WEBVTT 00:00:00.000 --> 00:00:01.000 - 00:00:00.000 --> 00:00:02.460 ในวิดีโอนี้, ผมอยากทำตัวอย่าง 00:00:02.460 --> 00:00:03.800 เกี่ยวกับฟังก์ชันหน่อย 00:00:03.800 --> 00:00:06.570 ฟังก์ชันมักเป็นสิ่งที่นักเรียนมากมายพบว่า 00:00:06.570 --> 00:00:09.230 ยาก, แต่ผมว่าถ้าคุณเข้าใจว่าเราพูดถึง 00:00:09.230 --> 00:00:11.070 อะไรกัน, คุณจะเห็นว่ามันเป็น 00:00:11.070 --> 00:00:12.240 แนวคิดที่ตรงไปตรงมาทีเดียว 00:00:12.240 --> 00:00:13.710 และคุณบางครั้งสงสัย, ว่าไอ้เจ้า 00:00:13.710 --> 00:00:14.880 ฟังก์ชันนี่มันคืออะไรกัน? 00:00:14.880 --> 00:00:16.720 ฟังก์ชันก็คือ, มันคือ 00:00:16.720 --> 00:00:19.830 ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัว 00:00:19.830 --> 00:00:25.540 ถ้าผมบอกว่า y เป็นฟังก์ชันของ x, นั่น 00:00:25.540 --> 00:00:28.260 หมายความว่า, คุณให้ค่า x ผมมา 00:00:28.260 --> 00:00:31.660 คุณจะคิดว่าฟังก์ชันเหมือนเขมือบค่า x นี่เข้าไป 00:00:31.660 --> 00:00:34.190 คุณโยนค่า x เข้าไปในฟังก์ชัน 00:00:34.190 --> 00:00:36.480 ฟังก์ชันนี้ก็แค่เป็นแค่กฎ 00:00:36.480 --> 00:00:39.150 มันจะบอกว่า, โอ้, ได้ x นั่นมา, ฉัน 00:00:39.150 --> 00:00:41.230 จะให้ค่า y ออกมา 00:00:41.230 --> 00:00:42.945 คุณอาจคิดว่ามันเป็นเหมือนกล่อง 00:00:42.945 --> 00:00:45.900 - 00:00:45.900 --> 00:00:47.990 นั่นคือฟังก์ชัน 00:00:47.990 --> 00:00:53.830 ตอนผมให้ค่า x สักค่านึง, มันจะ 00:00:53.830 --> 00:00:56.990 ให้ค่า y ออกมา 00:00:56.990 --> 00:00:58.160 มันฟังดูเป็นนามธรรมหน่อย 00:00:58.160 --> 00:00:59.360 x กับ y พวกนี้คืออะไร? 00:00:59.360 --> 00:01:02.830 บางทีผมมีฟังก์ชัน -- ขอผมทำแบบนี้แล้วกัน 00:01:02.830 --> 00:01:04.190 สมมุติว่าผมมีนิยามฟังก์ชัน 00:01:04.190 --> 00:01:05.720 ว่าเป็นแบบนี้ 00:01:05.720 --> 00:01:11.770 สำหรับค่า x ใดๆ ที่คุณให้ผม, ผมจะให้ 1 ออกมาถ้า x 00:01:11.770 --> 00:01:14.440 เท่ากับ -- ไม่รู้สิ -- 0 00:01:14.440 --> 00:01:18.730 ผมจะให้ 2 ถ้า x เท่ากับ 1 00:01:18.730 --> 00:01:21.320 และผมจะใช้ 3 ถ้าให้ค่าอื่นมา 00:01:21.320 --> 00:01:24.790 - 00:01:24.790 --> 00:01:28.720 ทีนี้เรานิยามสิ่งที่อยู่ในกล่องแล้ว 00:01:28.720 --> 00:01:31.630 ลองวาดกล่องรอบมันขึ้นมา 00:01:31.630 --> 00:01:33.650 นี่คือกล่องของเรา 00:01:33.650 --> 00:01:35.940 นี่ก็แค่นิยามฟังก์ชันตามใจอันนึง, แต่ 00:01:35.940 --> 00:01:37.760 หวังว่าคุณคงเข้าใจว่าฟังก์ชัน 00:01:37.760 --> 00:01:40.070 คืออะไรกัน 00:01:40.070 --> 00:01:47.500 ทีนี้ ถ้าผมให้ x เท่ากับ -- ถ้าผมเลือก x เท่ากับ 00:01:47.500 --> 00:01:52.480 7, ทีนี้ f ของ x จะเท่ากับอะไร? 