สำหรับผมแล้ว พวกเรื่องวิกฤตชีวิตทำงานเกิดขึ้นได้เสมอ แล้วก็มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆในช่วงค่ำๆวันอาทิตย์ครับ พอพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า สิ่งที่เป็นความหวังของผม กับความเป็นจริงในชีวิตผม เริ่มแยกห่างจากกันไปคนละทิศละทาง ซึ่งในตอนท้ายสุด ผมก็ถึงกับซุกหน้าน้ำตาเล็ดกับหมอนบ่อยๆเลยเหมือนกันครับ ที่ผมพูดถึงเรื่องอะไรพวกเนี่ย ที่ผมพูดถึงเรื่องทำนองนี้ ก็เพราะผมไม่คิดว่ามันเป็นเพียงปัญหาเฉพาะบุคคลครับ คุณอาจมองว่าผมคิดผิดก็ได้ แต่ผมว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่ชีวิตเรามักจะ ถูกขัดจังหวะด้วยวิกฤตชีิวิตการทำงานครับ ในจังหวะที่ เราคิดว่าเรารู้อะไรดีแล้ว เกี่ยวกับชีวิตของเรา เกี่ยวกับอาชีิพการงานของเรา กลับมีความเป็นจริงของชีวิตอีกแบบหนึ่งรุกคืบเข้ามาเสียงั้น บางที สมัยนี้ การดำรงชีวิตให้ได้ดีอาจจะทำได้ง่ายกว่าในสมัยก่อนๆก็ได้ครับ แต่บางทีมันก็อาจจะยากกว่าสมัยอื่นๆ ที่จะทำใจให้สบาย ให้ผ่อนคลายจากความวิตกกังวลเรื่องการงาน ผมก็เลยอยากจะค้นหาคำตอบ หากว่าผมทำได้อ่ะนะครับ ว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่เป็นต้นเหตุ ให้เราต้องมานั่งวิตกกังวลกับหน้าที่การงานของเรา เพราะอะไร เราถึงอาจจะต้องประสบกับภาวะวิกฤตในอาชีพการงานอะไรพวกเนี่ย ก็อย่างที่เราต้องมุดหน้าน้ำตาเล็ดกับหมอนไงครับ เหตุหนึ่งที่ให้เราต้องมาทุกข์ทนกับเรื่องพวกเนี่ย ก็เพราะรอบตัวเราล้วนเต็มไปพวกหัวสูงครับ ตอนนี้ผมก็มีข่าวร้ายบางอย่างครับ โดยเฉพาะสำหรับท่านที่เป็นชาวต่างชาติที่มาอ็อกซ์ฟอร์ดนี่ (Oxford, UK) เรื่องหัวสูงเจ้ายศเจ้าอย่างเนี่ยเป็นปัญหาของแท้ครับ เพราะบางที คนที่ไม่ใช่ชาวอังกฤษมักจะพากันคิด พากันจินตนาการว่าความหัวสูงเจ้ายศเจ้าอย่างเป็นปรากฎการณ์เฉพาะในอังกฤษ เพราะนึกไปถึงเคหาสห์สุดหรูในชนบทกับยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรพวกนั้น ข่าวร้ายก็คือว่า ความจริงไม่ได้มีแค่นั้น ความหัวสูงเจ้ายศเจ้าอย่างนับว่าเป็นปรากฎการณ์ระดับโลกทีเดียวครับ โลกของเราก็เหมือนองค์กรใหญ่ๆองค์กรหนึ่ง และนี่ก็เป็นปรากฎการณ์ระดับโลก ซึ่งมีอยู่จริง แต่ว่าคนหัวสูงที่ว่านี่เป็นอะไรยังไงล่ะ คนหัวสูงเจ้ายศเจ้าอย่างก็คือคนที่หยิบแค่บางเสี้ยวบางส่วนของความเป็นคุณ แล้วเอามาสรุปเหมารวมแล้วว่าคุณเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นแหละครับ หัวสูงเจ้ายศเจ้าอย่างหละ และพวกหัวสูงบ้าเห่อประเภทที่เห็นกันชัดๆเลย ที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็คือพวกหัวสูงด้านอาชีิพการงานไงครับ อย่างในงานเลี้ยงเนี่ย แป่บเดียว คุณก็สังเกตุพวกนี้ออกครับ คนพวกเนี่ยจะถามคุณด้วยคำถามยอดนิยม ประจำต้นศตวรรษที่ 21 ว่า "ตอนนี้คุณกำลังทำงานอะไร?" ทีนี้ ก็จะขึ้นอยู่กับว่าคุณตอบพวกเขาไปยังไง พวกเขาอาจทำท่ายินดีเสียนี่กระไรที่ได้เจอคุณ หรือไม่อีกทีก็ทำทีดูนาฬิกาข้อมือแล้วขอปลีกตัว (เสียงหัวเราะ) อืม..