ทำไมห้องสมุดถึงมีแต่หนังสือ สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะในรายการวิวเอ๋ยบอกข้าเถิดค่ะ รายการที่วิวจะหยิบเอาคำถามที่ทุกคนนะคะ ติดแฮชแท็กวิวเอ๋ยบอกข้าเถิดมาตอบทุกคนค่ะ ซึ่งถ้าสมมติว่าคำถามมันเหมาะสมกับช่อง Point of View มันก็จะมาปรากฏเป็นคลิปวิดีโอแบบนี้นี่แหละค่ะ ส่วนถ้าสมมติว่าคำถามมันอาจจะเหมาะกับอีกรูปแบบนึง มันก็จะไปอยู่ในอีกช่องนึงของวิวนะคะ นั่นก็คือช่องจุดชมวิว ซึ่งเป็นช่องที่มีสาระน้อยกว่า หรือเรียกได้ว่าไม่มีเลยนั่นเองค่ะ ซึ่งในวันนี้นะคะเราได้รับคำถามที่น่าสนใจมากๆค่ะ คำถามนี้ มาจากคุณ Chanchai นะคะ เขาถามมาว่าทำไมห้องสมุดถึงมีแต่หนังสือ บอกเลยว่านี่เป็นคำถามนึงที่น่าสนใจมากๆค่ะ ดังนั้นนะคะวิวก็เลยเลือกหยิบ หัวข้อนี้ขึ้นมาทำเป็นคลิปวิดีโอค่ะ ซึ่งเอาจริงๆนะถ้าจะให้ตอบคำถามนี้ ตอบได้สั้นๆ คำเดียว แป๊บเดียวจบเลยค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม มันจะไม่น่าสนใจเท่าไหร่นะคะ ดังนั้นนะคะ วิวก็เลยไปค้นหาข้อมูลต่างๆ มาเพิ่มเติมมากมายค่ะ และเราจะตอบให้มันลึกลงไปอีกหนึ่งชั้นค่ะ ดังนั้นพร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้ง สนุกแล้วก็มีสาระกันรึยังคะ ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ เอาจริงๆนะคะถ้าเราจะตอบคำถามว่า ทำไมในห้องสมุดถึงมีแต่หนังสือเนี่ย เราควรจะเริ่มต้นจากการให้คำนิยามก่อนค่ะว่า เอ๊ะ อะไรคือสมุดกันแน่ และเอ๊ะ อะไรคือหนังสือกันแน่นะคะ ซึ่งหลายคนฟังแบบนี้ก็แบบ เอ้า จริงๆเราก็รู้ตั้งแต่เด็กแล้วนะว่าสมุดคืออะไร หรือหนังสือคืออะไร แต่จริงๆแล้วบอกเลยว่ามันไม่ใช่แบบนั้นค่ะ ก่อนที่เราจะไปนิยามสมุดกับหนังสือกันเนี่ย เรามาฟังประวัติศาสตร์ของสมุดกับหนังสือกันดีกว่าค่ะว่า เอ๊ ในสมัยโบราณเนี่ยเขามีการจดบันทึก หรือเขามีการพิมพ์อะไรยังไงบ้างนะคะ เอาแบบคร่าวๆพอ เพราะว่าวันนี้จริงๆเราไม่ได้ตั้งใจจะมาคุย เรื่องประวัติศาสตร์การพิมพ์ตรงนี้ค่ะ อะ เข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ ก่อนที่เราจะไปพูดเรื่องสมุดหรือหนังสือเนี่ย จริงๆแล้วทั้งสองอย่างนี้ก็คือสิ่งที่ บันทึกพวกข้อความอะไรต่างๆเอาไว้ใช่ไหมคะ ดังนั้นรู้กันไหมคะว่า พวกตัวหนังสือต่างๆเนี่ยประดิษฐ์กันขึ้นมาเมื่อไหร่ เชื่อว่าหลายๆคนรู้กันอยู่แล้วค่ะ เพราะว่าเรียนกันมาตั้งแต่เด็กเนอะว่า ตัวหนังสือชุดแรกของโลกก็คืออักษรลิ่มคูนิฟอร์ม ประดิษฐ์โดยอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ก็คือของชาวสุเมเรียนนั่นเอง และในยุคนั้นนะคะก็จารึกกันลงบน แผ่นดินเหนียวหรือที่เรียกว่า Clay Tablet นั่นเองค่ะ ซึ่งหลังจากยุคสมัยนั้นเนี่ยนะคะก็ต้องบอกว่า ประวัติศาสตร์การจดบันทึกของมนุษย์ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ กระจัดกระจายไปทั่วค่ะ ไม่ว่าจะเป็นบันทึกลงในม้วนกระดาษ อย่างกระดาษปาปิรุสของชาวอียิปต์ บางกลุ่มเนี่ยนะคะก็เลือกแกะสลักลงบนหิน บางกลุ่มก็เลือกที่จะแกะสลักลงบนไม้ เปลือกไม้ อะไรต่างๆ หรือบางกลุ่มก็ประดิษฐ์กระดาษของตัวเอง เหมือนชาวจีน อะไรอย่างนี้เป็นต้นนะคะ เมื่อมันมีการประดิษฐ์ขึ้นมาแล้ว มันก็จะต้องมีการเขียนกันอย่างแพร่หลายใช่ไหมคะ บอกเลยค่ะว่านักประวัติศาสตร์เนี่ย พบหลักฐานการเขียนอย่างนี้ แพร่หลายมากๆตามจุดต่างๆนะคะ เอาแค่ Clay Tablet ของพวกชาวเมโสโปเตเมียเนี่ย ก็ค้นพบประมาณ 30,000 ชิ้นแล้วนะคะ เรียกได้ว่าเยอะมากๆๆๆๆเลยทีเดียวค่ะ เมื่อมันมีการเขียนเกิดขึ้นเนี่ย มันก็จะต้องมีการจัดเก็บงานเขียนใช่ไหมคะ ดังนั้นเนี่ยเราก็จะมีการพบหลักฐานว่าแบบ เออ บางจุดมันมีงานเขียนรวมกันมากกว่าปกติ เป็นแบบเหมือนเป็นคอลเลกชันอะไรต่างๆนะคะ ดังนั้นคอนเซ็ปต์ของความเป็นห้องสมุดเนี่ย ก็เริ่มต้นมาพร้อมๆกับการเขียนนี่ล่ะค่ะ ซึ่งพวกคอลเลกชันงานเขียนต่างๆที่มีคนเก็บรวบรวมไว้เนี่ย ในสมัยก่อนเราก็จะไปพบพวกแบบว่า ห้องเก็บเอกสารส่วนตัวของฟาโรห์อียิปต์ หรือว่าพวกห้องเก็บเอกสารส่วนตัวของกษัตริย์อัสซีเรีย อะไรทำนองนี้นะคะ บางทีก็อาจจะมีพวกพ่อค้าพาณิชบ้างอะไรต่างๆ อย่างที่เราน่าจะเห็นกันที่ดังขึ้นมา เมื่อประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์ที่แล้ว ในวงการประวัติศาสตร์นะว่าแบบ มี Clay Tablet หรือว่าแผ่นดินเหนียวที่เป็น จารึกที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่พูดถึงการ complain อะไรอย่างนี้ที่มันเก็บรวบรวมกันอยู่เป็นห้องเลย อะไรก็มีประมาณนั้นเหมือนกันค่ะ อย่างไรก็ตามนะคะ ในบรรดาคอลเลกชันการเก็บนู่นเก็บนี่เนี่ย ของชาติต่างๆ ชาตินึงที่โดดเด่นมากๆเลยก็คือ ชนชาติกรีกนั่นเองค่ะ เรารู้กันดีกว่าชนชาติกรีกเนี่ยเป็นชนชาติ ที่ค่อนข้างจะวิชาการใช่ไหมคะ มีงานเขียนต่างๆเกิดขึ้นมากมาย มีนักปราชญ์ มีนักกฎหมาย นักอะไรต่างๆ ซึ่งเขาก็จะบันทึก บันทึก บันทึกกันมากมายค่ะ ในยุคสมัยกรีกเนี่ยนะคะต้องบอกว่า พวกเรื่องหนังสือเรื่องการจดบันทึกเนี่ย เฟื่องฟูหนักมากค่ะจนกระทั่ง เกิดห้องสมุดทั้งสาธารณะแล้วก็ส่วนตัวเนี่ยนะคะ ผุดกันขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเลยค่ะ เรียกได้ว่า ใครที่มีกำลังทรัพย์หน่อยก็จะหา พวกงานเขียนต่างๆมาเก็บๆๆไว้กับตัวนะคะ แล้วถามว่างานเขียนพวกนั้นเนี่ยมาได้ยังไง ก็ต้องบอกว่าสมัยก่อนเขาใช้วิธีนี้ค่ะ สมมติว่ามีนักปราชญ์ซักคนนึง เกิดคิดบทละครขึ้นมาได้ชุดนึง เขาก็จะเขียนๆๆๆๆ เป็นต้นฉบับของเขาใช่ไหมคะ แล้วเขาก็จะส่งไปที่โรงก็อปปี้ค่ะ คือมันเป็นเหมือนกับโรงงานโรงงานนึง ซึ่งจะมีคนแบบนั่งรออยู่ละ นั่งๆๆๆ รออยู่ อะ แล้วก็จัดการลอกนะคะ ด้วยมือค่ะ ลอกๆๆๆๆ ออกมา คัดก็อปปี้ออกมานะคะ คัดออกมา คัดๆๆๆๆ แล้วก็ส่งฉบับก็อปปี้เนี่ยไปขายค่ะ ดังนั้นนะคะถ้าสมมติว่าใครอยากได้งานเขียนชิ้นไหนเนี่ย ก็จะต้องไปที่ร้านขายค่ะแล้วก็ ไปซื้อฉบับก็อปปี้ที่มีคนลอกด้วยลายมือเนี่ยนะคะ กลับมาที่บ้านค่ะ มาเก็บไว้ในคอลเลกชันส่วนตัว นี่ก็เป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของห้องสมุดยุคนั้นนะคะ และต้องบอกว่าชนชาติกรีกเนี่ย ก็ได้ส่งต่ออารยธรรมการจัดเก็บเอกสารนะคะ ไปให้กับชนชาตินึงค่ะที่สำคัญมากๆเลยนั่นก็คือ ชนชาติอียิปต์นั่นเองค่ะ โดยส่งต่อไปให้คิงปโตเลมีที่ 1 แห่งอียิปต์นะคะ ซึ่งเอาจริงๆเขาก็เป็นราชวงศ์ ที่สืบต่อมาจากแบบกรีกอะไรอย่างนี้ เหมือนแบบว่ากรีกมาซิโดเนียอะไรอย่างนี้ เข้ามายึดอียิปต์ใช่ไหมคะ จำได้ใช่ไหมคะที่เป็นบรรพบุรุษของคลีโอพัตรา ที่วิวเคยเล่าไปนั่นแหละค่ะ ซึ่งถามว่าคิงปโตเลมีได้รับความรู้นี้เข้าไปแล้ว เขาเอาไปทำอะไรนะคะ ท่านก็เอาไปจัดตั้งห้องสมุดแห่งนึงขึ้นมาค่ะ ชื่อว่า The Great Library of Alexandria นะคะ หรือว่าห้องสมุดอเล็กซานเดรียนั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นห้องสมุดสาธารณะที่ใหญ่มากๆ มากๆ มากๆ และมากๆค่ะ ซึ่งห้องสมุดนี้นะคะก็ตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาลนั่นเอง เรียกได้ว่าก็ผ่านมาค่อนข้างจะยาวนานแล้วเนอะ ส่วนก่อนหน้านั้นถามว่ามีห้องสมุดไหม ก็มีแหละเหมือนที่วิวเล่าไปนะคะ ก็คือเป็นห้องสมุดส่วนตัวบ้างอะไรบ้าง สาธารณะบ้างเล็กๆน้อยๆของตามกรีกอะไรอย่างนี้นะ ซึ่งเกิดมาตั้งแต่แบบสี่ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราชแล้วค่ะ อย่างไรก็ตามนะคะทั้งหมดนี้วิวไม่ได้จะมาเล่าเพื่อมาบอก เรื่องประวัติศาสตร์การเกิดห้องสมุดอะไรต่างๆนะคะ แต่วิวตั้งใจแค่จะเล่าให้ทุกคนฟังว่า คอนเซ็ปต์ของความเป็นห้องสมุดเนี่ย มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนสมัยของการพิมพ์แล้วค่ะ โอเคมันอาจจะมีการพิมพ์บ้างแบบอนาล็อกอะนะ แบบว่าทำตัวปั๊มขึ้นมาแล้วก็แบบปั๊มๆๆๆ หรือว่าแบบแกะสลักอะไรสักอย่างขึ้นมาแล้วกดลงไปนะคะ แต่นี่คือก่อนยุคสมัยของทศวรรษที่ 1450 ค่ะ ซึ่งเป็นทศวรรษที่ Johannes Gutenberg นะคะประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ขึ้นมา แล้วทำให้การพิมพ์เนี่ยแพร่หลาย