1 00:00:01,006 --> 00:00:06,156 เรามีบันทึกทางประวัติศาสตร์ ที่ทำให้เรารู้ว่าชาวกรีกโบราณแต่งตัวอย่างไร 2 00:00:06,180 --> 00:00:07,434 ใช้ชีวิตอย่างไร 3 00:00:07,458 --> 00:00:08,980 สู้อย่างไร ... 4 00:00:09,004 --> 00:00:10,528 แต่พวกเขารู้สึกอย่างไรล่ะ 5 00:00:11,432 --> 00:00:15,872 หนึ่งในความคิดตามธรรมชาติก็คือ แง่มุมที่ลึกที่สุดของความคิดของมนุษย์ -- 6 00:00:15,896 --> 00:00:17,768 ความสามารถในการจินตนาการของเรา 7 00:00:17,792 --> 00:00:19,189 การมีสติ 8 00:00:19,213 --> 00:00:20,444 เพื่อที่จะฝัน -- 9 00:00:20,468 --> 00:00:22,087 มันเหมือนกันมาโดยตลอด 10 00:00:22,872 --> 00:00:24,371 ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ 11 00:00:24,395 --> 00:00:28,118 การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ที่ก่อร่างวัฒนธรรมของเรา 12 00:00:28,142 --> 00:00:31,927 อาจจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ทางความคิดของมนุษย์ 13 00:00:32,911 --> 00:00:35,435 เราอาจมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องนี้ 14 00:00:35,459 --> 00:00:38,176 ที่จริงแล้วมันเป็นการถกเถียง ทางปรัชญาที่ยาวนาน 15 00:00:38,644 --> 00:00:41,371 แต่คำถามนี้มันจะคล้อยตาม หลักทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ 16 00:00:42,834 --> 00:00:45,340 นี่คือสิ่งที่ผมต้องการจะนำเสนอ 17 00:00:45,364 --> 00:00:50,136 ว่าในแบบเดียวกัน เราสามารถสร้างภาพขึ้นมาใหม่ ได้ว่าเมืองกรีกโบราณมีหน้าตาอย่างไร 18 00:00:50,160 --> 00:00:52,548 จากอิฐไม่กี่ก้อน 19 00:00:52,572 --> 00:00:56,698 ว่าการจารึกของวัฒนธรรม เป็นบันทึกทางโบราณคดี 20 00:00:56,722 --> 00:00:58,865 ฟอสซิลของความคิดมนุษย์ 21 00:00:59,905 --> 00:01:01,079 และในความเป็นจริง 22 00:01:01,103 --> 00:01:03,309 การวิเคราะห์ทางจิตวิทยาบางแขนง 23 00:01:03,333 --> 00:01:06,877 จากหนังสือที่เก่าแก่ที่สุด เกี่ยวกับวัฒนธรรมมนุษย์ 24 00:01:06,901 --> 00:01:12,856 ในยุค 70 จูเลี่ยน เจนส์ ตั้งสมมติฐานสุดแปลกแหวกแนวขึ้นมา 25 00:01:12,880 --> 00:01:15,293 ว่าเพียง 3,000 ปีก่อน 26 00:01:15,317 --> 00:01:20,205 มนุษย์คือสิ่งที่ในวันนี้เราเรียกว่าจิตเภท 27 00:01:21,753 --> 00:01:23,261 และเขาอ้างว่า 28 00:01:23,285 --> 00:01:26,586 หนังสือเหล่านี้อธิบายไว้ว่า มนุษย์กลุ่มแรกนั้น 29 00:01:26,610 --> 00:01:28,514 ประพฤติตัวคงเส้นคงวา 30 00:01:28,538 --> 00:01:31,554 ตามประเพณีที่แตกต่างกัน และในสถานที่ต่าง ๆ บนโลกใบนี้ 31 00:01:31,578 --> 00:01:35,110 ราวกับว่าพวกเขาได้ยินและเชื่อฟังเสียง 32 00:01:35,134 --> 00:01:38,174 ที่พวกเขารับรู้ว่ามาจากพระเจ้า 33 00:01:38,198 --> 00:01:39,396 หรือจากแรงบันดาลใจ ... 34 00:01:40,063 --> 00:01:42,832 สิ่งที่วันนี้พวกเราเรียกว่าภาพหลอน 35 00:01:43,888 --> 00:01:46,514 และเมื่อเวลาผ่านไป 36 00:01:46,538 --> 00:01:50,189 พวกเขาเริ่มที่จะรับรู้ว่า พวกเขาเป็นผู้สร้าง 37 00:01:50,213 --> 00:01:52,728 เจ้าของเสียงจากภายในเหล่านี้ 38 00:01:53,316 --> 00:01:56,031 และด้วยสิ่งนี้ พวกเขาได้มาซึ่งอันตรวินิจ (introspection) 39 00:01:56,055 --> 00:01:58,538 ความสามารถที่จะคิด เกี่ยวกับความนึกคิดของตัวเอง 40 00:01:59,785 --> 00:02:03,182 ดังนั้นทฤษฎีของเจนส์ที่กล่าวว่า ความตระหนักรู้ 41 00:02:03,206 --> 00:02:06,372 อย่างน้อยก็เป็นวิธีที่เรารับรู้วันนี้ 42 00:02:06,396 --> 00:02:09,936 ที่เรารู้สึกว่า เราเป็นผู้ควบคุมการมีอยู่ของเราเอง -- 43 00:02:09,960 --> 00:02:12,697 เป็นการพัฒนาทางวัฒนธรรมที่ค่อนข้างใหม่ 44 00:02:13,456 --> 00:02:15,242 และทฤษฎีนี้ค่อนข้างมีความงดงามมาก 45 00:02:15,266 --> 00:02:16,699 แต่มันมีปัญหาที่เห็นได้ชัดอยู่ 46 00:02:16,723 --> 00:02:20,715 ซึ่งก็คือ มันอ้างอิงมาจากตัวอย่างจำนวนน้อย และค่อนข้างจำเพาะ 47 00:02:21,085 --> 00:02:22,848 ดังนั้นคำถามก็คือทฤษฎีที่ว่า 48 00:02:22,872 --> 00:02:27,623 การพินิจภายในนั้นสร้างขึ้นมา ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์แค่เมื่อ 3,000 ปีก่อน 49 00:02:27,647 --> 00:02:30,631 สามารถตรวจสอบด้วยรูปแบบเชิงปริมาณ และวัตถุประสงค์หรือไม่ 50 00:02:31,543 --> 00:02:35,106 และปัญหาทีว่าจะกระทำการสิ่งนี้ด้วยวิธีใด ก็ค่อนข้างชัดเจน 51 00:02:35,130 --> 00:02:38,590 มันไม่เหมือนกับการที่พลาโตตื่นขึ้นมาในวันหนึ่ง แล้วเขียนว่า 52 00:02:38,614 --> 00:02:40,273 "สวัสดี ผมคือพลาโต 53 00:02:40,297 --> 00:02:43,186 และในวันนี้ ผมมีสติในการใคร่ครวญ อย่างเต็มที่" 54 00:02:43,210 --> 00:02:45,503 (เสียงหัวเราะ) 55 00:02:45,527 --> 00:02:48,860 และจริง ๆ แล้วนี่บ่งบอก ถึงสาระสำคัญของปัญหา 56 00:02:49,467 --> 00:02:53,522 เราต้องการที่จะค้นหาการเกิดขึ้น ของแนวคิดที่ไม่เคยกล่าวไว้ 57 00:02:54,434 --> 00:02:58,744 คำว่า พินิจภายใน ไม่เคยปรากฎขึ้นเลย 58 00:02:58,768 --> 00:03:00,687 ในหนังสือที่เราต้องการวิเคราะห์ 59 00:03:01,728 --> 00:03:05,815 ดังนั้น วิธีที่เราใช้แก้ปัญหานี้ คือการสร้างพื้นที่ของคำ 60 00:03:06,571 --> 00:03:09,858 มันเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีคำทั้งหมด 61 00:03:09,882 --> 00:03:12,684 ในลักษณะที่ว่าระยะทางระหว่างคำสองคำ 62 00:03:12,708 --> 00:03:15,591 เป็นตัวกำหนดว่า พวกมันเกี่ยวข้องกันมากแค่ไหน 63 00:03:16,460 --> 