ต่อนะครับ... ที่อยู่คนละฟากกันกับพวกหัวสูงบ้าเห่อก็คือคุณแม่ของคุณครับ (เสียงหัวเราะ) ไม่จำเป็นว่าจะเป็นคุณแม่ของคุณ หรือแม้แต่ของผมก็ตาม แต่หมายถึง คุณแม่ในอุดมคติครับ ก็คือคนที่ไม่แคร์เรื่องความสำเร็จของคุณ แต่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่ใช่คุณแม่ของเรา คนส่วนใหญ่มักจะหาทางเทียบว่าจะให้เวลาเราเท่าไหร่ หรือจะเอาเป็นแบบว่า จะรักเราเท่าไหร่ ไม่ใช่รักหวานซึ้งนะครับ แม้ว่ามันอาจจะมีความหมายบางอย่างอยู่ แต่ผมหมายถึงความรักแบบทั่วๆไปนะครับ และจะนับถือเราเท่าไหร่ อย่างที่พวกเขาจะเต็มใจมีให้กับเรานั้นเป็นไปตามที่พวกเขาจะมองว่า สถานะของเราอยู่ตรงชั้นไหนขั้นไหนในระดับชั้นของสังคม และมีเหตุผลอีกมากที่ทำให้เราต้องกังวลสนใจเกี่ยวกับอาชีพการงานของเราเสียเหลือเกิน และอันที่จริงแล้ว ก็ทำให้เริ่มกังวลสนใจมากขึ้นในพวกวัตถุสิ่งของ คุณทราบดีใช่ไหมครับ มีการกล่าวกันอยู่เสมอว่าเราอยู่ในยุควัตถุนิยม และเราเป็นคนโลภ ผมไม่คิดว่าเราเป็นเฉพาะแต่วัตถุนิยม ผมคิดว่าเราอยู่ในสังคม ที่ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาเป็นผลตอบแทน กับการได้มาซึ่งวัตถุสิ่งของ เราไม่ได้ต้องการซึ่ีงวัตถุสิ่งของหรอก แต่เราต้องการผลตอบแทนนั้นต่างหาก และนั่นก็คือ วิธีมองสินค้าหรูหราวิธีใหม่ครับ คราวหน้าถ้าคุณเห็นใครขับรถเฟอร์รารี่ อย่าไปคิดว่า "ช่างเป็นคนโลภมากเสียจริง" ลองคิดว่า "นี่คือคนที่เปราะบางอย่างไม่น่าเชื่อและต้องการความรักขั้นรุนแรง" หรือพูดอีกอย่าง -- (เสียงหัวเราะ) คือให้คิดเห็นอกเห็นใจ ดีกว่าที่จะไปดูถูกเขา มีเหตุผลอื่นอีกนะครับ -- (เสียงหัวเราะ) มีเหตุผลอื่นอีกที่จะอธิบายว่าทำไมจึงได้ยากมากขึ้นในยุคปัจจุบัน เกินที่จะทำใจเย็นเหมือนสมัยก่อนนี้ได้ มีเหตุผลหนึ่ง ซึ่งขัดแย้งในตัวมันเองด้วยเพราะว่ามันไปเชื่อมโยงอยู่กับข้อดีบางอย่าง นั่นคือความหวังที่เรามีต่ออาชีพการงานของเรา ก่อนนี้ความคาดหวังไม่เคยสูงเช่นนี้มาก่อน ถึงสิ่งที่คนๆหนึ่งจะทำให้สำเร็จบรรลุได้ในช่วงชีวิตหนึ่ง ใครๆก็บอกเราว่า คนเราใครๆก็สามารถประสบความสำเร็จได้ทั้งนั้น ไม่มีคำว่าชนชั้นวรรณะอีกแล้ว ตอนนี้ จะเป็นใครก็สามารถถีบตัวเองขึ้นมาได้ทั้งนั้น ขึ้นไปยังตำแหน่งที่ใฝ่จะได้ เป็นความคิดที่สวยงามทีเดียวครับ สิ่งที่ตามติดมาด้วยคือจิตวิญญาณแห่งความเท่าเทียมกัน โดยพื้นฐานแล้วคนเราเท่าเทียมกัน ไม่มีคำนิยามที่รัดกุม ถึงลำดับชั้นฐานันดร มีปัญหาหนึ่งที่ใหญ่โตมาก ปัญหานั้นก็คือ ความอิจฉาริษยา ครับ ความอิจฉาริษยา ถือเป็นคำต้องห้ามไม่ให้พูดถึงครับ แต่มีอารมณ์หนึ่งที่ครอบงำในสังคมยุคใหม่ นั่นก็คือ ความอิจฉาริษยา นี่แหละครับ และมันก็ยังเชื่อมโยงเข้ากับจิตวิญญาณแห่งความเท่าเทียมกันอีกด้วย ให้ผมอธิบายนะครับ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ปกติมากเลยสำหรับท่านที่อยู่ที่นี่และท่านที่กำลังดูอยู่ด้วย ที่จะไปอิจฉาริษยาสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ แม้ว่าพระองค์ท่านจะร่ำรวยกว่าพวกคุณทุกคนมาก และพระองค์ท่านก็ยังมีที่ประทับเป็นพระราชวังหลังใหญ่เบ้อเริ่ม เหตุผลที่เราไม่อิจฉาริษยาพระองค์ท่านก็เพราะพระองค์แปลกประหลาดเกินไป พระองค์ก็เพียงแตกต่างมากเกินไป เราไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับพระองค์เลย