ทำให้พวกหนังสือเนี่ยผลิตขึ้นมาง่ายขึ้นค่ะ ซึ่งในยุคสมัยนั้นนะคะ ก่อนที่เครื่องพิมพ์จะเกิดขึ้นเนี่ย หนังสือเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า แพงมากๆ มากๆๆๆ และมากๆค่ะ ถามว่าทำไม ลองนึกสภาพว่าถ้าทุกวันนี้เราอยากได้หนังสือเล่มนึง แล้วเราไม่มีเครื่องพิมพ์ เราต้องใช้วิธี เดินไปที่ร้านหนังสือแล้วไปขอลอกเอาทีละตัว ทีละตัว ทีละตัวเนี่ย ก็ไม่แปลกเลยนะคะที่หนังสือจะมีราคาแพงมากๆ และบางครั้งที่เราบอกว่า ก็เกิดห้องสมุดขึ้นมีความใหญ่มากอะไรอย่างนี้ มันอาจจะไม่ได้มีหนังสือเยอะขนาดนั้น เพราะว่ามันก็ค่อนข้างจะหายากอะนะ ยกตัวอย่างเช่นห้องสมุด Bodleian ที่วิวเคยพาไปที่อ็อกซ์ฟอร์ด จำได้ใช่ไหมคะที่เป็นสถานที่ถ่ายทำแฮร์รี่ พอตเตอร์ ตอนนั้นวิวก็เคยเล่าไว้ว่า ห้องสมุดทั้งห้องสมุดใหญ่ๆเนี่ย เกิดขึ้นเพราะว่ามีลอร์ดคนนึงชื่อว่า Lord Humphrey เนี่ย บริจาคหนังสือแค่ 200 เล่มเท่านั้นเองค่ะ ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเยอะมากๆแล้วนะคะ และทั้งหมดนี้นะคะก็คือยุคสมัยก่อนที่เครื่องพิมพ์จะเข้ามา ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ หรือว่ายุค Renaissance นะคะ ซึ่งมันก็จะเข้ามาแบบเสริมกับ Renaissance อะไรต่างๆ ทำให้วิชาความรู้เนี่ยแพร่กระจายไปทั่วค่ะ อย่างไรก็ตามนะคะ ก่อนที่วิวจะนอกเรื่องไปมากกว่านี้ แล้วจะมีคนมาหาว่าวิวเวิ่นตอบนอกเรื่องเนี่ยนะคะ เรากลับมาที่เรื่องของห้องสมุด แล้วก็หนังสือของเราดีกว่าค่ะ อะ ถ้าสมมติเราพูดถึงภาษาอังกฤษ ทั้งหมดที่ผ่านมาเราพูดถึงอารยธรรมตะวันตกเนอะ ดังนั้นเมื่อเราพูดถึงภาษาอังกฤษเนี่ย จริงๆเขาบันทึกกันมาตั้งนานแล้วค่ะ ตั้งแต่ตอนที่มันเป็นต้นฉบับเขียนด้วยลายมืออะไรต่างๆ เขาก็เรียกมันว่า book แล้วใช่ไหมคะ เพราะว่าคำว่า book เนี่ยจริงๆรากศัพท์มันมาจาก คำคำนึงค่ะที่แปลว่าแบบ เหมือนเป็นชื่อไม้ที่ใช้สลักลงไปอะไรอย่างนี้ ในสมัยที่ยังใช้ไม้ในการจดบันทึกอยู่นะคะ ดังนั้นคอนเซ็ปต์ของคำว่า book เนี่ยนะคะ มันไม่ได้แปลว่าหนังสือตรงๆ แบบคำว่าหนังสือในภาษาไทยค่ะ เพราะว่าคำว่า book เนี่ยมันหมายถึง สิ่งที่จัดเก็บข้อมูลอะไรอย่างนี้ไว้ จะว่าด้วยการเขียน จะว่าด้วยการพิมพ์ ก็เป็น book เหมือนกันนะคะ ในขณะที่คำว่า notebook ที่เราชอบเอามาแปลว่าสมุดเนี่ย จริงๆเราควรจะแปลมันเต็มๆว่าสมุดจดมากกว่า เพราะว่าพอพูดถึง notebook เซนส์มันจะหมายถึงแบบ สมุดที่เอาไว้แบบว่าจดนู่นจดนี่ โน้ตไอเดียอะไรอย่างนี้ ประมาณนั้นนะคะ อะ ก่อนที่เราจะมึนไปมากกว่านี้ กลับมาที่ประเทศไทยของเราดีกว่า ที่คำว่าหนังสือแล้วก็คำว่าสมุดนะคะ ก่อนที่เราจะนำเอาคำว่าสมุด