1 00:00:00,000 --> 00:00:01,000 - 2 00:00:00,000 --> 00:00:02,460 ในวิดีโอนี้, ผมอยากทำตัวอย่าง 3 00:00:02,460 --> 00:00:03,800 เกี่ยวกับฟังก์ชันหน่อย 4 00:00:03,800 --> 00:00:06,570 ฟังก์ชันมักเป็นสิ่งที่นักเรียนมากมายพบว่า 5 00:00:06,570 --> 00:00:09,230 ยาก, แต่ผมว่าถ้าคุณเข้าใจว่าเราพูดถึง 6 00:00:09,230 --> 00:00:11,070 อะไรกัน, คุณจะเห็นว่ามันเป็น 7 00:00:11,070 --> 00:00:12,240 แนวคิดที่ตรงไปตรงมาทีเดียว 8 00:00:12,240 --> 00:00:13,710 และคุณบางครั้งสงสัย, ว่าไอ้เจ้า 9 00:00:13,710 --> 00:00:14,880 ฟังก์ชันนี่มันคืออะไรกัน? 10 00:00:14,880 --> 00:00:16,720 ฟังก์ชันก็คือ, มันคือ 11 00:00:16,720 --> 00:00:19,830 ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัว 12 00:00:19,830 --> 00:00:25,540 ถ้าผมบอกว่า y เป็นฟังก์ชันของ x, นั่น 13 00:00:25,540 --> 00:00:28,260 หมายความว่า, คุณให้ค่า x ผมมา 14 00:00:28,260 --> 00:00:31,660 คุณจะคิดว่าฟังก์ชันเหมือนเขมือบค่า x นี่เข้าไป 15 00:00:31,660 --> 00:00:34,190 คุณโยนค่า x เข้าไปในฟังก์ชัน 16 00:00:34,190 --> 00:00:36,480 ฟังก์ชันนี้ก็แค่เป็นแค่กฎ 17 00:00:36,480 --> 00:00:39,150 มันจะบอกว่า, โอ้, ได้ x นั่นมา, ฉัน 18 00:00:39,150 --> 00:00:41,230 จะให้ค่า y ออกมา 19 00:00:41,230 --> 00:00:42,945 คุณอาจคิดว่ามันเป็นเหมือนกล่อง 20 00:00:42,945 --> 00:00:45,900 - 21 00:00:45,900 --> 00:00:47,990 นั่นคือฟังก์ชัน 22 00:00:47,990 --> 00:00:53,830 ตอนผมให้ค่า x สักค่านึง, มันจะ 23 00:00:53,830 --> 00:00:56,990 ให้ค่า y ออกมา 24 00:00:56,990 --> 00:00:58,160 มันฟังดูเป็นนามธรรมหน่อย 25 00:00:58,160 --> 00:00:59,360 x กับ y พวกนี้คืออะไร? 26 00:00:59,360 --> 00:01:02,830 บางทีผมมีฟังก์ชัน -- ขอผมทำแบบนี้แล้วกัน 27 00:01:02,830 --> 00:01:04,190 สมมุติว่าผมมีนิยามฟังก์ชัน 28 00:01:04,190 --> 00:01:05,720 ว่าเป็นแบบนี้ 29 00:01:05,720 --> 00:01:11,770 สำหรับค่า x ใดๆ ที่คุณให้ผม, ผมจะให้ 1 ออกมาถ้า x 30 00:01:11,770 --> 00:01:14,440 เท่ากับ -- ไม่รู้สิ -- 0 31 00:01:14,440 --> 00:01:18,730 ผมจะให้ 2 ถ้า x เท่ากับ 1 32 00:01:18,730 --> 00:01:21,320 และผมจะใช้ 3 ถ้าให้ค่าอื่นมา 33 00:01:21,320 --> 00:01:24,790 - 34 00:01:24,790 --> 00:01:28,720 ทีนี้เรานิยามสิ่งที่อยู่ในกล่องแล้ว 35 00:01:28,720 --> 00:01:31,630 ลองวาดกล่องรอบมันขึ้นมา 36 00:01:31,630 --> 00:01:33,650 