00:03:17,611 ตัวอย่างเช่น 64 00:03:17,635 --> 00:03:20,532 คุณต้องการให้คำว่า "สุนัข" และ "แมว" ใกล้กันมาก ๆ 65 00:03:20,556 --> 00:03:24,387 แต่คำว่า "เกรฟฟรุต" และ "ลอการิทึม" ห่างกันมาก ๆ 66 00:03:24,809 --> 00:03:28,705 และนี่มันจะต้องเป็นจริง สำหรับคำสองคำใด ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ 67 00:03:29,626 --> 00:03:32,967 มีวิธีการต่าง ๆ ที่เราสามารถสร้างพื้นที่ของคำ 68 00:03:32,991 --> 00:03:34,634 วิธีหนึ่งก็คือการถามเหล่าผู้เชี่ยวชาญ 69 00:03:34,658 --> 00:03:36,554 คล้าย ๆ กับที่เราใช้พจนานุกรม 70 00:03:36,896 --> 00:03:38,324 อีกวิธีหนึ่งที่เป็นไปได้คือ 71 00:03:38,348 --> 00:03:42,063 การทำตามข้อสรุปพื้น ๆ ที่ว่า เมื่อใดก็ตามที่คำสองคำเกี่ยวข้องกัน 72 00:03:42,087 --> 00:03:44,436 พวกมันมักจะปรากฏอยู่ในประโยคเดียวกัน 73 00:03:44,460 --> 00:03:45,913 ในย่อหน้าเดียวกัน 74 00:03:45,937 --> 00:03:47,707 ในเอกสารเดียวกัน 75 00:03:47,731 --> 00:03:50,913 บ่อยกว่าที่มันจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ 76 00:03:52,231 --> 00:03:54,281 และด้วยสมมติฐานง่าย ๆ นี้เอง 77 00:03:54,305 --> 00:03:55,611 วิธีการพื้นฐานนี้ 78 00:03:55,635 --> 00:03:57,242 กับเทคนิคการคำนวณบางอย่าง 79 00:03:57,266 --> 00:03:58,655 ที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงทีว่า 80 00:03:58,679 --> 00:04:01,743 พื้นที่ที่ซับซ้อนมากและมีหลายมิตินี้ 81 00:04:01,767 --> 00:04:03,432 ค่อนข้างจะมีประสิทธิภาพ 82 00:04:04,155 --> 00:04:06,957 และเพื่อที่จะให้คุณได้รับรู้ว่า มันออกมาดีอย่างไร 83 00:04:06,981 --> 00:04:10,893 นี่คือผลลัพธ์ที่เราได้ เมื่อเราวิเคราะห์คำที่คุ้นหู 84 00:04:11,607 --> 00:04:12,792 และคุณจะเห็นเลยว่า 85 00:04:12,816 --> 00:04:16,094 คำได้ถูกจัดเรียงเป็นส่วน ๆ ข้างเคียงกัน โดยอัตโนมัติ 86 00:04:16,118 --> 00:04:18,335 คุณเห็นว่ามีคำศัพท์เกี่ยวกับ ผลไม้ อวัยวะของร่างกาย 87 00:04:18,359 --> 00:04:20,784 ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ คำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ และอื่น ๆ 88 00:04:21,119 --> 00:04:25,341 อัลกอริธึมยังระบุว่า เราจัดเรียงแนวคิดเป็นลำดับขั้น 89 00:04:25,852 --> 00:04:27,003 ยกตัวอย่างเช่น 90 00:04:27,027 --> 00:04:30,624 เราเห็นได้ว่าศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนย่อย 91 00:04:30,648 --> 00:04:32,748 คือศัพท์ทางด้านดาราศาสตร์และฟิสิกส์ 92 00:04:33,338 --> 00:04:35,584 และต่อจากนั้น มันก็มีสิ่งที่ละเอียดลงไป 93 00:04:35,608 --> 00:04:37,513 ตัวอย่างเช่น คำว่า ดาราศาสตร์ 94 