คำว่าหนังสือ มาใช้แบบทุกวันนี้ คิดว่าแต่ก่อนคำว่าสมุดกับคำว่าหนังสือ หมายความว่ายังไงคะ คำว่าสมุดเนี่ยนะคะ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ หรือว่าหม่อมเจ้าวรรณไวทยากรเนี่ยนะคะ ท่านเนี่ยทรงให้ที่มาที่ไปไว้ว่า คำว่าสมุดคำนี้น่าจะมาจาก ภาษาสันสกฤตนะคะ คำว่า สัมปุฎ ค่ะ และเราก็ไม่ได้รับมาจากสันสกฤตโดยตรงหรอก แต่ว่าเรารับมาผ่านภาษาเขมรอีกทีนึงนะคะ ซึ่งในภาษาเขมรเนี่ยนะคะ เขาจะเรียกว่า สมบุตร นั่นเองค่ะ สมุดในสมัยก่อนเนี่ย มันไม่ได้หน้าตาเป็นสมุดแบบเล่มๆ พลิกๆๆๆๆ แบบที่เราเห็นทุกวันนี้หรอกค่ะ แต่ว่าสมุดในสมัยก่อนเนี่ยเขาหมายถึงสมุดไทยนะคะ หรือว่าสมุดข่อยนั่นเอง ชื่อคุ้นๆไหมคะ สมุดข่อยนี่ก็คือกระดาษที่ทำจากต้นข่อยนะคะ เอามาทำเป็นแผ่นยาวๆค่ะ แล้วก็เอามาพับทบไปทบมา ทบไปทบมานะคะ หลังจากนั้นก็สามารถเอามาจดบันทึก หรือว่ามาเขียนเรื่องต่างๆได้ค่ะ เวลาเปิดอ่านเขาก็จะใช้วิธีเปิดอย่างนี้ เปิดพลิกไป พลิกไป พลิกไปนะคะ เพราะว่าไม่ได้ใช้วิธีการเย็บเล่มค่ะ แต่ใช้วิธีการพับเอาเนอะ ซึ่งสมุดไทยเนี่ยก็ต้องบอกว่า มีถึงสองสีด้วยกันค่ะ สีแรกนะคะก็คือสีขาวนั่นเอง และอีกสีนึงก็คือสีดำนะคะ วิธีการทำของทั้งสองอย่างเนี่ย เหมือนกันเลยคือเหมือนกับว่า เอาต้นข่อยมาผ่านกระบวนการกรรมวิธี การต้มการทำอะไรต่างๆ วุ่นวายมากมายเนี่ยนะคะ ซึ่งขออนุญาตไม่เจาะลึก ถ้าใครอยากรู้เนี่ยนะ วิธีการมันคล้ายๆกับการทำกระดาษของญี่ปุ่น ซึ่งวิวเคยเล่าไว้ตอนที่ ไปที่โคจิแล้วนะคะ ดังนั้นสามารถไปดูได้ในคลิปนั้นนะ หลังจากที่ทำออกมาเป็นกระดาษเรียบร้อยแล้วเนี่ย เขาก็จะแตกต่างกันนิดนึง ตรงขั้นตอนการย้อมสีขั้นสุดท้ายนะคะ ถ้าสมมติว่าเขาใช้น้ำปูนขาวผสมกับกาวแป้งเปียกเนี่ย มันก็จะกลายเป็นสมุดไทยสีขาว ส่วนถ้าผสมกับเขม่าดิน หรือว่ากาบมะพร้าวเผาลงไปเนี่ย เขาก็จะกลายเป็นสมุดไทยสีดำนั่นเองค่ะ ซึ่งวิธีการจดบันทึกก็คล้ายๆกันนี่แหละ แต่ว่าสมุดที่สีขาวก็จะใช้พวกหมึกสีๆใส่ลงไป ส่วนสมุดสีดำเนี่ยก็จะใช้สีขาวเขียนลงไปนั่นเองค่ะ ทีนี้เราก็น่าจะเคยได้ยินกันใช่ไหม ชื่อแบบสมุดไทย สมุดไทย อะไรต่างๆ เช่นเวลาที่เราไปอ่านวรรณคดีอะไรต่างๆ เราก็จะเห็นว่า อะ จบเล่มสมุดไทยที่หนึ่ง จบเล่มสมุดไทยที่สอง เพราะว่าในสมัยต่อมาเนี่ยนะคะ มันก็มีการนำเข้ากระดาษแบบฝรั่งเข้ามาค่ะ และเราก็จะเรียกกระดาษแบบใหม่นี้ว่าสมุดฝรั่ง ดังนั้นสมุดแบบเก่าก็เลย กลายเป็นสมุดไทยไปค่ะ ส่วนสมุดฝรั่งเนี่ยต่อมาก็ กลายมาเป็นสมุดแบบที่เราใช้ทุกวันนี้นี่แหละ ดังนั้นถ้าถามว่าสมุดในความเข้าใจ ของคนไทยสมัยก่อนเนี่ยคือยังไง ก็ต้องบอกว่ามันคือกระดาษเป็นเล่มๆ ที่เอาไว้ใช้จดบันทึก