WEBVTT 00:00:00.000 --> 00:00:03.000 สำหรับผมแล้ว พวกเรื่องวิกฤตชีวิตทำงานเกิดขึ้นได้เสมอ 00:00:03.000 --> 00:00:05.000 แล้วก็มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆในช่วงค่ำๆวันอาทิตย์ครับ 00:00:05.000 --> 00:00:07.000 พอพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า 00:00:07.000 --> 00:00:10.000 สิ่งที่เป็นความหวังของผม 00:00:10.000 --> 00:00:14.000 กับความเป็นจริงในชีวิตผม เริ่มแยกห่างจากกันไปคนละทิศละทาง 00:00:14.000 --> 00:00:17.000 ซึ่งในตอนท้ายสุด ผมก็ถึงกับซุกหน้าน้ำตาเล็ดกับหมอนบ่อยๆเลยเหมือนกันครับ 00:00:17.000 --> 00:00:19.000 ที่ผมพูดถึงเรื่องอะไรพวกเนี่ย 00:00:19.000 --> 00:00:22.000 ที่ผมพูดถึงเรื่องทำนองนี้ ก็เพราะผมไม่คิดว่ามันเป็นเพียงปัญหาเฉพาะบุคคลครับ 00:00:22.000 --> 00:00:24.000 คุณอาจมองว่าผมคิดผิดก็ได้ 00:00:24.000 --> 00:00:26.000 แต่ผมว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่ชีวิตเรามักจะ 00:00:26.000 --> 00:00:28.000 ถูกขัดจังหวะด้วยวิกฤตชีิวิตการทำงานครับ 00:00:28.000 --> 00:00:30.000 ในจังหวะที่ เราคิดว่าเรารู้อะไรดีแล้ว 00:00:30.000 --> 00:00:32.000 เกี่ยวกับชีวิตของเรา เกี่ยวกับอาชีิพการงานของเรา 00:00:32.000 --> 00:00:36.000 กลับมีความเป็นจริงของชีวิตอีกแบบหนึ่งรุกคืบเข้ามาเสียงั้น NOTE Paragraph 00:00:36.000 --> 00:00:39.000 บางที สมัยนี้ การดำรงชีวิตให้ได้ดีอาจจะทำได้ง่ายกว่าในสมัยก่อนๆก็ได้ครับ 00:00:39.000 --> 00:00:42.000 แต่บางทีมันก็อาจจะยากกว่าสมัยอื่นๆ 00:00:42.000 --> 00:00:45.000 ที่จะทำใจให้สบาย ให้ผ่อนคลายจากความวิตกกังวลเรื่องการงาน 00:00:45.000 --> 00:00:47.000 ผมก็เลยอยากจะค้นหาคำตอบ หากว่าผมทำได้อ่ะนะครับ 00:00:47.000 --> 00:00:49.000 ว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่เป็นต้นเหตุ 00:00:49.000 --> 00:00:52.000 ให้เราต้องมานั่งวิตกกังวลกับหน้าที่การงานของเรา 00:00:52.000 --> 00:00:54.000 เพราะอะไร เราถึงอาจจะต้องประสบกับภาวะวิกฤตในอาชีพการงานอะไรพวกเนี่ย 00:00:54.000 --> 00:00:58.000 ก็อย่างที่เราต้องมุดหน้าน้ำตาเล็ดกับหมอนไงครับ 00:00:58.000 --> 00:01:01.000 เหตุหนึ่งที่ให้เราต้องมาทุกข์ทนกับเรื่องพวกเนี่ย 00:01:01.000 --> 00:01:03.000 ก็เพราะรอบตัวเราล้วนเต็มไปพวกหัวสูงครับ NOTE Paragraph 00:01:03.000 --> 00:01:06.000 ตอนนี้ผมก็มีข่าวร้ายบางอย่างครับ 00:01:06.000 --> 00:01:09.000 โดยเฉพาะสำหรับท่านที่เป็นชาวต่างชาติที่มาอ็อกซ์ฟอร์ดนี่ (Oxford, UK) 00:01:09.000 --> 00:01:11.000 เรื่องหัวสูงเจ้ายศเจ้าอย่างเนี่ยเป็นปัญหาของแท้ครับ 00:01:11.000 --> 00:01:13.000 เพราะบางที คนที่ไม่ใช่ชาวอังกฤษมักจะพากันคิด 00:01:13.000 --> 00:01:15.000 พากันจินตนาการว่าความหัวสูงเจ้ายศเจ้าอย่างเป็นปรากฎการณ์เฉพาะในอังกฤษ 00:01:15.000 --> 00:01:18.000 เพราะนึกไปถึงเคหาสห์สุดหรูในชนบทกับยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรพวกนั้น 00:01:18.000 --> 00:01:20.000 ข่าวร้ายก็คือว่า ความจริงไม่ได้มีแค่นั้น 00:01:20.000 --> 00:01:22.000 ความหัวสูงเจ้ายศเจ้าอย่างนับว่าเป็นปรากฎการณ์ระดับโลกทีเดียวครับ 00:01:22.000 --> 00:01:24.000 โลกของเราก็เหมือนองค์กรใหญ่ๆองค์กรหนึ่ง และนี่ก็เป็นปรากฎการณ์ระดับโลก 00:01:24.000 --> 00:01:26.000 ซึ่งมีอยู่จริง แต่ว่าคนหัวสูงที่ว่านี่เป็นอะไรยังไงล่ะ 00:01:26.000 --> 00:01:29.000 คนหัวสูงเจ้ายศเจ้าอย่างก็คือคนที่หยิบแค่บางเสี้ยวบางส่วนของความเป็นคุณ 00:01:29.000 --> 00:01:32.000 แล้วเอามาสรุปเหมารวมแล้วว่าคุณเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ 00:01:32.000 --> 00:01:34.000 นั่นแหละครับ หัวสูงเจ้ายศเจ้าอย่างหละ NOTE Paragraph 00:01:34.000 --> 00:01:36.000 และพวกหัวสูงบ้าเห่อประเภทที่เห็นกันชัดๆเลย 00:01:36.000 --> 00:01:38.000 ที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็คือพวกหัวสูงด้านอาชีิพการงานไงครับ 00:01:38.000 --> 00:01:40.000 อย่างในงานเลี้ยงเนี่ย แป่บเดียว คุณก็สังเกตุพวกนี้ออกครับ 00:01:40.000 --> 00:01:43.000 คนพวกเนี่ยจะถามคุณด้วยคำถามยอดนิยม 00:01:43.000 --> 00:01:46.000 ประจำต้นศตวรรษที่ 21 ว่า "ตอนนี้คุณกำลังทำงานอะไร?" 00:01:46.000 --> 00:01:48.000 ทีนี้ ก็จะขึ้นอยู่กับว่าคุณตอบพวกเขาไปยังไง 00:01:48.000 --> 00:01:50.000 พวกเขาอาจทำท่ายินดีเสียนี่กระไรที่ได้เจอคุณ 00:01:50.000 --> 00:01:52.000 หรือไม่อีกทีก็ทำทีดูนาฬิกาข้อมือแล้วขอปลีกตัว 00:01:52.000 --> 00:01:53.000 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:01:53.000 --> 00:01:56.000 อืม..