พระองค์ทรงตรัสอะไรที่น่าขัน พระองค์ทรงมาจากสถานที่อันแปลกประหลาด ดังนั้นเราจึงไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับพระองค์ และเมื่อเราไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับใครสักคน เราก็จะไม่ไปอิจฉาริษยาเขา ยิ่งคนสองคนมีความใกล้เคียงกัน ทั้งในเรื่องอายุ ในพื้นเพความเป็นมา และในกระบวนการที่บ่งยอกความเป็นตัวตนมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีโอกาสเกิดความอิจฉาริษยามากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็เหมือนประจวบเหมาะกันเลยว่าทำไมพวกคุณไม่ควรไปงานเลี้ยงชุมนุมศิษย์เก่า ก็เพราะมันไม่มีจุดเชื่อมโยงที่แข็งแรงพอ ไม่เหมือนกับคนที่เคยเรียนด้วยกันมาก่อน แต่อันที่จริงแล้ว ปัญหาของสังคมสมัยใหม่ ก็คือมันเปลี่ยนโลกทั้งใบ ให้กลายเป็นโรงเรียน ทุกคนต่างก็ใส่กางเกงยีนส์ ทุกคนดูเหมือนกันหมด แต่อันที่จริง ก็ไม่เหมือนกันหรอก ดังนั้นมันจึงมีจิตวิญญาณแห่งความเท่าเทียมกัน ผสมไปด้วยความไม่เท่าเทียมกันลึกๆ ซึ่งทำให้เกิด -- ซึ่งจะทำให้เกิดสถานการณ์ที่ตึงเครียดอย่างมาก ทุกวันนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะ กลายเป็นคนร่ำรวยและมีชื่อเสียงเช่นเดียวกับ บิล เกตส์ (ฺBill Gates) เช่นเดียวกับที่ แทบเป็นไม่ได้เลยในศตวรรษที่ 17 ที่คุณจะไต่ไปถึงการเป็นชนชั้นสูงชาวฝรั่งเศส แต่ประเด็นคือ ความคิดความรู้สึกพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่ถูกสร้างขึ้น โดยนิตยสารและสื่ออื่น ๆ ว่าถ้าคุณมีพลังมากพอ มีความคิดสุดบรรเจิดในด้านเทคโนโลยี และมีโรงเก็บรถ คุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สามารถจะสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ (เสียงหัวเราะ) และผลพวงของปัญหานี้ก็ไปโผล่ในร้านหนังสือโน่นครับ เมื่อคุณไปที่ร้านหนังสือใหญ่ ๆ และไปเดินดูตามแผนกหนังสือพัฒนาตนเอง (self-help) ก็เหมือนกับที่ผมเองบางครั้งก็ทำ ถ้าคุณวิเคราะห์หนังสือพวกการช่วยเหลือตัวเองที่ถูกผลิตขึ้นมา ในโลกทุกวันนี้ พื้นๆเลยจะมีอยู่สองประเภท ประเภทแรกจะบอกคุณว่า "คุณทำได้! คุณสร้างมันขึ้นมาได้! ทุกอย่างเป็นไปได้!" และอีกประเภทหนึ่งก็จะบอกวิธีการที่คุณสามารถแก้ไข กับสิ่งที่เราอาจจะเรียกอย่างสุภาพได้ว่า "ความเชื่อมั่นในตัวเองต่ำ" หรือเรียกอย่างบ้านๆได้ว่า "รู้สึกย่ำแย่กับตัวเอง" มีความสัมพันธ์กันอย่างเหนี่ยวแน่นครับ ความสัมพันธ์กันระหว่างสังคมที่บอกผู้คนว่าพวกเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง และการมีอยู่ของความมั่นใจตัวเองต่ำ ดังนั้น หนทางที่บางครั้งค่อนข้างเป็นแง่บวก ก็อาจมีผลสะท้อนกลับที่อันตรายได้ ยังมีเหตุผลอื่นอีกที่ว่าเหตุใดเราจึงรู้สึกเป็นกังวลมากขึ้น เกี่ยวกับอาชีพการงานของเรา เกี่ยวกับสถานภาพของเราในโลกปัจจุบัน กว่าในสมัยก่อนมาก และมันก็ไปเชื่อมโยงกับอะไรบางอย่างที่ดีมาก อีกเช่นเคย และสิ่งดีที่ว่าก็คือ ระบบการให้รางวัลตามความสามารถ ตอนนี้ทุกคน นักการเมืองทุกคนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา ต่างก็เห็นด้วยว่าระบบการให้รางวัลตามความสามารถเป็นสิ่งที่ดี