1 00:00:00,690 --> 00:00:04,360 ในวิดีโอที่แล้ว เราเริ่มสำรวจแนวคิดเรื่อง ฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อน 2 00:00:04,360 --> 00:00:06,120 อย่าสับสนกับค่าคาดหมายล่ะ 3 00:00:06,120 --> 00:00:08,000 เพราะมันใช้สัญลักษณ์เดียวกัน 4 00:00:08,000 --> 00:00:09,810 ตรงนี้ E คือความคลาดเคลื่อน 5 00:00:09,810 --> 00:00:10,840 และเรายังคิดว่า 6 00:00:10,840 --> 00:00:13,180 บางครั้ง มันเรียกว่าฟังก์ชันเศษเหลือ 7 00:00:13,180 --> 00:00:16,750 และเราเห็นว่ามันก็แค่ผลต่าง 8 00:00:16,750 --> 00:00:20,440 ผลต่างระหว่างฟังก์ชันกับค่าประมาณฟังก์ชัน 9 00:00:20,440 --> 00:00:25,980 ตัวอย่างเช่น ระยะนี่ตรงนี้ตรงนี้ นี่คือค่าคลาดเคลื่อน 10 00:00:25,980 --> 00:00:29,680 นั่นคือค่าคลาดเคลื่อนที่ x เท่ากับ b 11 00:00:29,680 --> 00:00:32,340 และสิ่งที่เราสนใจคือค่าสัมบูรณ์ของมัน 12 00:00:32,340 --> 00:00:35,290 เพราะสักแห่งหนึ่ง f ของ x อาจมากกว่าพหุนาม 13 00:00:35,290 --> 00:00:37,500 บางครั้ง พหุนามตรงนี้อาจมากกว่า f ของ x 14 00:00:37,500 --> 00:00:40,860 สิ่งที่เราสนใจคือระยะสัมบูรณ์ระหว่างพวกมัน 15 00:00:40,860 --> 00:00:42,500 และสิ่งที่ผมอยากทำในวิดีโอนี้คือ 16 00:00:42,500 --> 00:00:48,430 พยายามหาขอบเขต พยายามหาขอบเขต ของความคลาดเคลื่อนที่ b 17 00:00:48,430 --> 00:00:49,560 หาขอบเขตค่าคลาดเคลื่อน 18 00:00:49,560 --> 00:00:52,640 ว่ามันน้อยกว่าเท่ากับค่าคงที่ค่าหนึ่ง 19 00:00:52,640 --> 00:00:55,840 พยายามหาขอบเขตที่ b สำหรับ b มากกว่า a 20 00:00:55,840 --> 00:00:58,070 เราจะสมมุติว่า b มากกว่า a 21 00:00:58,070 --> 00:01:01,620 และเราเห็นผลเย้ายวน เราได้ผลลัพธ์ 22 00:01:01,620 --> 00:01:04,519 ที่ดูเย้ายวน ว่าเราจะหาขอบเขตมันได้ ในวิดีโอที่แล้ว 23 00:01:04,519 --> 00:01:07,660 เราเห็นว่าอนุพันธ์อันดับ n บวก 1 ของความคลาดเคลื่อน 24 00:01:07,660 --> 00:01:12,060 เท่ากับอนุพันธ์อันดับที่ n บวก 1 ของฟังก์ชันเรา 25 00:01:12,060 --> 00:01:14,760 หรือค่าสัมบูรณ์ของพวกมัน 26 00:01:14,760 --> 00:01:18,330 ถ้าเราหาขอบอนุพันธ์อันดับ n บวก 1 27 00:01:18,330 --> 00:01:22,240 ของฟังก์ชันเราบนช่วงได้ ช่วงที่เราสนใจ 28 00:01:22,240 --> 00:01:24,770 ช่วงที่อาจมี b ในนั้น 29 00:01:24,770 --> 00:01:29,980 แล้วอย่างน้อย เราก็หาขอบอนุพันธ์อันดับ n บวก 1 ของฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อนได้ 30 00:01:29,980 --> 00:01:31,390 แล้ว เราอาจใช้การอินทิเกรต 31 00:01:31,390 --> 00:01:36,120 เพื่อหาขอบเขตค่าคลาดเคลื่อนที่ค่า b ได้ 32 00:01:36,120 --> 00:01:37,160 ลองดูว่าเราทำได้ไหม 33 00:01:37,160 --> 00:01:40,060 ลองสมมุติ ลองสมมุติว่าเราอยู่ในโลกที่ 34 00:01:40,060 --> 00:01:44,300 เรารู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับอนุพันธ์ อันดับ n บวก 1 ของ f ของ x 35 00:01:44,300 --> 00:01:46,420 สมมุติว่าเรารู้ว่าตัวนี้ 36 00:01:46,420 --> 00:01:49,150 เราใช้สีที่ผมยังไม่ได้ใช้ 37 00:01:49,150 --> 00:01:50,580 ผมจะใช้สีขาวนะ 38 00:01:50,580 --> 00:01:55,400 