1 00:00:00,120 --> 00:00:01,700 เฮ่อ บัดซบจริงๆเลย 2 00:00:01,700 --> 00:00:03,520 ว่าแต่ทำไมต้องบัดซบด้วยอะ 3 00:00:03,860 --> 00:00:05,560 สวัสดีค่ะ วิวจากแชนเนล Point of View ค่ะ 4 00:00:05,560 --> 00:00:09,000 เชื่อว่ามีคำหลายๆคำนะคะที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา 5 00:00:09,000 --> 00:00:10,440 ออกจะคุ้นหูกันด้วยซ้ำ 6 00:00:10,440 --> 00:00:13,520 อย่างเช่นคำว่าบัดซบที่วิวยกตัวอย่างไปเมื่อครู่นี้นะคะ 7 00:00:13,520 --> 00:00:16,240 ว่าแต่ว่าเรารู้กันจริงๆรึเปล่าคะว่า 8 00:00:16,240 --> 00:00:17,915 คำคำนั้นหมายความว่ายังไง 9 00:00:17,920 --> 00:00:19,760 โดยเฉพาะพวกคำอุทานต่างๆ 10 00:00:19,760 --> 00:00:21,440 บอกเลยว่าพวกคำอุทานต่างๆเนี่ย 11 00:00:21,440 --> 00:00:23,780 มีความหมายหลายต่อหลายคำเลยค่ะ 12 00:00:23,780 --> 00:00:25,720 คือบางคำมันก็อาจจะเป็นแค่คำเลียนเสียงอะนะ 13 00:00:25,720 --> 00:00:27,760 แต่ว่าหลายคำนี่ก็มีที่มาที่ไป 14 00:00:27,760 --> 00:00:29,260 มีคำแปลของตัวเองด้วยนะคะ 15 00:00:29,440 --> 00:00:32,320 ซึ่งหลายๆคนเนี่ยใช้ไปโดยที่ไม่รู้คำแปลเลยค่ะ 16 00:00:32,320 --> 00:00:34,020 อย่างไรก็ตามนะคะ เมื่อไม่นานมานี้ 17 00:00:34,020 --> 00:00:35,780 วิวเพิ่งจะทำคลิปวิดีโอไปวิดีโอนึง 18 00:00:35,780 --> 00:00:37,280 จำได้ไหมคะที่วิวมาบอกว่า 19 00:00:37,280 --> 00:00:40,180 คำว่าโยมเนี่ยมีที่มาที่ไปยังไง แปลว่าอะไร 20 00:00:40,180 --> 00:00:43,060 ซึ่งในคลิปวิดีโอนั้นนะคะวิวใช้หนังสืออ้างอิงเล่มนึงค่ะ 21 00:00:43,060 --> 00:00:44,220 บังเอิญในเล่มนั้นเนี่ยนะคะ 22 00:00:44,220 --> 00:00:47,020 มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับที่มาของคำอะไรต่างๆค่ะ 23 00:00:47,020 --> 00:00:49,460 ดังนั้นในนั้นเนี่ยเต็มไปด้วยที่มาของคำ 24 00:00:49,460 --> 00:00:50,460 เต็มไปหมดเลยนะคะ 25 00:00:50,460 --> 00:00:53,240 วิวก็ไปอ่านเล่นอะไรต่างๆ แล้วก็พบกับ 26 00:00:53,240 --> 00:00:55,180 คำแปลของคำจำนวนนึง 27 00:00:55,180 --> 00:00:57,060 ที่เราใช้กันบ๊อยบ่อยค่ะ 28 00:00:57,060 --> 00:01:00,820 นั่นก็คือคำอุทานที่ขึ้นด้วยคำว่า "บัด" ต่างๆ 29 00:01:00,820 --> 00:01:03,020 ไม่ว่าจะเป็นบัดซบที่เมื่อกี้วิวพูดไป 30 00:01:03,020 --> 00:01:04,800 บัดสีบัดเถลิงนะคะ 31 00:01:04,800 --> 00:01:06,320 ซึ่งทั้งสามคำนี้ 32 00:01:06,320 --> 00:01:08,180 มีความหมายทั้งสิ้นเลยค่ะ 33 00:01:08,180 --> 00:01:10,800 วันนี้วิวก็เลยจะหยิบเอาเรื่องราวที่วิวอ่านมาเนี่ยนะคะ 34 