และเราก็ควรจะพยายามทำให้สังคมของเราเป็นระบบที่มีการให้รางวัลตามความสามารถจริงๆ ถ้าจะให้อธิบายอีกอย่างล่ะก็ สังคมที่ให้รางวัลตามความสามารถคืออะไรล่ะครับ? สังคมที่ให้รางวัลตามความสามารถก็คือสังคมที่ ถ้าคุณมีพรสวรรค์ มีพลัง และมีทักษะ คุณสามารถไต่ขึ้นไปจนถึงระดับยอดได้ ไม่ควรมีอะไรที่ถ่วงรั้งคุณไว้ เป็นแนวคิดที่สวยงามครับ แต่ปัญหาก็คือ ถ้าคุณเชื่อในความเป็นสังคม ที่เฉพาะคนที่คู่ควรกับการไปถึงจุดสูงสุด ไปถึงจุดสูงสุดได้ โดยนัยยะกลับกันไปในทางลบสุดกู่ ก็จะตีความได้ว่า คุณก็จะ เชื่อในความเป็นสังคมที่ว่า คนที่สมควรอยู่ข้างล่าง ก็ต้องไปจมอยู่ข้างล่างโน่น หรืออธิบายอีกแบบก็คือ สถานะของชีวิตคุณจะเสมือนว่าไม่ได้เป็นโดยบังเอิญ แต่เป็นไปตามความสามารถและความเหมาะสม และนั่นยิ่งทำให้ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ทำให้บีบคั้นมากขึ้น คุณทราบใช่ไหมครับ อังกฤษในยุคกลาง เมื่อคุณเห็นคนจน คนๆ นั้นจะถูกมองว่าเป็น "คนโชคร้าย" ความหมายโดยคำศัพท์คือ มีบางคนไม่ได้พรจากโชคชะตา นั่นก็คือโชคร้ายนั่นเองครับ ทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ถ้าคุณเห็นใครอยู่ระดับล่างของสังคม พวกเขาอาจถูกเรียกอย่างใจร้ายว่า "คนขี้แพ้" มันมีความแตกต่างอันสำคัญระหว่าง คนโชคร้ายและคนขี้แพ้ และนี่ก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการ 400 ปีของสังคม และพัฒนาการความเชื่อของเราที่ว่าใครกันจะเป็นผู้รับผิดชอบชีวิตเรา ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าอีกต่อไป แต่เป็นตัวเรา เรานี่แหละที่นั่งในตำแหน่งคนขับครับ ก็จะเป็นความสุขเบิกบานใจถ้าคุณทำได้ดี แต่ย่อมบีบคั้นมากเลย ถ้าเกิดคุณทำได้ไม่ดีขึ้นมา ซึ่งตามการวิเคราะห์ของนักสังคมวิทยา ก็จะเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุด อย่าง เอมิล เดอร์ไคม์ (Emil Durkheim) มองว่าเป็นกรณีที่จะทำให้อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้น กลุ่มประเทศที่พัฒนาเรื่องปัจเจกนิยมอย่างเต็มขั้นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่า ประเทศอื่นๆในโลก และเหตุอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ก็คือคนมักจะถือเอาสิ่งที่เกิดขึ้น กับตัวเองเป็นเรื่องส่วนตัวของตัวเองล้วนๆ ความสำเร็จเกิดขึ้นก็เพราะตัวเองเพียงผู้เดียว ในขณะเดียวความล้มเหลวก็เกิดเพราะตัวเองล้วนๆด้วย มีอะไรบ้างไหมที่จะคลายความกดดันพวกนี้ อย่างอันที่ผมได้เกริ่นไป? ผมว่า มีครับ ผมจะลองพูดถึงสักสองสามหนทางก็แล้วกันครับ ขอพูดเรื่องหลักการตอบแทนตามความสามารถก่อน แนวคิดนี้พูดถึงการที่ทุกคนจะได้สิ่งที่สมควรได้ ผมว่านี่เป็นแนวคิดที่พิลึกมาก พิลึกสมบูรณ์แบบ ผมจะสนับสนุนนักการเมืองคนใดก็ได้ไม่ว่าจะฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ที่เสนอทางสายกลางของแนวคิดการตอบแทนตามความสามารถที่เหมาะสม ผมจัดว่าเป็นพวกหลักการตอบแทนตามความสามารถในลักษณะนั้นครับ แต่ผมคิดว่าเป็นเรื่องไร้เหตุผลที่จะเชื่อว่าเราจะสามารถ สร้างสังคมที่ใช้หลักการตอบแทนตามความสามารถอย่างแท้จริง