00:01:52.480 --> 00:01:56.400 f ของ 7 จะเท่ากับอะไร? 00:01:56.400 --> 00:01:58.020 ผมก็เอา 7 ใส่เข้าไปในกล่อง 00:01:58.020 --> 00:01:59.700 คุณอาจมองว่ามันเป็นคอมพิวเตอร์ก็ได้ 00:01:59.700 --> 00:02:02.770 คอมพิวเตอร์ดูเลข x นั่น แล้วดูกฎที่มันมี 00:02:02.770 --> 00:02:04.060 มันบอกว่า, โอเค x เป็น 7 00:02:04.060 --> 00:02:06.270 ทีนี้ x ไม่ใช่ 0 x ไม่ใช่ 1 00:02:06.270 --> 00:02:08.229 ฉันก็ดูกรณีอื่น 00:02:08.229 --> 00:02:10.100 แล้วฉันก็ปล่อย 3 ออกมา 00:02:10.100 --> 00:02:12.040 ดังนั้น f ของ 7 เท่ากับ 3 00:02:12.040 --> 00:02:15.320 เราเขียน f ของ 7 เท่ากับ 3 00:02:15.320 --> 00:02:18.760 โดย f เป็นชื่อของฟังก์ชัน, ระบบกฎนี่, หรือ 00:02:18.760 --> 00:02:21.310 ความสัมพันธ์นี้, การโยง, อะไรก็ได้ 00:02:21.310 --> 00:02:22.190 ที่คุณอยากเรียก 00:02:22.190 --> 00:02:24.350 เมื่อคุณให้ค่า 7 กับมัน, มันจะให้ 3 ออกมา 00:02:24.350 --> 00:02:27.460 เมื่อคุณให้ 7 กับ f, มันจะให้ 3 ออกมา 00:02:27.460 --> 00:02:31.240 แล้ว f ของ 2 คืออะไร? 00:02:31.240 --> 00:02:34.690 ทีนี้, มันหมายความว่า แทนที่ x เท่ากับ 7, ผมจะ 00:02:34.690 --> 00:02:36.420 ใส่ x เท่ากับ 2 ให้มัน 00:02:36.420 --> 00:02:38.550 แล้วคอมพิวเตอร์เล็กๆ ข้างในฟังก์ชันจะ 00:02:38.550 --> 00:02:42.550 บอกว่า, โอเค, ลองดู, เมื่อ x เท่ากับ 2 00:02:42.550 --> 00:02:44.410 ไม่ใช่สิ, ผมยังอยู่ในกรณีอื่น 00:02:44.410 --> 00:02:45.910 x ไม่ใช่ 0 หรือ 1 00:02:45.910 --> 00:02:50.800 เหมือนเดิม f ของ x เท่ากับ 3 00:02:50.800 --> 00:02:53.470 - 00:02:53.470 --> 00:02:56.970 นี่ก็คือ f ของ 2 เท่ากับ 3 เหมือนกัน 00:02:56.970 --> 00:03:03.200 ทีนี้เกิดอะไรขึ้นถ้า x เท่ากับ 1? 