หรือเอาไว้ใช้เขียนเรื่องราวต่างๆนั่นเองค่ะ ก็จะมีความต่างจาก notebook นิดนึงนะ คือไม่ว่าจะเป็นการก็อปปี้มาหรืออะไรก็ตาม ถ้ามันมีการเขียนลงไปในหน้ากระดาษเปล่าๆเนี่ย เราจะเรียกสิ่งนั้นว่าสมุดหมดเลยค่ะ ในขณะที่คำว่าหนังสือของไทยเนี่ยนะคะ ต้องบอกว่าถ้าไปเปิดพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานตอนนี้ จะเห็นว่าความหมายของหนังสือเนี่ยมีถึง สองความหมายด้วยกันค่ะ เห็นแบบนี้ไหม ซึ่งปัจจุบันนี้เรามักจะใช้ความหมายที่สองเป็นหลักนะคะ ก็คือหมายถึงพวกแบบปึกกระดาษเล่มๆ ที่มันมีเนื้อหาพิมพ์อยู่ข้างใน ถูกไหม แต่จริงๆแล้วนะคะในสมัยโบราณเนี่ย ความหมายของหนังสือ ค่อนข้างจะเป็นความหมายแรกมากกว่าค่ะ คือหนังสือเนี่ยหมายถึง เครื่องหมายที่ใช้ขีดเขียนลงไปนะคะ เพื่อสื่อความหมายค่ะ นั่นก็คือหนังสือในสมัยก่อนเนี่ยก็หมายถึงตัวหนังสือนั่นเองค่ะ ดังนั้นเราจะเห็นร่องรอยของสิ่งนี้ได้จากคำพูดบางคำนะ เช่นสมมติว่ามีใครมาพูดอะไรกับเราแบบลอยๆซักอย่างนึง แล้วเราก็บอกว่าไม่ๆๆ ฉันไม่อยากฟังลอยๆ ไปเขียนเป็นหนังสือมาก่อน อะ ไปเขียนเป็นหนังสือมาก่อน ไม่ได้แปลว่าแค่คำพูดไม่กี่คำของเขาเนี่ย จะต้องไปเขียนเป็นเล่มนะคะ แต่หมายความว่าจดลงมาก่อน เขียนให้มันเป็นลายลักษณ์อักษร หรือว่าเวลาเราพูดถึงหนังสือราชการ ก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นแบบหนังสือเล่มๆ เย็บเล่มถูกไหม กระดาษแผ่นเดียวที่มีตัวอักษรเนี่ย ก็นับเป็นหนังสือราชการเหมือนกัน เพราะว่าคอนเซ็ปต์ของคำว่าหนังสือคือ ลายลักษณ์อักษรนั่นเองค่ะ ซึ่งต่อมาเนี่ยนะคะโดยเฉพาะช่วงยุคของรัชกาลที่ 4 ก็จะเห็นว่ามันมีการพิมพ์เข้ามาในประเทศไทยถูกไหม ดังนั้นเราจะเห็นสิ่งนี้จากคำว่าหนังสือพิมพ์ ก็คือการพิมพ์ตัวหนังสือลงไปบนกระดาษนะคะ ซึ่งในสมัยต่อมาเนี่ยมันก็เหมือนกลืนกันไปเรื่อยๆ ความหมายของคำว่าหนังสือเนี่ยก็เพี้ยนไปเรื่อยๆ ก็เลยกลายเป็นว่าไอ้สิ่งที่พิมพ์ลงไป แล้วพิมพ์ออกมาเสร็จแล้วเป็นเล่มเนี่ย ก็เลยเรียกว่าหนังสือในที่สุดค่ะ จะเห็นว่าความหมายของหนังสือสมัยก่อน มันก็เป็นประมาณนี้นะคะ ซึ่งตอนนี้เราก็รู้ความหมายของคำว่าสมุด แล้วก็คำว่าหนังสือเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ทีนี้เรากลับมาที่เรื่องห้องสมุดของเราดีกว่าค่ะ จะเห็นว่าในไทยเนี่ยก็คล้ายๆกับในชาติตะวันตกเลย คือในสมัยก่อนที่เครื่องพิมพ์จะเข้ามาเนี่ยนะคะ เวลาที่เราต้องการจะได้ เนื้อหาอะไรบางอย่างมาไว้กับตัวเองเนี่ย มันก็จะต้องมีการคัดลอกเกิดขึ้นถูกต้องไหม แล้วในไทยเราก็มีงานเขียนมา ค่อนข้างจะยาวนานแล้ว ก่อนที่เครื่องพิมพ์จะเข้ามาใช่ไหมคะ ซึ่งงานเขียนสมัยก่อนเนี่ยส่วนมากก็จะเป็น พวกคัมภีร์พระไตรปิฎก เป็นวรรณกรรม เป็นตำรายา ตำราโหร อะไรพวกอย่างนี้ใช่ไหม และแน่นอนว่ามันก็จะต้องมีสถานที่ที่ใช้ จัดเก็บงานเขียนพวกนี้เข้าด้วยกันค่ะ และด้วยความที่งานเขียนพวกนี้ เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะมีราคาแพงมากๆ เพราะว่าใช้แรงงานคนในการเขียนหนักมากๆเนี่ย ดังนั้นคนที่จะเก็บพวกนี้ได้เนี่ย หนึ่ง ต้องมีเงินนะคะ และสอง ต้องเป็นคนที่อ่านหนังสือออกค่ะ คือชาวบ้านชาวนาที่อ่านหนังสือไม่ออก จะเอาหนังสือไปเก็บไว้ทำไม ก็ไม่มีประโยชน์ถูกต้องไหม ดังนั้นนะคะ สถานที่ที่มีโอกาสได้เก็บงานเขียนเหล่านี้ ส่วนมากก็เลยจะเป็นวัดกับวังนั่นเองค่ะ ซึ่งให้เรานึกภาพไปที่บ้านเรือนไทยสมัยก่อนนะคะ เราเคยดูหนังกันมาหลายเรื่อง เราจะเห็นว่าลักษณะของบ้านสมัยก่อนของประเทศไทยเนี่ย เราไม่ได้มีลักษณะของการกั้นห้อง ถูกไหม เราไม่ได้มีแบบเรือนหนึ่งหลังแล้วกั้นห้อง กั้นห้องอะไรต่างๆ แต่เราใช้วิธีว่าเราสร้างแบบบ้านเรือนไทยขึ้นมาหนึ่งหลัง แล้วก็สร้างอีกหนึ่งหลัง หนึ่งหลัง หนึ่งหลัง หนึ่งหลังคือหนึ่งห้อง แล้วก็ใช้เหมือนกับว่าเป็นระเบียงบ้านอะ ต่อกัน ต่อๆๆๆ ให้มันเป็นหมู่อาคาร ถูกไหม ดังนั้นเวลาเราไปดูพวกบ้านเรือนไทยที่เป็นบ้านใหญ่ๆ มันจะค่อนข้างเป็นหมู่อาคาร ถูกต้องไหมคะ แล้วหนึ่งหลังที่เป็นหนึ่งห้องเนี่ย เขาก็จะเรียกว่าหอค่ะ ซึ่งเราก็จะเห็นจากคำศัพท์สมัยก่อนที่มีแบบว่า ห้องไหนเอาไว้นอนก็เรียกว่าหอนอน ห้องไหนเอาไว้ไหว้พระ เราก็จะเรียกว่าหอพระ ถูกต้องไหม สถานที่ที่เก็บสมุด ในสมัยที่เราต้องไปลอกอะไรต่างๆลงมาในสมุด เอามาเก็บรวบรวมกันไว้มากๆ ก็เลยเรียกว่าหอสมุดนั่นเองค่ะ หรือว่าในบางกรณีที่อยู่ในวัด หรือว่าเป็นสถานที่ที่เอาไว้เก็บพวก งานเขียนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาก็จะเรียกว่า หอพระสมุดนะคะ ทีนี้ในระยะเวลาต่อมาค่ะ แน่นอนว่ามันก็มีพัฒนาการต่างๆเข้ามา ความเป็นตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาในไทย มีสองอย่างนะคะที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้ เหตุการณ์แรกก็คือ การพิมพ์เข้ามาในประเทศไทยค่ะ ดังนั้นจากเดิมที่เวลาต้องการเอกสารอะไรต่างๆ ต้องใช้การลอกด้วยมือลงในสมุดเนี่ย ก็กลายเป็นหนังสือเล่มๆที่พิมพ์ขึ้นใช่ไหมคะ และแน่นอนว่าหนังสือที่พิมพ์ขึ้นมาเป็นเล่มๆ จะไปเก็บที่อื่นทำไมในเมื่อ มันก็มีสถานที่เก็บเอกสารอยู่แล้ว ดังนั้นหนังสือเล่มๆเนี่ยก็เลย ได้รับการเอามาเก็บเข้าในหอสมุดเช่นเดียวกันค่ะ และอีกเรื่องนึงที่เกิดขึ้นนะคะก็คือ บ้านของไทยมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปค่ะ จากเดิมที่หนึ่งหอหนึ่งห้อง ถูกต้องไหม หลังๆก็เริ่มมีการสร้างตึกฝรั่งบ้าง ตึกแบบจีนบ้าง แล้วก็มีการกั้นห้องเกิดขึ้นค่ะ ดังนั้นบางทีเนี่ยนะคะ การเก็บพวกหนังสือหรือสมุดเนี่ย ก็ไม่ได้เก็บในหอทั้งหอเหมือนเดิมแล้ว แต่เก็บแค่ในห้องห้องเดียวค่ะ จากที่เรียกว่าหอสมุดก็เลย กลายเป็นห้องสมุดนั่นเองนะคะ และนี่นะคะก็คือสาเหตุที่ว่า ทำไมในห้องสมุดเนี่ยถึงมีแต่หนังสือ ไม่ได้มีสมุดเต็มไปหมดอย่างที่ชื่อมันบอกไว้ค่ะ เพราะว่าในสมัยก่อนเนี่ยเขาไว้ใช้เก็บสมุด ที่เป็นการคัดลอกข้อมูลมาจริงๆ ก่อนที่หนังสือจะค่อยๆเข้ามาแย่งที่ แย่งที่ แย่งที่ แย่งที่ แล้วก็ ไล่สมุดออกไปจากห้องสมุดในที่สุดค่ะ ซึ่งในปัจจุบันเนี่ยนะคะ ถ้าเราไปดูความหมายของห้องสมุด ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานเนี่ย ก็จะเห็นว่าจริงๆแล้วห้องสมุดเนี่ย ไม่ได้มีไว้เก็บหนังสือแต่อย่างเดียวนะคะ แต่ว่าความหมายนี่เขาให้ไว้แบบนี้ค่ะ จะเห็นว่ามันสามารถเก็บแบบ ต้นฉบับลายมือเขียนซึ่งเป็นสมุด ก็ยังได้เหมือนกัน เก็บไมโครฟิล์มก็ได้เหมือนกัน หรือในสมัยปัจจุบันมากๆ เราก็จะเห็นว่าห้องสมุดหลายๆแห่งเนี่ย มีการพัฒนาออกไปนะคะ ก็มีการเก็บอะไรที่ ไม่ใช่ทั้งสมุดและหนังสือเพิ่มขึ้น เช่น ห้องสมุดดิจิตอลที่มีการเก็บไฟล์ดิจิตอลต่างๆ หรือสมัยเก่าไปหน่อยก็จะมีการเก็บเทป เก็บวิดีโออะไรอย่างนี้ เป็นสื่อโสตทัศน์ต่างๆ ให้เราสามารถเข้าไปดูได้เช่นเดียวกันค่ะ ดังนั้นเอาจริงๆแล้วคอนเซ็ปต์ของห้องสมุดเนี่ย เราก็ไม่ต้องไปสนใจหรอกค่ะ ว่าในห้องสมุดจะเก็บสมุดหรือเก็บหนังสือมากกว่ากัน เพราะจริงๆแล้วคอนเซ็ปต์ของห้องสมุดก็คือ การเก็บความรู้ต่างๆไว้ในห้องสมุด เพื่อที่จะให้คนเข้าไปค้นหาข้อมูลความรู้นั่นเองค่ะ และนี่ก็คือคำตอบที่วิวหามาให้ทุกคนในวันนี้ค่ะ เป็นยังไงบ้างคะ ถ้าใครชื่นชอบคลิปนี้อย่าลืม กดไลก์เป็นกำลังใจให้วิวแล้วก็ กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆมาดูด้วยกันนะคะ ส่วนใครที่มีคำถามอยากถามวิวเนี่ยก็อย่าลืม ติดแฮชแท็กวิวเอ๋ยบอกข้าเถิด แล้วก็ ส่งคำถามเข้ามาได้เลยค่ะ คุณอาจจะได้รับคำตอบมาเป็นวิดีโอแบบนี้นะคะ สำหรับวันนี้ลาไปก่อนแล้วกันค่ะทุกคน บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ เป็นไงกันบ้างคะได้คำตอบกันไปไหม สำหรับเรื่องห้องสมุดกับหนังสือ ก็ตอบเวิ่นเว้อนอกเรื่องไปไกลเช่นเดิมนะคะ อย่าเพิ่งรำคาญที่วิวนอกเรื่องนะคะทุกคน แต่ว่ารู้สึกว่ามันเป็นเกร็ดข้อมูลความรู้สนุกๆ ที่อยากเอามาเล่าแล้วก็ไม่อยากตัดทิ้งค่ะ สำหรับวันนี้ลาไปก่อนแล้วกันนะคะทุกคน บ๊ายบาย สวัสดีค่ะ