00:01:10,800 --> 00:01:12,340 มาเล่าให้ทุกคนฟังค่ะ 35 00:01:12,345 --> 00:01:14,300 สำหรับตอนนี้พร้อมจะไปฟังเรื่องราวที่ทั้ง 36 00:01:14,300 --> 00:01:15,980 สนุกแล้วก็ได้สาระกันรึยังคะ 37 00:01:15,980 --> 00:01:17,880 ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปฟังกันเลยค่ะ 38 00:01:22,040 --> 00:01:24,400 ต้องบอกว่าคำด่าหรือคำอุทานทั้งสามคำ 39 00:01:24,400 --> 00:01:26,760 ที่วิวตั้งใจจะยกขึ้นมาคุยกับทุกคนในวันนี้ 40 00:01:26,760 --> 00:01:29,540 มีที่มาที่ใกล้เคียงกันมากๆเลยค่ะก็คือ 41 00:01:29,540 --> 00:01:32,700 ล้วนแต่มาจากภาษาเขมรทั้งนั้นเลยนะคะ 42 00:01:33,120 --> 00:01:35,360 ซึ่งในภาษาเขมรเนี่ยเขาแปลกันออกนะ 43 00:01:35,360 --> 00:01:37,320 ว่ามันมีความหมายมาจากอะไรยังไง 44 00:01:37,320 --> 00:01:39,500 แต่พอเราเก็บมาใช้กันในภาษาไทยนะคะ 45 00:01:39,500 --> 00:01:42,340 เนื่องจากทุกวันนี้เราอาจจะไม่ได้คุ้นเคยกับภาษาเขมร 46 00:01:42,340 --> 00:01:45,980 เหมือนกับคนไทยในสมัยที่เริ่มรับคำนี้เข้ามา 47 00:01:45,980 --> 00:01:48,300 ต้องบอกว่าในสมัยก่อนคนไทยค่อนข้างจะได้รับ 48 00:01:48,300 --> 00:01:50,400 อิทธิพลจากเขมรค่อนข้างเยอะเนอะดังนั้น 49 00:01:50,400 --> 00:01:52,660 เรารับคำเขมรเข้ามาเต็มไปหมด 50 00:01:52,660 --> 00:01:53,860 เอามาใช้เป็นราชาศัพท์ 51 00:01:53,860 --> 00:01:55,855 เอามาใช้เรียกชื่อนู้นชื่อนี้เต็มไปหมด 52 00:01:55,860 --> 00:01:57,680 คนในสมัยนั้นเนี่ยเขาก็เลยน่าจะเก็บ 53 00:01:57,680 --> 00:02:00,260 คำอุทานหรือคำด่าอะไรของเขมรมาด้วยค่ะ 54 00:02:00,260 --> 00:02:02,500 ซึ่งคนในสมัยนั้นเนี่ยเขาอาจจะแปลออก 55 00:02:02,500 --> 00:02:04,000 แต่เราเนี่ยแปลไม่ออกนะคะ 56 00:02:04,000 --> 00:02:06,500 ต้องบอกว่าคลิปวิดีโอนี้ไม่ใช่ความเห็นของวิวเองนะคะ 57 00:02:06,500 --> 00:02:08,820 แต่ว่าเป็นความเห็นนักภาษาศาสตร์ที่เขา 58 00:02:08,820 --> 00:02:10,300 ไปศึกษาอะไรต่างๆ 59 00:02:10,300 --> 00:02:12,580 แล้วก็พยายามดูที่มาของคำศัพท์นะคะ 60 00:02:12,580 --> 00:02:15,040 ดังนั้นวิวลงอ้างอิงไว้ให้ด้านล่างแล้ว 61 00:02:15,040 --> 00:02:17,680 ถ้าสมมติว่าใครอยากไปหาอ่านเพิ่มเติมอยากไปดูว่า 62 00:02:17,680 --> 00:02:19,535 เออ มันน่าจะแปลแบบนั้นจริงไหม 63 00:02:19,540 --> 00:02:20,820 ก็ลองไปดูได้นะคะ 64 00:02:21,040 --> 00:02:24,920 ซึ่งอ้างอิงหลักๆที่วิวใช้ก็จะมีของอ.