1 00:00:00,160 --> 00:00:02,160 ทำไมห้องสมุดถึงมีแต่หนังสือ 2 00:00:02,160 --> 00:00:03,740 สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ 3 00:00:03,740 --> 00:00:06,500 กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะในรายการวิวเอ๋ยบอกข้าเถิดค่ะ 4 00:00:06,500 --> 00:00:09,100 รายการที่วิวจะหยิบเอาคำถามที่ทุกคนนะคะ 5 00:00:09,100 --> 00:00:11,560 ติดแฮชแท็กวิวเอ๋ยบอกข้าเถิดมาตอบทุกคนค่ะ 6 00:00:11,560 --> 00:00:14,100 ซึ่งถ้าสมมติว่าคำถามมันเหมาะสมกับช่อง Point of View 7 00:00:14,100 --> 00:00:16,540 มันก็จะมาปรากฏเป็นคลิปวิดีโอแบบนี้นี่แหละค่ะ 8 00:00:16,540 --> 00:00:19,420 ส่วนถ้าสมมติว่าคำถามมันอาจจะเหมาะกับอีกรูปแบบนึง 9 00:00:19,420 --> 00:00:21,080 มันก็จะไปอยู่ในอีกช่องนึงของวิวนะคะ 10 00:00:21,080 --> 00:00:22,600 นั่นก็คือช่องจุดชมวิว 11 00:00:22,600 --> 00:00:24,520 ซึ่งเป็นช่องที่มีสาระน้อยกว่า 12 00:00:24,520 --> 00:00:26,600 หรือเรียกได้ว่าไม่มีเลยนั่นเองค่ะ 13 00:00:26,600 --> 00:00:29,500 ซึ่งในวันนี้นะคะเราได้รับคำถามที่น่าสนใจมากๆค่ะ 14 00:00:29,500 --> 00:00:30,360 คำถามนี้ 15 00:00:30,480 --> 00:00:32,220 มาจากคุณ Chanchai นะคะ 16 00:00:32,220 --> 00:00:34,920 เขาถามมาว่าทำไมห้องสมุดถึงมีแต่หนังสือ 17 00:00:34,920 --> 00:00:37,580 บอกเลยว่านี่เป็นคำถามนึงที่น่าสนใจมากๆค่ะ 18 00:00:37,580 --> 00:00:39,040 ดังนั้นนะคะวิวก็เลยเลือกหยิบ 19 00:00:39,040 --> 00:00:41,240 หัวข้อนี้ขึ้นมาทำเป็นคลิปวิดีโอค่ะ 20 00:00:41,240 --> 00:00:43,040 ซึ่งเอาจริงๆนะถ้าจะให้ตอบคำถามนี้ 21 00:00:43,040 --> 00:00:45,240 ตอบได้สั้นๆ คำเดียว แป๊บเดียวจบเลยค่ะ 22 00:00:45,240 --> 00:00:47,640 แต่อย่างไรก็ตาม มันจะไม่น่าสนใจเท่าไหร่นะคะ 23 00:00:47,640 --> 00:00:49,840 ดังนั้นนะคะ วิวก็เลยไปค้นหาข้อมูลต่างๆ 24 00:00:49,840 --> 00:00:51,240 มาเพิ่มเติมมากมายค่ะ 25 00:00:51,240 --> 00:00:53,900 และเราจะตอบให้มันลึกลงไปอีกหนึ่งชั้นค่ะ 26 00:00:53,900 --> 00:00:55,820 ดังนั้นพร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้ง 27 00:00:56,000 --> 00:00:57,680 สนุกแล้วก็มีสาระกันรึยังคะ 28 00:00:57,680 --> 00:00:59,680 ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ 29 00:01:02,760 --> 00:01:04,760 เอาจริงๆนะคะถ้าเราจะตอบคำถามว่า 30 00:01:04,760 --> 00:01:06,620 ทำไมในห้องสมุดถึงมีแต่หนังสือเนี่ย 31 00:01:06,620 --> 00:01:09,500 เราควรจะเริ่มต้นจากการให้คำนิยามก่อนค่ะว่า 32 00:01:09,500 --> 00:01:10,880 เอ๊ะ อะไรคือสมุดกันแน่ 33 00:01:10,880 --> 00:01:12,780 และเอ๊ะ อะไรคือหนังสือกันแน่นะคะ 34 00:01:12,780 --> 00:01:14,260 ซึ่งหลายคนฟังแบบนี้ก็แบบ 35 00:01:14,260 --> 00:01:16,520 เอ้า จริงๆเราก็รู้ตั้งแต่เด็กแล้วนะว่าสมุดคืออะไร 36 00:01:16,520 --> 00:01:17,440 หรือหนังสือคืออะไร 37 00:01:17,440 --> 00:01:19,640 แต่จริงๆแล้วบอกเลยว่ามันไม่ใช่แบบนั้นค่ะ 38 00:01:19,640 --> 00:01:21,860 ก่อนที่เราจะไปนิยามสมุดกับหนังสือกันเนี่ย 39 00:01:21,860 --> 00:01:25,020 เรามาฟังประวัติศาสตร์ของสมุดกับหนังสือกันดีกว่าค่ะว่า 40 00:01:25,020 --> 00:01:27,260 เอ๊ ในสมัยโบราณเนี่ยเขามีการจดบันทึก 41 00:01:27,260 --> 00:01:29,440 หรือเขามีการพิมพ์อะไรยังไงบ้างนะคะ 42 00:01:29,440 --> 00:01:30,580 เอาแบบคร่าวๆพอ 43 00:01:30,580 --> 00:01:32,580 เพราะว่าวันนี้จริงๆเราไม่ได้ตั้งใจจะมาคุย 44 00:01:32,580 --> 00:01:34,620 เรื่องประวัติศาสตร์การพิมพ์ตรงนี้ค่ะ 45 00:01:34,620 --> 00:01:35,820 อะ เข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ 46 00:01:35,820 --> 00:01:38,000 ก่อนที่เราจะไปพูดเรื่องสมุดหรือหนังสือเนี่ย 47 00:01:38,000 --> 00:01:40,060 จริงๆแล้วทั้งสองอย่างนี้ก็คือสิ่งที่ 48 00:01:40,060 --> 00:01:42,580 บันทึกพวกข้อความอะไรต่างๆเอาไว้ใช่ไหมคะ 49 00:01:42,580 --> 00:01:44,340 ดังนั้นรู้กันไหมคะว่า 50 00:01:44,340 --> 00:01:46,660 พวกตัวหนังสือต่างๆเนี่ยประดิษฐ์กันขึ้นมาเมื่อไหร่ 51 00:01:46,660 --> 00:01:48,240 เชื่อว่าหลายๆคนรู้กันอยู่แล้วค่ะ 52 00:01:48,240 --> 00:01:49,940 เพราะว่าเรียนกันมาตั้งแต่เด็กเนอะว่า 53 00:01:49,940 --> 00:01:52,980 ตัวหนังสือชุดแรกของโลกก็คืออักษรลิ่มคูนิฟอร์ม 54 00:01:52,980 --> 00:01:55,840 ประดิษฐ์โดยอารยธรรมเมโสโปเตเมีย 55 00:01:55,840 --> 00:01:57,700 ก็คือของชาวสุเมเรียนนั่นเอง 56 00:01:57,700 --> 00:01:59,620 และในยุคนั้นนะคะก็จารึกกันลงบน 57 00:01:59,620 --> 00:02:02,500 แผ่นดินเหนียวหรือที่เรียกว่า Clay Tablet นั่นเองค่ะ 58 00:02:02,500 --> 00:02:04,540 ซึ่งหลังจากยุคสมัยนั้นเนี่ยนะคะก็ต้องบอกว่า 59 00:02:04,540 --> 00:02:07,620 ประวัติศาสตร์การจดบันทึกของมนุษย์ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ 60 00:02:07,620 --> 00:02:08,800 กระจัดกระจายไปทั่วค่ะ 61 00:02:08,800 --> 00:02:11,180 ไม่ว่าจะเป็นบันทึกลงในม้วนกระดาษ 62 00:02:11,180 --> 00:02:12,980 อย่างกระดาษปาปิรุสของชาวอียิปต์ 63 00:02:12,980 --> 00:02:15,320 บางกลุ่มเนี่ยนะคะก็เลือกแกะสลักลงบนหิน 64 00:02:15,320 --> 00:02:17,540 บางกลุ่มก็เลือกที่จะแกะสลักลงบนไม้ 65 00:02:17,540 --> 00:02:18,900 เปลือกไม้ อะไรต่างๆ 66 00:02:18,900 --> 00:02:21,040 หรือบางกลุ่มก็ประดิษฐ์กระดาษของตัวเอง 67 00:02:21,040 --> 00:02:23,100 เหมือนชาวจีน อะไรอย่างนี้เป็นต้นนะคะ 68 00:02:23,100 --> 00:02:24,600 เมื่อมันมีการประดิษฐ์ขึ้นมาแล้ว 69 00:02:24,600 --> 00:02:26,960 มันก็จะต้องมีการเขียนกันอย่างแพร่หลายใช่ไหมคะ 70 00:02:26,960 --> 00:02:28,600 บอกเลยค่ะว่านักประวัติศาสตร์เนี่ย 71 00:02:28,600 --> 00:02:30,140 พบหลักฐานการเขียนอย่างนี้ 72 00:02:30,140 --> 00:02:32,140 แพร่หลายมากๆตามจุดต่างๆนะคะ 73 00:02:32,140 --> 00:02:34,840 เอาแค่ Clay Tablet ของพวกชาวเมโสโปเตเมียเนี่ย 74 00:02:34,840 --> 00:02:37,160 ก็ค้นพบประมาณ 30,000 ชิ้นแล้วนะคะ 75 00:02:37,160 --> 00:02:39,920 เรียกได้ว่าเยอะมากๆๆๆๆเลยทีเดียวค่ะ 76 00:02:39,920 --> 00:02:41,600 เมื่อมันมีการเขียนเกิดขึ้นเนี่ย 77 00:02:41,600 --> 00:02:43,920 มันก็จะต้องมีการจัดเก็บงานเขียนใช่ไหมคะ 78 00:02:43,920 --> 00:02:46,160 ดังนั้นเนี่ยเราก็จะมีการพบหลักฐานว่าแบบ 79 00:02:46,160 --> 00:02:49,400 เออ บางจุดมันมีงานเขียนรวมกันมากกว่าปกติ 80 00:02:49,400 --> 00:02:51,740 เป็นแบบเหมือนเป็นคอลเลกชันอะไรต่างๆนะคะ 81 00:02:51,740 --> 00:02:53,680 ดังนั้นคอนเซ็ปต์ของความเป็นห้องสมุดเนี่ย 82 00:02:53,680 --> 00:02:56,280 ก็เริ่มต้นมาพร้อมๆกับการเขียนนี่ล่ะค่ะ 83 00:02:56,280 --> 00:02:59,040 ซึ่งพวกคอลเลกชันงานเขียนต่างๆที่มีคนเก็บรวบรวมไว้เนี่ย 84 00:02:59,040 --> 00:03:01,040 ในสมัยก่อนเราก็จะไปพบพวกแบบว่า 85 00:03:01,040 --> 00:03:03,480 ห้องเก็บเอกสารส่วนตัวของฟาโรห์อียิปต์ 86 00:03:03,480 --> 00:03:06,900 หรือว่าพวกห้องเก็บเอกสารส่วนตัวของกษัตริย์อัสซีเรีย 87 00:03:06,900 --> 00:03:08,060 อะไรทำนองนี้นะคะ 88 00:03:08,060 --> 00:03:10,600 บางทีก็อาจจะมีพวกพ่อค้าพาณิชบ้างอะไรต่างๆ 89 00:03:10,600 --> 00:03:12,140 อย่างที่เราน่าจะเห็นกันที่ดังขึ้นมา 90 00:03:12,140 --> 00:03:13,500 เมื่อประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์ที่แล้ว 91 00:03:13,500 --> 00:03:15,100 ในวงการประวัติศาสตร์นะว่าแบบ 92 00:03:15,100 --> 00:03:17,600 มี Clay Tablet หรือว่าแผ่นดินเหนียวที่เป็น 93 00:03:17,600 --> 00:03:20,140 จารึกที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 94 00:03:20,140 --> 00:03:21,660 ที่พูดถึงการ complain 95 00:03:21,660 --> 00:03:23,980 อะไรอย่างนี้ที่มันเก็บรวบรวมกันอยู่เป็นห้องเลย 96 00:03:23,980 --> 00:03:25,940 อะไรก็มีประมาณนั้นเหมือนกันค่ะ 97 00:03:25,940 --> 00:03:26,960 อย่างไรก็ตามนะคะ 98 00:03:26,960 --> 00:03:29,560 ในบรรดาคอลเลกชันการเก็บนู่นเก็บนี่เนี่ย 99 00:03:29,560 --> 00:03:32,440 ของชาติต่างๆ ชาตินึงที่โดดเด่นมากๆเลยก็คือ 100 00:03:32,440 --> 00:03:34,060 ชนชาติกรีกนั่นเองค่ะ 101 00:03:34,060 --> 00:03:36,080 เรารู้กันดีกว่าชนชาติกรีกเนี่ยเป็นชนชาติ 102 00:03:36,080 --> 00:03:38,060 ที่ค่อนข้างจะวิชาการใช่ไหมคะ 103 00:03:38,060 --> 00:03:40,160 มีงานเขียนต่างๆเกิดขึ้นมากมาย 104 00:03:40,160 --> 00:03:43,000 มีนักปราชญ์ มีนักกฎหมาย นักอะไรต่างๆ 105 00:03:43,000 --> 00:03:45,460 ซึ่งเขาก็จะบันทึก บันทึก บันทึกกันมากมายค่ะ 106 00:03:45,460 --> 00:03:47,240 ในยุคสมัยกรีกเนี่ยนะคะต้องบอกว่า 107 00:03:47,240 --> 00:03:49,100 พวกเรื่องหนังสือเรื่องการจดบันทึกเนี่ย 108 00:03:49,100 --> 00:03:50,960 เฟื่องฟูหนักมากค่ะจนกระทั่ง 109 00:03:50,960 --> 00:03:53,840 เกิดห้องสมุดทั้งสาธารณะแล้วก็ส่วนตัวเนี่ยนะคะ 110 00:03:53,840 --> 00:03:55,940 ผุดกันขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเลยค่ะ เรียกได้ว่า 111 00:03:55,940 --> 00:03:57,760 ใครที่มีกำลังทรัพย์หน่อยก็จะหา 112 00:03:57,760 --> 00:04:00,280 พวกงานเขียนต่างๆมาเก็บๆๆไว้กับตัวนะคะ 113 00:04:00,280 --> 00:04:02,780 แล้วถามว่างานเขียนพวกนั้นเนี่ยมาได้ยังไง 114 00:04:02,780 --> 00:04:04,780 ก็ต้องบอกว่าสมัยก่อนเขาใช้วิธีนี้ค่ะ 115 00:04:04,780 --> 00:04:06,460 สมมติว่ามีนักปราชญ์ซักคนนึง 116 00:04:06,460 --> 00:04:08,720 เกิดคิดบทละครขึ้นมาได้ชุดนึง 117 00:04:08,720 --> 00:04:11,540 เขาก็จะเขียนๆๆๆๆ เป็นต้นฉบับของเขาใช่ไหมคะ 118 00:04:11,540 --> 00:04:14,140 