ฉันรู้ค่ะ ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ คุณคงคิดว่าฉันหลงทาง และเดี๋ยวจะมีใครบางคนขึ้นมาบนเวที แล้วบอกให้ฉันกลับไปที่นั่งของตัวเอง (เสียงปรบมือ) ฉันเจอเรื่องแบบนี้อยู่เรื่อย ในดูไบ "มาเที่ยวพักร้อนหรอคะ ?" (เสียงหัวเราะ) "มาเยี่ยมลูก ๆ เหรอ" "จะอยู่นานเท่าไหร่ล่ะ?" จริง ๆ แล้ว ฉันหวังจะอยู่ไปอีกนาน ๆ ฉันใช้ชีวิตและสอนหนังสืออยู่ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง มากว่า 30 ปีแล้ว (เสียงปรบมือ) และในช่วงนั้น ฉันก็เห็นความเปลี่ยนแปลง หลาย ๆ อย่าง นี่คือตัวเลขสถิติ ที่ค่อนข้างน่าตกใจ และฉันต้องการจะบอกคุณวันนี้ เกี่ยวกับการสูญหายไปของภาษา และโลกาภิวัตน์ของภาษาอังกฤษ ฉันอยากจะเล่าเกี่ยวกับเพื่อนของฉัน ที่สอนภาษาอังกฤษสำหรับผู้ใหญ่ในดูไบ จนวันหนึ่ง เธอตัดสินใจพาพวกเขาไปที่สวน เพื่อสอนคำศัพท์เกี่ยวกับธรรมชาติ แต่กลับเป็นตัวเธอเองที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ศัพท์ภาษาอาราบิกของต้นไม้ท้องถิ่น รวมไปถึงประโยชน์ของพวกมัน ทั้งทางการแพทย์ การใช้เป็นเครื่องสำอาง ใช้ปรุงอาหาร และเป็นสมุนไพร นักเรียนเหล่านั้นเอาความรู้พวกนี้มาจากไหน? แน่นอนว่า จากปู่ย่าตายาย หรือแม้แต่จากคุณทวด คงไม่จำเป็นที่จะต้องบอกคุณว่า มันสำคัญแต่ไหน ที่เราจะสามารถสื่อสาร จากรุ่นนึงสู่อีกรุ่นนึง แต่ที่น่าเศร้าก็คือ วันนี้ ภาษากำลังตายจากไป ในอัตราที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ภาษาหนึ่ง จะหายไปทุก ๆ 14 วัน และในขณะเดียวกัน ภาษาอังกฤษก็เป็นภาษาสากลอย่างไม่อาจโต้แย้งได้ แล้วมันมีความสัมพันธ์กันไหมนะ? ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันรู้ว่า ฉันเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เมื่อฉันมาในประเทศแถบนี้ครั้งแรก ฉันมาที่คูเวต ในช่วงเวลานั้น มันค่อนข้างลำบาก ที่จริงแล้ว มันก็ไม่นานขนาดนั้น อันนี้ดูจะเก่าเกินไปหน่อย แต่กระนั้นก็ตาม ฉันถูกจ้างโดยบริติชเคาน์ซิล พร้อม ๆ กับครูอีกประมาณ 25 คน และพวกเราเป็นคนที่ไม่ใช่มุสลิมกลุ่มแรก ที่เข้ามาสอนในโรงเรียนรัฐในคูเวต พวกเราถูกจ้างให้สอนภาษาอังกฤษ เพราะรัฐบาลต้องการนำประเทศสู่ความทันสมัย และพัฒนาคุณภาพประชาชนผ่านการศึกษา และแน่นอนว่าสหราชอาณาจักรก็ได้ประโยชน์ จากบางส่วนของความมั่งคั่งทางน้ำมันนี้ด้วย โอเค สิ่งหลักที่ฉันเห็นได้ ถึงความเปลี่ยนแปลงก็คือ วิธีการสอนภาษาอังกฤษ ได้ถูกเปลี่ยนไป จากภารกิจที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน กลายเป็นธุรกิจระหว่างประเทศขนาดใหญ่ มันไม่ใช่แค่ภาษาต่างประเทศในหลักสูตรการเรียนอีกต่อไป และก็ไม่ได้อยู่แต่เพียงที่เดียว ในประเทศต้นกำเนิดอย่างอังกฤษ มันได้รับความนิยม สำหรับทุก ๆ ประเทศในโลก ที่พดภาษาอังกฤษ แล้วมันจะไม่ดียังไงหล่ะ ? เพราะสุดท้ายแล้ว ตำแหน่งความเป็นเลิศทางวิชาการ โดยอ้างอิงจาก World University Rankings ตกเป็นของมหาวิทยาลัย ของ สหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา ฉะนั้น ทุกคนเลยก็อยากมีความรู้ ทางภาษาอังกฤษไปโดยปริยาย แต่ถ้าคุณไม่ใช่เจ้าของภาษา คุณต้องผ่านการทดสอบ แล้วมันถูกต้องไหม ที่จะปฏิเสธนักเรียน เพียงเพราะความสามารถทางด้านภาษาเท่านั้น? บางที คุณอาจจะมีนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นอัจฉริยะ เขาจำเป็นต้องใช้ภาษาเดียวกันกับนักกฎหมายด้วยเหรอ? อืม..