ศานติ ภักดีคำเนอะ 65 00:02:24,920 --> 00:02:26,880 ซึ่งอาจารย์เนี่ยอ้างอิงมาจากหนังสือ 66 00:02:26,880 --> 00:02:28,440 สัพะ พะจะนะ พาสา ไท นะคะ 67 00:02:28,440 --> 00:02:30,680 ของบาทหลวงปาลเลอกัวซ์อีกทีนึงนะ 68 00:02:30,680 --> 00:02:32,540 ดังนั้นก็เอาเป็นว่าวิวแค่ไปเจอมา 69 00:02:32,540 --> 00:02:33,880 แล้วก็เอามาเล่าให้ทุกคนฟังแล้วกันค่ะ 70 00:02:33,880 --> 00:02:35,880 ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญภาษาเขมรหรือว่า 71 00:02:35,880 --> 00:02:38,660 ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านที่มาของคำศัพท์อะไรนะ 72 00:02:38,660 --> 00:02:41,200 เพราะว่าภาษาเขมร วิวคืนครูไปหมดแล้วค่ะทุกคน 73 00:02:41,540 --> 00:02:43,960 อย่างไรก็ตาม เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ 74 00:02:43,960 --> 00:02:45,640 ต้องบอกว่าคำทั้งสามคำนี้นะคะ 75 00:02:45,640 --> 00:02:48,120 ล้วนแต่มีที่มาเหมือนกันเลยค่ะ นั่นก็คือ 76 00:02:48,340 --> 00:02:50,020 มาจากภาษาเขมรนั่นเอง 77 00:02:50,020 --> 00:02:51,400 เพราะว่าในสมัยโบราณเนี่ย 78 00:02:51,400 --> 00:02:54,180 เรามีการรับศัพท์เขมรมาใช้ค่อนข้างเยอะค่ะ 79 00:02:54,180 --> 00:02:55,980 เช่นเดียวกับในช่วงเวลาที่เรารับ 80 00:02:55,980 --> 00:02:58,080 อิทธิพลต่างๆจากเขมรมามากมายนะ 81 00:02:58,080 --> 00:03:00,780 ยกตัวอย่างเช่นในสมัยอยุธยา เราก็จะเห็นว่า 82 00:03:00,780 --> 00:03:03,300 เราเนี่ยรับอะไรจากเขมรมาเต็มไปหมด 83 00:03:03,300 --> 00:03:05,460 เรารับราชาศัพท์มา 84 00:03:05,460 --> 00:03:07,980 เรารับระเบียบการราชสำนักอะไรต่างๆ 85 00:03:07,980 --> 00:03:10,740 ซึ่งก็ต้องบอกว่าไม่ได้รับมาตั้งแต่แค่สมัยอยุธยานะคะ 86 00:03:10,740 --> 00:03:13,120 เรารับอิทธิพลจากเขมรมาค่อนข้างยาวนานแล้ว 87 00:03:13,120 --> 00:03:13,840 เพราะว่าอะไร 88 00:03:13,840 --> 00:03:17,000 เพราะว่าเขมรเนี่ยมีการติดต่อกับอินเดียนะคะ 89 00:03:17,000 --> 00:03:19,620 ดังนั้นทางอินเดียอะไรต่างๆ ซึ่งเป็น 90 00:03:19,620 --> 00:03:21,400 เจ้าอารยธรรมที่แบบสูงกว่าเนี่ย 91 00:03:21,400 --> 00:03:23,140 เขาก็ส่งต่ออารยธรรมต่างๆ 92 00:03:23,140 --> 00:03:25,120 มาที่เขมรและ 93 00:03:25,120 --> 00:03:26,700 เราก็ไปรับมาจากเขมรอีกที 94 00:03:26,700 --> 00:03:28,940 ดังนั้นมันจะมีความเป็นทอดๆนิดนึงก็คือ 95 00:03:28,940 --> 00:03:30,800 มันมีความเป็นอินเดียอยู่แหละ 96 00:03:30,800 --> 00:03:32,780 มันมีความเป็นสันสกฤตอะไรต่างๆ 97 00:03:32,780 --> 00:03:34,220 แต่ว่าเป็นสันสกฤตที่ 98 00:03:34,220 --> 00:03:37,800 ผ่านสายคนเขมร ผ่านการพัฒนาจากคนเขมรมาแล้วนะ 99 