มันเป็นความฝันที่เป็นไปไม่ได้ แนวคิดที่จะทำให้เราสร้างสังคมที่ ความหมายตามศัพท์แล้ว ทุกคนจะถูกจัดลำดับคะแนน คนได้คะแนนดีอยู่ข้างบน คนได้คะแนนแย่อยู่ด้านล่าง และการทำตามนั้นโดยเคร่งครัด เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เต็มไปหมด อุบัติเหตุเอย อุบัติการณ์จากชาติกำเนิดเอย อุบัติเหตุจากสิ่งของตกใส่หัวเอย ความเจ็บไข้ได้ป่วยเอย และอะไรต่อมิอะไร เราจะไม่มีวันจัดอันดับคะแนนผู้คนได้ ไม่มีวันให้ระดับคะแนนกับผู้คนตามที่ควรเป็น ผมขอกล่าวถึงคำพูดที่น่าชื่นชมของ นักบุญออกัสตินใน "เมืองแห่งเทพเจ้า" (The City of God) ซึ่งท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า "มันเป็นบาปที่จะตัดสินผู้คนตามตำแหน่ง" ในภาษา(อังกฤษ)สมัยใหม่อาจตีความว่า มันเป็นบาป ที่คุณจะมีมุมมองต่อคนที่คุณคุยด้วย จากสิ่งที่ปรากฏในนามบัตรของเขา เราไม่สามารถวัดใครจากแค่ตำแหน่งได้หรอก และตามคำของท่านนักบุญออกัสติน มีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่จะจับผู้คนใส่ในตำแหน่งที่ควรเป็น และท่านจะทรงกระทำเช่นนั้นในวันสิ้นโลก (Day of Judgement) พร้อมทวยเทพประโคมปี่แตร และท้องฟ้าก็จะเปิดออก มันเป็นแนวคิดที่ไร้สาระถ้าคุณเป็นคนไม่เอาพระคัมภีร์เท่าไหร่อย่างผม แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดนั้นก็ยังมีอะไรบางอย่างที่มีคุณค่าครับ หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ จงอย่าด่วนตัดสินผู้อื่น คุณอาจไม่จำต้องทราบก็ได้ว่าคุณค่าที่แท้จริงของใครคืออะไร นั่นเป็นส่วนที่คุณไม่อาจไปล่วงรู้ และเราก็ไม่ควรทำเหมือนกับว่าเรารู้ด้วยครับ เพราะมันเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่เป็นเครื่องปลอบขวัญและปลอบโยนเขา เมื่อเราครุ่นคิดถึงความผิดพลาดในชีวิต เมื่อเราคิดถึงความล้มเหลว เหตุผลประการหนึ่งที่เรากลัวความล้มเหลวไม่เพียงเพราะ เราต้องขาดรายได้ สูญเสียซึ่งสถานภาพ สิ่งที่เรากลัวคือการถูกตัดสินและถูกเหยียดหยันจากคนอื่น และมันก็เกิดขึ้นจริง คุณทราบไหมครับ องค์กรอันดับหนึ่งที่ชอบเหยียดหยัน ในทุกวันนี้ก็คือหนังสือพิมพ์ และถ้าคุณเปิดหนังสือพิมพ์อ่านในแต่ละวัน มันเต็มไปด้วยเรื่องของคนที่ผจญกับเรื่องร้ายๆในชีวิต พวกเขามีเพศสัมพันธ์แบบผิดฝาผิดตัว พวกเขาลองใช้สารเคมีที่ไม่ถูกต้อง พวกเขาออกกฎหมายผิดที่ผิดทาง อะไรก็แล้วแต่ และนั่นก็เหมาะกับการถูกเหยียดหยัน ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาล้มเหลว และพวกเขาก็ถูกมองว่าเป็น "พวกขี้แพ้" แล้วตอนนี้เรามีทางเลือกอื่นไหม? ผมคิดว่าธรรมเนียมทางตะวันตกแสดงให้เราเห็นถึงทางเลือกที่ยอดเยี่ยมอันหนึ่ง และนั่นก็คือโศกนาฏกรรม วิปโยคศิลป์ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นในโรงละครกรีกโบราณ ในช่วงศตวรรษที่ห้าก่อนคริตสกาล มันเป็นรูปลักษณ์ทางศิลปะอย่างแท้จริง ซึ่งอุทิศให้กับการติดตามดูว่าผู้คนล้มเหลวยังไง และยังคงโอบอุ้มด้วยระดับแห่งความเอื้ออาทรครับ ซึ่งชีวิตประจำวันอาจจะไม่มีความอาทรเช่นนั้น เมื่อสองสามปีก่อนผมยังจำตอนที่ผมคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้ แล้วผมก็ไปที่สำนักงานของ "เดอะซันเดย์สปอร์ต (The Sunday Sport)" มันเป็นหนังสือพิมพ์แบบจุลสารที่ผมจะไม่แนะนำให้คุณอ่าน ถ้าคุณยังไม่เคยเห็นเคยอ่านมาแล้วอะนะ ผมได้ลองไปคุยกับพวกเขา เกี่ยวกับเรื่องโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่ของศิลปะตะวันตก และผมต้องการดูว่าพวกเขาจับใจความสำคัญ ของเรื่องราวที่มาในรูปแบบของข่าว ที่วางบนโต๊ะข่าวในช่วงบ่ายวันเสาร์ได้อย่างไร ผมได้เล่าเรื่องโอเทลโล (Othello) ให้พวกเขาฟัง พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้แต่ก็ชื่นชอบมาก (เสียงหัวเราะ) และผมขอให้พวกเขาลองพาดหัวเรื่องของโอเทลโล พวกเขาก็พาดหัวว่า "หนุ่มลี้ภัยคลั่งรัก เชือดบุตรี ส.ว." พาดหัวช่างดึงความสนใจได้จริงๆ ผมลองเล่าเค้าเรื่อง คุณนายโบวารี (Madame Bovary) หนังสือเรื่องนี้ก็ทำให้พวกเขาหลงเสน่ห์อีกนั่นล่ะ แล้วพวกเขาก็พาดหัวว่า "สาวชู้นักช้อปกลืนยาฆ่าตัว หลังพบหนี้ล้น" (เสียงหัวเราะ) แล้วคราวนี้ก็ถึงเรื่องโปรดของผม พวกเขาดูเป็นอัจฉริยะในแนวทางของตนเองเสียจริง คนพวกเนี่ย เรื่องโปรดของผมคือ "กษัตริย์โอดีปุส (Oedipus the King)" ของ โซโฟเคิล (Sophocles) "หนุ่มฉาวชี้ หลับนอนกับแม่ ลั่นกลลวง" (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) ก็แบบนี้แหละครับ ถ้าคุณชอบอะนะ สุดโต่งด้านหนึ่งของความเห็นอกเห็นใจ คุณก็ได้หนังสือพิมพ์ที่ชอบเป่าข่าว สุดโต่งไปอีกด้าน คุณก็จะได้โศกนาฏกรรมและวิปโยคศิลป์ ผมว่า ผมได้ถกประเด็นว่าเราควรต้องเรียนรู้บ้าง เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวิปโยคศิลป์ ดูจะพิกลไปนิดที่จะเรียกแฮมเล็ต (Hamlet) ว่าพวกขี้แพ้ เขาไม่ใช่พวกขี้แพ้ แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ ผมคิดว่านั่นคือสารที่โศกนาฏกรรมสื่อถึงเรา แล้วผมก็คิดว่า นั่นแหละเป็นเหตุผลว่าทำไมมันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ อีกประการหนึ่งที่เกี่ยวกับสังคมยุคใหม่ และสาเหตุที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลแบบนี้ นั่นก็คือ จะอะไรๆเราก็ใช้คนเป็นจุดศูนย์กลางไปเสียหมดหน่ะสิครับ เราเป็นสังคมแรกที่ได้อยู่อาศัยในโลกใบนี้ สถานที่ซึ่งเราไม่ได้บูชาสิ่งอื่นใดนอกไปจากตัวตนของเราเองเลย เราคิดว่าเราสูงส่ง และเราก็ต้องสูงส่งไปตามที่เราคิด เราส่งคนขึ้นไปยังดวงจันทร์ เราทำอะไรหลายอย่างที่วิเศษมหัศจรรย์ เราก็เลยมีแนวโน้มที่จะบูชาตัวตนของเราเองไงครับ วีรบุรุษของเราคือวีรบุรุษของมนุษยชาติ เป็นรูปแบบวิธีคิดแบบใหม่มากเลยครับ สังคมอื่นโดยส่วนใหญ่ มีสิ่งยึดเหนี่ยวที่อยู่ตรงกลาง พวกเขาบูชาสิ่งที่เหนือล้ำสูงค่า ซึ่งก็คือพระผู้เป็นเจ้า จิตวิญญาณ, พลังธรรมชาติ, จักรวาล บางสิ่งบางอย่างที่ทรงไว้ควรคู่การสักการะ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ส่วนพวกเราหน่ะ ไม่ค่อยจะมีธรรมเนียมแบบนั้นแล้วครับ ซึ่ง ผมคิดว่า เป็นสาเหตุว่าทำไมเราจึงอยากไปอยู่ใกล้ๆกับธรรมชาติ ไม่ใช่เพื่อสุขภาพของเราหรอกครับ ถึงแม้ว่าจะมีแต่คนบอกว่าเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่เป็นเพราะว่ามันเป็นการหลีกลี้จากสังคมมนุษย์ มันเป็นการหลีกหนีจากการแก่งแย่งแข่งขัน จากเรื่องเร้าอารมณ์ของเราเอง นั่นแหละเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราถึงมีความสุขนักกับการยืนมองธารน้ำแข็งและห้วงมหาสมุทร และพินิจพิเคราะห์โลกโดยมองเข้ามาจากอวกาศ ฯลฯ เราต้องการรับรู้สัมผัส กับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ และเป็นสิ่งซึ่งสำคัญอย่างลึกซึ้งต่อเรา ผมคิดว่า สิ่งที่ผมพูดไปหน่ะเกี่ยวกับความสำเร็จและความล้มเหลวโดยตรงเลยครับ และ มีอะไรที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่งเกี่ยวกับความสำเร็จ ก็คือเรามักจะเข้าใจไปว่า เรารู้ดีว่าความสำเร็จคืออะไร ถ้าผมบอกคุณว่า หลังจอภาพอันเนี่ย มีคนอยู่คนหนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด ความคิดบางอย่างจะผุดขึ้นมาในใจของเราทันที คุณอาจคิดว่าเขาผู้นั้นอาจมีรายได้มหาศาล ได้รับการยอมรับนับถือในวงการของเขา ผมมีทฤษฎีแห่งความสำเร็จของผมเอง และผมก็เป็นคนหนึ่งที่ สนใจอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องความสำเร็จ ผมต้องการประสบความสำเร็จจริงๆ ผมมักจะคิดอยู่เสมอว่า "ทำอย่างไรผมจึงจะประสบความสำเร็จมากๆนะ?" พอผมเริ่มอายุมากขึ้น ผมแทบจะไม่รู้สึกแตกต่างอะไรเลย ว่านิยามความหมายของคำว่า "ความสำเร็จ" มันจะเป็นยังไง นี่เป็นเคล็ดลับที่ผมได้ค้นพบเกี่ยวกับความสำเร็จครับ คุณไม่สามารถประสบความสำเร็จกับทุกสิ่งทุกอย่าง เรามักจะได้ยินคำพูดเกี่ยวกับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน หาสารัตถะไม่ได้ครับ คุณไม่มีทางได้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด ไม่มีทาง ดังนั้นวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความสำเร็จ ก็คือการยอมรับว่า คุณต้องแลกมาด้วยการสูญเสียอะไรบางอย่าง สิ่งที่สูญเสียไปนั้นอยู่ที่ตรงไหน และผมคิดว่าคนที่เฉลียวฉลาดย่อมจะยอมรับ อย่างที่ผมได้พูดไปว่ามันจะต้องมีบางอย่างที่เราจะไม่ประสบความสำเร็จ อย่างหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตที่ประสบความสำเร็จ คือบ่อยครั้งที่แนวคิดของเราที่ว่า อย่างไรถึงจะเรียกว่ามีชีวิตอยู่อย่างประสบความสำเร็จ กลับไม่ใช่เป็นความคิดของเราเอง แต่เป็นของคนอื่น โดยหลัก ถ้าคุณเป็นผู้ชาย ก็มาจากพ่อของคุณ และถ้าคุณเป็นผู้หญิง ก็มาจากแม่ของคุณ นักจิตวิเคราะห์โหมประโคมเรื่องนี้มากว่า 80 ปีแล้วครับ ไม่มีใครยินยอมฟังให้ลึกซึ้งพอ แต่ผมค่อนข้างเชื่อมั่นว่ามันเป็นความจริง นอกจากนี้ เรายังรับสาร จากทุกสิ่งทุกอย่าง จากโทรทัศน์ จากโฆษณา จากการตลาด และอื่น ๆ มีพลังงานมหาศาล ที่กำหนดให้เราเป็นอย่างที่เป็น และกำหนดให้เรามองตัวเองอย่างไร เมื่อมีคนบอกเราว่านายธนาคารเป็นอาชีพที่น่านับถือ คนส่วนใหญ่ก็อยากไปเป็นนายธนาคาร เมื่ออาชีพนายธนาคารไม่น่านับถืออีกต่อไป เราก็ไม่สนใจเป็นนายธนาคาร เราเปิดรับกับคำแนะนำอย่างมาก ดั้งนั้นสิ่งที่ผมอยากจะโต้แย้ง ก็คือเราไม่ควรยอมแพ้ ที่จะมีแนวคิดเรื่องการประสบความสำเร็จ แต่เราควรจะต้องแน่ใจด้วยว่ามันเป็นแนวคิดของเราเอง เราควรจะมุ่งเน้นไปที่ความคิดของเราเอง