00:04:37,537 --> 00:04:39,352 ซึ่งตำแหน่งที่มันอยู่ อาจดูแปลกนิดหน่อย 95 00:04:39,376 --> 00:04:41,424 แต่จริง ๆ แล้วเป็นที่ที่มันควรอยู่ 96 00:04:41,448 --> 00:04:43,043 ระหว่างสิ่งที่มันเป็น 97 00:04:43,067 --> 00:04:44,337 ซึ่งคือ วิทยาศาสตร์ที่แท้จริง 98 00:04:44,361 --> 00:04:45,897 และระหว่างสิ่งที่เป็นนิยามของมัน 99 00:04:45,921 --> 00:04:47,413 ซึ่งคือ ศัพท์ทางดาราศาสตร์ 100 00:04:48,182 --> 00:04:50,073 และเราสามารถคุยเรื่องนี้กันไปได้เรื่อย ๆ 101 00:04:50,097 --> 00:04:52,157 อันที่จริง ถ้าคุณจ้องตรงนี้สักครู่หนึ่ง 102 00:04:52,181 --> 00:04:54,039 และคุณจะสร้างแนวโคจรแบบสุ่มขึ้นมา 103 00:04:54,063 --> 00:04:57,229 คุณจะเห็นว่า ที่จริงแล้ว มันรู้สึกคล้ายกับการแต่งกลอน 104 00:04:58,018 --> 00:04:59,900 และนี่เป็นเพราะว่า 105 00:04:59,924 --> 00:05:02,864 การเดินในพื้นที่นี้เหมือนกับการเดินในจิตใจ 106 00:05:04,027 --> 00:05:05,644 และสิ่งสุดท้าย 107 00:05:05,668 --> 00:05:09,708 คืออัลกอริธึมยังระบุ ถึงสิ่งที่เป็นสัญชาตญาณของเรา 108 00:05:09,732 --> 00:05:13,628 สิ่งที่คำจะนำไปสู่สิ่งที่ข้องเกี่ยว กับอันตรวินิจ 109 00:05:13,652 --> 00:05:14,875 ยกตัวอย่างเช่น 110 00:05:14,899 --> 00:05:18,878 คำ เช่น "ตัวเอง" "ความรู้สึกผิด" "เหตุผล" "อารมณ์" นั้น 111 00:05:18,902 --> 00:05:20,791 มีความใกล้เคียงกับ "อันตรวินิจ" 112 00:05:20,815 --> 00:05:21,966 แต่คำอื่น ๆ 113 00:05:21,990 --> 00:05:24,157 เช่น "สีแดง" "ฟุตบอล" "เทียน" "กล้วย" นั้น 114 00:05:24,181 --> 00:05:25,633 อยู่ไปไกลออกไปมาก 115 00:05:26,054 --> 00:05:28,816 และหลังจากที่เราสร้างพื้นที่ขึ้นมา 116 00:05:28,840 --> 00:05:31,666 คำถามเกี่ยวกับประวัติของอันตรวินิจ 117 00:05:31,690 --> 00:05:34,023 หรือ ประวัติของความคิดทั้งหลาย 118 00:05:34,047 --> 00:05:38,826 ซึ่งก่อนหน้านี้ดูเหมือนจับต้องไม่ได้ หรืออาจคลุมเครือ 119 00:05:38,850 --> 00:05:40,454 กลายเป็นเรื่องที่มีน้ำหนักขึ้น -- 120 00:05:40,478 --> 00:05:43,216 สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์เชิงปริมาณได้ 121 00:05:44,216 --> 00:05:46,978 สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือเอาหนังสือมา 122 00:05:47,002 --> 00:05:48,383 ทำให้มันอยู่ในรูปแบบดิจิทัล 123 00:05:48,407 --> 00:05:51,216 และใช้ของคำทั้งหลายเป็นเส้นโคจร 124 00:05:51,240 --> 00:05:53,209 และนำพวกมันลงในพื้นที่ 125 00:05:53,233 --> 00:05:56,987 และเราตั้งคำถามว่าเส้นโคจรนี้ ใช้เวลาอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ 126 00:05:57,011 --> 00:06:00,003 ในการโครจรใกล้กับแนวคิดอันตรวินิจ 