00:03:37,800 --> 00:03:40,200 ซึ่งถามว่าทั้งสามคำนี้มีอะไรร่วมกันอีก 100 00:03:40,200 --> 00:03:42,220 นอกจากมีที่มาจากภาษาเขมรร่วมกัน 101 00:03:42,220 --> 00:03:43,660 ก็ต้องบอกว่าทั้งสามคำเนี่ย 102 00:03:43,660 --> 00:03:46,360 ประกอบไปด้วยคำคำเดียวกันค่ะ นั่นก็คือคำว่า 103 00:03:46,365 --> 00:03:47,500 บัดนั่นเอง 104 00:03:47,500 --> 00:03:49,720 ไม่ว่าจะเป็นบัดซบ บัดสีบัดเถลิง 105 00:03:49,720 --> 00:03:51,000 บัดทั้งนั้นเลย 106 00:03:51,000 --> 00:03:52,920 คำว่าบัดคำนี้แปลว่าอะไรรู้ไหมคะ 107 00:03:53,220 --> 00:03:55,880 คำว่าบัดคำนี้ตามภาษาเขมร เขียนว่าแบบนี้ 108 00:03:56,280 --> 00:03:57,960 ออกเสียงว่าบัดเหมือนกันเป๊ะเลยค่ะ 109 00:03:57,960 --> 00:03:59,760 คำคำนี้นะคะมีความหมายว่าแบบ 110 00:03:59,980 --> 00:04:01,620 เสียหาย สูญสิ้น 111 00:04:01,620 --> 00:04:03,840 ไม่เหลือแล้ว อะไรประมาณอย่างนี้นะ 112 00:04:03,840 --> 00:04:06,080 ก็คือการสูญเสียอะไรบางอย่างค่ะ 113 00:04:06,080 --> 00:04:08,400 ทีนี้ถามว่าแต่ละคำแปลว่าอะไร 114 00:04:08,400 --> 00:04:09,740 เริ่มจากคำว่าซบก่อน 115 00:04:09,740 --> 00:04:12,400 คำว่าซบคำนี้เนี่ยนะคะเป็นคำคำนึงค่ะซึ่ง 116 00:04:12,400 --> 00:04:15,480 เอาจริงๆ อ.ศานติ ภักดีคำเนี่ยเขาหาไม่เจอค่ะว่า 117 00:04:15,480 --> 00:04:18,260 เอ๊ สรุปแล้วมันมีที่มาจากอะไรยังไงนะคะ 118 00:04:18,260 --> 00:04:21,800 แต่ก็สามารถพอจะสันนิษฐานได้จากคำที่ใกล้เคียงกัน 119 00:04:21,800 --> 00:04:23,920 แล้วน่าจะตรงกับความหมายที่สุดนะคะ 120 00:04:23,920 --> 00:04:27,600 คือเขาสันนิษฐานว่าเรารับมาจากคำว่า ซ็อบ ภาษาเขมรค่ะ 121 00:04:27,760 --> 00:04:29,840 คำว่าซ็อบในที่นี้เป็นภาษาเขมร 122 00:04:29,840 --> 00:04:31,920 ที่รับมาจากอินเดียอีกทีนึงนะคะ 123 00:04:31,920 --> 00:04:33,460 คือรับมาจากภาษาสันสกฤตค่ะ 124 00:04:33,620 --> 00:04:36,300 คำที่เป็นที่มาของคำว่าซ็อบก็คือคำว่า 125 00:04:36,640 --> 00:04:37,780 สรรพนั่นเอง 126 00:04:37,780 --> 00:04:39,620 สรรพ ส-ร-ร-พ 127 00:04:39,620 --> 00:04:40,440 สรรพะ 128 00:04:40,440 --> 00:04:42,200 สรรพะแปลว่าไร แปลว่าทุกสิ่งอย่าง 129 00:04:42,200 --> 00:04:44,200 แปลว่าทุกอย่างรวมๆใช่ไหม 130 00:04:44,200 --> 00:04:46,380 อย่างที่เราคุ้นกันดีกับคำว่าสรรพสิ่ง 131 00:04:46,660 --> 00:04:47,360 อะไรแบบนี้ 132 00:04:47,360 --> 00:04:49,660 สรรพสิ่งทั้งปวง อย่างนั้นเลย 133 00:04:49,660 --> 00:04:51,640 ดังนั้นเมื่อคำว่าสรรพกลายเป็นคำว่าซ็อบ 134 