ต่อนะครับ... ที่อยู่คนละฟากกันกับพวกหัวสูงบ้าเห่อก็คือคุณแม่ของคุณครับ 00:01:56.000 --> 00:01:58.000 (เสียงหัวเราะ) 00:01:58.000 --> 00:02:01.000 ไม่จำเป็นว่าจะเป็นคุณแม่ของคุณ หรือแม้แต่ของผมก็ตาม 00:02:01.000 --> 00:02:03.000 แต่หมายถึง คุณแม่ในอุดมคติครับ 00:02:03.000 --> 00:02:05.000 ก็คือคนที่ไม่แคร์เรื่องความสำเร็จของคุณ 00:02:05.000 --> 00:02:07.000 แต่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่ใช่คุณแม่ของเรา 00:02:07.000 --> 00:02:10.000 คนส่วนใหญ่มักจะหาทางเทียบว่าจะให้เวลาเราเท่าไหร่ 00:02:10.000 --> 00:02:12.000 หรือจะเอาเป็นแบบว่า จะรักเราเท่าไหร่ ไม่ใช่รักหวานซึ้งนะครับ 00:02:12.000 --> 00:02:14.000 แม้ว่ามันอาจจะมีความหมายบางอย่างอยู่ 00:02:14.000 --> 00:02:16.000 แต่ผมหมายถึงความรักแบบทั่วๆไปนะครับ และจะนับถือเราเท่าไหร่ 00:02:16.000 --> 00:02:19.000 อย่างที่พวกเขาจะเต็มใจมีให้กับเรานั้นเป็นไปตามที่พวกเขาจะมองว่า 00:02:19.000 --> 00:02:21.000 สถานะของเราอยู่ตรงชั้นไหนขั้นไหนในระดับชั้นของสังคม NOTE Paragraph 00:02:21.000 --> 00:02:24.000 และมีเหตุผลอีกมากที่ทำให้เราต้องกังวลสนใจเกี่ยวกับอาชีพการงานของเราเสียเหลือเกิน 00:02:24.000 --> 00:02:28.000 และอันที่จริงแล้ว ก็ทำให้เริ่มกังวลสนใจมากขึ้นในพวกวัตถุสิ่งของ 00:02:28.000 --> 00:02:31.000 คุณทราบดีใช่ไหมครับ มีการกล่าวกันอยู่เสมอว่าเราอยู่ในยุควัตถุนิยม 00:02:31.000 --> 00:02:33.000 และเราเป็นคนโลภ 00:02:33.000 --> 00:02:35.000 ผมไม่คิดว่าเราเป็นเฉพาะแต่วัตถุนิยม 00:02:35.000 --> 00:02:37.000 ผมคิดว่าเราอยู่ในสังคม 00:02:37.000 --> 00:02:39.000 ที่ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาเป็นผลตอบแทน 00:02:39.000 --> 00:02:42.000 กับการได้มาซึ่งวัตถุสิ่งของ 00:02:42.000 --> 00:02:45.000 เราไม่ได้ต้องการซึ่ีงวัตถุสิ่งของหรอก แต่เราต้องการผลตอบแทนนั้นต่างหาก 00:02:45.000 --> 00:02:47.000 และนั่นก็คือ วิธีมองสินค้าหรูหราวิธีใหม่ครับ 00:02:47.000 --> 00:02:49.000 คราวหน้าถ้าคุณเห็นใครขับรถเฟอร์รารี่ 00:02:49.000 --> 00:02:51.000 อย่าไปคิดว่า "ช่างเป็นคนโลภมากเสียจริง" 00:02:51.000 --> 00:02:54.000 ลองคิดว่า "นี่คือคนที่เปราะบางอย่างไม่น่าเชื่อและต้องการความรักขั้นรุนแรง" 00:02:54.000 --> 00:02:59.000 หรือพูดอีกอย่าง -- (เสียงหัวเราะ) 00:02:59.000 --> 00:03:01.000 คือให้คิดเห็นอกเห็นใจ ดีกว่าที่จะไปดูถูกเขา NOTE Paragraph 00:03:01.000 --> 00:03:03.000 มีเหตุผลอื่นอีกนะครับ -- 00:03:03.000 --> 00:03:04.000 (เสียงหัวเราะ) 00:03:04.000 --> 00:03:06.000 มีเหตุผลอื่นอีกที่จะอธิบายว่าทำไมจึงได้ยากมากขึ้นในยุคปัจจุบัน 00:03:06.000 --> 00:03:08.000 เกินที่จะทำใจเย็นเหมือนสมัยก่อนนี้ได้ 00:03:08.000 --> 00:03:11.000 มีเหตุผลหนึ่ง ซึ่งขัดแย้งในตัวมันเองด้วยเพราะว่ามันไปเชื่อมโยงอยู่กับข้อดีบางอย่าง 00:03:11.000 --> 00:03:14.000 นั่นคือความหวังที่เรามีต่ออาชีพการงานของเรา 00:03:14.000 --> 00:03:16.000 ก่อนนี้ความคาดหวังไม่เคยสูงเช่นนี้มาก่อน 00:03:16.000 --> 00:03:19.000 ถึงสิ่งที่คนๆหนึ่งจะทำให้สำเร็จบรรลุได้ในช่วงชีวิตหนึ่ง 00:03:19.000 --> 00:03:22.000 ใครๆก็บอกเราว่า คนเราใครๆก็สามารถประสบความสำเร็จได้ทั้งนั้น 00:03:22.000 --> 00:03:24.000 ไม่มีคำว่าชนชั้นวรรณะอีกแล้ว 00:03:24.000 --> 00:03:26.000 ตอนนี้ จะเป็นใครก็สามารถถีบตัวเองขึ้นมาได้ทั้งนั้น 00:03:26.000 --> 00:03:28.000 ขึ้นไปยังตำแหน่งที่ใฝ่จะได้ 00:03:28.000 --> 00:03:30.000 เป็นความคิดที่สวยงามทีเดียวครับ 00:03:30.000 --> 00:03:34.000 สิ่งที่ตามติดมาด้วยคือจิตวิญญาณแห่งความเท่าเทียมกัน โดยพื้นฐานแล้วคนเราเท่าเทียมกัน 00:03:34.000 --> 00:03:36.000 ไม่มีคำนิยามที่รัดกุม 00:03:36.000 --> 00:03:38.000 ถึงลำดับชั้นฐานันดร NOTE Paragraph 00:03:38.000 --> 00:03:40.000 มีปัญหาหนึ่งที่ใหญ่โตมาก 00:03:40.000 --> 00:03:42.000 ปัญหานั้นก็คือ ความอิจฉาริษยา ครับ 00:03:42.000 --> 00:03:45.000 ความอิจฉาริษยา ถือเป็นคำต้องห้ามไม่ให้พูดถึงครับ 00:03:45.000 --> 00:03:48.000 แต่มีอารมณ์หนึ่งที่ครอบงำในสังคมยุคใหม่ นั่นก็คือ ความอิจฉาริษยา นี่แหละครับ 00:03:48.000 --> 00:03:52.000 และมันก็ยังเชื่อมโยงเข้ากับจิตวิญญาณแห่งความเท่าเทียมกันอีกด้วย ให้ผมอธิบายนะครับ 00:03:52.000 --> 00:03:55.000 ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ปกติมากเลยสำหรับท่านที่อยู่ที่นี่และท่านที่กำลังดูอยู่ด้วย 00:03:55.000 --> 00:03:57.000 ที่จะไปอิจฉาริษยาสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ 00:03:57.000 --> 00:04:00.000 แม้ว่าพระองค์ท่านจะร่ำรวยกว่าพวกคุณทุกคนมาก 00:04:00.000 --> 00:04:03.000 และพระองค์ท่านก็ยังมีที่ประทับเป็นพระราชวังหลังใหญ่เบ้อเริ่ม 00:04:03.000 --> 00:04:07.000 เหตุผลที่เราไม่อิจฉาริษยาพระองค์ท่านก็เพราะพระองค์แปลกประหลาดเกินไป 00:04:07.000 --> 