ตอนที่ผมอายุหกขวบ ผมได้รับของขวัญ ครูชั้นประถมศึกษาที่หนึ่งผม มีความคิดที่ยอดเยี่ยม เธออยากให้พวกเรา มีประสบการณ์กับการรับของขวัญ อีกทั้งได้เรียนรู้เกี่ยวกับ คุณงามความดีของการชื่นชมกัน ดังนั้นเธอจึงให้พวกเราทุกคน มาที่หน้าห้องเรียน และเธอซื้อของขวัญให้พวกเราทุกคน แล้วกองมันไว้ที่มุมห้อง และเธอพูดว่า "เรามายืนตรงนี้แล้วชื่นชมกันดีไหม ถ้านักเรียนได้ยินชื่อตัวเอง ให้ไปเอาของขวัญแล้วนั่งลง" เป็นความคิดที่ดีเยี่ยม ใช่ไหมครับ แล้วจะมีอะไรผิดพลาดไปได้? (เสียงหัวเราะ) เรามีอยู่กัน 40 คน แล้วทุกครั้งที่ผมได้ยิน ชื่อใครถูกเรียก ผมจะเชียร์อย่างสุดใจ แล้วก็เหลืออยู่ 20 คน และเหลืออยู่ 10 คน และเหลืออยู่ 5 และเหลืออยู่ 3 และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น และคำชมเชยก็หยุดไป ในตอนนั้นเอง ผมก็ร้องไห้ แล้วคุณครูก็ตกตื่นใจมาก เธอพูดว่า "เฮ้ ใครสักคนก็ได้ พูดอะไรดีๆเกี่ยวกับนักเรียนพวกนี้หน่อยซิ" (เสียงหัวเราะ) "ไม่มีใครเลยหรอ โอเค เธอไปเอาของขวัญแล้วนั่งลง และทำตัวดีๆปีหน้า อาจจะมีใครพูดอะไรดีๆเกี่ยวกับเธอ" (เสียงหัวเราะ) ที่ผมอธิบายให้คุณอยู่ตอนนี้ คุณคงจะรู้ว่าผมจำมันได้เป็นอย่างดี (เสียงหัวเราะ) แต่ผมไม่รู้ว่าใครรู้สึกแย่ที่สุดในวันนั้น ผมหรือคุณครู เธอควรนึกได้ว่า เธอเปลี่ยนกิจกรรมสร้างทีม เป็นการล้อเลียนมหาชน สำหรับเด็ก 6 ขวบ 3 คน แบบไม่มีอารมณ์ขัน เมื่อคุณเห็นคนอื่น โดนล้อเลียนในทีวี มันตลกดี มันไม่มีอะไรตลกเลยในวันนั้น นั้นคือส่วนหนึ่งของผม และผมจะหลีกเลี่ยงมันจนตาย เพื่อไม่ให้อยู่ในสถานการณ์แบบนั้นอีก ที่ถูกปฏิเสธในที่สาธารณะอีก นั้นคือแบบหนึ่ง ก้าวกระโดดไปแปดปี บิล เกตส์มาที่บ้านเกิดผม ที่ปักกิ่ง ประเทศจีน มากล่าวสุนทรพจน์ และผมได้ฟังข้อความของเขา ผมตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ ผมคิดว่า ว้าว! ผมรู้แล้วว่าตอนนี้ผมต้องทำอะไร ในคืนนั้น ผมเขียนจดหมายให้ครอบครัวผม บอกพวกเขาว่า "ภายในอายุ 25 ผมจะสร้างบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก และบริษัทนั้นจะซื้อไมโครซอฟท์" (เสียงหัวเราะ) ผมดื่มด่ำกับความคิดที่จะครองโลก การครอบงำไงครับ และผมไม่ได้โม้นะ ผมเขียนจดหมายนั้นจริงๆ นี่ไงละ (เสียงหัวเราะ) คุณไม่ต้องอ่านทั้งหมด (เสียงหัวเราะ) ลายมือก็แย่ด้วย แต่ผมมีเน้นคำหลักๆเอาไว้ คุณน่าจะเห็นภาพออก (เสียงหัวเราะ) และ... นั้นเป็นอีกแบบหนึ่งของผม คนหนึ่งที่อยากครองโลก และสองปีผ่านมา ผมได้โอกาสมาประเทศสหรัฐอเมริกา ผมคว้ามันไว้เลย เพราะว่านั้นคือที่ที่ บิล