00:03:03.200 --> 00:03:05.100 ทีนี้มันจะมาตรงนี้ 00:03:05.100 --> 00:03:07.990 f ของ 1 00:03:07.990 --> 00:03:10.080 มันจะมาดูที่กฎตรงนี้ 00:03:10.080 --> 00:03:11.620 โอ้ ดูสิ, x เท่ากับ 1 00:03:11.620 --> 00:03:13.350 ฉันสามารถใช้กฎได้แล้ว 00:03:13.350 --> 00:03:15.520 เมื่อ x เท่ากับ 1, ฉันก็ปล่อย 2 ออกมา 00:03:15.520 --> 00:03:18.750 ดังนั้น f ของ 1 จะเท่ากับ 2 00:03:18.750 --> 00:03:22.290 ฉันจะปล่อย f ของ 1, ซึ่งเท่ากับ 2 ออกมาในกรณีนั้น 00:03:22.290 --> 00:03:24.420 นั่นคือเรื่องทั้งหมดของฟังก์ชัน 00:03:24.420 --> 00:03:29.120 ทีนี้, เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ, แล้วลองทำโจทย์ 00:03:29.120 --> 00:03:31.620 ตัวอย่างกัน เขาบอกว่าเราแต่ละฟังก์ชัน 00:03:31.620 --> 00:03:35.010 ต่อไปนี้, จงหาค่าฟังก์ชันต่างๆ -- 00:03:35.010 --> 00:03:37.570 พวกนี้คือกล่องต่างๆ ที่เขาสร้างขึ้นมา -- ที่ 00:03:37.570 --> 00:03:39.070 จุดต่างๆ 00:03:39.070 --> 00:03:42.800 ลองทำตอน a ก่อน เขากำหนดกล่องขึ้นมา 00:03:42.800 --> 00:03:47.880 f ของ x เท่ากับลบ 2x บวก 3 00:03:47.880 --> 00:03:51.790 เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ f ของลบ 3 00:03:51.790 --> 00:03:54.300 ทีนี้ f ของลบ 3, นี่บอกเราว่า 00:03:54.300 --> 00:03:55.430 เราต้องทำยังไงกับ x? 00:03:55.430 --> 00:03:57.110 ผมจะได้อะไร? 00:03:57.110 --> 00:04:00.060 เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมเจอ x, ผมก็แทนที่มันด้วยลบ 3 00:04:00.060 --> 00:04:02.060 มันก็จะเท่ากับ ลบ 2 00:04:02.060 --> 00:04:04.780 ขอผมทำแบบนี้แล้วกัน, คุณจะได้เห็นว่าผมทำอะไรอยู่ 00:04:04.780 --> 00:04:06.520 ลบ 3 นั่น, ผมจะใช้สีเข้ม 00:04:06.520 --> 00:04:13.130 มันลบลบ 2 คูณลบ 3 บวก 3 00:04:13.130 --> 00:04:16.149 สังเกตว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มี x, ผมจะใส่ ลบ 3 ลงไป 00:04:16.149 --> 00:04:19.250 ผมก็รู้ว่ากล่องปริศนานี้จะตอบอะไรออกมา 00:04:19.250 --> 00:04:21.600 นี่จะเท่ากับ ลบ 2 คูณลบ 3 00:04:21.600 --> 00:04:25.640 ได้ 6 บวก 3, ซึ่งเท่ากับ 9 00:04:25.640 --> 00:04:29.470 ดังนั้น f ของลบ 3 เท่ากับ 9 00:04:29.470 --> 00:04:32.130 แล้ว f ของ 7 ล่ะ? 00:04:32.130 --> 00:04:36.340 ผมจะทำเหมือนเดิมอีกครั้งนึง -- ผมจะใช้ 7 00:04:36.340 --> 00:04:43.120 เป็นสีเหลืองนะ -- f ของ 7 จะเท่ากับลบ 2 00:04:43.120 --> 00:04:47.650 คูณ 7 บวก 3 00:04:47.650 --> 00:04:50.480 - 00:04:50.480 --> 00:04:55.140 แล้วนี่เท่ากับลบ 14 บวก 3, ซึ่งเท่ากับ 00:04:55.140 --> 00:04:57.260 ลบ 11 00:04:57.260 --> 