00:04:09.000 พระองค์ก็เพียงแตกต่างมากเกินไป 00:04:09.000 --> 00:04:11.000 เราไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับพระองค์เลย พระองค์ทรงตรัสอะไรที่น่าขัน 00:04:11.000 --> 00:04:13.000 พระองค์ทรงมาจากสถานที่อันแปลกประหลาด 00:04:13.000 --> 00:04:17.000 ดังนั้นเราจึงไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับพระองค์ และเมื่อเราไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับใครสักคน เราก็จะไม่ไปอิจฉาริษยาเขา NOTE Paragraph 00:04:17.000 --> 00:04:20.000 ยิ่งคนสองคนมีความใกล้เคียงกัน ทั้งในเรื่องอายุ ในพื้นเพความเป็นมา 00:04:20.000 --> 00:04:23.000 และในกระบวนการที่บ่งยอกความเป็นตัวตนมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีโอกาสเกิดความอิจฉาริษยามากขึ้นเท่านั้น 00:04:23.000 --> 00:04:26.000 ซึ่งก็เหมือนประจวบเหมาะกันเลยว่าทำไมพวกคุณไม่ควรไปงานเลี้ยงชุมนุมศิษย์เก่า 00:04:26.000 --> 00:04:29.000 ก็เพราะมันไม่มีจุดเชื่อมโยงที่แข็งแรงพอ 00:04:29.000 --> 00:04:31.000 ไม่เหมือนกับคนที่เคยเรียนด้วยกันมาก่อน 00:04:31.000 --> 00:04:34.000 แต่อันที่จริงแล้ว ปัญหาของสังคมสมัยใหม่ ก็คือมันเปลี่ยนโลกทั้งใบ 00:04:34.000 --> 00:04:36.000 ให้กลายเป็นโรงเรียน ทุกคนต่างก็ใส่กางเกงยีนส์ ทุกคนดูเหมือนกันหมด 00:04:36.000 --> 00:04:38.000 แต่อันที่จริง ก็ไม่เหมือนกันหรอก 00:04:38.000 --> 00:04:41.000 ดังนั้นมันจึงมีจิตวิญญาณแห่งความเท่าเทียมกัน ผสมไปด้วยความไม่เท่าเทียมกันลึกๆ 00:04:41.000 --> 00:04:44.000 ซึ่งทำให้เกิด -- ซึ่งจะทำให้เกิดสถานการณ์ที่ตึงเครียดอย่างมาก NOTE Paragraph 00:04:44.000 --> 00:04:46.000 ทุกวันนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะ 00:04:46.000 --> 00:04:48.000 กลายเป็นคนร่ำรวยและมีชื่อเสียงเช่นเดียวกับ บิล เกตส์ (ฺBill Gates) 00:04:48.000 --> 00:04:50.000 เช่นเดียวกับที่ แทบเป็นไม่ได้เลยในศตวรรษที่ 17 00:04:50.000 --> 00:04:53.000 ที่คุณจะไต่ไปถึงการเป็นชนชั้นสูงชาวฝรั่งเศส 00:04:53.000 --> 00:04:55.000 แต่ประเด็นคือ ความคิดความรู้สึกพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง 00:04:55.000 --> 00:04:58.000 แต่ถูกสร้างขึ้น โดยนิตยสารและสื่ออื่น ๆ 00:04:58.000 --> 00:05:01.000 ว่าถ้าคุณมีพลังมากพอ มีความคิดสุดบรรเจิดในด้านเทคโนโลยี 00:05:01.000 --> 00:05:05.000 และมีโรงเก็บรถ คุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สามารถจะสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ 00:05:05.000 --> 00:05:06.000 (เสียงหัวเราะ) 00:05:06.000 --> 00:05:09.000 และผลพวงของปัญหานี้ก็ไปโผล่ในร้านหนังสือโน่นครับ 00:05:09.000 --> 00:05:12.000 เมื่อคุณไปที่ร้านหนังสือใหญ่ ๆ และไปเดินดูตามแผนกหนังสือพัฒนาตนเอง (self-help) 00:05:12.000 --> 00:05:14.000 ก็เหมือนกับที่ผมเองบางครั้งก็ทำ 00:05:14.000 --> 00:05:16.000 ถ้าคุณวิเคราะห์หนังสือพวกการช่วยเหลือตัวเองที่ถูกผลิตขึ้นมา 00:05:16.000 --> 00:05:18.000 ในโลกทุกวันนี้ พื้นๆเลยจะมีอยู่สองประเภท 00:05:18.000 --> 00:05:21.000 ประเภทแรกจะบอกคุณว่า "คุณทำได้! คุณสร้างมันขึ้นมาได้! ทุกอย่างเป็นไปได้!" 00:05:21.000 --> 00:05:24.000 และอีกประเภทหนึ่งก็จะบอกวิธีการที่คุณสามารถแก้ไข 00:05:24.000 --> 00:05:27.000 กับสิ่งที่เราอาจจะเรียกอย่างสุภาพได้ว่า "ความเชื่อมั่นในตัวเองต่ำ" 00:05:27.000 --> 00:05:29.000 หรือเรียกอย่างบ้านๆได้ว่า "รู้สึกย่ำแย่กับตัวเอง" NOTE Paragraph 00:05:29.000 --> 00:05:31.000 มีความสัมพันธ์กันอย่างเหนี่ยวแน่นครับ 00:05:31.000 --> 00:05:35.000 ความสัมพันธ์กันระหว่างสังคมที่บอกผู้คนว่าพวกเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง 00:05:35.000 --> 00:05:37.000 และการมีอยู่ของความมั่นใจตัวเองต่ำ 00:05:37.000 --> 00:05:39.000 ดังนั้น หนทางที่บางครั้งค่อนข้างเป็นแง่บวก 00:05:39.000 --> 00:05:41.000 ก็อาจมีผลสะท้อนกลับที่อันตรายได้ 00:05:41.000 --> 00:05:44.000 ยังมีเหตุผลอื่นอีกที่ว่าเหตุใดเราจึงรู้สึกเป็นกังวลมากขึ้น 00:05:44.000 --> 00:05:48.000 เกี่ยวกับอาชีพการงานของเรา เกี่ยวกับสถานภาพของเราในโลกปัจจุบัน กว่าในสมัยก่อนมาก 00:05:48.000 --> 00:05:50.000 และมันก็ไปเชื่อมโยงกับอะไรบางอย่างที่ดีมาก อีกเช่นเคย 00:05:50.000 --> 00:05:53.000 และสิ่งดีที่ว่าก็คือ ระบบการให้รางวัลตามความสามารถ NOTE Paragraph 00:05:53.000 --> 00:05:55.000 ตอนนี้ทุกคน นักการเมืองทุกคนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา 00:05:55.000 --> 00:05:57.000 ต่างก็เห็นด้วยว่าระบบการให้รางวัลตามความสามารถเป็นสิ่งที่ดี 00:05:57.000 --> 00:06:01.000 และเราก็ควรจะพยายามทำให้สังคมของเราเป็นระบบที่มีการให้รางวัลตามความสามารถจริงๆ 