0:00:09.205,0:00:11.171 "ขอโทษที มือถือแบตหมดน่ะ" 0:00:11.195,0:00:13.471 "ไม่มีอะไรจริงๆ ฉันสบายดี" 0:00:13.495,0:00:16.723 ข้ออ้างเหล่านี้[br]ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักความจริงแต่อย่างใด 0:00:16.747,0:00:20.100 "ทางบริษัทไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ ทั้งสิ้น[br]กับการกระทำผิด" 0:00:21.210,0:00:23.519 "ฉันรักคุณ" 0:00:23.543,0:00:26.387 โดยทั่วไป เราอาจได้ยินคำโกหก[br]ราว 10 ครั้งถึง 200 ครั้งต่อวัน 0:00:26.411,0:00:29.754 และเราก็พยายามคิดหาวิธีการจับเท็จ[br]มาเป็นเวลานาน 0:00:29.778,0:00:32.676 จากเครื่องทรมานในสมัยกลาง[br]มาจนถึงเครื่องจับเท็จ 0:00:32.700,0:00:36.018 เครื่องตรวจความดันและการหายใจ [br]เครื่องวิเคราะห์เสียง 0:00:36.042,0:00:38.701 เครื่องวัดระดับการเคลื่อนไหวของดวงตา [br]เครื่องสแกนสมอง 0:00:38.725,0:00:41.907 ไปจนถึงเครื่องแสดงภาพคลื่น[br]กระแสไฟฟ้าของสมองขนาด 400 ปอนด์ 0:00:41.931,0:00:45.066 ถึงแม้ว่าเครื่องมือเหล่านี้ถูกนำมาใช้[br]ตรวจสอบในสถานการณ์เฉพาะ 0:00:45.090,0:00:48.045 แต่เครื่องมือก็ยังถูกหลอกได้[br]ถ้าหากผู้ต้องหาเตรียมตัวมาดี 0:00:48.069,0:00:52.097 และสุดท้ายก็ไม่มีอะไรน่าเชื่อถือ[br]พอที่จะเป็นที่ยอมรับได้ในศาล 0:00:52.121,0:00:54.641 ถ้าหากลองคิดดูอีกที[br]ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่เทคนิคก็ได้ 0:00:54.665,0:00:59.042 แต่อาจเป็นการคาดการณ์ที่ว่า[br]การโกหกไปกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย 0:00:59.066,0:01:01.047 แล้วถ้าหากเราลองใช้วิธีการตรงๆ กว่า 0:01:01.071,0:01:04.239 โดยการนำวิทยาศาสตร์แห่งการสื่อสาร[br]มาช่วยวิเคราะห์ความเท็จด้วยล่ะ 0:01:05.146,0:01:09.959 ในเชิงจิตวิทยา คนเราเลือกที่จะโกหกส่วนหนึ่ง[br]ก็เพื่อที่จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตนเอง 0:01:09.983,0:01:12.835 โดยการเชื่อมโยงจินตนาการกับชีวิตในอุดมคติ 0:01:12.859,0:01:15.157 แทนที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง 0:01:15.181,0:01:19.545 ทว่าขณะที่สมองของเรามัวแต่วุ่นกับการวาดฝัน [br]หารู้ไม่ว่าเราได้พลาดสัญญาณไปหลายอย่าง 0:01:19.569,0:01:23.704 สติของเราสามารถควบคุม[br]กระบวนการคิดและรับรู้ได้เพียง 5% 0:01:23.728,0:01:25.264 รวมถึงการสื่อสาร 0:01:25.288,0:01:28.664 ในขณะที่อีก 95% [br]เกิดขึ้นในขณะที่เราไม่ได้ตระหนัก 0:01:28.688,0:01:31.850 และจากข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริง 0:01:31.874,0:01:34.212 เรื่องราวที่อ้างอิงจินตนาการ 0:01:34.236,0:01:38.093 มักจะมีน้ำหนักแตกต่างจาก[br]ความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง 0:01:38.117,0:01:42.119 สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการสร้างเรื่องส่วนตัวที่เป็นเท็จ[br]ต้องใช้ความพยายามไม่น้อย 0:01:42.143,0:01:45.036 และมักแสดงความแตกต่าง[br]เชิงแบบแผนการใช้ภาษา 0:01:45.060,0:01:48.207 เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อความทางภาษาศาสตร์[br](linguistic text analysis) 0:01:48.231,0:01:50.931 ช่วยจำแนกแบบแผนการใช้ภาษาออกเป็น 4 แบบ 0:01:50.955,0:01:53.161 ภายใต้ศาสตร์แห่งการหลอกลวง 0:01:54.153,0:01:58.473 อันดับแรก คนที่โกหกมักหลีกเลี่ยง[br]การอ้างถึงตัวเองเวลาโกหก 0:01:58.497,0:02:02.224 