ฉันคิดว่าไม่ แต่ครูสอนภาษาอังกฤษอย่างพวกเราปฏิเสธพวกเขาตลอดเวลา เราตั้งป้ายห้าม และหยุดยั้งพวกเขาไม่ให้ไปต่อ พวกเขาไม่สามารถทำตามความฝันได้อีกต่อไป จนกว่าพวกเขาจะเข้าใจภาษาอังกฤษ ให้ฉันลองยกตัวอย่างดู ถ้าฉันเจอคนที่พูดภาษาดัชได้อย่างเดียว แต่เขามีวิธีรักษาโรคมะเร็ง ฉันควรจะห้ามไม่ให้เขาเข้ามหาวิทยาลัยในอังกฤษไหม? ฉันไม่คิดอย่างนั้น แต่นั้นแหละ เป็นสิ่งที่พวกเราทำกัน ครูสอนภาษาอังกฤษอย่างพวกเราก็เหมือนกับนายด่าน และขั้นแรก พวกคุณต้องทำให้พวกเราพอใจก่อน นั่นคือภาษาอังกฤษคุณต้องดีพอ มันอาจจะเป็นอันตรายได้ ที่ให้อำนาจมากเกินไป กับ ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของสังคม บางทีข้อแบ่งกั้นนี้มันสากลเกินไป โอเค "แต่" ฉันได้ยินคุณพูด "แล้วเรื่องงานวิจัยหละ? มันเป็นภาษาอังกฤษหมดนะ" หนังสือตำราก็เป็นภาษาอังกฤษ งานวิจัยก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษ แต่นี่มันเป็นการตอบสนองคำทำนาย มันกลับมาหล่อเลี้ยงสนับสนุน ข้อบังคับเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ แล้วมันก็วนไปเรื่อย ๆ ฉันขอถามพวกคุณ เกิดอะไรขึ้นกับการแปล? ถ้าคุณนึกถึงยุครุ่นเรืองของอิสลาม มีงานแปลมากมายในช่วงนั้น พวกเขาแปลจากภาษาลาตินและกรีก เป็นภาษาอาหรับ เป็นภาษาเปอร์เชีย แล้วมันก็ถูกแปลต่อไป เป็นภาษาในกลุ่มเยอรมันนิคของยุโรป และก็กลุ่มภาษาโรมานซ์ และในที่สุดแสงสว่างก็ส่องมายังยุโรปในยุคมืด อย่าเพิ่งเข้าใจฉันผิด ฉันไม่ได้ต่อต้านการสอนภาษาอังกฤษ ของเหล่าครูสอนภาษาอังกฤษอย่างพวกคุณ ฉันดีใจ ที่เรามีภาษาสากล ปัจจุบันนี้เราต้องการมันมากกว่าที่เคยเป็นมา แต่ฉันต่อต้านการใช้ ที่เป็นเสมือนตัวแบ่งกั้น พวกเราอยากจะลงเอย ด้วยการที่เหลือภาษาแค่ 600 ภาษา แล้วมีภาษาอังกฤษหรือภาษาจีนเป็นภาษาหลักงั้นหรือ? พวกเราต้องการมากกว่านั้น ตรงไหนละที่เราควรวาดเส้นแบ่ง? ด้วยระบบนี้ เราวัดความฉลาด ด้วยความรู้ทางภาษาอังกฤษ เป็นอะไรที่ค่อนข้างไร้เหตุผล (ปรบมือ) และฉันอยากเตือนคุณ ว่าเหล่ายักษ์บนไหล่ วันนี้ ความรู้ ยืนหยัดได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึงพาภาษาอังกฤษ พวกเขาเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษ อย่างกรณีของ ไอสไตน์ เขา ผู้ซึ่งเรียนซ่อมกับโรงเรียน เนื่องด้วยเขาเป็นโรคภาวะอ่านไม่เข้าใจ แต่เป็นเรื่องโชคดี สำหรับมนุษยชาติ ที่เขาไม่ต้องผ่านการสอบภาษาอังกฤษ เพราะมันไม่ได้เริ่ม จนกระทั้งปี คศ 1964 สำหรับ TOEFL แบบทดสอบภาษาอังกฤษของอเมริกา ตอนนี้มันเผยแพร่ไปทั่ว มีแบบทดสอบภาษาอังกฤษมากมาย และนักเรียนเป็นล้านล้านคนต่อปี ต้องสอบข้อสอบเหล่านี้ ตอนนี้คุณอาจคิดว่า คุณและฉันด้วย การจ่ายภาษีแบบนี้ มันก็โอเค ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่มันเป็นสิ่งขัดขวาง