00:06:01.000 --> 00:06:05.000 ถ้าจะให้อธิบายอีกอย่างล่ะก็ สังคมที่ให้รางวัลตามความสามารถคืออะไรล่ะครับ? 00:06:05.000 --> 00:06:07.000 สังคมที่ให้รางวัลตามความสามารถก็คือสังคมที่ 00:06:07.000 --> 00:06:09.000 ถ้าคุณมีพรสวรรค์ มีพลัง และมีทักษะ 00:06:09.000 --> 00:06:11.000 คุณสามารถไต่ขึ้นไปจนถึงระดับยอดได้ ไม่ควรมีอะไรที่ถ่วงรั้งคุณไว้ 00:06:11.000 --> 00:06:14.000 เป็นแนวคิดที่สวยงามครับ แต่ปัญหาก็คือ 00:06:14.000 --> 00:06:16.000 ถ้าคุณเชื่อในความเป็นสังคม 00:06:16.000 --> 00:06:19.000 ที่เฉพาะคนที่คู่ควรกับการไปถึงจุดสูงสุด ไปถึงจุดสูงสุดได้ 00:06:19.000 --> 00:06:22.000 โดยนัยยะกลับกันไปในทางลบสุดกู่ ก็จะตีความได้ว่า คุณก็จะ 00:06:22.000 --> 00:06:25.000 เชื่อในความเป็นสังคมที่ว่า คนที่สมควรอยู่ข้างล่าง 00:06:25.000 --> 00:06:28.000 ก็ต้องไปจมอยู่ข้างล่างโน่น 00:06:28.000 --> 00:06:31.000 หรืออธิบายอีกแบบก็คือ สถานะของชีวิตคุณจะเสมือนว่าไม่ได้เป็นโดยบังเอิญ 00:06:31.000 --> 00:06:33.000 แต่เป็นไปตามความสามารถและความเหมาะสม 00:06:33.000 --> 00:06:36.000 และนั่นยิ่งทำให้ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ทำให้บีบคั้นมากขึ้น NOTE Paragraph 00:06:36.000 --> 00:06:38.000 คุณทราบใช่ไหมครับ อังกฤษในยุคกลาง 00:06:38.000 --> 00:06:40.000 เมื่อคุณเห็นคนจน 00:06:40.000 --> 00:06:43.000 คนๆ นั้นจะถูกมองว่าเป็น "คนโชคร้าย" 00:06:43.000 --> 00:06:47.000 ความหมายโดยคำศัพท์คือ มีบางคนไม่ได้พรจากโชคชะตา นั่นก็คือโชคร้ายนั่นเองครับ 00:06:47.000 --> 00:06:49.000 ทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา 00:06:49.000 --> 00:06:51.000 ถ้าคุณเห็นใครอยู่ระดับล่างของสังคม 00:06:51.000 --> 00:06:54.000 พวกเขาอาจถูกเรียกอย่างใจร้ายว่า "คนขี้แพ้" 00:06:54.000 --> 00:06:57.000 มันมีความแตกต่างอันสำคัญระหว่าง คนโชคร้ายและคนขี้แพ้ 00:06:57.000 --> 00:07:00.000 และนี่ก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการ 400 ปีของสังคม 00:07:00.000 --> 00:07:03.000 และพัฒนาการความเชื่อของเราที่ว่าใครกันจะเป็นผู้รับผิดชอบชีวิตเรา 00:07:03.000 --> 00:07:06.000 ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าอีกต่อไป แต่เป็นตัวเรา เรานี่แหละที่นั่งในตำแหน่งคนขับครับ NOTE Paragraph 00:07:06.000 --> 00:07:08.000 ก็จะเป็นความสุขเบิกบานใจถ้าคุณทำได้ดี 00:07:08.000 --> 00:07:10.000 แต่ย่อมบีบคั้นมากเลย ถ้าเกิดคุณทำได้ไม่ดีขึ้นมา 00:07:10.000 --> 00:07:13.000 ซึ่งตามการวิเคราะห์ของนักสังคมวิทยา ก็จะเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุด 00:07:13.000 --> 00:07:17.000 อย่าง เอมิล เดอร์ไคม์ (Emil Durkheim) มองว่าเป็นกรณีที่จะทำให้อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้น 00:07:17.000 --> 00:07:20.000 กลุ่มประเทศที่พัฒนาเรื่องปัจเจกนิยมอย่างเต็มขั้นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่า 00:07:20.000 --> 00:07:22.000 ประเทศอื่นๆในโลก 00:07:22.000 --> 00:07:24.000 และเหตุอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ก็คือคนมักจะถือเอาสิ่งที่เกิดขึ้น 00:07:24.000 --> 00:07:26.000 กับตัวเองเป็นเรื่องส่วนตัวของตัวเองล้วนๆ 00:07:26.000 --> 00:07:30.000 ความสำเร็จเกิดขึ้นก็เพราะตัวเองเพียงผู้เดียว ในขณะเดียวความล้มเหลวก็เกิดเพราะตัวเองล้วนๆด้วย NOTE Paragraph 00:07:30.000 --> 00:07:32.000 มีอะไรบ้างไหมที่จะคลายความกดดันพวกนี้ 00:07:32.000 --> 00:07:34.000 อย่างอันที่ผมได้เกริ่นไป? 00:07:34.000 --> 00:07:36.000 ผมว่า มีครับ ผมจะลองพูดถึงสักสองสามหนทางก็แล้วกันครับ 00:07:36.000 --> 00:07:38.000 ขอพูดเรื่องหลักการตอบแทนตามความสามารถก่อน 00:07:38.000 --> 00:07:41.000 แนวคิดนี้พูดถึงการที่ทุกคนจะได้สิ่งที่สมควรได้ 00:07:41.000 --> 00:07:44.000 ผมว่านี่เป็นแนวคิดที่พิลึกมาก พิลึกสมบูรณ์แบบ 00:07:44.000 --> 00:07:46.000 ผมจะสนับสนุนนักการเมืองคนใดก็ได้ไม่ว่าจะฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา 00:07:46.000 --> 00:07:48.000 ที่เสนอทางสายกลางของแนวคิดการตอบแทนตามความสามารถที่เหมาะสม 00:07:48.000 --> 00:07:50.000 ผมจัดว่าเป็นพวกหลักการตอบแทนตามความสามารถในลักษณะนั้นครับ 00:07:50.000 --> 00:07:52.000 แต่ผมคิดว่าเป็นเรื่องไร้เหตุผลที่จะเชื่อว่าเราจะสามารถ 00:07:52.000 --> 00:07:56.000 สร้างสังคมที่ใช้หลักการตอบแทนตามความสามารถอย่างแท้จริง มันเป็นความฝันที่เป็นไปไม่ได้ NOTE Paragraph 00:07:56.000 --> 00:07:58.000 แนวคิดที่จะทำให้เราสร้างสังคมที่ 00:07:58.000 --> 00:08:00.000 ความหมายตามศัพท์แล้ว ทุกคนจะถูกจัดลำดับคะแนน 00:08:00.000 --> 00:08:02.000 คนได้คะแนนดีอยู่ข้างบน คนได้คะแนนแย่อยู่ด้านล่าง 00:08:02.000 --> 00:08:04.000 และการทำตามนั้นโดยเคร่งครัด เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ 00:08:04.000 --> 00:08:06.000 เพราะว่ามีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เต็มไปหมด 00:08:06.000 --> 00:08:08.000 อุบัติเหตุเอย อุบัติการณ์จากชาติกำเนิดเอย 00:08:08.000 --> 00:08:11.000 อุบัติเหตุจากสิ่งของตกใส่หัวเอย ความเจ็บไข้ได้ป่วยเอย และอะไรต่อมิอะไร 00:08:11.000 --> 00:08:13.000 เราจะไม่มีวันจัดอันดับคะแนนผู้คนได้ 00:08:13.000 --> 00:08:15.000 ไม่มีวันให้ระดับคะแนนกับผู้คนตามที่ควรเป็น NOTE Paragraph 00:08:15.000 --> 00:08:18.000 ผมขอกล่าวถึงคำพูดที่น่าชื่นชมของ นักบุญออกัสตินใน "เมืองแห่งเทพเจ้า" (The City of God) 00:08:18.000 --> 00:08:22.000 ซึ่งท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า "มันเป็นบาปที่จะตัดสินผู้คนตามตำแหน่ง" 00:08:22.000 --> 00:08:24.000 ในภาษา(อังกฤษ)สมัยใหม่อาจตีความว่า 00:08:24.000 --> 00:08:26.000 มันเป็นบาป ที่คุณจะมีมุมมองต่อคนที่คุณคุยด้วย 00:08:26.000 --> 00:08:28.000 จากสิ่งที่ปรากฏในนามบัตรของเขา 00:08:28.000 --> 00:08:30.000 เราไม่สามารถวัดใครจากแค่ตำแหน่งได้หรอก 00:08:30.000 --> 00:08:32.000 และตามคำของท่านนักบุญออกัสติน 00:08:32.000 --> 00:08:34.000 มีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่จะจับผู้คนใส่ในตำแหน่งที่ควรเป็น 00:08:34.000 --> 00:08:36.000 และท่านจะทรงกระทำเช่นนั้นในวันสิ้นโลก (Day of Judgement) 00:08:36.000 --> 00:08:38.000 พร้อมทวยเทพประโคมปี่แตร และท้องฟ้าก็จะเปิดออก 00:08:38.000 --> 00:08:41.000 มันเป็นแนวคิดที่ไร้สาระถ้าคุณเป็นคนไม่เอาพระคัมภีร์เท่าไหร่อย่างผม 00:08:41.000 --> 00:08:43.000 แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดนั้นก็ยังมีอะไรบางอย่างที่มีคุณค่าครับ NOTE Paragraph 00:08:43.000 --> 00:08:47.000 หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ จงอย่าด่วนตัดสินผู้อื่น 00:08:47.000 --> 00:08:50.000 คุณอาจไม่จำต้องทราบก็ได้ว่าคุณค่าที่แท้จริงของใครคืออะไร 00:08:50.000 --> 00:08:52.000 นั่นเป็นส่วนที่คุณไม่อาจไปล่วงรู้ 00:08:52.000 --> 00:08:55.000 และเราก็ไม่ควรทำเหมือนกับว่าเรารู้ด้วยครับ 00:08:55.000 --> 00:08:58.000 เพราะมันเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่เป็นเครื่องปลอบขวัญและปลอบโยนเขา 00:08:58.000 --> 00:09:01.000 เมื่อเราครุ่นคิดถึงความผิดพลาดในชีวิต เมื่อเราคิดถึงความล้มเหลว 00:09:01.000 --> 00:09:03.000 เหตุผลประการหนึ่งที่เรากลัวความล้มเหลวไม่เพียงเพราะ 00:09:03.000 --> 00:09:05.000 เราต้องขาดรายได้ สูญเสียซึ่งสถานภาพ 00:09:05.000 --> 00:09:09.000 สิ่งที่เรากลัวคือการถูกตัดสินและถูกเหยียดหยันจากคนอื่น และมันก็เกิดขึ้นจริง NOTE Paragraph 00:09:09.000 --> 00:09:11.000 คุณทราบไหมครับ องค์กรอันดับหนึ่งที่ชอบเหยียดหยัน 00:09:11.000 --> 00:09:13.000 ในทุกวันนี้ก็คือหนังสือพิมพ์ 00:09:13.000 --> 00:09:15.000 และถ้าคุณเปิดหนังสือพิมพ์อ่านในแต่ละวัน 00:09:15.000 --> 00:09:17.000 มันเต็มไปด้วยเรื่องของคนที่ผจญกับเรื่องร้ายๆในชีวิต 00:09:17.000 --> 00:09:20.000 พวกเขามีเพศสัมพันธ์แบบผิดฝาผิดตัว พวกเขาลองใช้สารเคมีที่ไม่ถูกต้อง 00:09:20.000 --> 00:09:22.000 พวกเขาออกกฎหมายผิดที่ผิดทาง อะไรก็แล้วแต่ 00:09:22.000 --> 00:09:25.000 และนั่นก็เหมาะกับการถูกเหยียดหยัน 00:09:25.000 --> 00:09:28.000 ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาล้มเหลว และพวกเขาก็ถูกมองว่าเป็น "พวกขี้แพ้" 00:09:28.000 --> 00:09:30.000 แล้วตอนนี้เรามีทางเลือกอื่นไหม? 00:09:30.000 --> 00:09:32.000 ผมคิดว่าธรรมเนียมทางตะวันตกแสดงให้เราเห็นถึงทางเลือกที่ยอดเยี่ยมอันหนึ่ง 00:09:32.000 --> 00:09:35.000 และนั่นก็คือโศกนาฏกรรม NOTE Paragraph 00:09:35.000 --> 00:09:38.000 วิปโยคศิลป์ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นในโรงละครกรีกโบราณ 00:09:38.000 --> 00:09:40.000 ในช่วงศตวรรษที่ห้าก่อนคริตสกาล มันเป็นรูปลักษณ์ทางศิลปะอย่างแท้จริง 00:09:40.000 --> 00:09:43.000 ซึ่งอุทิศให้กับการติดตามดูว่าผู้คนล้มเหลวยังไง 00:09:43.000 --> 00:09:47.000 และยังคงโอบอุ้มด้วยระดับแห่งความเอื้ออาทรครับ 00:09:47.000 --> 00:09:51.000 ซึ่งชีวิตประจำวันอาจจะไม่มีความอาทรเช่นนั้น 00:09:51.000 --> 00:09:52.000 เมื่อสองสามปีก่อนผมยังจำตอนที่ผมคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้ 00:09:52.000 --> 00:09:54.000 แล้วผมก็ไปที่สำนักงานของ "เดอะซันเดย์สปอร์ต (The Sunday Sport)" 00:09:54.000 --> 00:09:57.000 มันเป็นหนังสือพิมพ์แบบจุลสารที่ผมจะไม่แนะนำให้คุณอ่าน 00:09:57.000 --> 00:09:59.000 ถ้าคุณยังไม่เคยเห็นเคยอ่านมาแล้วอะนะ 