คนเหล่านี้มักเขียนหรืออ้างถึงคนอื่น[br]โดยใช้สรรพนามบุรุษที่สามบ่อยครั้ง 0:02:02.248,0:02:05.216 เพื่อเลี่ยงการนำตัวเองเข้ามา[br]เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตนสร้างขึ้น 0:02:05.240,0:02:07.134 ซึ่งกลับเพิ่มจุดด่างพร้อยให้มากขึ้นเช่น 0:02:07.158,0:02:09.966 "ไม่มีทางมีปาร์ตี้ที่บ้านนี้แน่ๆ" 0:02:09.990,0:02:11.845 หรือ "ฉันไม่ได้จัดปาร์ตี้ที่นี่นะ" 0:02:13.178,0:02:15.733 สอง คนโกหกมักจะพูดอะไรที่เป็นแง่ลบ 0:02:15.757,0:02:19.238 เพราะจิตใต้สำนึกของคนเหล่านั้น[br]ก็รู้สึกผิดที่ต้องโกหก 0:02:19.262,0:02:21.398 ยกตัวอย่างเช่น คนที่โกหกมักพูดว่า 0:02:21.422,0:02:25.589 "ขอโทษนะ โทรศัพท์เฮงซวยของฉัน[br]แบตหมดอีกละ เกลียดมันจริงๆ" 0:02:25.613,0:02:28.853 สาม โดยทั่วไปคนโกหกมักอธิบาย[br]เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างง่ายๆ ไม่ซับซ้อน 0:02:28.877,0:02:31.976 เพราะสมองของเราจะต้องทำงานหนักมาก[br]เพื่อสร้างเรื่องเท็จ 0:02:32.000,0:02:33.305 การตัดสินใจและการประเมิน 0:02:33.329,0:02:36.159 เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน[br]สำหรับสมองที่จะสั่งการ 0:02:36.183,0:02:38.654 ดังเช่นครั้งที่ประธานาธิบดีท่านหนึ่งของอเมริกา[br]ได้กล่าวยืนยันว่า 0:02:38.678,0:02:41.766 "ผมไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับหญิงสาวผู้นั้น" 0:02:41.790,0:02:44.659 และสุดท้าย ถึงแม้ว่าคนโกหกมักจะใช้[br]คำบรรยายที่ไม่ซับซ้อน 0:02:44.683,0:02:48.134 แต่พวกเขามีแนวโน้มที่จะใช้[br]รูปประโยคที่ยาวและวกวน 0:02:48.158,0:02:49.740 โดยการใช้คำที่ฟุ่มเฟือย 0:02:49.764,0:02:53.476 พร้อมกับรายละเอียดที่ไม่จำเป็น[br]แต่ฟังดูเหมือนจริงมาเสริมแต่งเรื่อง 0:02:53.500,0:02:56.140 ประธานาธิบดีอีกท่าน[br]เคยออกมาโต้ตอบประเด็นฉาวไว้ว่า 0:02:56.164,0:02:59.510 "ผมขอพูดตามตรงว่า[br]การสืบสวนครั้งนี้ชี้ชัดว่า 0:02:59.534,0:03:01.297 ไม่มีพนักงานคนใดในทำเนียบขาว 0:03:01.321,0:03:03.676 รวมไปถึงคณะบริหารคณะนี้ 0:03:03.700,0:03:06.600 มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น" 0:03:06.624,0:03:10.164 ลองนำหลักวิเคราะห์ภาษา[br]มาใช้กับตัวอย่างดังต่อไปนี้ดูบ้าง 0:03:10.188,0:03:13.213 เช่น เจ้าของแชมป์ตูร์เดอฟร็องส์ 7 ปีซ้อน[br]อย่างแลนซ์ อาร์มสตรอง 0:03:13.237,0:03:15.373 เมื่อนำบทสัมภาษณ์ของเขา[br]ในปี ค.ศ. 2005 0:03:15.397,0:03:18.250 ขณะที่เขาพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหา[br]เรื่องการใช้ยากระตุ้น 0:03:18.274,0:03:21.188 มาเปรียบเทียบกับปี ค.ศ. 2013[br]ซึ่งเขาออกมายอมรับ 0:03:21.212,0:03:25.168 ผลวิเคราะห์เผยว่าเขาได้เพิ่มจำนวนการใช้[br]บุรุษสรรพนามมากขึ้นเกือบ 3 ใน 4 ส่วน 0:03:25.192,0:03:27.835 ความแตกต่างของบทสัมภาษณ์[br]ทั้งสองครั้งมีดังต่อไปนี้ 0:03:27.859,0:03:32.146 ครั้งแรก: "โอเค อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่า[br]ชายฝรั่งเศสผู้หนึ่งในห้องแลปที่ปารีส 0:03:32.170,0:03:36.107 ได้เปิดตัวอย่างของคุณ [br]ฌ็อง ฟรานซิส อะไรซักอย่าง แล้วก็ตรวจดู 0:03:36.131,0:03:38.828 และแล้วอยู่ๆ หนังสือพิมพ์ก็ติดต่อคุณมาว่า 0:03:38.853,0:03:41.634 "เราทราบมาว่ามีการตรวจพบ[br]EPO ในร่างกายของคุณ" 0:03:43.129,0:03:45.004 ครั้งที่สอง: ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว 0:03:45.028,0:03:47.923 