่าเพิ่งรำคาญที่วิวนอกเรื่องนะคะทุกคน 00:16:35.060 --> 00:16:37.700 แต่ว่ารู้สึกว่ามันเป็นเกร็ดข้อมูลความรู้สนุกๆ 00:16:37.700 --> 00:16:39.800 ที่อยากเอามาเล่าแล้วก็ไม่อยากตัดทิ้งค่ะ 00:16:39.800 --> 00:16:41.700 สำหรับวันนี้ลาไปก่อนแล้วกันนะคะทุกคน 00:16:41.700 --> 00:16:42.460 บ๊ายบาย 00:16:42.460 --> 00:16:43.360 สวัสดีค่ะ