00:05:03.940 คุณใส่ลงใน -- ขอผมทำให้ชัดเจนที่สุดเลย -- คุณใส่ 7 00:05:03.940 --> 00:05:11.060 ลงในฟังก์ชันของเรา f ตรงนี้ แล้วมันก็ปล่อยค่าลบ 11 ออกมา 00:05:11.060 --> 00:05:13.310 นั่นคือสิ่งที่นี่บอกเราตรงนี้ 00:05:13.310 --> 00:05:14.760 นี่คือกฎ 00:05:14.760 --> 00:05:18.470 นี่ก็เหมือนกับสิ่งที่ผมทำตรงนี้เป๊ะ 00:05:18.470 --> 00:05:20.980 นี่คือกฎของฟังก์ชัน 00:05:20.980 --> 00:05:24.430 ลองทำสองอันต่อไปกัน 00:05:24.430 --> 00:05:25.200 ผมจะไม่ทำข้อ b 00:05:25.200 --> 00:05:26.330 คุณเก็บตอน b เล่นๆ แล้วกัน 00:05:26.330 --> 00:05:29.650 ผมจะทำตอน c หลังจากนั้น, เป็นเรื่องของเวลา 00:05:29.650 --> 00:05:32.540 ทีนี้เราอยู่ที่ f ของ 0 00:05:32.540 --> 00:05:33.810 ตรงนี้ผมจะใช้สีเดียวนะ 00:05:33.810 --> 00:05:35.300 ผมว่าคุณคงเข้าใจแล้ว f ของ 0 00:05:35.300 --> 00:05:37.500 เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเห็น x, เราก็ใส่ 0 ลงไป 00:05:37.500 --> 00:05:40.005 ได้ ลบ 2 คูณ 0 บวก 3 00:05:40.005 --> 00:05:43.100 - 00:05:43.100 --> 00:05:44.345 ทีนี้, นั่นจะเป็น 0 00:05:44.345 --> 00:05:47.300 แล้ว f ของ 0 เป็ฯ 3 00:05:47.300 --> 00:05:49.000 แล้วอันสุดท้าย f ของ z 00:05:49.000 --> 00:05:51.720 เขาพยายามทำให้มันเป็นนามธรรม 00:05:51.720 --> 00:05:52.780 ผมจะใช้สีบอกความหมายแล้วกัน 00:05:52.780 --> 00:05:55.800 ทีนี้ f ของ z 00:05:55.800 --> 00:05:59.150 ขอผมใช้ z อีกสีนึงนะ 00:05:59.150 --> 00:06:00.900 f ของ z 00:06:00.900 --> 00:06:06.210 ทุกที่ที่เราเห็น x ตอนนี้เราจะ 00:06:06.210 --> 00:06:07.750 แทนมันด้วย z 00:06:07.750 --> 00:06:09.240 ลบ 2 00:06:09.240 --> 00:06:12.040 แทนที่จะใส่ x, เราก็ใส่ z ตรงนี้ 00:06:12.040 --> 00:06:13.860 เราจะใส่ z สีส้มตรงนี้ 00:06:13.860 --> 00:06:19.760 ลบ 2 คูณ z บวก 3 00:06:19.760 --> 00:06:24.330 และนั่นคือคำตอบเรา f ของ z เท่ากับ ลบ 2z บวก 3 00:06:24.330 --> 00:06:28.110 ถ้าคุณจินตนาการกล่องขึ้นมา, ฟังก์ชัน f 00:06:28.110 --> 00:06:38.130 คุณใส่ z ลงไป, คุณก็จะได้ ลบ 2 00:06:38.130 --> 00:06:43.480 คูณค่า z อะไรก็ตาม แล้วบวก 3 00:06:43.480 --> 00:06:44.520 นั่นคือสิ่งที่มันบอก 00:06:44.520 --> 00:06:47.830 มันดูเป็นนามธรรมหน่อย, แต่ว่าแนวคิดเหมือนเดิม 00:06:47.830 --> 00:06:52.030 ทีนี้ลองทำตอน