00:04:51,640 --> 00:04:53,400 และคำว่าซ็อบกลายเป็นคำว่าซบเนี่ย 135 00:04:53,620 --> 00:04:54,820 คำว่าซบก็เลยแปลว่า 136 00:04:54,820 --> 00:04:57,340 ทุกสิ่งอย่าง ทั้งหมด อะไรอย่างนี้ 137 00:04:57,340 --> 00:04:59,720 เมื่อมารวมกับคำว่าบัดที่แปลว่าสูญเสีย 138 00:04:59,720 --> 00:05:01,380 คำว่าบัดซบก็เลยแปลว่า 139 00:05:01,380 --> 00:05:03,180 สูญเสียทุกสิ่งอย่าง 140 00:05:03,440 --> 00:05:06,300 เวลาเราบอกว่าบัดซบจริงๆเลย มันก็เลยเป็นการ 141 00:05:06,300 --> 00:05:08,520 อธิบายว่า โอ้ย ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว 142 00:05:08,520 --> 00:05:11,120 ฉันสูญเสียทุกสิ่งอย่าง ประมาณนี้นะคะ 143 00:05:11,380 --> 00:05:13,060 นี่ก็คือคำแรกนั่นเอง 144 00:05:13,060 --> 00:05:14,560 ทีนี้เรามาดูที่คำถัดไปนะคะ 145 00:05:14,560 --> 00:05:16,160 ที่เขามักจะใช้คู่กันนั่นก็คือ 146 00:05:16,415 --> 00:05:17,840 บัดสีบัดเถลิงนั่นเอง 147 00:05:17,840 --> 00:05:19,155 อะ เวลาเราเห็นอะไรที่เรา 148 00:05:19,160 --> 00:05:22,060 ไม่พอใจซักอย่างที่แบบว่าเรารับไม่ได้ เราก็จะบอกว่า 149 00:05:22,060 --> 00:05:24,720 ว้าย บัดสีบัดเถลิง รับไม่ได้ ใช่ไหมคะ 150 00:05:24,960 --> 00:05:27,400 ทีนี้ถามว่าบัดสีบัดเถลิงมีที่มาจากอะไร 151 00:05:27,400 --> 00:05:30,420 ก็ต้องบอกว่าคำว่าบัดสีเนี่ยปัจจุบันเราสะกดว่า 152 00:05:30,420 --> 00:05:31,880 บัดแล้วก็ สอ อี สี 153 00:05:31,880 --> 00:05:34,540 เหมือนกับสีแบบสีทาบ้านอย่างนี้ใช่ไหมคะ 154 00:05:34,720 --> 00:05:36,900 แต่อย่างไรก็ตามค่ะ อ.ศานติบอกว่า 155 00:05:36,905 --> 00:05:40,255 คำว่าสีในทีนี้แต่ก่อนน่าจะไม่ได้สะกดแบบนี้ 156 00:05:40,255 --> 00:05:41,840 คำว่าสีเนี่ยน่าจะสะกดว่า 157 00:05:41,840 --> 00:05:45,040 ศรีแบบนี้ ศ ศาลา ร เรือ สระอีนะคะ 158 00:05:45,360 --> 00:05:47,640 ซึ่งคำว่าศรีคำนี้เราคุ้นเคยกันดีแบบ 159 00:05:47,640 --> 00:05:49,520 เป็นเกียรติเป็นศรีอะไรอย่างนี้ใช่ไหม 160 00:05:49,520 --> 00:05:51,880 ถามว่าคำว่าศรีในที่นี้หมายความว่ายังไง 161 00:05:51,880 --> 00:05:54,500 ก็หมายถึงความเป็นมงคลอะไรต่างๆ 162 00:05:54,500 --> 00:05:57,280 รวมถึงเป็นชื่อของพระศรีซึ่งเป็น 163 00:05:57,280 --> 00:05:59,580 พระชายาของพระวิษณุด้วยนะคะ 164 00:05:59,580 --> 00:06:00,700 หรือว่าพระนารายณ์นั่นเอง 165 00:06:00,700 --> 00:06:03,080 ก็คือเป็นความมงคลทั้งหลายนั่นแหละ 166 00:06:03,080 --> 00:06:05,020 ดังนั้นเวลาเราบอกว่าบัดสีเนี่ย 167 00:06:05,020 --> 00:06:07,060 