จากการศึกษาในปี 1990
ผู้เข้าร่วมถูกทำให้นึกถึงช่วงเวลา
ในวัยเด็กตอนที่พลัดหลงในห้างสรรพสินค้า
บางคนสามารถเล่าได้อย่างชัดเจน
บางคนจำได้แม้กระทั่ง
ว่ามีชายชราที่มาช่วยเหลือเขานั้น
สวมเสื้อสักหลาด
แต่จริง ๆ แล้วไม่มีใครเลยที่
เคยหลงในห้างสรรพสินค้าจริง ๆ
พวกเขาสร้างความทรงจำผิด ๆ
เมื่อนักจิตวิทยาที่ศึกษาเรื่องนี้
บอกพวกเขาว่าพวกเขาเคยหลง
และถึงแม้ว่าพวกเขา
จะไม่สามารถจำเหตุการณ์พลัดหลงนั้นได้
แต่ครอบครัวของพวกเขา
ก็ช่วยยืนยันอีกเสียงหนึ่ง
และมันไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองคน
ที่คิดว่าจำได้ว่าตนเคยพลัดหลง
แต่เป็นจำนวนหนึ่งในสี่
ของพวกเข้าร่วมเลยต่างหาก
การค้นพบนี้อาจจะฟังดูเหลือเชื่อ
แต่มันค่อนข้างสะท้อน
ถึงความเป็นจริงพื้นฐานที่ว่า
ความทรงจำของเรานั้น
ในบางครั้งเชื่อถือไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเรายังคง
ไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าอะไรทำให้มันแย่ลง
ในทางประสาทวิทยา
งานวิจัยได้ชี้ชัดว่า
บางส่วนของความทรงจำของเรานั้น
แตกต่างไปจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง
งานศึกษาเรื่องห้างสรรพสินค้าแสดง
ให้เห็นว่าเราสามารถประมวลผลข้อมูลผิด ๆ
จากปัจจัยภายนอก
เช่น คนอื่น ๆ หรือข่าวสารต่าง ๆ
มารวมเข้ากับความ
ทรงจำของเราโดยไม่รู้ตัว
ซึ่งข้อสังเกตุนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างหนึ่ง
ที่ส่งผลต่อความทรงจำของเรา
ในอีกการศึกษาหนึ่ง
ที่ซึ่งผู้ศึกษานั้นได้แสดงให้เห็น
โดยแสดงภาพถ่ายแบบสุ่ม
ให้กลุ่มศึกษา
โดยในรูปเหล่านั้นมีรูปถ่ายมหาวิทยาลัย
ที่พวกเขาไม่เคยไปเลยซักครั้ง
สามสัปดาห์ต่อมา
ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ในกลุ่มศึกษา
บอกว่าพวกเขาอาจจะหรือค่อนข้างมั่นใจ
เคยมีโอกาสได้ไปที่มหาวิทยาลัยนั้น
ในอดีต
ผู้เข้าร่วมนั้นเกิดข้อมูลที่ผิดเพี้ยน
จากเพียงภาพถ่ายที่พวกเขาเคยเห็น
ไปสู่ความทรงจำที่
พวกเขาเชื่อว่ามันเคยเกิดขึ้นจริง ๆ
ในการทดลองหนึ่ง ผู้ทดลอง
ได้ถูกแสดงภาพของแว่นขยาย
และถูกบอกให้จินตนาการ
ถึงภาพของอมยิ้ม
พวกเขามักจะคิดว่าเขาเคยเห็น
ทั้งแว่นขยายและอมยิ้มจริง ๆ
พวกเขาต้องพยายามที่จะเชื่อมโยง
วัตถุนั้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง
ไม่ว่าพวกเขาจะเคยเห็นมันจริง ๆ
หรือแค่เพียงจินตนาการถึงมันก็ตาม
มีอีกการศึกษาหนึ่งที่นักจิตวิทยาถาม
คำถามกับผู้เข้าร่วมกว่า 2,000 คน
เกี่ยวกับความเห็นถึงการ
ทำให้กัญชาถูกกฎหมาย
ซึ่งงานนี้แสดงให้เห็นถึงอีก
ปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อความทรงจำ