c ตรงนี้ดู 00:06:52.030 --> 00:06:53.330 ขอผมลบนี่หน่อยนะ 00:06:53.330 --> 00:06:55.820 ผมไม่มีที่แล้ว 00:06:55.820 --> 00:06:59.102 ขอผมลบเจ้าพวกนี้ก่อน 00:06:59.102 --> 00:07:02.910 ขอผมลบเจ้าพวกนี้ก่อน 00:07:02.910 --> 00:07:03.810 เราทำตอน c ได้แล้ว 00:07:03.810 --> 00:07:05.370 ผมจะข้ามตอน b ไป 00:07:05.370 --> 00:07:07.710 คุณทำตอนนั้นเองได้ 00:07:07.710 --> 00:07:10.830 ตอน b 00:07:10.830 --> 00:07:13.430 เขาบอกเราว่า -- นี่คือนิยามฟังก์ชัน 00:07:13.430 --> 00:07:16.680 โทษที, ผมบอกว่าผมจะทำตอน c 00:07:16.680 --> 00:07:18.610 นี่คือนิยามฟังก์ชันของเรา 00:07:18.610 --> 00:07:26.300 f ของ x เท่ากับ 5 คูณ 2 ลบ x ส่วน 11 00:07:26.300 --> 00:07:29.440 ลองแทนค่า x ต่างๆ ดู, ค่า 00:07:29.440 --> 00:07:32.620 นำเข้าต่างๆ ไปในฟังก์ชัน 00:07:32.620 --> 00:07:39.900 งั้น f ของลบ 3 เท่ากับ 5 คูณ 2 ลบ -- เมื่อไหร่ก็ตาม 00:07:39.900 --> 00:07:42.250 ที่เจอ x, เราก็ใส่ลบ 3 ลงไป 00:07:42.250 --> 00:07:45.620 2 ลบ ลบ 2 บวก 11 00:07:45.620 --> 00:07:48.700 นี่เท่ากับ 2 บวก 3 00:07:48.700 --> 00:07:50.870 นี่เท่ากับ 5 00:07:50.870 --> 00:07:53.260 แล้วคุณได้ 5 คูณ 5 ส่วน 11 00:07:53.260 --> 00:07:57.120 นั่นเท่ากับ 25/11 00:07:57.120 --> 00:07:57.850 ลองทำอันนี้ดู 00:07:57.850 --> 00:07:59.990 f ของ 7 00:07:59.990 --> 00:08:06.680 สำหรับฟังก์ชันที่สองตรงนี้, f ของ 7 เท่ากับ 5 00:08:06.680 --> 00:08:11.160 คูณ 2 ลบ -- ทีนี้ค่า x เราได้ 7 00:08:11.160 --> 00:08:14.360 2 ลบ 7 ส่วน 11 00:08:14.360 --> 00:08:15.540 นี่จะเท่ากับอะไร? 00:08:15.540 --> 00:08:18.250 2 ลบ 7 ได้ลบ 5 00:08:18.250 --> 00:08:23.780 5 คูณลบ 5 ได้ ลบ 25/11 00:08:23.780 --> 00:08:27.410 แล้วสุดท้าย, เรามีอีกสองตัว f ของ 0 00:08:27.410 --> 00:08:35.000 นั่นเท่ากับ 5 คูณ 2 ลบ 0 แล้วนี่ก็แค่ 2 00:08:35.000 --> 00:08:36.130 5 คูณ 2 ได้ 10 00:08:36.130 --> 00:08:38.850 นี่เลยเท่ากับ 10/11 00:08:38.850 --> 00:08:39.840 อีกอันนึง 00:08:39.840 --> 00:08:42.059 f ของ z 00:08:42.059 --> 00:08:43.299 ทุกครั้งที่เราเจอ x, เราก็ 00:08:43.299 --> 00:08:44.490 แทนมันด้วย z 00:08:44.490 --> 00:08:49.960 มันเท่ากับ 5 คูณ 2 ลบ z ส่วน 11 00:08:49.960 --> 00:08:50.630 นั่นก็คือคำตอบ 00:08:50.630 --> 00:08:51.910 