แล้วเขาก็จะส่งไปที่โรงก็อปปี้ค่ะ 119 00:04:14,140 --> 00:04:16,200 คือมันเป็นเหมือนกับโรงงานโรงงานนึง 120 00:04:16,200 --> 00:04:18,660 ซึ่งจะมีคนแบบนั่งรออยู่ละ นั่งๆๆๆ รออยู่ 121 00:04:18,660 --> 00:04:20,860 อะ แล้วก็จัดการลอกนะคะ 122 00:04:20,860 --> 00:04:22,980 ด้วยมือค่ะ ลอกๆๆๆๆ ออกมา 123 00:04:22,980 --> 00:04:25,420 คัดก็อปปี้ออกมานะคะ คัดออกมา คัดๆๆๆๆ 124 00:04:25,420 --> 00:04:27,820 แล้วก็ส่งฉบับก็อปปี้เนี่ยไปขายค่ะ 125 00:04:27,820 --> 00:04:30,300 ดังนั้นนะคะถ้าสมมติว่าใครอยากได้งานเขียนชิ้นไหนเนี่ย 126 00:04:30,300 --> 00:04:32,180 ก็จะต้องไปที่ร้านขายค่ะแล้วก็ 127 00:04:32,180 --> 00:04:34,800 ไปซื้อฉบับก็อปปี้ที่มีคนลอกด้วยลายมือเนี่ยนะคะ 128 00:04:34,800 --> 00:04:37,500 กลับมาที่บ้านค่ะ มาเก็บไว้ในคอลเลกชันส่วนตัว 129 00:04:37,500 --> 00:04:40,480 นี่ก็เป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของห้องสมุดยุคนั้นนะคะ 130 00:04:40,480 --> 00:04:42,040 และต้องบอกว่าชนชาติกรีกเนี่ย 131 00:04:42,040 --> 00:04:45,420 ก็ได้ส่งต่ออารยธรรมการจัดเก็บเอกสารนะคะ 132 00:04:45,420 --> 00:04:48,680 ไปให้กับชนชาตินึงค่ะที่สำคัญมากๆเลยนั่นก็คือ 133 00:04:48,680 --> 00:04:50,160 ชนชาติอียิปต์นั่นเองค่ะ 134 00:04:50,160 --> 00:04:53,200 โดยส่งต่อไปให้คิงปโตเลมีที่ 1 แห่งอียิปต์นะคะ 135 00:04:53,200 --> 00:04:54,780 ซึ่งเอาจริงๆเขาก็เป็นราชวงศ์ 136 00:04:54,780 --> 00:04:56,720 ที่สืบต่อมาจากแบบกรีกอะไรอย่างนี้ 137 00:04:56,720 --> 00:04:58,440 เหมือนแบบว่ากรีกมาซิโดเนียอะไรอย่างนี้ 138 00:04:58,440 --> 00:04:59,740 เข้ามายึดอียิปต์ใช่ไหมคะ 139 00:04:59,740 --> 00:05:02,020 จำได้ใช่ไหมคะที่เป็นบรรพบุรุษของคลีโอพัตรา 140 00:05:02,020 --> 00:05:03,380 ที่วิวเคยเล่าไปนั่นแหละค่ะ 141 00:05:03,380 --> 00:05:06,140 ซึ่งถามว่าคิงปโตเลมีได้รับความรู้นี้เข้าไปแล้ว 142 00:05:06,140 --> 00:05:07,100 เขาเอาไปทำอะไรนะคะ 143 00:05:07,100 --> 00:05:09,940 ท่านก็เอาไปจัดตั้งห้องสมุดแห่งนึงขึ้นมาค่ะ 144 00:05:09,940 --> 00:05:12,400 ชื่อว่า The Great Library of Alexandria นะคะ 145 00:05:12,400 --> 00:05:14,180 หรือว่าห้องสมุดอเล็กซานเดรียนั่นเอง 146 00:05:14,180 --> 00:05:17,120 ซึ่งถือว่าเป็นห้องสมุดสาธารณะที่ใหญ่มากๆ 147 00:05:17,120 --> 00:05:18,880 มากๆ มากๆ และมากๆค่ะ 148 00:05:18,880 --> 00:05:20,900 ซึ่งห้องสมุดนี้นะคะก็ตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 149 00:05:20,900 --> 00:05:22,720 300 ปีก่อนคริสตกาลนั่นเอง 150 00:05:22,720 --> 00:05:25,080 เรียกได้ว่าก็ผ่านมาค่อนข้างจะยาวนานแล้วเนอะ 151 00:05:25,080 --> 00:05:26,640 ส่วนก่อนหน้านั้นถามว่ามีห้องสมุดไหม 152 00:05:26,640 --> 00:05:28,140 ก็มีแหละเหมือนที่วิวเล่าไปนะคะ 153 00:05:28,140 --> 00:05:30,080 ก็คือเป็นห้องสมุดส่วนตัวบ้างอะไรบ้าง 154 00:05:30,080 --> 00:05:32,800 สาธารณะบ้างเล็กๆน้อยๆของตามกรีกอะไรอย่างนี้นะ 155 00:05:32,800 --> 00:05:35,980 ซึ่งเกิดมาตั้งแต่แบบสี่ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราชแล้วค่ะ 156 00:05:35,980 --> 00:05:38,500 อย่างไรก็ตามนะคะทั้งหมดนี้วิวไม่ได้จะมาเล่าเพื่อมาบอก 157 00:05:38,500 --> 00:05:41,620 เรื่องประวัติศาสตร์การเกิดห้องสมุดอะไรต่างๆนะคะ 158 00:05:41,620 --> 00:05:43,740 แต่วิวตั้งใจแค่จะเล่าให้ทุกคนฟังว่า 159 00:05:43,740 --> 00:05:45,440 คอนเซ็ปต์ของความเป็นห้องสมุดเนี่ย 160 00:05:45,440 --> 00:05:48,800 มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนสมัยของการพิมพ์แล้วค่ะ 161 00:05:48,800 --> 00:05:51,140 โอเคมันอาจจะมีการพิมพ์บ้างแบบอนาล็อกอะนะ 162 00:05:51,140 --> 00:05:53,720 แบบว่าทำตัวปั๊มขึ้นมาแล้วก็แบบปั๊มๆๆๆ 163 00:05:53,720 --> 00:05:56,400 หรือว่าแบบแกะสลักอะไรสักอย่างขึ้นมาแล้วกดลงไปนะคะ 164 00:05:56,400 --> 00:06:00,340 แต่นี่คือก่อนยุคสมัยของทศวรรษที่ 1450 ค่ะ 165 00:06:00,340 --> 00:06:01,600 ซึ่งเป็นทศวรรษที่ 166 00:06:01,600 --> 00:06:03,820 Johannes Gutenberg นะคะประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ขึ้นมา 167 00:06:03,820 --> 00:06:05,740 แล้วทำให้การพิมพ์เนี่ยแพร่หลาย 168 00:06:05,740 --> 00:06:08,000 ทำให้พวกหนังสือเนี่ยผลิตขึ้นมาง่ายขึ้นค่ะ 169 00:06:08,000 --> 00:06:09,320 ซึ่งในยุคสมัยนั้นนะคะ 170 00:06:09,320 --> 00:06:10,740 ก่อนที่เครื่องพิมพ์จะเกิดขึ้นเนี่ย 171 00:06:10,740 --> 00:06:12,320 หนังสือเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า 172 00:06:12,320 --> 00:06:14,920 แพงมากๆ มากๆๆๆ และมากๆค่ะ 173 00:06:14,920 --> 00:06:15,720 ถามว่าทำไม 174 00:06:15,720 --> 00:06:18,100 ลองนึกสภาพว่าถ้าทุกวันนี้เราอยากได้หนังสือเล่มนึง 