00:09:59.000 --> 00:10:01.000 ผมได้ลองไปคุยกับพวกเขา 00:10:01.000 --> 00:10:04.000 เกี่ยวกับเรื่องโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่ของศิลปะตะวันตก 00:10:04.000 --> 00:10:06.000 และผมต้องการดูว่าพวกเขาจับใจความสำคัญ 00:10:06.000 --> 00:10:09.000 ของเรื่องราวที่มาในรูปแบบของข่าว 00:10:09.000 --> 00:10:12.000 ที่วางบนโต๊ะข่าวในช่วงบ่ายวันเสาร์ได้อย่างไร NOTE Paragraph 00:10:12.000 --> 00:10:14.000 ผมได้เล่าเรื่องโอเทลโล (Othello) ให้พวกเขาฟัง พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้แต่ก็ชื่นชอบมาก 00:10:14.000 --> 00:10:15.000 (เสียงหัวเราะ) 00:10:15.000 --> 00:10:18.000 และผมขอให้พวกเขาลองพาดหัวเรื่องของโอเทลโล 00:10:18.000 --> 00:10:21.000 พวกเขาก็พาดหัวว่า "หนุ่มลี้ภัยคลั่งรัก เชือดบุตรี ส.ว." 00:10:21.000 --> 00:10:23.000 พาดหัวช่างดึงความสนใจได้จริงๆ 00:10:23.000 --> 00:10:25.000 ผมลองเล่าเค้าเรื่อง คุณนายโบวารี (Madame Bovary) 00:10:25.000 --> 00:10:27.000 หนังสือเรื่องนี้ก็ทำให้พวกเขาหลงเสน่ห์อีกนั่นล่ะ 00:10:27.000 --> 00:10:32.000 แล้วพวกเขาก็พาดหัวว่า "สาวชู้นักช้อปกลืนยาฆ่าตัว หลังพบหนี้ล้น" 00:10:32.000 --> 00:10:33.000 (เสียงหัวเราะ) 00:10:33.000 --> 00:10:35.000 แล้วคราวนี้ก็ถึงเรื่องโปรดของผม 00:10:35.000 --> 00:10:37.000 พวกเขาดูเป็นอัจฉริยะในแนวทางของตนเองเสียจริง คนพวกเนี่ย 00:10:37.000 --> 00:10:39.000 เรื่องโปรดของผมคือ "กษัตริย์โอดีปุส (Oedipus the King)" ของ โซโฟเคิล (Sophocles) 00:10:39.000 --> 00:10:42.000 "หนุ่มฉาวชี้ หลับนอนกับแม่ ลั่นกลลวง" 00:10:42.000 --> 00:10:45.000 (เสียงหัวเราะ) 00:10:45.000 --> 00:10:47.000 (เสียงปรบมือ) NOTE Paragraph 00:10:47.000 --> 00:10:50.000 ก็แบบนี้แหละครับ ถ้าคุณชอบอะนะ สุดโต่งด้านหนึ่งของความเห็นอกเห็นใจ 00:10:50.000 --> 00:10:52.000 คุณก็ได้หนังสือพิมพ์ที่ชอบเป่าข่าว 00:10:52.000 --> 00:10:55.000 สุดโต่งไปอีกด้าน คุณก็จะได้โศกนาฏกรรมและวิปโยคศิลป์ 00:10:55.000 --> 00:10:57.000 ผมว่า ผมได้ถกประเด็นว่าเราควรต้องเรียนรู้บ้าง 00:10:57.000 --> 00:10:59.000 เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวิปโยคศิลป์ 00:10:59.000 --> 00:11:02.000 ดูจะพิกลไปนิดที่จะเรียกแฮมเล็ต (Hamlet) ว่าพวกขี้แพ้ 00:11:02.000 --> 00:11:05.000 เขาไม่ใช่พวกขี้แพ้ แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ 00:11:05.000 --> 00:11:07.000 ผมคิดว่านั่นคือสารที่โศกนาฏกรรมสื่อถึงเรา 00:11:07.000 --> 00:11:10.000 แล้วผมก็คิดว่า นั่นแหละเป็นเหตุผลว่าทำไมมันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ NOTE Paragraph 00:11:10.000 --> 00:11:12.000 อีกประการหนึ่งที่เกี่ยวกับสังคมยุคใหม่ 00:11:12.000 --> 00:11:14.000 และสาเหตุที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลแบบนี้ 00:11:14.000 --> 00:11:17.000 นั่นก็คือ จะอะไรๆเราก็ใช้คนเป็นจุดศูนย์กลางไปเสียหมดหน่ะสิครับ 00:11:17.000 --> 00:11:19.000 เราเป็นสังคมแรกที่ได้อยู่อาศัยในโลกใบนี้ 00:11:19.000 --> 00:11:22.000 สถานที่ซึ่งเราไม่ได้บูชาสิ่งอื่นใดนอกไปจากตัวตนของเราเองเลย 00:11:22.000 --> 00:11:24.000 เราคิดว่าเราสูงส่ง และเราก็ต้องสูงส่งไปตามที่เราคิด 00:11:24.000 --> 00:11:27.000 เราส่งคนขึ้นไปยังดวงจันทร์ เราทำอะไรหลายอย่างที่วิเศษมหัศจรรย์ 00:11:27.000 --> 00:11:29.000 เราก็เลยมีแนวโน้มที่จะบูชาตัวตนของเราเองไงครับ NOTE Paragraph 00:11:29.000 --> 00:11:31.000 วีรบุรุษของเราคือวีรบุรุษของมนุษยชาติ 00:11:31.000 --> 00:11:33.000 เป็นรูปแบบวิธีคิดแบบใหม่มากเลยครับ 00:11:33.000 --> 00:11:35.000 สังคมอื่นโดยส่วนใหญ่ มีสิ่งยึดเหนี่ยวที่อยู่ตรงกลาง 00:11:35.000 --> 00:11:37.000 พวกเขาบูชาสิ่งที่เหนือล้ำสูงค่า ซึ่งก็คือพระผู้เป็นเจ้า 00:11:37.000 --> 00:11:39.000 จิตวิญญาณ, พลังธรรมชาติ, จักรวาล 00:11:39.000 --> 00:11:42.000 บางสิ่งบางอย่างที่ทรงไว้ควรคู่การสักการะ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม 00:11:42.000 --> 00:11:44.000 ส่วนพวกเราหน่ะ ไม่ค่อยจะมีธรรมเนียมแบบนั้นแล้วครับ 00:11:44.000 --> 00:11:46.000 ซึ่ง ผมคิดว่า เป็นสาเหตุว่าทำไมเราจึงอยากไปอยู่ใกล้ๆกับธรรมชาติ 00:11:46.000 --> 00:11:49.000 ไม่ใช่เพื่อสุขภาพของเราหรอกครับ ถึงแม้ว่าจะมีแต่คนบอกว่าเป็นแบบนั้นก็เถอะ 00:11:49.000 --> 00:11:53.000 แต่เป็นเพราะว่ามันเป็นการหลีกลี้จากสังคมมนุษย์ 00:11:53.000 --> 00:11:55.000 มันเป็นการหลีกหนีจากการแก่งแย่งแข่งขัน 00:11:55.000 --> 00:11:57.000 จากเรื่องเร้าอารมณ์ของเราเอง 00:11:57.000 --> 00:11:59.000 นั่นแหละเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราถึงมีความสุขนักกับการยืนมองธารน้ำแข็งและห้วงมหาสมุทร 