เหล่าคนจนหลายล้านคน เลยเป็นว่าพวกเราปฏิเสธพวกเขาโดยอัตโนมัต (ปรบมือ) มันทำให้นึกถึงหัวข้อข่าวที่เห็นบ่อย ๆ "การศึกษา: การแบ่งแยกอย่างชัดเจน" ตอนนี้ฉันเข้าใจความหมายแล้ว ฉันเข้าใจว่าทำไมผู้คน ถึงได้มุ่งเน้นไปที่ภาษาอังกฤษ พวกเขาต้องให้ลูกพวกเขา มีโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต และเพื่อสิ่งนี้แล้ว พวกเขาต้องการการศึกษาทางตะวันตก เพราะว่า แน่นอน ผู้ที่ได้งานดี ๆ คือคนที่จบจากมหาวิทยาลัยตะวันตก ดั่งที่ฉันได้พูดก่อนหน้านี้ สิ่งนี้มันเป็นวัฏจักร โอเค ให้ฉันเล่าเรื่อง เกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์สองคน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษสองคน พวกเขากำลังทำการทดลอง เกี่ยวกับพันธุกรรม แล้วก็เกี่ยวกับขาหน้าและหลังของสัตว์ แต่พวกเขาก็ไม่พบคำตอบที่ต้องการ พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จนกระทั้งนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันเข้ามา ที่สังเกตว่าพวกเขาใช้คำสองคำ แทน ขาหน้า และขาหลัง แต่ ทางพันธุศาสตร์แล้ว มันไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันในภาษาเยอรมัน ดังนั้น ปิ๊งป่อง ปริศนาคลีคลาย ถ้าคุณนึกอะไรไม่ออก คุณติดขัด แต่อีกภาษานึงกลับทำให้คิดออก ถ้างั้น ด้วยความร่วมมือ พวกเราจะสามารถเรียนรู้ และค้นพบอะไรอีกมากมาย ลูกสาวของฉัน บินกลับอังกฤษจากคูเวต เธอเรียนวิทยาศาตร์และคณิตศาสตร์ เป็นภาษาอาหรับ ซึ่งโรงเรียนนั้นใช้ภาษาอาหรับในการสอน เธอต้องแปลมันเป็นภาษาอังกฤษใน ตอนที่เธอเรียนมัธยม แต่เธอก็เรียนดีที่สุดในชั้นเรียน ในวิชาเหล่านั้น มันทำให้เรารู้ว่า เมื่อนักเรียนจากต่างชาติมาหาเรา พวกเราอาจจะไม่ได้ให้ความเชื่อถือเท่าที่ควร กับเรื่องต่าง ๆ ที่พวกเขารู้ ในสิ่งที่พวกเขารู้เป็นภาษาของเขาเอง และเมื่อภาษานั้นตาย เราไม่รู้เลยว่าเราเสียอะไรไปบ้างกับภาษานั้น นี่คือ ฉันไม่รู้ว่าพวกคุณดู CNN ช่วงนี้หรือเปล่า พวกเขาให้รางวัล ฮีโร่ อวอร์ด กับเด็กหนุ่มเลี้ยงแกะชาวเคนย่า ที่ไม่สามารถเรียนตอนกลางคืนในหมู่บ้านได้ เหมือนกับเด็กคนอื่นในหมู่บ้าน เพราะตะเกียงน้ำมันก๊าด มันมีควัน และมันก็ทำร้ายดวงตาเขา และอย่างไรก็ดี เขาก็มีน้ำมันก๊าดไม่เพียงพอ เพราะเงินเพียงดอลล่าเดียวต่อวัน เขาจะไปซื้ออะไรได้ ดังนั้นเขาเลยประดิษฐ์ ตะเกียงพลังงานแสงอาทิตย์ ฟรี ไม่คิดเงิน และในตอนนี้เด็ก ๆ ในหมู่บ้าน ได้เรียนได้ดีทัดเทียมกัน กับเด็กที่มีไฟฟ้าใช้ในบ้าน (ปรบมือ) ตอนที่เขาได้รับรางวัล เขากล่าวคำพูดที่น่ารักมาก "เด็ก ๆ สามารถนำแอฟริกา ทุกวันนี้ จากทวีปอันแสนมืด สู่ทวีปแห่งความสว่างไสว ควาามคิดเรียบง่าย แต่มันให้ผลดีอะไรมากมาย ผู้ที่ไม่มีแสงสว่าง ทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม ผู้ที่ไม่สามารถผ่านการทดสอบของเรา และพวกเราก็ไม่อาจรู้เลยว่าพวกเขารู้อะไรบ้าง จงอย่า ให้พวกเขา และ เรา ให้อยู่ในความมืดเลย แต่จงยินดี ในความหลากหลาย โปรดตระหนักถึงภาษาของคุณ ใช้มันเพื่อถ่ายทอดความคิดดี ๆ เถอะคะ (เสียงปรบมือ) ขอบคุณมากคะ (เสียงปรบมือ)