175 00:06:18,100 --> 00:06:19,220 แล้วเราไม่มีเครื่องพิมพ์ 176 00:06:19,220 --> 00:06:20,340 เราต้องใช้วิธี 177 00:06:20,340 --> 00:06:22,460 เดินไปที่ร้านหนังสือแล้วไปขอลอกเอาทีละตัว 178 00:06:22,460 --> 00:06:23,620 ทีละตัว ทีละตัวเนี่ย 179 00:06:23,620 --> 00:06:26,180 ก็ไม่แปลกเลยนะคะที่หนังสือจะมีราคาแพงมากๆ 180 00:06:26,180 --> 00:06:27,440 และบางครั้งที่เราบอกว่า 181 00:06:27,440 --> 00:06:30,000 ก็เกิดห้องสมุดขึ้นมีความใหญ่มากอะไรอย่างนี้ 182 00:06:30,000 --> 00:06:31,920 มันอาจจะไม่ได้มีหนังสือเยอะขนาดนั้น 183 00:06:31,920 --> 00:06:33,860 เพราะว่ามันก็ค่อนข้างจะหายากอะนะ 184 00:06:33,860 --> 00:06:35,540 ยกตัวอย่างเช่นห้องสมุด Bodleian 185 00:06:35,540 --> 00:06:37,260 ที่วิวเคยพาไปที่อ็อกซ์ฟอร์ด 186 00:06:37,260 --> 00:06:39,640 จำได้ใช่ไหมคะที่เป็นสถานที่ถ่ายทำแฮร์รี่ พอตเตอร์ 187 00:06:39,640 --> 00:06:41,080 ตอนนั้นวิวก็เคยเล่าไว้ว่า 188 00:06:41,080 --> 00:06:42,840 ห้องสมุดทั้งห้องสมุดใหญ่ๆเนี่ย 189 00:06:42,840 --> 00:06:45,760 เกิดขึ้นเพราะว่ามีลอร์ดคนนึงชื่อว่า Lord Humphrey เนี่ย 190 00:06:45,760 --> 00:06:48,380 บริจาคหนังสือแค่ 200 เล่มเท่านั้นเองค่ะ 191 00:06:48,380 --> 00:06:50,500 ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเยอะมากๆแล้วนะคะ 192 00:06:50,500 --> 00:06:53,500 และทั้งหมดนี้นะคะก็คือยุคสมัยก่อนที่เครื่องพิมพ์จะเข้ามา 193 00:06:53,500 --> 00:06:55,640 ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ 194 00:06:55,640 --> 00:06:57,040 หรือว่ายุค Renaissance นะคะ 195 00:06:57,040 --> 00:06:59,860 ซึ่งมันก็จะเข้ามาแบบเสริมกับ Renaissance อะไรต่างๆ 196 00:06:59,860 --> 00:07:02,800 ทำให้วิชาความรู้เนี่ยแพร่กระจายไปทั่วค่ะ 197 00:07:02,800 --> 00:07:05,120 อย่างไรก็ตามนะคะ ก่อนที่วิวจะนอกเรื่องไปมากกว่านี้ 198 00:07:05,120 --> 00:07:07,840 แล้วจะมีคนมาหาว่าวิวเวิ่นตอบนอกเรื่องเนี่ยนะคะ 199 00:07:07,840 --> 00:07:09,560 เรากลับมาที่เรื่องของห้องสมุด 200 00:07:09,560 --> 00:07:11,480 แล้วก็หนังสือของเราดีกว่าค่ะ 201 00:07:11,480 --> 00:07:13,220 อะ ถ้าสมมติเราพูดถึงภาษาอังกฤษ 202 00:07:13,220 --> 00:07:15,880 ทั้งหมดที่ผ่านมาเราพูดถึงอารยธรรมตะวันตกเนอะ 203 00:07:15,880 --> 00:07:18,040 ดังนั้นเมื่อเราพูดถึงภาษาอังกฤษเนี่ย 204 00:07:18,040 --> 00:07:19,640 จริงๆเขาบันทึกกันมาตั้งนานแล้วค่ะ 205 00:07:19,640 --> 00:07:22,480 ตั้งแต่ตอนที่มันเป็นต้นฉบับเขียนด้วยลายมืออะไรต่างๆ 206 00:07:22,480 --> 00:07:24,460 เขาก็เรียกมันว่า book แล้วใช่ไหมคะ 207 00:07:24,460 --> 00:07:26,620 เพราะว่าคำว่า book เนี่ยจริงๆรากศัพท์มันมาจาก 208 00:07:26,620 --> 00:07:28,520 คำคำนึงค่ะที่แปลว่าแบบ 209 00:07:28,520 --> 00:07:31,180 เหมือนเป็นชื่อไม้ที่ใช้สลักลงไปอะไรอย่างนี้ 210 00:07:31,180 --> 00:07:33,860 ในสมัยที่ยังใช้ไม้ในการจดบันทึกอยู่นะคะ 211 00:07:33,860 --> 00:07:35,620 ดังนั้นคอนเซ็ปต์ของคำว่า book เนี่ยนะคะ 212 00:07:35,620 --> 00:07:37,580 มันไม่ได้แปลว่าหนังสือตรงๆ 213 00:07:37,580 --> 00:07:39,340 แบบคำว่าหนังสือในภาษาไทยค่ะ 214 00:07:39,340 --> 00:07:41,140 เพราะว่าคำว่า book เนี่ยมันหมายถึง 215 00:07:41,140 --> 00:07:43,860 สิ่งที่จัดเก็บข้อมูลอะไรอย่างนี้ไว้ 216 00:07:43,860 --> 00:07:45,840 จะว่าด้วยการเขียน จะว่าด้วยการพิมพ์ 217 00:07:45,840 --> 00:07:47,240 ก็เป็น book เหมือนกันนะคะ 218 00:07:47,240 --> 00:07:50,200 ในขณะที่คำว่า notebook ที่เราชอบเอามาแปลว่าสมุดเนี่ย 219 00:07:50,200 --> 00:07:52,580 จริงๆเราควรจะแปลมันเต็มๆว่าสมุดจดมากกว่า 220 00:07:52,580 --> 00:07:54,940 เพราะว่าพอพูดถึง notebook เซนส์มันจะหมายถึงแบบ 221 00:07:54,940 --> 00:07:56,920 สมุดที่เอาไว้แบบว่าจดนู่นจดนี่ 222 00:07:56,920 --> 00:07:58,280 โน้ตไอเดียอะไรอย่างนี้ 223 00:07:58,280 --> 00:07:59,480 ประมาณนั้นนะคะ 224 00:07:59,480 --> 00:08:01,300 อะ ก่อนที่เราจะมึนไปมากกว่านี้ 225 00:08:01,300 --> 00:08:03,140 กลับมาที่ประเทศไทยของเราดีกว่า 226 00:08:03,140 --> 00:08:05,740 ที่คำว่าหนังสือแล้วก็คำว่าสมุดนะคะ 227 00:08:05,740 --> 00:08:07,880 ก่อนที่เราจะนำเอาคำว่าสมุด คำว่าหนังสือ 228 00:08:07,880 --> 00:08:08,760 มาใช้แบบทุกวันนี้ 229 00:08:08,760 --> 00:08:11,100 คิดว่าแต่ก่อนคำว่าสมุดกับคำว่าหนังสือ 230 00:08:11,100 --> 00:08:12,240 หมายความว่ายังไงคะ 231 00:08:12,240 --> 00:08:13,220 คำว่าสมุดเนี่ยนะคะ 232 00:08:13,220 --> 00:08:15,960 พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ 233 00:08:15,960 --> 00:08:17,920 หรือว่าหม่อมเจ้าวรรณไวทยากรเนี่ยนะคะ 234 00:08:17,920 --> 00:08:20,460 ท่านเนี่ยทรงให้ที่มาที่ไปไว้ว่า 235 00:08:20,460 --> 00:08:22,300 คำว่าสมุดคำนี้น่าจะมาจาก 236 00:08:22,300 --> 00:08:24,340 ภาษาสันสกฤตนะคะ คำว่า สัมปุฎ ค่ะ 237 00:08:24,340 --> 00:08:26,600 และเราก็ไม่ได้รับมาจากสันสกฤตโดยตรงหรอก 238 00:08:26,600 --> 00:08:28,980 แต่ว่าเรารับมาผ่านภาษาเขมรอีกทีนึงนะคะ 239 00:08:28,980 --> 00:08:30,780 ซึ่งในภาษาเขมรเนี่ยนะคะ เขาจะเรียกว่า 240 00:08:30,780 --> 00:08:32,160 สมบุตร นั่นเองค่ะ 241 00:08:32,160 --> 00:08:33,340 สมุดในสมัยก่อนเนี่ย 242 00:08:33,340 --> 00:08:35,220 มันไม่ได้หน้าตาเป็นสมุดแบบเล่มๆ 243 00:08:35,220 --> 00:08:37,680 พลิกๆๆๆๆ แบบที่เราเห็นทุกวันนี้หรอกค่ะ 244 00:08:37,680 --> 00:08:40,460 แต่ว่าสมุดในสมัยก่อนเนี่ยเขาหมายถึงสมุดไทยนะคะ 245 00:08:40,460 --> 00:08:42,440 หรือว่าสมุดข่อยนั่นเอง 246 00:08:42,440 --> 00:08:43,360 ชื่อคุ้นๆไหมคะ 247 00:08:43,360 --> 00:08:46,160 สมุดข่อยนี่ก็คือกระดาษที่ทำจากต้นข่อยนะคะ 248 00:08:46,160 --> 00:08:47,960 เอามาทำเป็นแผ่นยาวๆค่ะ 249 00:08:47,960 --> 00:08:50,880 แล้วก็เอามาพับทบไปทบมา ทบไปทบมานะคะ 250 00:08:50,880 --> 00:08:52,940 หลังจากนั้นก็สามารถเอามาจดบันทึก 251 00:08:52,940 --> 00:08:54,660 หรือว่ามาเขียนเรื่องต่างๆได้ค่ะ 252 00:08:54,660 --> 00:08:56,840 เวลาเปิดอ่านเขาก็จะใช้วิธีเปิดอย่างนี้ 253 00:08:56,840 --> 00:08:58,880 เปิดพลิกไป พลิกไป พลิกไปนะคะ 254 00:08:58,880 --> 00:09:00,520 เพราะว่าไม่ได้ใช้วิธีการเย็บเล่มค่ะ 255 00:09:00,520 --> 00:09:02,080 แต่ใช้วิธีการพับเอาเนอะ 256 00:09:02,080 --> 00:09:03,900 ซึ่งสมุดไทยเนี่ยก็ต้องบอกว่า 257 00:09:03,900 --> 00:09:05,400 มีถึงสองสีด้วยกันค่ะ 258 00:09:05,400 --> 00:09:07,200 สีแรกนะคะก็คือสีขาวนั่นเอง 259 00:09:07,200 --> 00:09:08,940 และอีกสีนึงก็คือสีดำนะคะ 260 00:09:08,940 --> 00:09:10,580 วิธีการทำของทั้งสองอย่างเนี่ย 261 00:09:10,580 --> 00:09:11,760 เหมือนกันเลยคือเหมือนกับว่า 262 00:09:11,760 --> 00:09:14,120 เอาต้นข่อยมาผ่านกระบวนการกรรมวิธี 263 00:09:14,120 --> 00:09:15,940 การต้มการทำอะไรต่างๆ 264 00:09:15,940 --> 00:09:17,260 วุ่นวายมากมายเนี่ยนะคะ 265 00:09:17,260 --> 00:09:18,480 ซึ่งขออนุญาตไม่เจาะลึก 266 00:09:18,480 --> 00:09:19,420 ถ้าใครอยากรู้เนี่ยนะ 267 00:09:19,420 --> 00:09:22,000 วิธีการมันคล้ายๆกับการทำกระดาษของญี่ปุ่น 268 00:09:22,000 --> 00:09:23,780 ซึ่งวิวเคยเล่าไว้ตอนที่ 269 00:09:23,780 --> 00:09:25,660 ไปที่โคจิแล้วนะคะ 270 00:09:25,660 --> 00:09:27,680 ดังนั้นสามารถไปดูได้ในคลิปนั้นนะ 271 00:09:27,680 --> 00:09:29,840 หลังจากที่ทำออกมาเป็นกระดาษเรียบร้อยแล้วเนี่ย 272 00:09:29,840 --> 00:09:31,400 เขาก็จะแตกต่างกันนิดนึง 273 00:09:31,400 --> 00:09:33,660 ตรงขั้นตอนการย้อมสีขั้นสุดท้ายนะคะ 274 00:09:33,660 --> 00:09:37,220 ถ้าสมมติว่าเขาใช้น้ำปูนขาวผสมกับกาวแป้งเปียกเนี่ย 275 00:09:37,220 --> 00:09:39,480 มันก็จะกลายเป็นสมุดไทยสีขาว 276 00:09:39,480 --> 00:09:41,320 ส่วนถ้าผสมกับเขม่าดิน 277 00:09:41,320 --> 00:09:43,340 หรือว่ากาบมะพร้าวเผาลงไปเนี่ย 278 00:09:43,340 --> 00:09:45,980 เขาก็จะกลายเป็นสมุดไทยสีดำนั่นเองค่ะ 279 00:09:45,980 --> 00:09:48,240 ซึ่งวิธีการจดบันทึกก็คล้ายๆกันนี่แหละ 280 00:09:48,240 --> 00:09:51,340 แต่ว่าสมุดที่สีขาวก็จะใช้พวกหมึกสีๆใส่ลงไป 281 00:09:51,340 --> 00:09:54,660 ส่วนสมุดสีดำเนี่ยก็จะใช้สีขาวเขียนลงไปนั่นเองค่ะ 282 00:09:54,660 --> 00:09:57,100 ทีนี้เราก็น่าจะเคยได้ยินกันใช่ไหม 283 00:09:57,100 --> 00:09:59,320 ชื่อแบบสมุดไทย สมุดไทย อะไรต่างๆ 284 00:09:59,320 --> 00:10:02,040 เช่นเวลาที่เราไปอ่านวรรณคดีอะไรต่างๆ 285 00:10:02,040 --> 00:10:04,020 เราก็จะเห็นว่า อะ จบเล่มสมุดไทยที่หนึ่ง 286 00:10:04,020 --> 00:10:05,200 จบเล่มสมุดไทยที่สอง 287 00:10:05,200 --> 00:10:07,040 เพราะว่าในสมัยต่อมาเนี่ยนะคะ 288 00:10:07,040 --> 00:10:09,500 มันก็มีการนำเข้ากระดาษแบบฝรั่งเข้ามาค่ะ 289 00:10:09,500 --> 00:10:12,060 และเราก็จะเรียกกระดาษแบบใหม่นี้ว่าสมุดฝรั่ง 290 00:10:12,060 --> 00:10:13,600 ดังนั้นสมุดแบบเก่าก็เลย 291 00:10:13,600 --> 00:10:15,140 กลายเป็นสมุดไทยไปค่ะ 292 00:10:15,140 --> 00:10:16,620 ส่วนสมุดฝรั่งเนี่ยต่อมาก็ 293 00:10:16,620 --> 00:10:19,100 กลายมาเป็นสมุดแบบที่เราใช้ทุกวันนี้นี่แหละ 294 00:10:19,100 --> 00:10:21,060 ดังนั้นถ้าถามว่าสมุดในความเข้าใจ 295 00:10:21,060 --> 00:10:22,940 ของคนไทยสมัยก่อนเนี่ยคือยังไง 296 00:10:22,940 --> 00:10:24,780 ก็ต้องบอกว่ามันคือกระดาษเป็นเล่มๆ 297 00:10:24,780 --> 00:10:26,240 ที่เอาไว้ใช้จดบันทึก 298 00:10:26,240 --> 00:10:29,120 หรือเอาไว้ใช้เขียนเรื่องราวต่างๆนั่นเองค่ะ 299 00:10:29,120 --> 00:10:30,920 ก็จะมีความต่างจาก notebook นิดนึงนะ 300 00:10:30,920 --> 00:10:33,520 คือไม่ว่าจะเป็นการก็อปปี้มาหรืออะไรก็ตาม 301 00:10:33,520 --> 00:10:35,980 ถ้ามันมีการเขียนลงไปในหน้ากระดาษเปล่าๆเนี่ย 302 00:10:35,980 --> 00:10:38,140 เราจะเรียกสิ่งนั้นว่าสมุดหมดเลยค่ะ 303 00:10:38,140 --> 00:10:40,600 ในขณะที่คำว่าหนังสือของไทยเนี่ยนะคะ 304 00:10:40,600 --> 00:10:42,240 ต้องบอกว่าถ้าไปเปิดพจนานุกรม 305 00:10:42,240 --> 00:10:44,160 ฉบับราชบัณฑิตยสถานตอนนี้ 306 00:10:44,160 --> 00:10:46,100 จะเห็นว่าความหมายของหนังสือเนี่ยมีถึง 307 00:10:46,100 --> 00:10:47,360 สองความหมายด้วยกันค่ะ 308 00:10:47,360 --> 00:10:48,160 เห็นแบบนี้ไหม 309 00:10:48,160 --> 00:10:50,940 ซึ่งปัจจุบันนี้เรามักจะใช้ความหมายที่สองเป็นหลักนะคะ 310 00:10:50,940 --> 00:10:53,080 ก็คือหมายถึงพวกแบบปึกกระดาษเล่มๆ 311 00:10:53,080 --> 00:10:55,120 ที่มันมีเนื้อหาพิมพ์อยู่ข้างใน ถูกไหม 312 00:10:55,120 --> 00:10:57,140 แต่จริงๆแล้วนะคะในสมัยโบราณเนี่ย 313 00:10:57,140 --> 00:10:58,240 ความหมายของหนังสือ 314 00:10:58,240 --> 00:11:00,200 ค่อนข้างจะเป็นความหมายแรกมากกว่าค่ะ 315 00:11:00,200 --> 00:11:01,760 คือหนังสือเนี่ยหมายถึง 316 00:11:01,760 --> 00:11:03,820 เครื่องหมายที่ใช้ขีดเขียนลงไปนะคะ 317 00:11:03,820 --> 00:11:05,080 เพื่อสื่อความหมายค่ะ 318 00:11:05,080 --> 00:11:08,300 นั่นก็คือหนังสือในสมัยก่อนเนี่ยก็หมายถึงตัวหนังสือนั่นเองค่ะ 319 00:11:08,300 --> 00:11:11,760 ดังนั้นเราจะเห็นร่องรอยของสิ่งนี้ได้จากคำพูดบางคำนะ 320 00:11:11,760 --> 00:11:15,060 เช่นสมมติว่ามีใครมาพูดอะไรกับเราแบบลอยๆซักอย่างนึง 321 00:11:15,060 --> 00:11:17,120 แล้วเราก็บอกว่าไม่ๆๆ ฉันไม่อยากฟังลอยๆ 322 00:11:17,120 --> 00:11:18,660 ไปเขียนเป็นหนังสือมาก่อน 323 00:11:18,660 --> 00:11:20,540 อะ ไปเขียนเป็นหนังสือมาก่อน 324 00:11:20,540 --> 00:11:23,020 ไม่ได้แปลว่าแค่คำพูดไม่กี่คำของเขาเนี่ย 325 00:11:23,020 --> 00:11:24,240 จะต้องไปเขียนเป็นเล่มนะคะ 326 00:11:24,240 --> 00:11:26,200 แต่หมายความว่าจดลงมาก่อน 327 00:11:26,200 --> 00:11:28,000 เขียนให้มันเป็นลายลักษณ์อักษร 328 00:11:28,000 --> 00:11:30,420 หรือว่าเวลาเราพูดถึงหนังสือราชการ 329 00:11:30,420 --> 00:11:33,280 ก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นแบบหนังสือเล่มๆ เย็บเล่มถูกไหม 330 00:11:33,280 --> 00:11:34,920 กระดาษแผ่นเดียวที่มีตัวอักษรเนี่ย 331 00:11:34,920 --> 00:11:36,820 ก็นับเป็นหนังสือราชการเหมือนกัน 332 00:11:36,820 --> 00:11:39,320 เพราะว่าคอนเซ็ปต์ของคำว่าหนังสือคือ 333 00:11:39,320 --> 00:11:41,400 ลายลักษณ์อักษรนั่นเองค่ะ 334 00:11:41,400 --> 00:11:44,460 ซึ่งต่อมาเนี่ยนะคะโดยเฉพาะช่วงยุคของรัชกาลที่ 4 335 00:11:44,460 --> 00:11:47,680 ก็จะเห็นว่ามันมีการพิมพ์เข้ามาในประเทศไทยถูกไหม 336 00:11:47,680 --> 00:11:50,560 ดังนั้นเราจะเห็นสิ่งนี้จากคำว่าหนังสือพิมพ์ 337 00:11:50,560 --> 00:11:53,520 ก็คือการพิมพ์ตัวหนังสือลงไปบนกระดาษนะคะ 338 00:11:53,520 --> 00:11:56,140 ซึ่งในสมัยต่อมาเนี่ยมันก็เหมือนกลืนกันไปเรื่อยๆ 339 00:11:56,140 --> 00:11:58,200 ความหมายของคำว่าหนังสือเนี่ยก็เพี้ยนไปเรื่อยๆ 340 00:11:58,200 --> 00:12:00,180 ก็เลยกลายเป็นว่าไอ้สิ่งที่พิมพ์ลงไป 341 00:12:00,180 --> 00:12:01,780 แล้วพิมพ์ออกมาเสร็จแล้วเป็นเล่มเนี่ย 342 00:12:01,780 --> 00:12:03,960 ก็เลยเรียกว่าหนังสือในที่สุดค่ะ 343 00:12:03,960 --> 00:12:05,980 จะเห็นว่าความหมายของหนังสือสมัยก่อน 344 00:12:05,980 --> 00:12:07,640 มันก็เป็นประมาณนี้นะคะ 345 00:12:07,640 --> 00:12:09,960 ซึ่งตอนนี้เราก็รู้ความหมายของคำว่าสมุด 346 00:12:09,960 --> 00:12:11,780 แล้วก็คำว่าหนังสือเรียบร้อยแล้วใช่ไหม 347 00:12:11,780 --> 00:12:14,440 ทีนี้เรากลับมาที่เรื่องห้องสมุดของเราดีกว่าค่ะ 348 00:12:14,440 --> 00:12:17,420 จะเห็นว่าในไทยเนี่ยก็คล้ายๆกับในชาติตะวันตกเลย 349 00:12:17,420 --> 00:12:19,740 คือในสมัยก่อนที่เครื่องพิมพ์จะเข้ามาเนี่ยนะคะ 350 00:12:19,740 --> 00:12:22,200 เวลาที่เราต้องการจะได้ 351 00:12:22,200 --> 00:12:24,180 เนื้อหาอะไรบางอย่างมาไว้กับตัวเองเนี่ย 352 00:12:24,180 --> 00:12:26,700 มันก็จะต้องมีการคัดลอกเกิดขึ้นถูกต้องไหม 353 00:12:26,700 --> 00:12:28,740 แล้วในไทยเราก็มีงานเขียนมา 354 00:12:28,740 --> 00:12:29,900 ค่อนข้างจะยาวนานแล้ว 355 00:12:29,900 --> 00:12:31,760 ก่อนที่เครื่องพิมพ์จะเข้ามาใช่ไหมคะ 356 00:12:31,760 --> 00:12:33,760 ซึ่งงานเขียนสมัยก่อนเนี่ยส่วนมากก็จะเป็น 357 00:12:33,760 --> 00:12:35,100 