00:11:59.000 --> 00:12:03.000 และพินิจพิเคราะห์โลกโดยมองเข้ามาจากอวกาศ ฯลฯ 00:12:03.000 --> 00:12:07.000 เราต้องการรับรู้สัมผัส กับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ 00:12:07.000 --> 00:12:11.000 และเป็นสิ่งซึ่งสำคัญอย่างลึกซึ้งต่อเรา NOTE Paragraph 00:12:11.000 --> 00:12:14.000 ผมคิดว่า สิ่งที่ผมพูดไปหน่ะเกี่ยวกับความสำเร็จและความล้มเหลวโดยตรงเลยครับ 00:12:14.000 --> 00:12:17.000 และ มีอะไรที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่งเกี่ยวกับความสำเร็จ 00:12:17.000 --> 00:12:19.000 ก็คือเรามักจะเข้าใจไปว่า เรารู้ดีว่าความสำเร็จคืออะไร 00:12:19.000 --> 00:12:21.000 ถ้าผมบอกคุณว่า หลังจอภาพอันเนี่ย มีคนอยู่คนหนึ่ง 00:12:21.000 --> 00:12:24.000 ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด ความคิดบางอย่างจะผุดขึ้นมาในใจของเราทันที 00:12:24.000 --> 00:12:26.000 คุณอาจคิดว่าเขาผู้นั้นอาจมีรายได้มหาศาล 00:12:26.000 --> 00:12:29.000 ได้รับการยอมรับนับถือในวงการของเขา 00:12:29.000 --> 00:12:31.000 ผมมีทฤษฎีแห่งความสำเร็จของผมเอง และผมก็เป็นคนหนึ่งที่ 00:12:31.000 --> 00:12:34.000 สนใจอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องความสำเร็จ ผมต้องการประสบความสำเร็จจริงๆ 00:12:34.000 --> 00:12:36.000 ผมมักจะคิดอยู่เสมอว่า "ทำอย่างไรผมจึงจะประสบความสำเร็จมากๆนะ?" 00:12:36.000 --> 00:12:38.000 พอผมเริ่มอายุมากขึ้น ผมแทบจะไม่รู้สึกแตกต่างอะไรเลย 00:12:38.000 --> 00:12:40.000 ว่านิยามความหมายของคำว่า "ความสำเร็จ" มันจะเป็นยังไง NOTE Paragraph 00:12:40.000 --> 00:12:42.000 นี่เป็นเคล็ดลับที่ผมได้ค้นพบเกี่ยวกับความสำเร็จครับ 00:12:42.000 --> 00:12:45.000 คุณไม่สามารถประสบความสำเร็จกับทุกสิ่งทุกอย่าง 00:12:45.000 --> 00:12:47.000 เรามักจะได้ยินคำพูดเกี่ยวกับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน 00:12:47.000 --> 00:12:50.000 หาสารัตถะไม่ได้ครับ คุณไม่มีทางได้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด ไม่มีทาง 00:12:50.000 --> 00:12:52.000 ดังนั้นวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความสำเร็จ 00:12:52.000 --> 00:12:54.000 ก็คือการยอมรับว่า คุณต้องแลกมาด้วยการสูญเสียอะไรบางอย่าง 00:12:54.000 --> 00:12:56.000 สิ่งที่สูญเสียไปนั้นอยู่ที่ตรงไหน 00:12:56.000 --> 00:12:59.000 และผมคิดว่าคนที่เฉลียวฉลาดย่อมจะยอมรับ 00:12:59.000 --> 00:13:02.000 อย่างที่ผมได้พูดไปว่ามันจะต้องมีบางอย่างที่เราจะไม่ประสบความสำเร็จ NOTE Paragraph 00:13:02.000 --> 00:13:04.000 อย่างหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตที่ประสบความสำเร็จ 00:13:04.000 --> 00:13:06.000 คือบ่อยครั้งที่แนวคิดของเราที่ว่า 00:13:06.000 --> 00:13:09.000 อย่างไรถึงจะเรียกว่ามีชีวิตอยู่อย่างประสบความสำเร็จ กลับไม่ใช่เป็นความคิดของเราเอง 00:13:09.000 --> 00:13:11.000 แต่เป็นของคนอื่น 00:13:11.000 --> 00:13:13.000 โดยหลัก ถ้าคุณเป็นผู้ชาย ก็มาจากพ่อของคุณ 00:13:13.000 --> 00:13:15.000 และถ้าคุณเป็นผู้หญิง ก็มาจากแม่ของคุณ 00:13:15.000 --> 00:13:18.000 นักจิตวิเคราะห์โหมประโคมเรื่องนี้มากว่า 80 ปีแล้วครับ 00:13:18.000 --> 00:13:21.000 ไม่มีใครยินยอมฟังให้ลึกซึ้งพอ แต่ผมค่อนข้างเชื่อมั่นว่ามันเป็นความจริง NOTE Paragraph 00:13:21.000 --> 00:13:23.000 นอกจากนี้ เรายังรับสาร 00:13:23.000 --> 00:13:25.000 จากทุกสิ่งทุกอย่าง จากโทรทัศน์ จากโฆษณา 00:13:25.000 --> 00:13:27.000 จากการตลาด และอื่น ๆ 00:13:27.000 --> 00:13:29.000 มีพลังงานมหาศาล 00:13:29.000 --> 00:13:33.000 ที่กำหนดให้เราเป็นอย่างที่เป็น และกำหนดให้เรามองตัวเองอย่างไร 00:13:33.000 --> 00:13:36.000 เมื่อมีคนบอกเราว่านายธนาคารเป็นอาชีพที่น่านับถือ 00:13:36.000 --> 00:13:38.000 คนส่วนใหญ่ก็อยากไปเป็นนายธนาคาร 00:13:38.000 --> 00:13:41.000 เมื่ออาชีพนายธนาคารไม่น่านับถืออีกต่อไป เราก็ไม่สนใจเป็นนายธนาคาร 00:13:41.000 --> 00:13:44.000 เราเปิดรับกับคำแนะนำอย่างมาก NOTE Paragraph 00:13:44.000 --> 00:13:47.000 ดั้งนั้นสิ่งที่ผมอยากจะโต้แย้ง ก็คือเราไม่ควรยอมแพ้ 00:13:47.000 --> 00:13:49.000 ที่จะมีแนวคิดเรื่องการประสบความสำเร็จ 00:13:49.000 --> 00:13:51.000 แต่เราควรจะต้องแน่ใจด้วยว่ามันเป็นแนวคิดของเราเอง 00:13:51.000 --> 00:13:53.000 เราควรจะมุ่งเน้นไปที่ความคิดของเราเอง 00:13:53.000 --> 00:13:56.000 และต้องมั่นใจด้วยว่านั่นเป็นความคิดของเราเองจริงๆ 00:13:56.000 --> 00:13:58.000 ว่าเราเป็นเจ้าของความทะเยอทะยานของเราเอง 00:13:58.000 --> 00:14:00.000 เพราะมันเป็นเรื่องแย่พอดูทีเดียวครับ ที่จะไม่ได้สิ่งที่คุณต้องการ 00:14:00.000 --> 00:14:03.000 