เกตส์อาศัยอยู่ (เสียงหัวเราะ) ผมนึกว่านั้นคือการเริ่มต้น ในการเป็นผู้ประกอบการ และผ่านมา 14 ปี ผมอายุ 30 ไม่เลย ผมไม่ได้สร้างบริษัทนั้นขึ้นมา ผมไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ จริงๆ ผมเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด ที่บริษัทใน ฟอร์จูน 500 บริษัทหนึ่ง และผมรู้สึกติด ผมติดอยู่กับที่ ทำไมถึงเป็นแบบนี้? เด็กผู้ชายอายุ 14 ที่เขียน จดหมายนั้นอยู่ที่ไหน? มันไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่ได้ลอง มันเป็นเพราะว่าทุกครั้งผมจะมีความคิดใหม่ ทุกๆครั้ง ผมอยากลองสิ่งใหม่ๆ แม้แต่ที่ทำงาน ผมอยากนำเสนอแผนงาน ผมอยากพูดต่อหน้าคนในกลุ่ม ผมรู้สึกว่าต้องสู้รบอยู่เสมอ ระหว่างตอนอายุ 14 กับ ตอนอายุ 6 ขวบ คนหนึ่งอยากที่จะครองโลก ทำสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลง และอีกคนหนึ่งกลัวถูกปฎิเสธ และทุกๆ ครั้ง เด็ก 6 ขวบคนนั้นชนะ และความกลัวนี้ก็ยังอยู่ หลังจากที่ผมเริ่มบริษัทตัวเอง ผมหมายความว่า ผมเริ่มบริษัทตัวเองตอนอายุ 30 และถ้าคุณอยากเป็น บิล เกตส์ คุณต้องเริ่มมันไม่ช้าก็เร็วนี้ ใช่ไหม? ตอนที่ผมเป็นผู้ประกอบการ ผมได้รับโอกาสลงทุน แล้วผมก็ถูกปฎิเสธ การถูกปฎิเสธครั้งนั้นทำให้ผมเสียใจ มันทำให้ผมเสียใจมาก จนผมอยากยอมแพ้ทันที แต่แล้วผมคิดว่า บิล เกตส์จะยอมแพ้หลังจาก ที่ถูกปฎิเสธในการลงทุนไหม จะมีผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ คนไหนยอมแพ้อย่างนี้บ้าง? ไม่มีทาง และนี้คือตอนที่ผมนึกขึ้นได้ โอเค ผมจะสร้างบริษัทที่ดีกว่านี้ ผมจะสร้างทีมที่ดีกว่า และผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่านี้ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่แน่นอน ผมต้องเป็นผู้นำที่ดีกว่านี้ ผมต้องเป็นคนที่ดีกว่านี้ ผมไม่สามารถปล่อยให้เด็กหกขวบคนนั้น มากำหนดชีวิตผมอีกต่อไป ผมต้องนำเขากลับไปสถานที่ของเขา และในตอนนั้นผม ออนไลน์เพื่อหาความช่วยเหลือ กูเกิลคือเพื่อนผม (เสียงหัวเราะ) ผมหา "ผมจะเอาชนะความกลัว จากการถูกปฎิเสธได้ยังไง?" ผมเจอแต่พวก บทความทางจิตวิทยา เกี่ยวกับว่าความกลัวและ ความเจ็บปวดนั้นมาจากไหน และผมก็เจอพวก "แถ่นแท้น!" บทความให้กำลังใจ บอกว่า "อย่าไปเอามาเป็นเรื่องส่วนตัว แค่ต้องเอาชนะมันให้ได้" มีใครไม่รู้บ้างล่ะ (เสียงหัวเราะ) แล้วทำไมผมยังกลัวอยู่? แต่บังเอิญโชคดีผมเจอเว็บไซต์นี้ มันเรียกว่า rejectiontherapy.com (เสียงหัวเราะ) "Rejection Therapy" คือเกมส์ สร้างขึ้นมาโดยผู้ประกอบการคนแคนาดา เขาชื่อว่า