สมมุติว่าตัวนี่ตรงนี้เป็นแบบนั้น 39 00:01:55,400 --> 00:01:59,420 นั่นคือ f อนุพันธ์อันดับ n บวก 1 40 00:01:59,420 --> 00:02:00,500 อนุพันธ์อันดับ n บวก 1 41 00:02:00,500 --> 00:02:03,740 และผมสนใจแค่ช่วงนี่ตรงนี้ 42 00:02:03,740 --> 00:02:06,140 ใครจะสนเทอมอื่น ผมแค่หาขอบบนช่วง 43 00:02:06,140 --> 00:02:09,759 เพราะสุดท้าย ผมอยากได้ค่า b ตรงนี้ 44 00:02:09,759 --> 00:02:12,750 สมมุติว่าค่าสัมบูรณ์ของตัวนี้ 45 00:02:12,750 --> 00:02:13,740 สมมุติว่าเรารู้ 46 00:02:13,740 --> 00:02:17,350 ขอผมเขียนมันตรงนี้นะ สมมุติว่าเรารู้ 47 00:02:19,170 --> 00:02:23,800 เรารู้ว่าค่าสัมบูรณ์ของอนุพันธ์อันดับ n บวก 1 อันดับ n บวก 1 48 00:02:23,800 --> 00:02:26,520 โทษที ผมเปลี่ยนไปมาระหว่าง N ใหญ่ 49 00:02:26,520 --> 00:02:28,120 กับ n เล็ก ผมทำอย่างนั้นไปในวิดีโอก่อน 50 00:02:28,120 --> 00:02:29,690 ผมไม่ควรทำ แต่ตอนนี้คุณรู้แล้ว 51 00:02:29,690 --> 00:02:32,078 ผมเผลอทำไป หวังว่าคุณคงไม่งงแล้วนะ 52 00:02:32,078 --> 00:02:35,090 n บวก 1, แล้วสมมุติว่าเรารู้ อนุพันธ์อันดับ n บวก 1 53 00:02:35,090 --> 00:02:40,110 ของ f ของ x, ค่าสัมบูรณ์ของมัน สมมุติว่ามันมีขอบเขต 54 00:02:40,110 --> 00:02:43,010 สมมุติว่ามันน้อยกว่าเท่ากับ M 55 00:02:43,010 --> 00:02:45,160 บนช่วงนั้น เพราะเราสนใจเฉพาะช่วงนั้น 56 00:02:45,160 --> 00:02:47,540 มันอาจไม่มีขอบเขตโดยทั่วไป แต่ที่เรา 57 00:02:47,540 --> 00:02:50,168 สนใจคือมันมีค่าสูงสุดในช่วงนี้ 58 00:02:50,168 --> 00:02:57,190 บนช่วง x ผมเขียนแบบนี้ได้ 59 00:02:57,190 --> 00:03:04,190 บนช่วง x เป็นสมาชิกระหว่าง a กับ b มันจึงรวมสองตัวนี้ด้วย 60 00:03:04,190 --> 00:03:06,330 มันเป็นช่วงปิด x เป็น a ได้ 61 00:03:06,330 --> 00:03:09,940 x เป็น b ได้ หรือ x เป็นอะไรตรงกลางก็ได้ 62 00:03:09,940 --> 00:03:11,760 และเราบอกได้ว่า โดยทั่วไป 63 00:03:11,760 --> 00:03:15,230 อนุพันธ์นี้จะมีค่าสูงสุด 64 00:03:15,230 --> 00:03:20,060 นี่คือ ค่าสัมบูรณ์ ค่าสูงสุด ค่าสูงสุด M แทน max 65 00:03:20,060 --> 00:03:23,980 เรารู้ว่ามันจะมีค่าสูงสุด ถ้าตัวนี้ต่อเนื่อง 66 00:03:23,980 --> 00:03:26,620 ย้ำอีกครั้ง เราจะสมมุติว่ามันต่อเนื่อง 67 00:03:26,620 --> 00:03:30,710 และมันมีค่าสูงสุดบนช่วงนี่ตรงนี้ 68 00:03:30,710 --> 00:03:34,796 พจน์นี้ พจน์นี่ตรงนี้ เรารู้ว่า 69 00:03:34,796 --> 00:03:38,978 เท่ากับอนุพันธ์อันดับ n บวก 1 ของฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อน 70 00:03:38,978 --> 00:03:46,220 แล้วเรารู้ว่า จากนั้น มันสื่อว่า มันสื่อว่า 71 00:03:46,220 --> 00:03:51,980 มันสื่อวา ใช้สีใหม่นะ ขอผมใช้สีฟ้า หรือสีเขียวนั่น 72 00:03:51,980 --> 00:03:58,720 มันสื่อว่า อนุพันธ์อันดับ n บวก 1 ของฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อน 73 00:03:58,720 --> 00:04:00,270 ค่าสัมบูรณ์ของมัน เนื่องจาก 74 00:04:00,270 --> 00:04:04,570 มันเท่ากัน มันจะมีขอบเขตเป็น M 75 00:04:04,570 --> 00:04:07,500 นั่นเป็นผลที่น่าสนใจ แต่มันไม่ได้พาเราไปไหน 76 00:04:07,500 --> 00:04:11,450 มันอาจดูคล้ายกัน แต่นี่คืออนุพันธ์อันดับ n บวก 1 ของฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อน 77 00:04:11,450 --> 00:04:14,000 และ เราะจต้องคิดว่าเราหา M ได้อย่างไรต่อไป 78 00:04:14,000 --> 00:04:16,140 เราสมมุติว่าเรารู้ค่ามันและ 79 00:04:16,140 --> 00:04:18,589 เราจะทำตัวอย่างที่เราหาค่ามันจริงๆ 80 00:04:18,589 --> 00:04:20,160 แต่นี่คืออนุพันธ์อันดับ n บวก 1 81 00:04:20,160 --> 00:04:21,750 เราให้ขอบเขตค่าสัมบูรณ์ของมัน แต่เรา 82 00:04:21,750 --> 00:04:24,210 อยากได้ขอบเขตค่าฟังก์ชันคลาดเคลื่อนจริงๆ 83 00:04:24,210 --> 00:04:27,710 อนุพันธ์อันดับ 0 ก็คือตัวฟังก์ชันเอง 84 00:04:27,710 --> 00:04:31,380 สิ่งที่เราลองทำได้ คืออินทิเกรตทั้งสองข้างแล้วดู 85 00:04:31,380 --> 00:04:34,960 ว่าเราได้ E, ได้ E ของ x ไหม 86 00:04:34,960 --> 00:04:38,095 ลองนำฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อน หรือ ฟังก์ชันเศษเหลือมาลองทำดู 87 00:04:38,095 --> 00:04:44,050 ลองหาอินทิกรัล ลองหาอินทิกรัลทั้งสองข้างนี้ 88 00:04:44,050 --> 00:04:46,290 ทีนี้ อินทิกรัลทางซ้ายมือ มันน่าสนใจนิดหน่อย 89 00:04:46,290 --> 00:04:47,930 เราหาอินทิกรัลของค่าสัมบูรณ์ 90 00:04:47,930 --> 00:04:51,570 มันจะง่ายว่าถ้าเราหาค่าสัมบูรณ์ของอินทิกรัล 91 00:04:51,570 --> 00:04:54,220 โชคดี วิธีที่มันเป็น 92 00:04:54,220 --> 00:04:56,480 ขอผมเขียนไว้ข้างๆ นะ 93 00:04:56,480 --> 00:04:59,369 เรารู้โดยทั่วไปว่า ถ้าผมหา -- คุณควรลองคิดดู 94 00:04:59,369 --> 00:05:03,029 ถ้าผมหา ถ้าผมมีตัวเลือกสองอย่าง ถ้าผมมี 95 00:05:03,029 --> 00:05:09,090 ตัวเลือกสองย่าง อันนี้กับ ไม่รู้สิ พวกมันดูเหมือนกัน 96 00:05:10,530 --> 00:05:12,870 ผมรู้ว่ามันดูเหมือนกันตอนนี้ 97 00:05:12,870 --> 00:05:15,810 ตรงนี้ ผมจะมีอินทิกรัลของค่าสัมบูรณ์ 98 00:05:15,810 --> 00:05:19,690 และตรงนี้ ผมจะมีค่าสัมบูรณ์ของอินทิกรัล 99 00:05:19,690 --> 00:05:24,310 ตัวไหนจะ ตัวไหนจะมากกว่า? 100 00:05:24,310 --> 00:05:26,790 คุณแค่ต้องคิดถึงกรณีต่างๆ 101 00:05:26,790 --> 00:05:30,170 ถ้า f ของ x เป็นบวกบนช่วงที่ 102 00:05:30,170 --> 00:05:33,470 คุณอินทิเกรต พวกมันจะเท่ากัน 103 00:05:33,470 --> 00:05:34,990 คุณจะได้ค่าบวก 104 00:05:34,990 --> 00:05:36,760 หาค่าสัมบูรณ์ของค่าบวก 105 00:05:36,760 --> 00:05:38,260 มันไม่ต่างกัน 106 00:05:38,260 --> 00:05:40,990 มันจะต่างถ้า f ของ x เป็นลบ 107 00:05:40,990 --> 00:05:43,780 ถ้า f ของ x, ถ้า f ของ x เป็นลบ 108 00:05:43,780 --> 00:05:48,170 ตลอดเวลา แล้วถ้าแกน x ของเรา นั่นคือแกน y 109 00:05:48,170 --> 00:05:51,070 ถ้า f ของ x เราเห็นว่าถ้ามันเป็นบวก 110 00:05:51,070 --> 00:05:55,310 ตลอดเวลา คุณจะหาค่าสัมบูรณ์ของค่าบวก ค่าสัมบูรณ์ของค่าบวก 111 00:05:55,310 --> 00:05:56,130 มันจะไม่สำคัญ 112 00:05:56,130 --> 00:05:57,860 สองตัวนี้จะเท่ากัน 113 00:05:57,860 --> 00:06:00,800 ถ้า f ของ x เป็นลบตลอดเวลา แล้วคุณจะ 114 00:06:00,800 --> 00:06:04,920 ได้ อินทิกรัลนี้จะหาค่าได้ค่าลบ 