และต้องมั่นใจด้วยว่านั่นเป็นความคิดของเราเองจริงๆ ว่าเราเป็นเจ้าของความทะเยอทะยานของเราเอง เพราะมันเป็นเรื่องแย่พอดูทีเดียวครับ ที่จะไม่ได้สิ่งที่คุณต้องการ แต่ที่ยิ่งแย่กว่านั้นคือ คุณคิด ว่าคุณอยากได้อะไร แล้วไปค้นพบในตอนท้าย ว่าจริงๆแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการเลย ดังนั้นผมจะจบลงตรงนี้ แต่สิ่งที่ผมอยากย้ำอย่างยิ่งก็คือ ใช่ครับ ก็คือความสำเร็จ โดยทุกความหมาย แต่ขอให้ยอมรับความแปลกแตกต่างของความคิดบางอย่าง ขอให้ตรวจสอบความเข้าใจของเราเกี่ยวกับเรื่องความสำเร็จ ขอให้ดูให้มั่นใจว่าความคิดเรื่องความสำเร็จนั้นเป็นของเราอย่างแท้จริง ขอบคุณมากครับ (เสียงปรบมือ) คริส แอนเดอร์สัน (Chris Anderson) : น่าทึ่งมากครับ คุณประสานมันได้อย่างไรนะ ความคิดเกี่ยวกับว่าใครก็ตามที่จะ -- มันเป็นเรื่องเลวร้ายที่จะมองใครบางคนในฐานะผู้แพ้ กับความคิดที่หลายคนชอบ คือเรื่องให้ความสำคัญกับการกำหนดชีวิตของคุณเอง และสังคมที่จะสนับสนุนเรื่องที่ว่า บางทีอาจจะมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ อาลัน เดอ บัททัน : ครับ ผมคิดว่ามันอาจเป็นแค่ความบังเอิญ ในกระบวนการที่ทำให้เกิดชัยชนะและความพ่ายแพ้ และนั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำ เพราะทุกวันนี้มีการเน้นย้ำมากเกินไป เกี่ยวกับการตัดสินทุกสิ่งทุกอย่าง และนักการเมืองมักจะพูดเรื่องการตัดสินผิดถูก ตอนนี้ผมเป็นคนเชื่อมั่นในเรื่องความยุติธรรม แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเราจึงควรทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เราควรทำทุกสิ่งที่คิดว่าเราสามารถช่วยสร้างความยุติธรรมได้ ท้ายที่สุด เราก็ควรจะระลึกไว้เสมอว่า ใครก็ตามที่เราพบ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับการเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะเว้นช่องว่างไว้ให้ เพราะไม่เช่นนั้นมันอาจจะกลายเป็นการปิดกั้นตนเอง คริส แอนเดอร์สัน : คือผมจะถามว่า คุณเชื่อไหมครับว่าคุณสามารถจะรวมเอา ความคิดเรื่องปรัชญาที่นุ่มนวลอ่อนโยนเกี่ยวกับเรื่องการงาน เข้ากับเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จได้? หรือคุณคิดว่าเป็นไปไม่ได้ครับ? แต่มันไม่สำคัญมากไปที่เราจะเน้นย้ำและให้ความสำคัญเรื่องนี้หรือครับ? อาลัน เดอ บัททัน : แนวคิดที่น่ากลัว มีอยู่ว่า การทำให้คนมีแต่ความหวาดกลัวเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้พวกเขาทำงานออกมาเต็มที่ และบางทียิ่งสภาพแวดล้อมยิ่งเลวร้ายเท่าใด ผู้คนก็จะยิ่งลุกขึ้นต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น คุณอาจจะลองนึกดูว่า คุณอยากได้พ่อในอุดมคติแบบไหน และพ่อในอุดมคติของคุณเป็นคนที่เข้มแข็งแต่สุภาพอ่อนโยน นั่นเป็นเส้นแบ่งที่ทำได้ยาก เราต้องการพ่ออย่างที่ควรเป็น เป็นคุณพ่อตัวอย่างที่ควรได้รับการยกย่องจากสังคม ต้องหลีกเลี่ยงความสุดโต่งสองขั้ว ด้านหนึ่งก็คือระบอบเผด็จการ เต็มไปด้วยระเบียบวินัย ส่วนอีกด้านก็คือความหย่อนยาน ไร้กฎเกณฑ์ คริส แอนเดอร์สัน : อาลัน เดอ บัททัน ครับ อาลัน เดอ บัททัน : ขอบคุณมากครับ (เสียงปรบมือ)