เจสัน คัมลี่ มันก็คือ ใน 30 วันให้คุณออกไป แล้วไปหาการปฎิเสธ และทุกๆวันต้องโดนปฎิเสธบางอย่าง และตอนสุดท้าย คุณจะไร้ความรู้สึกเจ็บปวดนั้น ผมชอบความคิดนั้น (เสียงหัวเราะ) ผมบอกว่า "คุณรู้อะไรไหม ผมจะทำตามนี้ล่ะ และผมจะทำให้ตัวเองรู้สึก โดนปฎิเสธ 100 วัน" ผมคิดการปฎิเสธของตัวเองขึ้นมา ผมทำวีดีโอบล็อกออกจากมัน และนี่คือสิ่งที่ผมทำ นี่คือหน้าตาบล็อกของผม วันที่หนึ่ง (เสียงหัวเราะ) ยืม 100 ดอลลาร์จากคนแปลกหน้า และนี้คือที่ที่ผมไปจากที่ผมทำงาน ผมลงมาข้างล่าง และผมเห็นผู้ชายตัวใหญ่ๆนี้ นั้งอยู่ข้างหลังโต๊ะ เขาดูเหมือนจะเป็นร.ป.ภ. และผมก็เข้าไปหาเขา ผมกำลังเดินอยู่ มันคือการเดินที่ยาวนานที่สุดในชีวิตผม ผมกลัวมากๆ จนผมข้างหลังคอตั้งขึ้นมา ผมเหงื่อแตกและหัวใจผมเต้นแรงมาก พอผมถึงตรงนั้นผมบอกเขาว่า "คุณครับ ผมขอยืม 100 ดอลลาร์ได้ไหม?" (เสียงหัวเราะ) เขามองขึ้นมา แล้วบอกว่า "ไม่" "ทำไม?" และผมแค่บอกไปว่า "ไม่หรอ? ผมขอโทษครับ" และผมก็หันกลับไป และวิ่งหนีไปเลย (เสียงหัวเราะ) ผมรู้สึกขายหน้ามาก แต่เพราะว่าผม ถ่ายวีดีโอตัวเองไว้ และในคืนนั้น ผมดูตัวเอง ตอนที่กำลังถูกปฎิเสธอยู่ ผมเห็นว่าตัวเองกลัวขนาดไหน ผมดูเหมือนเด็กที่เล่นใน เรื่อง "ซิกซ์เซ้นส์...สัมผัสสยอง" ผมเห็นคนตาย (เสียงหัวเราะ) แต่ผมดูผู้ชายคนนั้น เขาไม่ได้ดูโหดเหี้ยมอะไรมากเลย เขาเป็นคนจ้ำม่ำและน่ารักดี และเขายังถามผมว่า "ทำไม" ที่จริงแล้ว เขาเชิญชวน ให้ผมอธิบายตัวเองด้วย และผมสามารถบอกไปได้หลายอย่าง ผมสามารถอธิบายไป ผมสามารถต่อรองไป ผมไม่ได้ทำอะไรเช่นนั้นเลย ผมแค่วิ่งหนีไป ผมรู้สึกว่า นี้คือพิภพเล็กๆของผม ทุกครั้งที่ผมรู้สึกถูกปฎิเสธแม้แต่นิดเดียว ผมจะวิ่งหนีมันอย่างเร็วที่สุด และคุณรู้อะไรไหม? วันรุ่งขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะไม่วิ่งหนีอีกต่อไป ผมจะอยู่สู้กับมัน วันที่สอง: ข้อเติมแฮมเบอร์เกอร์ (เสียงหัวเราะ) มันคือตอนที่ผมไป ร้านแฮมเบอร์เกอร์แห่งหนึ่ง ผมทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ไปที่แคชเชียร์และพูดว่า "ผมขอเติมแฮมเบอร์เกอร์ได้ไหมครับ" (เสียงหัวเราะ) เขางงมากและตอบว่า "อะไรคือเติมแฮมเบอร์เกอร์" (เสียงหัวเราะ) ผมบอกว่า "ก็เหมือนเติมเครื่องดื่ม แต่เป็นแฮมเบอร์เกอร์" เขาตอบว่า "ขอโทษด้วย เราไม่บริการเติมแฮมเบอร์เกอร์" (เสียงหัวเราะ) และนี้คือการปฎิเสธที่เกิดขึ้น ผมสามารถวิ่งหนีมันไปได้ แต่ผมอยู่ต่อ ผมบอกเขาว่า "ผมชอบแฮมเบอร์เกอร์คุณมาก ผมชอบร้านคุณ และถ้าคุณบริการเติมแฮมเบอร์เกอร์ ผมจะยิ่งชอบพวกคุณเข้าไปอีก" (เสียงหัวเราะ) และเขาตอบว่า "โอเค เดี๋ยวผมจะบอกผู้จักการให้ เราอาจจะทำมันในอนาคต แต่ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ใช่ว้นนี้" แล้วผมก็ออกจากร้านไป และมีอีกอย่างหนึ่ง ผมว่าเขาไม่เคยมี บริการเติมแฮมเบอร์เกอร์ (เสียงหัวเราะ) ผมว่าพวกเขายังเปิดอยู่ที่นั้นนะ แต่ความรู้สึกจะเป็นจะตาย ที่ผมมีในครั้งแรก มันไม่อยู่แล้ว แค่เพราะว่าผมอยู่ต่อ เพราะว่าผมไม่ได้วิ่งหนี ผมคิดว่า "ว้าว ดีจัง ผมได้เรียนรู้บางอย่าง เยี่ยมไปเลย" และวันที่สาม: เอาโดนัทรูปโอลิมปิก นี่คือตอนที่ชีวิตผมเปลี่ยนไป ผมไปที่ร้านคริสปีครีม มันคือร้านโดนัท ส่วนใหญ่เปิดอยู่ที่ ภาคตะวันออกเชียงใต้ของสหารัฐ ผมแน่ใจว่ามีร้านที่นี่ด้วย และผมเข้าไปข้างใน ผมถาม "คุณทำโดนัทที่ดูเหมือน วงแหวนโอลิมปิกให้ผมได้ไหม ง่ายๆก็คือ คุณเอาโดนัทห้าชิ้นมาเชื่อมกัน" ผมว่าไม่มีทางที่เขาจะตอบว่าได้ คนทำโดนัทเอาผมอย่างจริงจัง (เสียงหัวเราะ) แล้วเธอก็เอากระดาษออกมา เริ่มจดสีกับวงแหวนลงไป เหมือนกับว่า "ฉันจะทำมันได้อย่างไร" และ 15 นาทีต่อมา เธอออกมากับกล่องที่มี โดนัทคล่ายๆวงแหวนโอลิมปิกอยู่ข้างใน ผมตื้นตันใจเป็นอย่างมาก ผมไม่อยากจะเชื่อเลย และวีดีโอนั้นมีคนดูห้าล้านคนบนยูทูบ คนทั้งโลกก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน (เสียงหัวเราะ) และเป็นเพราะว่าเรื่องนั้น ผมก็เลยได้ลงหนังสือพิมพ์ อยู่ในรายการทอล์กโชว์ ในทุกอย่าง ผมกลายเป็นคนดังไปเลย หลายๆคนส่งอีเมล์มาหาผม บอกว่า "สิ่งที่คุณทำ มันสุดยอดไปเลย" ความดังกับชื่อเสียงไม่ได้ทำอะไรผมเลย สิ่งที่ผมอยากทำคือการเรียนรู้ และเปลี่ยนตัวเอง และผมเปลี่ยนวันที่เหลือ จาก 100 วันที่ถูกปฎิเสธ เป็นสนามเล่น เป็นโครงการวิจัย ผมอยากดูว่าผมสามารถได้เรียนรู้อะไรบ้าง และผมก็ได้เรียนรู้หลายอย่าง ผมค้นพบหลากหลายความลับ อย่างเช่น ผมพบว่า ถ้าผมไม่วิ่งหนี ถ้าผมถูกปฎิเสธ ผมสามารถเปลี่ยน "ไม่ได้" เป็น "ได้"ได้ และคำวิเศษนั้นก็คือ "ทำไม" วันหนึงผมไปบ้านคนแปลกหน้า ผมมีดอกไม้อยู่ในมือ ไปเคาะประตูแล้วพูดว่า "ผมปลุกดอกไม้นี่ที่หลังสวนคุณได้ไหม" (เสียงหัวเราะ) แล้วเขาก็บอก "ไม่ได้" แต่ก่อนที่เขาจะไป ผมถามเขาว่า "ผมขอรู้ว่าทำไม" เขาบอกว่า "ฉันเลี้ยงสุนัข มันชอบขุดทุกอย่างที่ฉันไว้ในสวน ฉันไม่อยากเปลืองดอกไม้คุณ ถ้าคุณอยากทำ ลองข้ามถนนไป และคุยกับคอนนี่ เธอชอบดอกไม้" และผมก็ทำเช่นนั้น ผมไปตรงข้ามและเคาะประตูของคอนนี่ เธอดีใจมากที่ได้เจอผม (เสียงหัวเราะ) และครึ่งชั่วโมงต่อมา ดอกไม้นี่ก็อยู่ในหลังสวนของคอนนี่ ผมว่ามันคงดูดีขึ้นกว่านี้แล้วล่ะ (เสียงหัวเราะ) แต่หากผมเดินจากไป หลังจากที่ถูกปฎิเสธตอนแรก ผมคงจะคิดว่า มันเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้เชื่อใจผม เพราะว่าผมเป็นบ้า เพราะว่าผมไม่ได้แต่งตัวดี ผมเลยดูไม่ดี มันไม่ใช่สิ่งพวกนั้นเลย แต่เป็นเพราะสิ่งที่ผมเสนอ ไม่ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการ และเขาเชื่อใจผมพอที่ จะเสนอการส่งต่อ ใช้คำของพนักงานขาย ผมเปลี่ยนการส่งต่อ และอยู่มาวันหนึง ผมเรียนรู้ว่าผมสามารถพูดอะไรบางอย่าง และทำให้โอกาสที่จะได้ตอบว่า ได้ เยอะขึ้น อย่างเช่น วันหนึงผมไปที่สตาร์บัคส์ และถามผู้จักการ "ผมเป็นคนต้อนรับสตาร์บัคส์ได้ไหม" เขาบอกว่า "อะไรคือคนต้อนรับสตาร์บัคส์" ผมบอก "คุณรู้จักคนต้อนรับวอลมาร์ตไหม คนที่บอกสวัสดีกับคุณ ก่อนที่คุณจะเดินเข้าไปในร้าน และเพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ขโมยของอะไร ผมอยากจะให้ความรู้สึกวอลมาร์ตนั้น กับลูกค้าสตาร์บัคส์" (เสียงหัวเราะ) ผมไม่แน่ใจว่านั้นเป็นเรื่องที่ดีหรือเปล่า จริงๆแล้ว ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี และเขาก็บอก "โอ้" ใช่ เขาหน้าตาเป็นอย่างนี้ เขาชื่อเอริก เขาบอกว่า "ผมไม่แน่ใจ" และนี้คือตอนที่เขาฟังผม "ไม่แน่ใจ" และผมก็ถามเขาว่า "มันแปลกใช่ไหม" เขาบอก "ใช่มันแปลกมากเลย" แต่เมื่อเขาพูดเสร็จ พฤติกรรมเขาก็เปลี่ยนไป เหมือนกับว่าเขาเอา ความสงสัยปล่อยวางไป และบอกว่า "ก็ได้ คุณทำได้ แต่อย่าทำให้มันแปลกเกินไป" (เสียงหัวเราะ) และในชั่วโมงต่อมา ผมเป็นคนต้อนรับสตาร์บัคส์ ผมบอก "สวัสดี" กับลุกค้า ทุกๆคนที่เดินเข้ามา และให้อารมณ์วันเทศกาล ยังไงซะ ผมไม่รู้ว่าแนววิถี การงานของคุณคืออะไร แต่อย่าไปเป็นคนต้อนรับ (เสียงหัวเราะ) มันน่าเบื่อมาก แต่ผมพบว่า ผมสามารถทำแบบนี้ได้ เพราะว่าผมกล่าวถึง "มันแปลกใช่ไหม" ผมกล่าวถึงความสงสัยที่เขามีอยู่ และเพราะว่าผมกล่าวถึง "มันแปลกใช่ไหม" แปลว่าผมไม่แปลก แปลว่าที่จริงแล้ว ผมคิดเหมือนเขา ที่เห็นว่านี้คือสิ่งที่แปลก และซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมเรียนรู้ว่าถ้าผมกล่าวถึง ความสงสัยที่คนมี ก่อนที่จะถามคำถาม ผมได้ความเชื่อใจจากพวกเขา คนจะตอบว่าได้มากขึ้น และผมเรียนรู้ว่า ผมสามารถทำตามความฝันผมได้ โดยแค่ถาม ผมมาจากครอบครัวที่เป็นครูกันมาสี่รุ่น คุณยายผมชอบบอกผมว่า "เจีย เธอสามารถทำอะไรก็ได้ที่เธอต้องการ แต่มันจะดีมากถ้าเธอเป็นคุณครู" (เสียงหัวเราะ) แต่ผมอยากเป็นผู้ประกอบการ ดังนั้นผมเลยไม่ได้เป็นครู