115 00:06:04,920 --> 00:06:07,440 แล้วคุณหาค่าสัมบูรณ์ของมัน 116 00:06:07,440 --> 00:06:10,090 แล้วตรงนี้ คุณจะได้ นี่คือ อินทิกรัลจะ 117 00:06:10,090 --> 00:06:12,820 มีค่าบวก และมันยังเท่าเดิม 118 00:06:12,820 --> 00:06:15,300 กรณีที่น่าสนใจคือเมื่อ f ของ x 119 00:06:15,300 --> 00:06:18,970 มีทั้งบวกและลบ คุณนึกภาพกรณีแบบนี้ได้ 120 00:06:18,970 --> 00:06:22,580 ถ้า f ของ x เป็นแบบนั้น แล้ว 121 00:06:22,580 --> 00:06:25,580 ค่านี่ตรงนี้ อินทิกรัล คุณจะได้บวก 122 00:06:25,580 --> 00:06:28,560 อันนี้จะเป็นบวก แล้วอันนี้จะเป็นลบตรงนี้ 123 00:06:28,560 --> 00:06:30,810 แล้วพวกมันก็หักล้างกัน 124 00:06:30,810 --> 00:06:32,230 อันนี้มีค่าน้อยลงกว่า 125 00:06:32,230 --> 00:06:35,580 ถ้าคุณหาอินทิกรัลของค่าสัมบูรณ์ 126 00:06:35,580 --> 00:06:39,470 อินทิกรัล ค่าสัมบูรณ์ของ f จะเป็นแบบนี้ 127 00:06:39,470 --> 00:06:42,260 พื้นที่ทั้งหมดจะเป็น ถ้าคุณมอง 128 00:06:42,260 --> 00:06:43,120 อินทิกรัล ถ้าคุณมองอันนี้ มันจะ 129 00:06:43,120 --> 00:06:44,730 เป็นอินทิกรัลจำกัดเขตแน่นอน 130 00:06:44,730 --> 00:06:48,380 พื้นที่ทั้งหมด พื้นที่ทั้งหมดจะเป็นบวก 131 00:06:48,380 --> 00:06:49,750 คุณก็จะ คุณจะได้ 132 00:06:49,750 --> 00:06:53,210 ค่ามากกว่า ตอนคุณหาอินทิกรัลของค่าสัมบูรณ์ 133 00:06:53,210 --> 00:06:54,791 คุณจะได้ค่ามากกว่า ยิ่งถ้า f ของ x 134 00:06:54,791 --> 00:06:57,038 มีค่าทั้งบวกและลบบนช่วง 135 00:06:57,038 --> 00:07:02,005 เทียบกับตอนที่คุณหาอินทิกรัลก่อน แล้วค่อยหาค่าสัมบูรณ์ 136 00:07:02,005 --> 00:07:04,090 เพราะ ย้ำอีกที ถ้าคุณหาอินทิกรัลก่อน สำหรับฟังก์ชันแบบนี้ 137 00:07:04,090 --> 00:07:07,020 คุณจะได้ค่าน้อยลงเพราะตัวนี้จะหักล้าง 138 00:07:07,020 --> 00:07:09,500 จะหักล้างกับตัวนี่ตรงนี้ แล้วคุณ 139 00:07:09,500 --> 00:07:13,470 หาค่าสัมบูรณ์ของค่าน้อย จำนวนที่มีขนาดน้อยลง 140 00:07:13,470 --> 00:07:15,880 และโดยทั่วไป อินทิกรัล 141 00:07:15,880 --> 00:07:18,260 อินทิกรัล โทษที ค่าสัมบูรณ์ของอินทิกรัล 142 00:07:18,260 --> 00:07:22,870 จะน้อยกว่าเท่ากับอินทิกรัลของค่าสัมบูรณ์ 143 00:07:22,870 --> 00:07:24,670 เราจึงบอกได้ว่า ค่านี่ตรงนี้คืออินทิกรัลของ 144 00:07:24,670 --> 00:07:27,740 ค่าสัมบูรณ์ ซึ่งมากกว่าเท่ากับ 145 00:07:27,740 --> 00:07:29,840 สิ่งที่เราเขียนตรงนี้ก็แค่ตัวนี้ 146 00:07:29,840 --> 00:07:31,910 มันจะมากกว่าเท่ากับ และคุณจะเห็น 147 00:07:31,910 --> 00:07:34,550 ว่าทำไมผมถึงทำอันนี้เร็วๆ นี้ 148 00:07:34,550 --> 00:07:39,670 มากกว่าเท่ากับค่าสัมบูรณ์ ค่าสัมบูรณ์ 149 00:07:39,670 --> 00:07:45,920 ของอินทิกรัลของ ของอนุพันธ์อันดับ n บวก 1 150 00:07:45,920 --> 00:07:48,960 อนุพันธ์อันดับ n บวก 1 ของ x, dx 151 00:07:48,960 --> 00:07:51,490 สาเหตุที่มันมีประโยชน์ คือว่า เรายังเก็บ 152 00:07:51,490 --> 00:07:55,090 อสมการนั้นไว้ได้ น้อยกว่าเท่ากับค่านี้ 153 00:07:55,090 --> 00:07:58,700 แต่ตอนนี้ มันเป็นอินทิกรัลที่หาค่าได้ตรงๆ แล้ว 154 00:07:58,700 --> 00:08:00,932 ปฏิยานุพันธ์ของอนุพันธ์อันดับ n บวก 1 155 00:08:00,932 --> 00:08:04,240 จะเท่ากับอนุพันธ์อันดับที่ n 156 00:08:04,240 --> 00:08:06,510 ตัวนี้ ตรงนี้ 157 00:08:06,510 --> 00:08:09,960 จะเท่ากับค่าสัมบูรณ์ของอนุพันธ์อันดับที่ n 158 00:08:11,150 --> 00:08:16,310 ค่าสัมบูรณ์ของอนุพันธ์อันดับที่ n ของฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อน 159 00:08:16,310 --> 00:08:17,330 ผมพูดว่าค่าคาดหมายไปหรือเปล่า? 160 00:08:17,330 --> 00:08:17,730 ผมไม่ควรพูดนะ 161 00:08:17,730 --> 00:08:18,820 เห็นไหม ผมยังงงเลย 162 00:08:18,820 --> 00:08:19,710 นี่คือฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อน 163 00:08:19,710 --> 00:08:21,900 ผมควรใช้ R, R แทน remainder เศษเหลือ 164 00:08:21,900 --> 00:08:22,660 แต่นี่ก็คือค่าคลาดเคลื่อน 165 00:08:22,660 --> 00:08:25,170 ไม่เกี่ยวกับความน่าจะเป็น หรือค่าคาดหมายในวิดีโอนี้ 166 00:08:25,170 --> 00:08:25,850 นี่คือ 167 00:08:25,850 --> 00:08:27,250 E แทนค่าคลาดเคลื่อน 168 00:08:27,250 --> 00:08:30,030 เอาล่ะ มันจะเท่ากับ อนุพันธ์อันดับที่ n ของ 169 00:08:30,030 --> 00:08:32,880 ฟังก์ชันคลาดเคลื่อน ซึ่งน้อยกว่าเท่ากับค่านี้ 170 00:08:32,880 --> 00:08:37,230 ซึ่งน้อยกว่าเท่ากับปฏิยานุพันธ์ของ M 171 00:08:37,230 --> 00:08:38,760 นั่นคือค่าคงที่ 172 00:08:38,760 --> 00:08:42,630 มันจะเท่ากับ Mx, Mx 173 00:08:42,630 --> 00:08:44,179 เพราะเราหาอินทิกรัลไม่จำกัดเขต 174 00:08:44,179 --> 00:08:48,220 เราอย่าลืมว่าเรามีค่าคงที่ตรงนี้ 175 00:08:48,220 --> 00:08:49,840 และโดยทั่วไป เวลาคุณพยายามหาขอบบน 176 00:08:49,840 --> 00:08:52,220 คุณอยากให้มันเป็นขอบบน ที่น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ 177 00:08:52,220 --> 00:08:56,640 เราอยากให้ค่าน้อยที่สุด เราอยากให้ ค่าคงที่นี้น้อยที่สุด 178 00:08:56,640 --> 00:09:00,180 โชคดี เรารู้ ว่าฟังก์ชันนี้ 179 00:09:00,180 --> 00:09:04,410 คืออะไร ค่าฟังก์ชันนี้เป็นเท่าใดตรงจุดนั้น 180 00:09:04,410 --> 00:09:08,430 เรารู้ว่าอนุพันธ์อันดับ n ของฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อนที่ a เท่ากับ 0 181 00:09:08,430 --> 00:09:09,940 ผมว่าผมเขียนมันตรงนี้นะ 182 00:09:09,940 --> 00:09:12,480 อนุพันธ์อันดับ n ที่ a เท่ากับ 0 183 00:09:12,480 --> 00:09:15,370 และนั่นเป็นเพราะอนุพันธ์อันดับ n ของฟังก์ชันและ 184 00:09:15,370 --> 00:09:19,550 ค่าประมาณที่ a จะเท่ากันพอดี 185 00:09:19,550 --> 00:09:22,860 แล้ว ถ้าเราหาค่าทั้งสองข้างนี้ที่ a ผมจะ 186 00:09:22,860 --> 00:09:27,010 ทำตรงนี้ข้างๆ เรารู้ค่าสัมบูรณ์นั้น 187 00:09:27,010 --> 00:09:31,560 เรารู้ค่าสัมบูรณ์ของอนุพันธ์อันดับ n ที่ a เรารู้ 188 00:09:31,560 --> 00:09:34,670 ว่าตัวนี้จะเท่ากับค่าสัมบูรณ์ของ 0 189 00:09:34,670 --> 00:09:35,400 ซึ่งก็คือ 0 190 00:09:35,400 --> 00:09:37,820 ซึ่งต้องน้อยกว่าเท่ากับ เมื่อคุณหาค่านี้ 191 00:09:37,820 --> 00:09:43,420 ที่ a ซึ่งน้อยกว่าเท่ากับ Ma บวก c 192 00:09:43,420 --> 00:09:45,260 แล้วคุณได้ ถ้าคุณดูส่วนนี้ 193 00:09:45,260 --> 00:09:47,710 ของอสมการ คุณลบ Ma จากทั้งสองด้าน 194 00:09:47,710 --> 00:09:51,460 คุณจะได้ลบ Ma น้อยกว่าเท่ากับ c 195 00:09:51,460 --> 00:09:53,590 ค่าคงที่ของเราตรงนี้ จากเงื่อนไข 196 00:09:53,590 --> 00:09:56,310 ที่เราได้จากวิดีโอที่แล้ว 197 00:09:56,310 --> 00:10:00,820 ค่าคงที่จะมากกว่าเท่ากับลบ Ma 198 00:10:00,820 --> 00:10:03,880 ถ้าเราอยากให้ค่าคงที่น้อยที่สุด ถ้าเราอยากได้ขอบค่าน้อย 199 00:10:03,880 --> 00:10:08,090 ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เราก็เลือก c เท่ากับลบ Ma 200 00:10:08,090 --> 00:10:10,250 นั่นคือ c ที่น้อยที่สุดที่ 201 00:10:10,250 --> 00:10:13,170 ตรงตามเงื่อนไขเหล่านี้ ที่เรารู้ว่าเป็นจริง 202 00:10:13,170 --> 00:10:16,969 เราจะเลือก c ให้เป็นลบ Ma 203 00:10:16,969 --> 00:10:19,364 แล้วเราเขียนทั้งหมดนี้ใหม่ได้เป็น 204 00:10:19,364 --> 00:10:22,590 ค่าสัมบูรณ์ของอนุพันธ์อันดับที่ n ของฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อน 205 00:10:22,590 --> 00:10:24,640 อนุพันธ์อันดับ n ของฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อน 206 00:10:24,640 --> 00:10:25,970 ไม่ใช่ค่าคาดหมายนะ 207 00:10:25,970 --> 00:10:28,010 ผมสงสัยว่าผมหลุดพูดว่า ค่าคาดหมายไป 208 00:10:28,010 --> 00:10:29,790 แต่นี่คือฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อน 209 00:10:29,790 --> 00:10:30,440 อนุพันธ์อันดับ n 210 00:10:30,440 --> 00:10:33,230 ค่าสัมบูรณ์ของอนุพันธ์อันดับ n ของ ฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อน 211 00:10:33,230 --> 00:10:38,600 น้อยกว่าเท่ากับ M คูณ x ลบ a 212 00:10:38,600 --> 00:10:40,820 ย้ำอีกครั้ง เงื่อนไขทุกอย่างเป็นจริง 213 00:10:40,820 --> 00:10:43,880 อันนี้สำหรับ อันนี้สำหรับ x เป็นส่วนหนึ่งของช่วง 214 00:10:43,880 --> 00:10:48,910 ช่วงปิดระหว่าง ช่วงปิดระหว่าง a กับ b 215 00:10:48,910 --> 00:10:50,220 แต่ดูเหมือนว่าเราจะก้าวหน้าบ้างแล้ว 216 00:10:50,220 --> 00:10:52,910 อย่างน้อยเราไปจากอนุพันธ์อันดับ n บวก 1 เป็นอนุพันธ์อันดับ n 217 00:10:52,910 --> 00:10:55,170 ลองดูว่าเราทำต่อได้ไหม 218 00:10:55,170 --> 00:10:57,750 แนวคิดทั่วไปเหมือนเดิม 219 00:10:57,750 --> 00:11:00,090 ถ้าเรารู้อันนี้ แล้วเรารู้ว่า 220 00:11:00,090 --> 00:11:00,740 เราหาอินทิกรัลทั้งสองข้างได้ 221 00:11:00,740 --> 00:11:02,850 เราหาอินทิกรัลทั้งสองข้าง 222 00:11:06,280 --> 00:11:08,360 ปฏิยานุพันธ์ทั้งสองข้างได้ 223 00:11:08,360 --> 00:11:10,740 และเรารู้จากสิ่งที่เราไปบนนี้ว่า 224 00:11:10,740 --> 00:11:14,780 มีสิ่งที่น้อยกว่าค่านี่ตรงนี้อีก 225 00:11:14,780 --> 00:11:19,820 ค่าสัมบูรณ์ของอินทิกรัลของค่าคาดหมาย 226 00:11:19,820 --> 00:11:21,070 ทีนี้ [หัวเราะ] เห็นไหม ผมบอกแล้ว 227 00:11:21,070 --> 00:11:22,900 ของฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อน ไม่ใช่ค่าคาดหมาย 228 00:11:22,900 --> 00:11:23,900 ของฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อน 229 00:11:23,900 --> 00:11:27,170 อนุพันธ์อันดับ n ของฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อนของ x 230 00:11:27,170 --> 00:11:29,940 อนุพันธ์อันดับ n ของฟังก์ชัน ค่าคลาดเคลื่อนของ x dx 231 00:11:29,940 --> 00:11:33,510 เรารู้ว่าค่านี้น้อยกว่าเท่ากับ จากเหตุผลเดียวกันตรงนี้ 232 00:11:33,510 --> 00:11:37,450 และมันมีประโยชน์ เพราะมันจะเท่ากับ มันก็แค่ 233 00:11:37,450 --> 00:11:42,640 อนุพันธ์อันดับ n ลบ 1 ของฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อนของ x 234 00:11:42,640 --> 00:11:45,160 และแน่นอน เรามีค่าสัมบูรณ์ข้างนอกมัน 235 00:11:45,160 --> 00:11:46,650 ตอนนี้ ค่านี้จะน้อยกว่าเท่ากับ 236 00:11:46,650 --> 00:11:48,390 มันน้อยกว่าเท่ากับค่านี้ ซึ่งน้อยกว่าเท่ากับ 237 00:11:48,390 --> 00:11:50,940 ตัวนี้ ซึ่งน้อยกว่าเท่ากับค่านี่ตรงนี้ 238 00:11:50,940 --> 00:11:53,340 ปฏิยานุพันธ์ของค่านี้ตรงนี้จะ 239 00:11:53,340 --> 00:11:58,060 เท่ากับ M คูณ x ลบ a กำลังสองส่วน 2 240 00:11:58,060 --> 00:12:01,410 คุณใช้การแทนที่ u ก็ได้ถ้าต้องการ หรือคุณบอกแค่ว่า ดูสิ 241 00:12:01,410 --> 00:12:03,820 ฉันมีพจน์เล็กๆ ตรงนี้ อนุพันธ์ของมันเป็น 1 242 00:12:03,820 --> 00:12:06,480 มันซ่อนอยู่ในนี้ ผมจะคิดว่ามันเป็น u ก็ได้ 243 00:12:06,480 --> 00:12:09,320 ยกกำลังค่าหนึ่ง แล้วหารด้วยเลขชี้กำลังนั้น 244 00:12:09,320 --> 00:12:11,460 เหมือนเดิม ผมกำลังหาอินทิกรัลไม่จำกัดเขต 245 00:12:11,460 --> 00:12:14,350 ผมจึงบอกว่าบวก c ตรงนี้ 246 00:12:14,350 --> 00:12:16,600 แต่ลองใช้เหตุผลเดียวกัน 247 00:12:16,600 --> 00:12:19,130 ถ้าเราหาค่านี้ที่ a คุณจะได้ 248 00:12:19,130 --> 00:12:22,250 ถ้าคุณหาค่านี้ที่ ลองหาค่าทั้งสองนี้ที่ a 249 00:12:22,250 --> 00:12:25,990 ทางซ้ายมือเมื่อหาค่าที่ a เรารู้ว่าจะเป็น 0 250 00:12:25,990 --> 00:12:29,250 เราหาไปแล้ว ข้างบนนี้ ในวิดีโอที่แล้ว 251 00:12:29,250 --> 00:12:31,630 คุณจึงได้ ผมจะทำตรงนี้นะ 252 00:12:31,630 --> 00:12:34,130 คุณได้ 0 แล้วคุณหาค่าซ้ายมือของ a 253 00:12:34,130 --> 00:12:36,820 ทางขวาของ a ถ้าคุณ ทางขวามือของ 254 00:12:36,820 --> 00:12:39,850 ค่า a คุณจะได้ m คูณ a ลบ a กำลังสองส่วน 2 255 00:12:39,850 --> 00:12:45,220 คุณจึงได้ 0 บวก c คุณจะได้ 0 น้อยกว่าเท่ากับ c 256 00:12:45,220 --> 00:12:47,620 เหมือนเดิม เราทำให้ค่านี้น้อยที่สุด 257 00:12:47,620 --> 00:12:49,800 เราอยากให้ขอบบนตรงนี้น้อยที่สุด 258 00:12:49,800 --> 00:12:52,930 เราอยากเลือกค่า c ที่น้อยที่สุด ที่เรายังตรงตามเงื่อนไข 259 00:12:52,930 --> 00:12:57,440 ค่า c น้อยที่สุดที่เป็นไปได้ และตรงตามเงื่อนไขของเราคือ 0 260 00:12:57,440 --> 00:13:01,070 แล้วแนวคิดทั่วไปตรงนี้คือว่า เราทำต่อได้ 261 00:13:01,070 --> 00:13:07,270 เราทำแบบเดียวกับที่เราทำไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ 262 00:13:07,270 --> 00:13:10,440 เราหาอินทิกรัลแบบเดิม แบบเดิมที่เรา 263 00:13:10,440 --> 00:13:14,040 