เรากระจาย 5 เข้าไปได้ 00:08:51.910 --> 00:08:57.210 คุณก็บอกว่านี่ก็เหมือนกับ 10 ลบ 5z ส่วน 11 00:08:57.210 --> 00:09:00.260 เราเขียนมันในรูปความชัน-ค่าตัดแกนก็ได้ 00:09:00.260 --> 00:09:06.000 มันก็เหมือนกับ ลบ 5/11 z บวก 10/11 00:09:06.000 --> 00:09:06.990 มันเหมือนกันหมด 00:09:06.990 --> 00:09:10.430 และนั่นก็คือค่าของ f ของ z 00:09:10.430 --> 00:09:11.590 ทีนี้ 00:09:11.590 --> 00:09:15.510 ฟังก์ชัน, เราบอกว่า, ถ้าคุณให้ค่า x มาค่าหนึ่ง, ผม 00:09:15.510 --> 00:09:16.470 จะบอกผลลัพธ์ให้ 00:09:16.470 --> 00:09:19.120 ผมจะให้ค่า f ของ x แก่คุณ 00:09:19.120 --> 00:09:23.040 และถ้านี่คือฟังก์ชันของ x, คุณให้ค่า x, มันจะ 00:09:23.040 --> 00:09:26.550 สร้าง f ของ x ออกมา 00:09:26.550 --> 00:09:29.680 มันสามารถให้ f ของ x สำหรับ x แต่ละตัวได้ค่าเดียว 00:09:29.680 --> 00:09:32.840 คุณไม่สามารถมีฟังก์ชันที่ให้ค่าสองค่า 00:09:32.840 --> 00:09:34.700 จาก x ตัวเดียวได้ 00:09:34.700 --> 00:09:37.540 คุณไม่สามารถมีฟังก์ชัน -- มันจะผิด 00:09:37.540 --> 00:09:42.790 นิยามฟังก์ชัน -- f ของ x เท่ากับ 3 ถ้า 00:09:42.790 --> 00:09:45.230 x เท่ากับ 0 00:09:45.230 --> 00:09:49.240 หรือมันอาจเท่ากับ 4 ถ้า x เท่ากับ 0 00:09:49.240 --> 00:09:53.170 เพราะในกรณีนี้, เราไม่รู้ว่า f ของ 0 คืออะไร 00:09:53.170 --> 00:09:54.090 มันจะเท่ากับอะไร? 00:09:54.090 --> 00:09:56.330 มันบอกว่า ถ้า x เท่ากับ 0ฅ มันควรเป็น 3 หรือมันควร-- 00:09:56.330 --> 00:09:57.310 เราไม่รู้ 00:09:57.310 --> 00:09:57.830 เราไม่รู้ 00:09:57.830 --> 00:09:58.190 เราไม่รู้ 00:09:58.190 --> 00:10:01.550 นี่ไม่ใช่ฟังก์ชันแม้ว่ามัน 00:10:01.550 --> 00:10:02.800 จะดูเหมือนฟังก์ชัน 00:10:02.800 --> 00:10:07.700 - 00:10:07.700 --> 00:10:12.250 คุณไม่สามารถมีค่า f ของ x ถึงสองค่าจากค่า x ค่าเดียว 00:10:12.250 --> 00:10:16.020 ลองดูว่ากราฟเหล่านี้อันไหนเป็นฟังก์ชัน 00:10:16.020 --> 00:10:18.390 เวลาหา, คุณก็บอกว่า, ดูที่ค่า x ใดๆ 00:10:18.390 --> 00:10:21.850 ตรงนี้ -- เลือกค่า x ขึ้นมา -- ฉันต้องได้ค่า f ของ x ค่าเดียว 00:10:21.850 --> 00:10:25.090 นี่คือ y เท่ากับ f ของ x ตรงนี้ 00:10:25.090 --> 00:10:28.950 ผมมีแค่ค่าเดียว -- ที่ x นั่น, 00:10:28.950 --> 00:10:30.550 นั่นคือค่า y ตรงนี้ 00:10:30.550 --> 