พวกคัมภีร์พระไตรปิฎก 358 00:12:35,100 --> 00:12:37,640 เป็นวรรณกรรม เป็นตำรายา ตำราโหร 359 00:12:37,640 --> 00:12:38,820 อะไรพวกอย่างนี้ใช่ไหม 360 00:12:38,820 --> 00:12:41,360 และแน่นอนว่ามันก็จะต้องมีสถานที่ที่ใช้ 361 00:12:41,360 --> 00:12:43,400 จัดเก็บงานเขียนพวกนี้เข้าด้วยกันค่ะ 362 00:12:43,400 --> 00:12:45,100 และด้วยความที่งานเขียนพวกนี้ 363 00:12:45,100 --> 00:12:47,240 เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะมีราคาแพงมากๆ 364 00:12:47,240 --> 00:12:50,200 เพราะว่าใช้แรงงานคนในการเขียนหนักมากๆเนี่ย 365 00:12:50,200 --> 00:12:51,940 ดังนั้นคนที่จะเก็บพวกนี้ได้เนี่ย 366 00:12:51,940 --> 00:12:53,200 หนึ่ง ต้องมีเงินนะคะ 367 00:12:53,200 --> 00:12:55,680 และสอง ต้องเป็นคนที่อ่านหนังสือออกค่ะ 368 00:12:55,680 --> 00:12:57,760 คือชาวบ้านชาวนาที่อ่านหนังสือไม่ออก 369 00:12:57,760 --> 00:13:00,540 จะเอาหนังสือไปเก็บไว้ทำไม ก็ไม่มีประโยชน์ถูกต้องไหม 370 00:13:00,540 --> 00:13:03,560 ดังนั้นนะคะ สถานที่ที่มีโอกาสได้เก็บงานเขียนเหล่านี้ 371 00:13:03,560 --> 00:13:06,260 ส่วนมากก็เลยจะเป็นวัดกับวังนั่นเองค่ะ 372 00:13:06,260 --> 00:13:09,380 ซึ่งให้เรานึกภาพไปที่บ้านเรือนไทยสมัยก่อนนะคะ 373 00:13:09,380 --> 00:13:10,860 เราเคยดูหนังกันมาหลายเรื่อง 374 00:13:10,860 --> 00:13:13,680 เราจะเห็นว่าลักษณะของบ้านสมัยก่อนของประเทศไทยเนี่ย 375 00:13:13,680 --> 00:13:15,920 เราไม่ได้มีลักษณะของการกั้นห้อง ถูกไหม 376 00:13:15,920 --> 00:13:17,940 เราไม่ได้มีแบบเรือนหนึ่งหลังแล้วกั้นห้อง 377 00:13:17,940 --> 00:13:18,940 กั้นห้องอะไรต่างๆ 378 00:13:18,940 --> 00:13:21,880 แต่เราใช้วิธีว่าเราสร้างแบบบ้านเรือนไทยขึ้นมาหนึ่งหลัง 379 00:13:21,880 --> 00:13:23,780 แล้วก็สร้างอีกหนึ่งหลัง หนึ่งหลัง หนึ่งหลัง 380 00:13:23,780 --> 00:13:24,960 หนึ่งหลังคือหนึ่งห้อง 381 00:13:24,960 --> 00:13:26,880 แล้วก็ใช้เหมือนกับว่าเป็นระเบียงบ้านอะ 382 00:13:26,880 --> 00:13:29,840 ต่อกัน ต่อๆๆๆ ให้มันเป็นหมู่อาคาร ถูกไหม 383 00:13:29,840 --> 00:13:32,140 ดังนั้นเวลาเราไปดูพวกบ้านเรือนไทยที่เป็นบ้านใหญ่ๆ 384 00:13:32,140 --> 00:13:34,440 มันจะค่อนข้างเป็นหมู่อาคาร ถูกต้องไหมคะ 385 00:13:34,440 --> 00:13:36,060 แล้วหนึ่งหลังที่เป็นหนึ่งห้องเนี่ย 386 00:13:36,060 --> 00:13:37,380 เขาก็จะเรียกว่าหอค่ะ 387 00:13:37,380 --> 00:13:40,140 ซึ่งเราก็จะเห็นจากคำศัพท์สมัยก่อนที่มีแบบว่า 388 00:13:40,140 --> 00:13:42,360 ห้องไหนเอาไว้นอนก็เรียกว่าหอนอน 389 00:13:42,360 --> 00:13:44,800 ห้องไหนเอาไว้ไหว้พระ เราก็จะเรียกว่าหอพระ 390 00:13:44,800 --> 00:13:45,380 ถูกต้องไหม 391 00:13:45,380 --> 00:13:47,020 สถานที่ที่เก็บสมุด 392 00:13:47,020 --> 00:13:50,000 ในสมัยที่เราต้องไปลอกอะไรต่างๆลงมาในสมุด 393 00:13:50,000 --> 00:13:51,720 เอามาเก็บรวบรวมกันไว้มากๆ 394 00:13:51,720 --> 00:13:54,240 ก็เลยเรียกว่าหอสมุดนั่นเองค่ะ 395 00:13:54,240 --> 00:13:56,060 หรือว่าในบางกรณีที่อยู่ในวัด 396 00:13:56,060 --> 00:13:58,260 หรือว่าเป็นสถานที่ที่เอาไว้เก็บพวก 397 00:13:58,260 --> 00:14:00,480 งานเขียนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาก็จะเรียกว่า 398 00:14:00,480 --> 00:14:01,680 หอพระสมุดนะคะ 399 00:14:01,680 --> 00:14:03,480 ทีนี้ในระยะเวลาต่อมาค่ะ 400 00:14:03,480 --> 00:14:06,500 แน่นอนว่ามันก็มีพัฒนาการต่างๆเข้ามา 401 00:14:06,500 --> 00:14:08,500 ความเป็นตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาในไทย 402 00:14:08,500 --> 00:14:10,980 มีสองอย่างนะคะที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้ 403 00:14:10,980 --> 00:14:12,160 เหตุการณ์แรกก็คือ 404 00:14:12,160 --> 00:14:13,980 การพิมพ์เข้ามาในประเทศไทยค่ะ 405 00:14:13,980 --> 00:14:16,800 ดังนั้นจากเดิมที่เวลาต้องการเอกสารอะไรต่างๆ 406 00:14:16,800 --> 00:14:18,920 ต้องใช้การลอกด้วยมือลงในสมุดเนี่ย 407 00:14:18,920 --> 00:14:21,460 ก็กลายเป็นหนังสือเล่มๆที่พิมพ์ขึ้นใช่ไหมคะ 408 00:14:21,460 --> 00:14:23,440 และแน่นอนว่าหนังสือที่พิมพ์ขึ้นมาเป็นเล่มๆ 409 00:14:23,440 --> 00:14:24,960 จะไปเก็บที่อื่นทำไมในเมื่อ 410 00:14:24,960 --> 00:14:26,820 มันก็มีสถานที่เก็บเอกสารอยู่แล้ว 411 00:14:26,820 --> 00:14:28,520 ดังนั้นหนังสือเล่มๆเนี่ยก็เลย 412 00:14:28,520 --> 00:14:31,720 ได้รับการเอามาเก็บเข้าในหอสมุดเช่นเดียวกันค่ะ 413 00:14:31,720 --> 00:14:33,840 และอีกเรื่องนึงที่เกิดขึ้นนะคะก็คือ 414 00:14:33,840 --> 00:14:36,020 บ้านของไทยมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปค่ะ 415 00:14:36,020 --> 00:14:38,540 จากเดิมที่หนึ่งหอหนึ่งห้อง ถูกต้องไหม 