ทำมา และใช้สมบัติเดิมนี่ตรงนี้ 264 00:13:14,040 --> 00:13:19,180 จนกระทั่งเราได้ เราได้ขอบเขต ค่าคลาดเคลื่อนของ x 265 00:13:19,180 --> 00:13:21,550 คุณมองเป็นอนุพันธ์อันดับ 0 ก็ได้ 266 00:13:21,550 --> 00:13:22,740 คุณก็รู้ เราจะไปจนถึง 267 00:13:22,740 --> 00:13:25,360 อนุพันธ์อันดับ 0 ซึ่งก็คือ ฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อน 268 00:13:25,360 --> 00:13:27,620 ขอบของฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อนของ x จะ 269 00:13:27,620 --> 00:13:29,660 น้อยกว่าเท่ากับ มันจะเป็นเท่าใด? 270 00:13:29,660 --> 00:13:31,940 คุณเห็นรูปแบบตรงนี้แล้ว 271 00:13:31,940 --> 00:13:36,270 มันจะเท่ากับ M คูณ x ลบ a 272 00:13:36,270 --> 00:13:39,490 และเลขยกกำลัง วิธีคิดคือว่า เลขชี้กำลังนี้ 273 00:13:39,490 --> 00:13:42,950 บวกอนุพันธ์นี้จะเท่ากับ n บวก 1 274 00:13:42,950 --> 00:13:46,980 ทีนี้ อนุพันธ์นี้เป็น 0 เลขชี้กำลังนี้จึงเป็น n บวก 1 275 00:13:46,980 --> 00:13:50,210 และไม่ว่าเลขชี้กำลังนี้จะเป็นเท่าใด คุณจะได้ ผมควร 276 00:13:50,210 --> 00:13:54,280 ทำอย่างนั้น คุณจะได้ n บวก 1 แฟคทอเรียลตรงนี้ 277 00:13:54,280 --> 00:13:56,950 แล้วคุณอาจบอกว่า เดี๋ยวก่อน n บวก 1 แฟคทอเรียลนี้มาจากไหน? 278 00:13:56,950 --> 00:13:58,370 ผมมีแค่ 2 ตรงนี้ 279 00:13:58,370 --> 00:14:01,120 ลองคิดสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราอินทิเกรตพจน์นี้อีกที 280 00:14:01,120 --> 00:14:04,700 คุณจะยกกำลังค่านี้ด้วย 3 แล้วหารด้วย 3 281 00:14:04,700 --> 00:14:07,050 ตัวส่วนของคุณจึงมี 2 คูณ 3 282 00:14:07,050 --> 00:14:08,540 แล้วเมื่อคุณอินทิเกรตอีกที คุณจะยก 283 00:14:08,540 --> 00:14:10,800 กำลังสี่แล้วหารด้วย 4 284 00:14:10,800 --> 00:14:12,960 แล้วตัวส่วนของคุณจะเป็น 2 คูณ 3 คูณ 4 285 00:14:12,960 --> 00:14:14,140 4 แฟคทอเรียล 286 00:14:14,140 --> 00:14:15,530 ไม่ว่าคุณยกกำลังเท่าไหร่ 287 00:14:15,530 --> 00:14:18,500 ตัวส่วนจะเท่ากับเลขกำลังนั้นแฟคทอเรียล 288 00:14:18,500 --> 00:14:21,240 แต่สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ ตอนนี้คือว่า ถ้าเรา 289 00:14:21,240 --> 00:14:24,360 หาค่าสูงสุดของฟังก์ชันเราได้ 290 00:14:24,360 --> 00:14:28,510 ถ้าเราหาค่าสูงสุดของฟังก์ชันตรงนี้ได้ 291 00:14:28,510 --> 00:14:31,800 ตอนนี้เรามีวิธีจำกัดค่าฟังก์ชันคลาดเคลื่อน 292 00:14:31,800 --> 00:14:36,500 บนช่วงนั้น บนช่วงนั้นระหว่าง a กับ b 293 00:14:36,500 --> 00:14:39,530 ตัวอย่างเช่น ฟังก์ชันค่าคลาดเคลื่อนที่ b 294 00:14:39,530 --> 00:14:42,040 เราหาขีดจำกัดได้ถ้าเรารู้ว่า M คืออะไร 295 00:14:42,040 --> 00:14:49,190 เราบอกได้ว่า ค่าคลาดเคลื่อนที่ b จะน้อยกว่าเท่ากับ M คูณ 296 00:14:49,190 --> 00:14:57,190 b ลบ a กำลัง n บวก 1 ส่วน n บวก 1 แฟคทอเรียล 297 00:14:57,190 --> 00:15:00,030 มันเป็นผลที่ทรงพลังจริงๆ 298 00:15:00,030 --> 00:15:03,720 มีคณิตศาสตร์อยู่เบื้องหลัง 299 00:15:03,720 --> 00:15:06,849 และตอนนี้เราสามารถยกตัวอย่างที่ใช้ผลนี้ได้