127 00:06:00,760 --> 00:06:01,956 และด้วยสิ่งนี้ 128 00:06:01,980 --> 00:06:04,092 เราสามารถวิเคราะห์ประวัติอันตรวินิจ 129 00:06:04,116 --> 00:06:06,037 ในวัฒนธรรมกรีกโบราณ 130 00:06:06,061 --> 00:06:08,663 ซึ่งพวกเรามีบันทึกที่ดีที่สุด ที่เป็นลายลักษณ์อักษร 131 00:06:09,631 --> 00:06:11,886 ดังนั้นสิ่งที่พวกเราทำคือ พวกเรานำหนังสือทั้งหมด -- 132 00:06:11,910 --> 00:06:14,194 เราแค่จัดลำดับตามเวลา -- 133 00:06:14,218 --> 00:06:15,970 สำหรับหนังสือแต่ละเล่ม เรานำคำมา 134 00:06:15,994 --> 00:06:17,955 และนำพวกมันวางลงในพื้นที่ 135 00:06:17,979 --> 00:06:21,011 และเราตั้งคำถามว่า คำแต่ละคำ อยู่ใกล้กับอันตรวินิจแค่ไหน 136 00:06:21,035 --> 00:06:22,265 และเราก็หาค่าเฉลี่ยของมัน 137 00:06:22,590 --> 00:06:25,788 และตั้งคำถามว่า เมื่อเวลาผ่านไป 138 00:06:25,812 --> 00:06:29,064 หนังสือเหล่านี้เข้าใกล้แนวคิดอันตรวินิจ 139 00:06:29,088 --> 00:06:30,842 มากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น หรือไม่ 140 00:06:30,866 --> 00:06:34,667 และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ในวัฒนธรรมกรีกโบราณ 141 00:06:35,698 --> 00:06:38,825 คุณจะเห็นได้ว่าหนังสือที่เก่าแก่ที่สุด ในวัฒนธรรมโฮเมริค 142 00:06:38,849 --> 00:06:42,261 มีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยสำหรับหนังสือ ที่เข้าใกล้อันตรวินิจมากขึ้น 143 00:06:42,285 --> 00:06:44,491 แต่ประมาณสี่ศตวรรษก่อนคริสตกาล 144 00:06:44,515 --> 00:06:49,223 สิ่งนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไปจนเกือบมีการเพิ่มขึ้นถึงห้าเท่า 145 00:06:49,247 --> 00:06:51,747 ของหนังสือที่เข้าใกล้แนวคิดอันตรวินิจ 146 00:06:51,771 --> 00:06:53,453 มากขึ้นและมากขึ้น 147 00:06:54,159 --> 00:06:56,583 ข่าวดีอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ 148 00:06:56,607 --> 00:06:57,805 ตอนนี้เราสามารถตั้งคำถาม 149 00:06:57,829 --> 00:07:01,976 ว่าสิ่งนี้จะยังเป็นจริง ในวัฒนธรรม ที่แตกต่างและเป็นอิสระหรือไม่ 150 00:07:02,962 --> 00:07:06,138 ดังนั้นเราจึงทำการวิเคราะห์แบบเดียวกัน ในวัฒนธรรมของ จูดีโอ-คริสเตียน 151 00:07:06,162 --> 00:07:08,883 และเราได้รูปแบบที่เหมือนกัน 152 00:07:09,548 --> 00:07:14,183 อีกครั้งที่คุณเห็นการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สำหรับหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดในพันธสัญญาเดิม 153 00:07:14,207 --> 00:07:16,121 และหลังจากนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 154 00:07:16,145 --> 00:07:17,984 ในหนังสือของพันธสัญญาใหม่ 155 00:07:18,008 --> 00:07:20,040 และถึงจุดสูงสุดของอันตรวินิจ 156 00:07:20,064 --> 00:07:22,191 จาก "คำสารภาพของนักบุญออกัสติน" 157 00:07:22,215 --> 00:07:24,072 ประมาณสี่ศตวรรษก่อนคริสตกาล 158 00:07:24,897 --> 00:07:26,841 และมันสำคัญมาก 159 00:07:26,865 --> 00:07:30,238 เพราะว่านักบุญออกัสติน ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการ 160 00:07:30,262 --> 00:07:32,434 นักภาษาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ 161 00:07:32,458 --> 00:07:34,536 ว่าเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งอันตรวินิจ 162 00:07:35,060 --> 00:07:38,357 ที่จริงแล้ว บางคนเชื่อว่า ท่านเป็นบิดาของจิตวิทยาสมัยใหม่ 163 00:07:39,012 --> 00:07:40,851 ฉะนั้น อัลกอริธึมของเรา 164 00:07:40,875 --> 00:07:43,717 ซึ่งมีลักษณะเป็นไปในเชิงปริมาณ 165 00:07:43,741 --> 00:07:45,004 เป็นไปในเชิงวัตถุวิสัย 166 00:07:45,028 --> 00:07:47,044 และที่แน่นอนคือมีความรวดเร็ว - 167 00:07:47,068 --> 00:07:49,465 มันดำเนินการได้ภายในเสี้ยววินาที -- 168 00:07:49,489 --> 00:07:52,992 มันสามารถจับข้อสรุปบางส่วน ที่สำคัญที่สุดได้ 169 00:07:53,016 --> 00:07:55,238 ของการศึกษาวัฒนธรรมที่ยาวนานนี้ 170 00:07:56,317 --> 00:07:59,968 และนี่คือหนึ่งในความงามของวิทยาศาสตร์ 171 00:07:59,992 --> 00:08:03,468 ซึ่งตอนนี้แนวคิดนี้ สามารถแปลออกมาได้ 172 00:08:03,492 --> 00:08:06,063 และสามารถทำให้ถูกจัด ให้อยู่ในกลุ่มต่าง ๆ 173 00:08:06,769 --> 00:08:11,536 โดยในแบบเดียวกันกับที่เราถามเกี่ยวกับ อดีตของความตระหนักรู้ของมนุษย์ 174 00:08:11,560 --> 00:08:14,966 ซึ่งบางทีนั่นอาจเป็นคำถาม ที่ท้าทายที่สุดที่เราจะถามตัวเองได้ 175 00:08:14,990 --> 00:08:19,127 มันจะสามารถบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ อนาคตความตระหนักรู้ของพวกเราได้หรือไม่ 176 00:08:19,550 --> 00:08:21,020 พูดตรง ๆ ก็คือ 177 00:08:21,044 --> 00:08:23,460 คำที่เราพูดวันนี้ 178 00:08:23,484 --> 00:08:28,681 จะสามารถบอกว่าได้หรือไม่ว่า ความคิดของจะเป็นอย่างไรในอีกสองสามวัน 179 00:08:28,705 --> 00:08:29,856 หรือในอีกสองสามเดือน 180 00:08:29,880 --> 00:08:31,062 หรือในอีกสองสามปีต่อจากนี้ 181 00:08:31,597 --> 00:08:34,617 และเป็นเหมือนกับที่เราใส่เครื่องตรวจจับ 182 00:08:34,641 --> 00:08:36,427 สำหรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ 183 00:08:36,451 --> 00:08:37,720 การหายใจ 184 00:08:37,744 --> 00:08:39,411 พันธุกรรม 185 00:08:39,435 --> 00:08:43,086 เพื่อหวังว่าสิ่งนี้อาจจะช่วยป้องกันโรคได้ 186 00:08:43,110 --> 00:08:46,631 เราสามารถถามได้ว่าการติดตาม