บัดแปลว่าทำให้หายไป ทำให้สูญสิ้น 168 00:06:07,060 --> 00:06:09,760 ศรีคืออะไร ศรีคือความเป็นมงคลอะไรต่างๆ 169 00:06:09,760 --> 00:06:11,060 ดังนั้นคำว่าบัดสีคืออะไร 170 00:06:11,060 --> 00:06:14,600 บัดสีคือการสูญเสียความเป็นมงคลที่ตัวเองมี 171 00:06:14,600 --> 00:06:16,640 ซึ่งสมัยก่อนนี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ใช่ไหมคะ 172 00:06:16,640 --> 00:06:20,000 ทุกคนจะต้องแบบ เฮ้ย เพื่อความเป็นเกียรติเป็นศรี 173 00:06:20,000 --> 00:06:21,940 นำศักดิ์ศรีเพื่อเรา 174 00:06:30,540 --> 00:06:33,900 นั่นไงความมู่หลาน Honor To Us All ก็มานะคะทุกคน 175 00:06:33,900 --> 00:06:35,860 ซึ่งคำว่าศรีในที่นี้นะคะก็แน่นอน 176 00:06:35,860 --> 00:06:38,180 เป็นชื่อของพระศรี เป็นภรรยาของพระวิษณุ 177 00:06:38,180 --> 00:06:39,940 ดังนั้นนี่คืออีกหนึ่งคำค่ะที่ 178 00:06:40,140 --> 00:06:42,860 ชาวเขมรเนี่ยรับต่อมาจากภาษาสันสกฤตนะคะ 179 00:06:43,100 --> 00:06:44,700 เราไปต่อที่คำถัดไปดีกว่า 180 00:06:44,700 --> 00:06:47,000 นั่นก็คือคำว่าบัดเถลิงนั่นเอง 181 00:06:47,000 --> 00:06:48,440 คำว่าบัดเราแปลไปแล้วเนอะ 182 00:06:48,440 --> 00:06:50,460 ทีนี้คำว่าเถลิง เถลิงคืออะไร 183 00:06:50,460 --> 00:06:53,860 คำว่าเถลิงเนี่ยนะคะหมายถึงการขึ้นค่ะ 184 00:06:53,860 --> 00:06:56,220 ก็เหมือนศัพท์ที่เราใช้กันบ่อยๆ เช่น 185 00:06:56,220 --> 00:06:58,120 เถลิงถวัลยราชสมบัติ 186 00:06:58,460 --> 00:07:01,200 เถลิงอำนาจ ก็แปลว่าขึ้นสู่อำนาจ 187 00:07:01,200 --> 00:07:02,280 ประมาณนั้นนะคะ 188 00:07:02,280 --> 00:07:04,480 แล้วเมื่อเอามารวมกันเกิดอะไรขึ้น 189 00:07:04,600 --> 00:07:07,160 ซึ่งในสมัยก่อนเนี่ยการขึ้นการมีอำนาจ 190 00:07:07,160 --> 00:07:08,900 ก็ถือว่าเป็นเรื่องมงคลใช่ไหมคะ 191 00:07:09,080 --> 00:07:10,820 ดังนั้นเมื่อเอามารวมกับคำว่าบัด 192 00:07:10,820 --> 00:07:13,440 ซึ่งแปลว่าทำให้สูญเสีย สูญสิ้น ทำให้หมดไปเนี่ย 193 00:07:13,700 --> 00:07:15,840 ก็แปลว่าสูญสิ้นแล้วจากการขึ้น 194 00:07:15,840 --> 00:07:19,620 ในวงเล็บ สู่อำนาจหรือสู่ความดีงามอะไรต่างๆนะคะ 195 00:07:19,880 --> 00:07:21,340 ดังนั้นเมื่อเอามารวมกันเนี่ย 196 00:07:21,340 --> 00:07:22,800 บัดสีบัดเถลิงก็แปลว่าแบบ 197 00:07:23,040 --> 00:07:24,740 สูญเสียความเป็นมงคล 198 00:07:24,740 --> 00:07:26,880 สูญเสียการขึ้นสู่อำนาจประมาณว่า 199 00:07:26,880 --> 00:07:29,180 ก็สูญเสียการขึ้นสู่อำนาจก็แปลว่าแกตกต่ำแล้ว 200 00:07:29,180 --> 