00:10:32.970 หรือคุณอาจลากเส้นดิ่งทดสอบ, ซึ่งบอกว่า ณ 00:10:32.970 --> 00:10:35.720 จุดใดๆ ถ้าคุณลากเส้นดิ่ง -- สังเกตว่าเส้นดิ่ง 00:10:35.720 --> 00:10:37.570 คือค่า x ค่าหนึ่ง 00:10:37.570 --> 00:10:41.920 มันแสดงว่าผมมีค่า y ณ จุดนั้นเพียงค่าเดียว 00:10:41.920 --> 00:10:43.630 นี่เลยเป็นฟังก์ชันตามนิยาม 00:10:43.630 --> 00:10:46.240 เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณลากเส้นดิ่ง, มันจะตัด 00:10:46.240 --> 00:10:47.610 กราฟครั้งเดียวเสมอ 00:10:47.610 --> 00:10:50.410 นี่เลยเป็นฟังก์ชันจริง 00:10:50.410 --> 00:10:52.220 ทีนี้แล้วอันนี้ล่ะ? 00:10:52.220 --> 00:10:53.960 ผมสามารถลากเส้นดิ่ง, สมมติว่า, 00:10:53.960 --> 00:10:55.230 ที่จุดนั่นตรงนั้น 00:10:55.230 --> 00:10:58.650 สำหรับค่า x นั่น, ความสัมพันธ์นี้มี 00:10:58.650 --> 00:11:00.860 ค่า f ของ x เป็นไปได้สองค่า 00:11:00.860 --> 00:11:04.550 f ของ x อาจเป็นค่านั้น หรือ f ของ x อาจเป็นค่านั้น 00:11:04.550 --> 00:11:05.270 จริงไหม? 00:11:05.270 --> 00:11:07.520 มันตัดกราฟสองครั้ง 00:11:07.520 --> 00:11:08.840 นี่เลยไม่ใช่ฟังก์ชัน 00:11:08.840 --> 00:11:11.150 ผมทำสิ่งที่ผมบรรยายไว้ตรงนี้ 00:11:11.150 --> 00:11:15.090 สำหรับค่า x ค่าหนึ่ง, เรากำลังบอกว่ามีค่า y 00:11:15.090 --> 00:11:16.800 สองค่าที่เท่ากับ f ของ x ได้ 00:11:16.800 --> 00:11:19.220 นี่เลยไม่ใช่ฟังก์ชัน 00:11:19.220 --> 00:11:20.830 ตรงนี้, ก็เหมือนกัน 00:11:20.830 --> 00:11:22.310 คุณลากเส้นดิ่งตรงนี้ 00:11:22.310 --> 00:11:24.540 คุณตัดกราฟสองที 00:11:24.540 --> 00:11:26.000 นี่เลยไม่ใช่ฟังก์ชัน 00:11:26.000 --> 00:11:30.590 คุณกำนหดค่า y เป็นไปได้ถึงสองค่าสำหรับค่า x ค่าเดียว 00:11:30.590 --> 00:11:31.490 ลองทำฟังก์ชันนี้บ้าง 00:11:31.490 --> 00:11:33.160 มันเหมือนฟังก์ชันหน้าตาประหลาด 00:11:33.160 --> 00:11:34.750 ดูเหมือนเครื่องหมายถูกกลับหัว 00:11:34.750 --> 00:11:37.020 แต่ทุกครั้งที่คุณลากเส้นดิ่ง, คุณจะตัด 00:11:37.020 --> 00:11:38.720 แก้ครั้งเดียว 00:11:38.720 --> 00:11:40.420 มันเลยเป็นฟังก์ชัน 00:11:40.420 --> 00:11:43.470 ทุกๆ x, คุณมีค่า y จับคู่ได้ค่าเดียว 00:11:43.470 --> 00:11:46.450 หรือจับคู่ค่า f ของ x ได้ค่าเดียวเท่านั้น 00:11:46.450 --> 00:11:48.960 เอาล่ะ, หวังว่าคุณคงได้ประโยชน์บ้างนะ