และการวิเคราะห์คำที่เราพูด 187 00:08:46,655 --> 00:08:49,338 ที่เราทวีท ที่เราอีเมล์ ที่เราเขียน 188 00:08:49,362 --> 00:08:54,170 จะบอกเราล่วงหน้าได้หรือไม่ ว่าในความคิดของเราอาจมีบางสิ่งที่ผิดปกติไป 189 00:08:55,087 --> 00:08:56,621 ผมกับ กิญาร์โม เชอกิ (Guillermo Cecchi) 190 00:08:56,645 --> 00:08:59,646 ผู้ที่เป็นดังพี่ชายของผม ในการผจญภัยครั้งนี้ 191 00:08:59,670 --> 00:09:01,225 เรารับทำภารกิจนี้ 192 00:09:02,228 --> 00:09:07,760 และเราทำเช่นนั้นโดยการวิเคราะห์ บันทึกคำพูดของหนุ่มสาว 34 คน 193 00:09:07,784 --> 00:09:10,585 คนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นจิตเภท 194 00:09:11,434 --> 00:09:14,315 สิ่งที่เราทำคือ เราวัดค่าคำพูด ในวันที่หนึ่ง 195 00:09:14,339 --> 00:09:17,581 และเราตั้งคำถามว่า คุณสมบัติของคำพูดนี้จะทำนาย 196 00:09:17,605 --> 00:09:20,101 การพัฒนาของโรคจิตเภท 197 00:09:20,125 --> 00:09:22,160 ในภายในกรอบเวลาเกือบสามปีได้หรือไม่ 198 00:09:23,427 --> 00:09:25,793 แต่ถึงแม้ว่าเราจะมีความหวัง 199 00:09:25,817 --> 00:09:28,934 เราก็พบกับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า 200 00:09:29,793 --> 00:09:33,675 เพราะว่าเรามีข้อมูลไม่เพียงพอ 201 00:09:33,699 --> 00:09:36,492 ที่จะทำนายอนาคตของการจัดการในจิตใจเรา 202 00:09:36,516 --> 00:09:38,325 แต่มันก็ดีพอ 203 00:09:38,349 --> 00:09:42,524 ที่จะแยกแยะระหว่างกลุ่มจิตเภท และกลุ่มควบคุม 204 00:09:42,548 --> 00:09:45,260 คล้าย ๆ กับที่เราทำกับคำโบราณ 205 00:09:45,284 --> 00:09:48,278 แต่ไม่สามารถทำนายอาการ ของโรคจิตเภทในอนาคตได้ 206 00:09:49,164 --> 00:09:50,870 แต่จากนั้นเราก็ตระหนักว่า 207 00:09:50,894 --> 00:09:54,982 สิ่งที่สำคัญที่สุดอาจจะ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ว่าเราพูดอะไร 208 00:09:55,006 --> 00:09:56,679 แต่เป็นเรื่องที่ว่าเราพูดอย่างไรต่างหาก 209 00:09:57,679 --> 00:09:58,899 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 210 00:09:58,923 --> 00:10:01,750 มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าคำนั้น อยู่ในบริเวณของความหมายใด 211 00:10:01,774 --> 00:10:04,374 แต่มันเกี่ยวกับว่า มันกระโดดจากความหมายบริเวณหนึ่ง 212 00:10:04,398 --> 00:10:06,699 ไปอีกบริเวณหนึ่งได้ไกลและเร็วแค่ไหน 213 00:10:07,247 --> 00:10:08,628 ดังนั้นเราจึงได้ตัวชี้วัดนี้มา 214 00:10:08,628 --> 00:10:10,900 ที่เรียกว่าการเชื่อมโยงของความหมาย 215 00:10:10,900 --> 00:10:11,391 ซึ่งโดยหลักแล้ว วัดคำที่ปรากฏบ่อย ๆ ในบางส่วน 216 00:10:11,415 --> 00:10:16,219 ภายใต้หมวดหมู่ความหมายหนึ่ง 