00:07:31,460 ประมาณนั้นแหละแบบอี๊ อัปมงคล ตกต่ำ 201 00:07:31,460 --> 00:07:32,640 อะไรอย่างนี้นะคะ 202 00:07:32,640 --> 00:07:34,300 ดังนั้นนะคะ เวลาคนสมัยก่อนเนี่ย 203 00:07:34,300 --> 00:07:36,300 เขาเห็นคนทำอะไรที่เขาขัดใจมากๆ 204 00:07:36,300 --> 00:07:39,560 เช่นแบบว่า ทำอะไรลามกอนาจารต่อหน้าที่สาธารณะ 205 00:07:39,560 --> 00:07:41,780 เขาก็จะแบบอี๊ บัดสีบัดเถลิง แปลว่าอะไร 206 00:07:41,780 --> 00:07:43,480 แปลว่าแบบโอ๊ย เห็นแล้วรับไม่ได้ 207 00:07:43,480 --> 00:07:45,240 นี่มันเสื่อมความเป็นมงคลสิ้นดี 208 00:07:45,240 --> 00:07:46,560 อะไรเนี่ยมาแทงตาฉัน 209 00:07:46,800 --> 00:07:47,980 ประมาณนั้นนะคะ 210 00:07:47,980 --> 00:07:50,965 นั่นก็คือความหมายของคำว่าบัดสีบัดเถลิงนั่นเองค่ะ 211 00:07:50,965 --> 00:07:53,380 เป็นไงบ้างคะได้ฟังความหมายของคำทั้งสามคำไป 212 00:07:53,380 --> 00:07:56,160 ไม่ว่าจะเป็นบัดซบ บัดสี หรือบัดเถลิง 213 00:07:56,160 --> 00:07:58,740 ก็จะได้ทำให้เวลาที่เราจะเอาไปอุทาน 214 00:07:58,740 --> 00:08:00,380 หรือจะเอาไปว่าใครด่าใครเนี่ย 215 00:08:00,380 --> 00:08:03,040 เราก็จะได้รู้ความหมายมันมากขึ้นนะคะว่า 216 00:08:03,040 --> 00:08:05,180 เรากำลังว่าเขาว่าอะไรค่ะ 217 00:08:05,420 --> 00:08:06,620 สำหรับวันนี้วิวก็ 218 00:08:06,620 --> 00:08:09,240 ขออนุญาตจบคลิปวิดีโอนี้แบบสั้นๆนิดนึงนะคะ 219 00:08:09,240 --> 00:08:10,960 ถ้าใครชื่นชอบคลิปนี้อย่าลืม 220 00:08:10,960 --> 00:08:12,380 กดไลก์เป็นกำลังใจให้วิวแล้วก็ 221 00:08:12,380 --> 00:08:14,095 กดแชร์เพื่อชวนเพื่อนๆมาดูด้วยกันค่ะ 222 00:08:14,095 --> 00:08:15,900 แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้านะคะทุกคน 223 00:08:15,900 --> 00:08:16,660 บ๊ายบาย 224 00:08:16,660 --> 00:08:17,540 สวัสดีค่ะ 225 00:08:17,820 --> 00:08:19,460 คลิปนี้มาสั้นนิดนึงนะคะทุกคน 226 00:08:19,460 --> 00:08:22,600 ขอสารภาพแบบจากใจจริงๆสุดๆเลยค่ะว่า 227 00:08:22,800 --> 00:08:25,600 จริงๆแล้ววิวเตรียมอีกเรื่องนึงเอาไว้เล่าให้ทุกคนฟัง 228 00:08:25,600 --> 00:08:27,660 แล้วก็หาข้อมูลมาค่อนข้างเยอะค่ะ 229 00:08:27,660 --> 00:08:29,060 ซึ่งมันเป็นทฤษฎีที่แบบ 230 00:08:29,060 --> 00:08:30,860 เออ คนเชื่อเยอะมากอะไรต่างๆ 231 00:08:30,860 --> 00:08:32,680 แล้ววิวก็แบบเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วนะ 232 00:08:32,680 --> 00:08:34,680 เตรียมไว้ยาวมากเป็นดราม่าระดับเทพค่ะ 233 00:08:34,680 --> 00:08:36,840 