แต่มันเป็นความฝันผม ที่จะได้สอนอะไรบางอย่าง ผมบอกว่า "จะเป็นอย่างไรถ้าผมลองถาม เพื่อขอสอนเด็กมหาวิทยาลัย" ผมอยู่ในออสตินขณะนั้น ผมเลยไปที่มหาวิทยาลัย เทกซัสที่ออสติน และเคาะประตูอาจารย์แล้วถามว่า "ผมจะมาสอนห้องคุณได้ไหม" ผมไม่ได้ไปไหน ในสองครั้งแรก แต่เพราะว่าผมไม่ได้วิ่งหนี ผมเอาแต่ทำมัน ในครั้งที่สาม อาจารย์เขาประทับใจมาก เขาบอกว่า "ไม่มีใคร เคยทำแบบนี้มาก่อน" และผมเตรียมตัวมาอย่างดี กับพาสเวอร์พ้อยท์และบทสอนผม เขาบอกว่า "ว้าว ฉันเอามันไปใช้ได้ คุณลองกลับมาใหม่ในอีกสองเดือน ผมจะให้คุณมาสอนในหลักสูตรของผม" และสองเดือนต่อมา ผมก็ได้มาสอนในห้องเรียน นี่คือผม คุณอาจจะไม่เห็น ภาพนี้แย่มาก บางครั้งคุณโดนแสงไฟปฎิเสธ (เสียงหัวเราะ) แต่ ว้าว เมื่อผมสอนห้องเรียนนั้นเสร็จ ผมเดินออกมาร้องไห้ เพราะผมคิดว่า ผมสามารถทำตามความฝันได้ เพียงแค่ต้องถาม ผมเคยคิดว่าผมต้อง ทำสำเร็จหลายอย่าง ต้องเป็นผู้ประกอบการที่ดี หรือจบปริญญาเอกเพื่อที่จะสอนได้ แต่ไม่ใช่เลย ผมแค่ถาม และผมก็สอนได้ และในภาพนั้น ที่คุณไม่เห็น ผมอ้างอิงจาก มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ทำไมหรอ? เพราะว่าผมพบว่า คนที่เปลี่ยงแปลงโลกจริงๆ คนที่เปลี่ยนว่าเราใช้ชีวิตยังไง และความคิดของเรา คือคนที่เจอกับการปฎิเสธ ครั้งแรกและรุนแรงที่สุด คนอย่าง มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ อย่าง มหาตมา คานธี และ เนลสัน แมนเดลา หรือแม้กระทั่ง พระเยซู คนพวกนี้ไม่ได้ปล่อย ให้การปฎิเสธมากำหมดตัวเขาเอง พวกเขาให้วิธีการตอบสนอง หลังจากถูกปฎิเสธกำหนดตัวเขาเอง และพวกเขายอมรับการปฎิเสธ แต่เราไม่ต้องเป็นคนเหล่านั้น ที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการถูกปฎิเสธ และในกรณีของผม การถูกปฎิเสธคือคำสาปของผม เป็นผีในจินตนาการที่ขู่ผม มันรำควานผมทั้งชีวิต เพราะว่าผมวิ่งหนีจากมัน และผมก็เริ่มโอบกอดมัน ผมเปลี่ยนมันเป็น ของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตผม ผมเริ่มสอนคนอื่นๆว่าทำอย่างไรถึงให้ การถูกปฎิเสธเปลี่ยนมาเป็นโอกาสได้ ผมใช้บล็อกผม ผมใช้การเล่าเรื่อง ผมใช้หนังสือที่ผมพึ่งพิมพ์จำหน่าย ผมยังสร้างเทคโนโลยีเพื่อที่จะช่วยคนอื่นๆ ให้เอาชนะกับความกลัวกับการถูกปฎิเสธ เมื่อคุณโดนปฏิเสธในชีวิต เมื่อคุณกำลังประเชิญหน้ากับอุปสรรคต่อไป หรือความล้มเหลวต่อไป ให้พิจราณาโอกาสที่เป็นไปได้ อย่าวิ่งหนี ถ้าคุณโอบกอดมันไว้ มันอาจจะเป็นของขวัญของคุณเช่นกัน ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)