ผมเชื่อว่าหลายคนคงรับไม่ได้กับเรื่องแบบนี้ 0:03:47.947,0:03:49.704 ผมเองก็รับไม่ได้เหมือนกัน 0:03:49.728,0:03:52.726 และเคยที่จะควบคุมทุกอย่างในชีวิตเสมอมา 0:03:52.750,0:03:55.388 ผมควบคุมทุกผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตผม" 0:03:55.412,0:03:58.294 ตอนที่อาร์มสตรอง[br]ออกมาปฏิเสธสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 0:03:58.318,0:04:00.297 เขาเบี่ยงเบนประเด็นไปที่คนอื่น 0:04:00.321,0:04:02.979 ทั้งยังเลือกที่จะไม่พูดถึงตัวเองเลย 0:04:03.003,0:04:04.956 แต่เมื่อเขาออกมายอมรับ [br]เขากลับเลือกใช้คำพูดของตัวเอง 0:04:04.980,0:04:08.585 ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์[br]ความรู้สึกและแรงบันดาลใจ 0:04:08.609,0:04:12.552 แต่การใช้บุรุษสรรพนาม[br]ก็เป็นอีกหนึ่งตัวบ่งชี้ของการหลอกลวง 0:04:12.576,0:04:14.885 ลองมาดูอีกหนึ่งตัวอย่างจากอดีตวุฒิสมาชิก 0:04:14.909,0:04:18.137 และผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา[br]จอห์น เอ็ดเวิร์ด กล่าวว่า 0:04:18.161,0:04:20.740 "ผมรู้แค่ว่าผู้ที่อ้างว่าเป็นพ่อเด็ก[br]ได้ออกมายอมรับอย่างเปิดเผยแล้ว 0:04:20.764,0:04:22.654 ว่าเขาเป็นพ่อที่แท้จริงของเด็ก 0:04:22.678,0:04:25.690 ผมเองก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ[br]กับการกระทำใดๆ ที่ระบุไว้ 0:04:25.714,0:04:29.148 ว่ามีการร้องขอ ตกลง [br]หรือสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ 0:04:29.172,0:04:32.353 ให้กับฝ่ายหญิงหรือฝ่ายที่อ้างว่าเป็นพ่อเด็ก" 0:04:32.377,0:04:36.396 นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นคำพูดที่ยืดเยื้อวกวน[br]ของประโยคสั้นๆ ที่ว่า "เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของผม" 0:04:36.420,0:04:39.306 แต่เอ็ดเวิร์ดไม่เคยระบุชื่อจริง[br]ของบุคคลอื่นที่เขากล่าวถึงเลย 0:04:39.330,0:04:43.139 เขากลับใช้คำว่า"เด็กคนนั้น" [br]"หญิงสาวผู้นั้น" และ"ผู้ที่อ้างว่าเป็นพ่อเด็ก" 0:04:43.163,0:04:46.192 ต่อไปเรามาดูกันว่าเขาจะพูดอย่างไร[br]ตอนยอมรับว่าเป็นพ่อที่แท้จริง 0:04:46.216,0:04:47.743 "ผมเป็นพ่อของควินน์ 0:04:47.767,0:04:50.024 และผมจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อเธอ 0:04:50.048,0:04:52.141 ด้วยความรักและความเอาใจใส่[br]ที่เธอสมควรจะได้รับ" 0:04:53.066,0:04:54.744 ช่างเป็นคำแถลงที่สั้น[br]และตรงไปตรงมา 0:04:54.768,0:04:58.303 ไม่ว่าจะเป็นการเรียกชื่อจริงของเด็ก[br]และการกล่าวถึงบทบาทของเขาในฐานะพ่อ 0:04:58.327,0:05:01.534 สรุปแล้ว คุณจะนำเทคนิคการจับเท็จเหล่านี้[br]ไปใช้ได้อย่างไร 0:05:01.558,0:05:05.195 อันดับแรกจงอย่าลืมว่าในแต่ละวัน[br]เรามีโอกาสเผชิญหน้ากับการโกหกได้เสมอ 0:05:05.219,0:05:09.820 ตั้งแต่รูปแบบที่ร้ายแรงน้อยกว่าตัวอย่างเหล่านี้[br]และแบบที่ไร้ซึ่งพิษภัยใดๆ 0:05:09.844,0:05:12.504 แต่มันก็ยังเป็นการสมควร [br]ที่เราจะตระหนักถึงพฤติกรรมที่น่าสงสัย 0:05:12.528,0:05:16.216 เช่นการหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงตัวเอง [br]การใช้ภาษาที่สื่อความในแง่ลบ 0:05:16.240,0:05:18.643 คำอธิบายง่ายๆ และการพูดจาวกวน 0:05:19.759,0:05:22.819 มันอาจช่วยให้เราเลี่ยง[br]การประเมินราคาที่สูงจนเกินไป 0:05:22.843,0:05:25.758 ระวังสินค้าที่ไร้ประสิทธิภาพ [br]หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ที่แสนแย่