217 00:10:16,243 --> 00:10:17,772 และผลมันออกมาว่าในกลุ่ม 34 คนนี้ 218 00:10:19,294 --> 00:10:23,341 อัลกอริธึมที่มาจากการเชื่อมโยงของความหมาย สามารถทำนายได้ 219 00:10:23,365 --> 00:10:27,024 ด้วยความถูกต้อง 100% 220 00:10:27,048 --> 00:10:29,548 ว่าใครจะเป็นจิตเภทและใครจะไม่เป็น 221 00:10:29,572 --> 00:10:32,079 และนี่คือสื่งที่เราไม่สามารถทำได้ -- 222 00:10:32,976 --> 00:10:35,913 ไม่ใกล้เคียงเลยด้วยซ้ำ -- 223 00:10:35,937 --> 00:10:37,445 ด้วยตัวชี้วัดทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ก่อนหน้านี้ 224 00:10:37,469 --> 00:10:40,595 และผมจำได้ชัดเจนว่า ตอนที่ผมทำงานนี้ 225 00:10:42,525 --> 00:10:46,104 ผมนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของผม 226 00:10:46,128 --> 00:10:48,445 และเห็นทวีทหลายอันจากโปโล -- 227 00:10:48,469 --> 00:10:51,104 โปโลเป็นนักเรียนคนแรกของผม ที่ บัวโนส ไอเรส 228 00:10:51,128 --> 00:10:54,295 และตอนนั้นเขาอยู่ที่นิวยอร์ค 229 00:10:54,319 --> 00:10:56,389 และมันมีบางอย่างในทวีทนี้ 230 00:10:56,413 --> 00:10:58,501 ที่ผมไม่สามารถบอกได้ว่าอะไร เพราะไม่มีอะไรบอกอย่างชัดเจน 231 00:10:58,525 --> 00:11:02,026 แต่ผมมีลางสังหรณ์อย่างแรง 232 00:11:02,050 --> 00:11:04,071 สัณชาตญาณนี้บอกว่า มันมีบางอย่างผิดปกติ 233 00:11:04,095 --> 00:11:07,050 ผมจึงหยิบโทรศัพท์และโทรหาโปโล 234 00:11:08,347 --> 00:11:11,070 และอันที่จริงแล้วเขารู้สึกไม่ค่อยสบาย 235 00:11:11,094 --> 00:11:13,013 และข้อเท็จจริงก็คือ 236 00:11:13,362 --> 00:11:15,299 เมื่ออ่านในความที่ซ่อนอยู่ 237 00:11:15,323 --> 00:11:17,814 ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกของเขา ผ่านตัวหนังสือ 238 00:11:17,838 --> 00:11:22,100 ได้อย่างง่ายดาย แต่เป็นวิธีช่วยที่มีประสิทธิภาพ 239 00:11:22,124 --> 00:11:24,743 สิ่งที่ผมบอกคุณวันนี้ 240 00:11:25,987 --> 00:11:27,625 คือพวกเรากำลังเข้าใกล้ต่อความเข้าใจ 241 00:11:27,649 --> 00:11:30,157 เกี่ยวกับการแปลงสัญชาตญาณนี้ ที่เราทุกคนมี 242 00:11:30,181 --> 00:11:34,467 ที่เราทุกคนแบ่งปันกัน 243 00:11:34,491 --> 00:11:35,856 ลงในอัลกอริธึม 244 00:11:35,880 --> 00:11:37,077 และการทำแบบนั้น 245 00:11:38,102 --> 00:11:39,563 ในอนาคตเราอาจเห็น สภาพทางจิตในรูปแบบต่าง ๆ 246 00:11:39,587 --> 00:11:44,237 ตามจุดประสงค์ และการวิเคราะห์ แบบอัตโนมัติและในเชิงปริมาณ 247 00:11:44,261 --> 00:11:49,882 ของคำที่เราเขียน 248 00:11:49,906 --> 00:11:51,615 ของคำที่เราพูด 249 00:11:51,639 --> 00:11:53,176 ขอบคุณครับ 250 00:11:53,200 --> 00:11:54,351 (เสียงปรบมือ)