ซึ่งเป็นที่มาของสถานที่นึงอะนะ 234 00:08:37,105 --> 00:08:40,105 ปรากฏว่าวินาทีสุดท้ายก่อนกดอัดคลิป 235 00:08:40,105 --> 00:08:42,100 เกิดคิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ประมาณว่าแบบ 236 00:08:42,400 --> 00:08:43,780 เฮ้ย เช็กอีกทีดีกว่า 237 00:08:43,780 --> 00:08:46,280 เพื่อความชัวร์นะคะก็เลยไปเช็กวันที่ 238 00:08:46,280 --> 00:08:49,000 เช็กปีพ.ศ. อะไรต่างๆที่มันเกิดสถานที่นี้ขึ้น 239 00:08:49,000 --> 00:08:52,820 แล้วก็พบว่าเฮ้ย ไอ้ทฤษฎีที่เขาเชื่อกันทั่วบ้านทั่วเมืองอะ 240 00:08:52,820 --> 00:08:54,000 มันผิดทุกคน 241 00:08:54,200 --> 00:08:57,580 คือเขาบอกว่าสถานที่นี้ตั้งชื่อตามสถานที่นี้ 242 00:08:57,585 --> 00:08:58,860 แต่ว่าพอไปดูจริงๆแล้วอะ 243 00:08:58,860 --> 00:09:01,540 ไอ้ที่ที่มันตั้งตามอะ มันเกิดขึ้นก่อนซะอย่างนั้น 244 00:09:01,540 --> 00:09:04,160 วิวก็เลยแบบว่าอ้าว อ้าว อ้าว 245 00:09:04,160 --> 00:09:05,520 อ้าวข้อมูลผิดนะคะ 246 00:09:05,760 --> 00:09:07,720 ดีนะที่ไปเช็กก่อนก็คือ 247 00:09:07,720 --> 00:09:09,260 เรื่องนี้อยากบอกทุกคนว่า 248 00:09:09,440 --> 00:09:11,540 อย่าเชื่อแค่เพราะว่ามันอยู่ในตำรา 249 00:09:11,540 --> 00:09:13,460 หรืออย่าเชื่อเพราะว่ามันเป็นครูนะคะคือแบบ 250 00:09:13,660 --> 00:09:15,860 กาลามสูตรใช้ได้จริงๆ ดังนั้นก็จะต้อง 251 00:09:15,860 --> 00:09:17,540 เช็กข้อมูลดีๆนิดนึงค่ะ 252 00:09:17,540 --> 00:09:19,060 ซึ่งเอาเป็นว่าทุกเรื่องที่วิวเล่าเนี่ยนะคะ 253 00:09:19,060 --> 00:09:21,540 วิวก็พยายามจะใส่อ้างอิงไว้ให้ทุกคนด้านล่างค่ะ 254 00:09:21,540 --> 00:09:22,960 ดังนั้นถ้าสมมติว่า 255 00:09:22,960 --> 00:09:25,260 ใครฟังแล้วเนี่ยอยากให้ลองเข้าไปดูอ้างอิง 256 00:09:25,260 --> 00:09:27,300 ลองเข้าไปอ่านอะไรต่างๆ เพื่อที่จะได้ 257 00:09:27,300 --> 00:09:29,140 พิจารณากันนิดนึงนะคะว่าเออ 258 00:09:29,140 --> 00:09:30,880 เรื่องที่วิวรวบรวมมาให้เนี่ยมัน 259 00:09:30,880 --> 00:09:33,080 ถูกต้องหรือเปล่า หรือว่ามันมีความเห็นต่างยังไง 260 00:09:33,080 --> 00:09:35,080 มันมีทฤษฎีอะไรแตกต่างกันยังไงนะคะ 261 00:09:35,380 --> 00:09:36,420 แต่สำหรับวันนี้วิวคิดว่า 262 00:09:36,420 --> 00:09:38,340 วิวบ่นเยิ่นเย้อเกินเนื้อหาวิดีโอแล้วค่ะ 263 00:09:38,340 --> 00:09:40,800 ก็ขอจบคลิปวิดีโอนี้แต่เพียงเท่านี้แล้วกันนะคะทุกคน 264 00:09:40,800 --> 00:09:41,940 วันนี้ลาไปก่อนค่ะ 265 00:09:41,940 --> 00:09:42,780 บ๊ายบาย 266 00:09:42,780 --> 00:09:43,740 สวัสดีค่ะ