416 00:14:38,540 --> 00:14:41,780 หลังๆก็เริ่มมีการสร้างตึกฝรั่งบ้าง ตึกแบบจีนบ้าง 417 00:14:41,780 --> 00:14:43,700 แล้วก็มีการกั้นห้องเกิดขึ้นค่ะ 418 00:14:43,700 --> 00:14:44,800 ดังนั้นบางทีเนี่ยนะคะ 419 00:14:44,800 --> 00:14:46,800 การเก็บพวกหนังสือหรือสมุดเนี่ย 420 00:14:46,800 --> 00:14:48,920 ก็ไม่ได้เก็บในหอทั้งหอเหมือนเดิมแล้ว 421 00:14:48,920 --> 00:14:50,620 แต่เก็บแค่ในห้องห้องเดียวค่ะ 422 00:14:50,620 --> 00:14:52,520 จากที่เรียกว่าหอสมุดก็เลย 423 00:14:52,520 --> 00:14:54,560 กลายเป็นห้องสมุดนั่นเองนะคะ 424 00:14:54,580 --> 00:14:56,580 และนี่นะคะก็คือสาเหตุที่ว่า 425 00:14:56,580 --> 00:14:58,740 ทำไมในห้องสมุดเนี่ยถึงมีแต่หนังสือ 426 00:14:58,740 --> 00:15:02,160 ไม่ได้มีสมุดเต็มไปหมดอย่างที่ชื่อมันบอกไว้ค่ะ 427 00:15:02,160 --> 00:15:04,280 เพราะว่าในสมัยก่อนเนี่ยเขาไว้ใช้เก็บสมุด 428 00:15:04,280 --> 00:15:06,220 ที่เป็นการคัดลอกข้อมูลมาจริงๆ 429 00:15:06,220 --> 00:15:08,740 ก่อนที่หนังสือจะค่อยๆเข้ามาแย่งที่ 430 00:15:08,740 --> 00:15:10,440 แย่งที่ แย่งที่ แย่งที่ แล้วก็ 431 00:15:10,440 --> 00:15:13,340 ไล่สมุดออกไปจากห้องสมุดในที่สุดค่ะ 432 00:15:13,340 --> 00:15:14,520 ซึ่งในปัจจุบันเนี่ยนะคะ 433 00:15:14,520 --> 00:15:16,280 ถ้าเราไปดูความหมายของห้องสมุด 434 00:15:16,280 --> 00:15:18,780 ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานเนี่ย 435 00:15:18,780 --> 00:15:20,720 ก็จะเห็นว่าจริงๆแล้วห้องสมุดเนี่ย 436 00:15:20,720 --> 00:15:22,720 ไม่ได้มีไว้เก็บหนังสือแต่อย่างเดียวนะคะ 437 00:15:22,720 --> 00:15:24,940 แต่ว่าความหมายนี่เขาให้ไว้แบบนี้ค่ะ 438 00:15:24,940 --> 00:15:26,740 จะเห็นว่ามันสามารถเก็บแบบ 439 00:15:26,740 --> 00:15:28,840 ต้นฉบับลายมือเขียนซึ่งเป็นสมุด 440 00:15:28,840 --> 00:15:29,920 ก็ยังได้เหมือนกัน 441 00:15:29,920 --> 00:15:31,500 เก็บไมโครฟิล์มก็ได้เหมือนกัน 442 00:15:31,500 --> 00:15:32,740 หรือในสมัยปัจจุบันมากๆ 443 00:15:32,740 --> 00:15:34,600 เราก็จะเห็นว่าห้องสมุดหลายๆแห่งเนี่ย 444 00:15:34,600 --> 00:15:35,880 มีการพัฒนาออกไปนะคะ 445 00:15:35,880 --> 00:15:37,480 ก็มีการเก็บอะไรที่ 446 00:15:37,480 --> 00:15:39,840 ไม่ใช่ทั้งสมุดและหนังสือเพิ่มขึ้น เช่น 447 00:15:39,840 --> 00:15:42,880 ห้องสมุดดิจิตอลที่มีการเก็บไฟล์ดิจิตอลต่างๆ 448 00:15:42,880 --> 00:15:45,640 หรือสมัยเก่าไปหน่อยก็จะมีการเก็บเทป 449 00:15:45,640 --> 00:15:47,400 เก็บวิดีโออะไรอย่างนี้ 450 00:15:47,400 --> 00:15:49,220 เป็นสื่อโสตทัศน์ต่างๆ 451 00:15:49,220 --> 00:15:51,580 ให้เราสามารถเข้าไปดูได้เช่นเดียวกันค่ะ 452 00:15:51,580 --> 00:15:54,080 ดังนั้นเอาจริงๆแล้วคอนเซ็ปต์ของห้องสมุดเนี่ย 453 00:15:54,080 --> 00:15:55,400 เราก็ไม่ต้องไปสนใจหรอกค่ะ 454 00:15:55,400 --> 00:15:57,980 ว่าในห้องสมุดจะเก็บสมุดหรือเก็บหนังสือมากกว่ากัน 455 00:15:57,980 --> 00:16:00,000 เพราะจริงๆแล้วคอนเซ็ปต์ของห้องสมุดก็คือ 456 00:16:00,000 --> 00:16:02,280 การเก็บความรู้ต่างๆไว้ในห้องสมุด 457 00:16:02,280 --> 00:16:05,820 เพื่อที่จะให้คนเข้าไปค้นหาข้อมูลความรู้นั่นเองค่ะ 458 00:16:05,820 --> 00:16:09,080 และนี่ก็คือคำตอบที่วิวหามาให้ทุกคนในวันนี้ค่ะ 459 00:16:09,080 --> 00:16:11,140 เป็นยังไงบ้างคะ ถ้าใครชื่นชอบคลิปนี้อย่าลืม 460 00:16:11,140 --> 00:16:12,620 กดไลก์เป็นกำลังใจให้วิวแล้วก็ 461 00:16:12,620 --> 00:16:14,740 กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆมาดูด้วยกันนะคะ 462 00:16:14,740 --> 00:16:17,280 ส่วนใครที่มีคำถามอยากถามวิวเนี่ยก็อย่าลืม 463 00:16:17,280 --> 00:16:19,220 ติดแฮชแท็กวิวเอ๋ยบอกข้าเถิด แล้วก็ 464 00:16:19,220 --> 00:16:20,720 ส่งคำถามเข้ามาได้เลยค่ะ 465 00:16:20,720 --> 00:16:23,580 คุณอาจจะได้รับคำตอบมาเป็นวิดีโอแบบนี้นะคะ 466 00:16:23,580 --> 00:16:25,400 สำหรับวันนี้ลาไปก่อนแล้วกันค่ะทุกคน 467 00:16:25,400 --> 00:16:26,620 บ๊ายบาย 468 00:16:26,620 --> 00:16:27,220 สวัสดีค่ะ 469 00:16:27,220 --> 00:16:28,980 เป็นไงกันบ้างคะได้คำตอบกันไปไหม 470 00:16:28,980 --> 00:16:30,320 สำหรับเรื่องห้องสมุดกับหนังสือ 471 00:16:30,320 --> 00:16:32,980 ก็ตอบเวิ่นเว้อนอกเรื่องไปไกลเช่นเดิมนะคะ 472 00:16:32,980 --> 00:16:35,060 อย่าเพิ่งรำคาญที่วิวนอกเรื่องนะคะทุกคน 473 00:16:35,060 --> 00:16:37,700 แต่ว่ารู้สึกว่ามันเป็นเกร็ดข้อมูลความรู้สนุกๆ 474 00:16:37,700 --> 00:16:39,800 ที่อยากเอามาเล่าแล้วก็ไม่อยากตัดทิ้งค่ะ 475 00:16:39,800 --> 00:16:41,700 สำหรับวันนี้ลาไปก่อนแล้วกันนะคะทุกคน 476 00:16:41,700 --> 00:16:42,460 บ๊ายบาย 477 00:16:42,460 --> 00:16:43,360 สวัสดีค่ะ