แต่ที่ยิ่งแย่กว่านั้นคือ คุณคิด 00:14:03.000 --> 00:14:06.000 ว่าคุณอยากได้อะไร แล้วไปค้นพบในตอนท้าย 00:14:06.000 --> 00:14:09.000 ว่าจริงๆแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการเลย NOTE Paragraph 00:14:09.000 --> 00:14:11.000 ดังนั้นผมจะจบลงตรงนี้ 00:14:11.000 --> 00:14:14.000 แต่สิ่งที่ผมอยากย้ำอย่างยิ่งก็คือ 00:14:14.000 --> 00:14:16.000 ใช่ครับ ก็คือความสำเร็จ โดยทุกความหมาย 00:14:16.000 --> 00:14:18.000 แต่ขอให้ยอมรับความแปลกแตกต่างของความคิดบางอย่าง 00:14:18.000 --> 00:14:21.000 ขอให้ตรวจสอบความเข้าใจของเราเกี่ยวกับเรื่องความสำเร็จ 00:14:21.000 --> 00:14:25.000 ขอให้ดูให้มั่นใจว่าความคิดเรื่องความสำเร็จนั้นเป็นของเราอย่างแท้จริง 00:14:25.000 --> 00:14:27.000 ขอบคุณมากครับ 00:14:27.000 --> 00:14:43.000 (เสียงปรบมือ) NOTE Paragraph 00:14:43.000 --> 00:14:45.000 คริส แอนเดอร์สัน (Chris Anderson) : น่าทึ่งมากครับ คุณประสานมันได้อย่างไรนะ 00:14:45.000 --> 00:14:50.000 ความคิดเกี่ยวกับว่าใครก็ตามที่จะ -- 00:14:50.000 --> 00:14:53.000 มันเป็นเรื่องเลวร้ายที่จะมองใครบางคนในฐานะผู้แพ้ 00:14:53.000 --> 00:14:57.000 กับความคิดที่หลายคนชอบ คือเรื่องให้ความสำคัญกับการกำหนดชีวิตของคุณเอง 00:14:57.000 --> 00:15:00.000 และสังคมที่จะสนับสนุนเรื่องที่ว่า 00:15:00.000 --> 00:15:03.000 บางทีอาจจะมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ NOTE Paragraph 00:15:03.000 --> 00:15:06.000 อาลัน เดอ บัททัน : ครับ ผมคิดว่ามันอาจเป็นแค่ความบังเอิญ 00:15:06.000 --> 00:15:08.000 ในกระบวนการที่ทำให้เกิดชัยชนะและความพ่ายแพ้ และนั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำ 00:15:08.000 --> 00:15:10.000 เพราะทุกวันนี้มีการเน้นย้ำมากเกินไป 00:15:10.000 --> 00:15:12.000 เกี่ยวกับการตัดสินทุกสิ่งทุกอย่าง 00:15:12.000 --> 00:15:14.000 และนักการเมืองมักจะพูดเรื่องการตัดสินผิดถูก 00:15:14.000 --> 00:15:17.000 ตอนนี้ผมเป็นคนเชื่อมั่นในเรื่องความยุติธรรม แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ 00:15:17.000 --> 00:15:19.000 ดังนั้นเราจึงควรทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ 00:15:19.000 --> 00:15:21.000 เราควรทำทุกสิ่งที่คิดว่าเราสามารถช่วยสร้างความยุติธรรมได้ 00:15:21.000 --> 00:15:23.000 ท้ายที่สุด เราก็ควรจะระลึกไว้เสมอว่า 00:15:23.000 --> 00:15:26.000 ใครก็ตามที่เราพบ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา 00:15:26.000 --> 00:15:29.000 มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับการเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ 00:15:29.000 --> 00:15:31.000 และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะเว้นช่องว่างไว้ให้ 00:15:31.000 --> 00:15:33.000 เพราะไม่เช่นนั้นมันอาจจะกลายเป็นการปิดกั้นตนเอง NOTE Paragraph 00:15:33.000 --> 00:15:35.000 คริส แอนเดอร์สัน : คือผมจะถามว่า คุณเชื่อไหมครับว่าคุณสามารถจะรวมเอา 00:15:35.000 --> 00:15:37.000 ความคิดเรื่องปรัชญาที่นุ่มนวลอ่อนโยนเกี่ยวกับเรื่องการงาน 00:15:37.000 --> 00:15:41.000 เข้ากับเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จได้? 00:15:41.000 --> 00:15:43.000 หรือคุณคิดว่าเป็นไปไม่ได้ครับ? 00:15:43.000 --> 00:15:45.000 แต่มันไม่สำคัญมากไปที่เราจะเน้นย้ำและให้ความสำคัญเรื่องนี้หรือครับ? NOTE Paragraph 00:15:45.000 --> 00:15:48.000 อาลัน เดอ บัททัน : แนวคิดที่น่ากลัว 00:15:48.000 --> 00:15:52.000 มีอยู่ว่า การทำให้คนมีแต่ความหวาดกลัวเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้พวกเขาทำงานออกมาเต็มที่ 00:15:52.000 --> 00:15:55.000 และบางทียิ่งสภาพแวดล้อมยิ่งเลวร้ายเท่าใด 00:15:55.000 --> 00:15:57.000 ผู้คนก็จะยิ่งลุกขึ้นต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น 00:15:57.000 --> 00:16:01.000 คุณอาจจะลองนึกดูว่า คุณอยากได้พ่อในอุดมคติแบบไหน 00:16:01.000 --> 00:16:04.000 และพ่อในอุดมคติของคุณเป็นคนที่เข้มแข็งแต่สุภาพอ่อนโยน 00:16:04.000 --> 00:16:06.000 นั่นเป็นเส้นแบ่งที่ทำได้ยาก 00:16:06.000 --> 00:16:10.000 เราต้องการพ่ออย่างที่ควรเป็น เป็นคุณพ่อตัวอย่างที่ควรได้รับการยกย่องจากสังคม 00:16:10.000 --> 00:16:12.000 ต้องหลีกเลี่ยงความสุดโต่งสองขั้ว 00:16:12.000 --> 00:16:16.000 ด้านหนึ่งก็คือระบอบเผด็จการ เต็มไปด้วยระเบียบวินัย 00:16:16.000 --> 00:16:20.000 ส่วนอีกด้านก็คือความหย่อนยาน ไร้กฎเกณฑ์ NOTE Paragraph 00:16:20.000 --> 00:16:22.000 คริส แอนเดอร์สัน : อาลัน เดอ บัททัน ครับ NOTE Paragraph 00:16:22.000 --> 00:16:24.000 อาลัน เดอ บัททัน : ขอบคุณมากครับ 00:16:24.000 --> 00:16:34.000 (เสียงปรบมือ)