ผู้เข้าร่วมตอบคำถามที่มีทั้ง
ปี 1973 และปี 1982
กลุ่มของพวกที่กล่าวว่าพวกเขา
สนับสนุนกัญชาให้ถูกกฎหมายในปี 1973 นั้น
แต่มีรายงานบอกว่าที่จริงพวกเขา
นั้นได้คัดค้านกฎหมายนี้ในปี 1982
พวกเขามีแนวโน้มที่จะระลึกได้ว่าพวกเขา
ต่อต้านการทำให้ถูกกฎหมายจริง ๆ ในปี 1973
ซึ่งนับเป็นการนำเอาทัศนคติเดิม ๆ
ต่อเรื่องหนึ่งมาเปรียบกับทัศนคติใหม่
โดยความคิดเห็น, ความรู้สึก,
และประสบการณ์ของเราในปัจจุบัน
สามารถที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง
ในด้านความรู้สึกต่อความทรงจำในอดีต
ในอีกงานวิจัยหนึ่ง
ผู้วิจัยได้ทำการแบ่งผู้เข้าร่วมออก
เป็นสองกลุ่มและให้ข้อมูลพื้นฐาน
เกี่ยวกับประวัติสงครามและให้
พวกเขาเหล่านั้นโหวตว่าฝ่ายไหนจะชนะ
ผู้วิจัยให้ข้อมูล
แต่ละกลุ่มเหมือนกันทุกอย่าง
เว้นแต่ผู้วิจัยบอกว่าใคร
จะชนะสงครามเพียงกับแค่หนึ่งกลุ่มเท่านั้น
โดยที่อีกกลุ่มไม่ได้รู้
ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
ในทางทฤษฎี คำตอบของ
ทั้งสองกลุ่มนั้นควรที่จะเหมือนกัน
เพราะความน่าจะเป็น
ที่แต่ละฝ่ายจะชนะนั้น
ไม่ได้ส่งผลว่าใครจะชนะจริง ๆ
ถ้าบอกว่ามีโอกาสเพียง 20% ที่จะเกิด
พายุฟ้าคะนองและพายุฟ้าคะนองเกิดขึ้นจริง ๆ
นั่นไม่ได้ทำให้โอกาสที่จะเกิด
พายุฟ้าคะนองกลายเป็น 100% ขึ้นมา
ถึงอย่างนั้นกลุ่มที่รู้คำตอบ
ว่าสงครามจะจบอย่างไร
ได้โหวตฝ่ายที่ชนะมากกว่าฝ่ายที่ท่าทาง
เหมือนจะชนะมากกว่ากลุ่มที่ไม่รู้คำตอบ
ความผิดเพี้ยนของความทรงจำทั้งหมด
สามารถที่จะส่งผลกระทบต่อโลกความเป็นจริง
ถ้าตำรวจสอบปากคำโดยใช้
คำถามชี้นำกับพยานหรือผู้ต้องสงสัย
คำตอบที่ได้อาจจะระบุไม่ถูกต้อง
หรือได้รับคำสารภาพที่ไม่น่าเชื่อถือ
หรือแม้จะไม่ใช้คำถามชี้นำ
การกล่าวอ้างหรือให้ข้อมูลผิด ๆ ของตำรวจก็
สามารถที่นำไปสู่การให้การผิด ๆ ของพยานได้
ในศาล
หากผู้พิพากษากล่าวว่า
หลักฐานนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ
และให้คณะลูกขุนมองข้ามมันไป
พวกเขาอาจจะไม่สามารถขัดอย่างนั้นได้
ในทางการแพทย์ หากคนไข้
นั้นมองหาความเห็นที่สองเพิ่มเติม
และผู้ให้ความเห็นที่สองนั้นพะวง
ถึงคำวินิจฉัยของคนแรก
ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อข้อสรุปได้
ความทรงจำนั้นไม่ได้เป็นตัวแทน
ที่หนักแน่นที่จะแสดงถึงความเป็นจริง
แต่เป็นตัวแทนของการรับรู้ส่วนบุคคล
และมันก็ไม่ได้ผิดอะไร
แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อเราคิดว่า
ความทรงจำนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
แทนที่เราจะยอมรับว่ามันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
เกี่ยวกับธรรมชาติของความทรงจำ