นี่คือกล่องของเรา 37 00:01:33,650 --> 00:01:35,940 นี่ก็แค่นิยามฟังก์ชันตามใจอันนึง, แต่ 38 00:01:35,940 --> 00:01:37,760 หวังว่าคุณคงเข้าใจว่าฟังก์ชัน 39 00:01:37,760 --> 00:01:40,070 คืออะไรกัน 40 00:01:40,070 --> 00:01:47,500 ทีนี้ ถ้าผมให้ x เท่ากับ -- ถ้าผมเลือก x เท่ากับ 41 00:01:47,500 --> 00:01:52,480 7, ทีนี้ f ของ x จะเท่ากับอะไร? 42 00:01:52,480 --> 00:01:56,400 f ของ 7 จะเท่ากับอะไร? 43 00:01:56,400 --> 00:01:58,020 ผมก็เอา 7 ใส่เข้าไปในกล่อง 44 00:01:58,020 --> 00:01:59,700 คุณอาจมองว่ามันเป็นคอมพิวเตอร์ก็ได้ 45 00:01:59,700 --> 00:02:02,770 คอมพิวเตอร์ดูเลข x นั่น แล้วดูกฎที่มันมี 46 00:02:02,770 --> 00:02:04,060 มันบอกว่า, โอเค x เป็น 7 47 00:02:04,060 --> 00:02:06,270 ทีนี้ x ไม่ใช่ 0 x ไม่ใช่ 1 48 00:02:06,270 --> 00:02:08,229 ฉันก็ดูกรณีอื่น 49 00:02:08,229 --> 00:02:10,100 แล้วฉันก็ปล่อย 3 ออกมา 50 00:02:10,100 --> 00:02:12,040 ดังนั้น f ของ 7 เท่ากับ 3 51 00:02:12,040 --> 00:02:15,320 เราเขียน f ของ 7 เท่ากับ 3 52 00:02:15,320 --> 00:02:18,760 โดย f เป็นชื่อของฟังก์ชัน, ระบบกฎนี่, หรือ 53 00:02:18,760 --> 00:02:21,310 ความสัมพันธ์นี้, การโยง, อะไรก็ได้ 54 00:02:21,310 --> 00:02:22,190 ที่คุณอยากเรียก 55 00:02:22,190 --> 00:02:24,350 เมื่อคุณให้ค่า 7 กับมัน, มันจะให้ 3 ออกมา 56 00:02:24,350 --> 00:02:27,460 เมื่อคุณให้ 7 กับ f, มันจะให้ 3 ออกมา 57 00:02:27,460 --> 00:02:31,240 แล้ว f ของ 2 คืออะไร? 58 00:02:31,240 --> 00:02:34,690 ทีนี้, มันหมายความว่า แทนที่ x เท่ากับ 7, ผมจะ 59 00:02:34,690 --> 00:02:36,420 ใส่ x เท่ากับ 2 ให้มัน 60 00:02:36,420 --> 00:02:38,550 แล้วคอมพิวเตอร์เล็กๆ ข้างในฟังก์ชันจะ 61 00:02:38,550 --> 00:02:42,550 บอกว่า, โอเค, ลองดู, เมื่อ x เท่ากับ 2 62 00:02:42,550 --> 00:02:44,410 ไม่ใช่สิ, ผมยังอยู่ในกรณีอื่น 63 00:02:44,410 --> 00:02:45,910 x ไม่ใช่ 0 หรือ 1 64 00:02:45,910 --> 00:02:50,800 เหมือนเดิม f ของ x เท่ากับ 3 65 00:02:50,800 --> 00:02:53,470 - 66 00:02:53,470 --> 00:02:56,970 นี่ก็คือ f ของ 2 เท่ากับ 3 เหมือนกัน 67 00:02:56,970 --> 00:03:03,200 ทีนี้เกิดอะไรขึ้นถ้า x เท่ากับ 1? 68 00:03:03,200 --> 00:03:05,100 ทีนี้มันจะมาตรงนี้ 69 00:03:05,100 --> 00:03:07,990 f ของ 1 70 00:03:07,990 --> 00:03:10,080 มันจะมาดูที่กฎตรงนี้ 71 00:03:10,080 --> 00:03:11,620 โอ้ ดูสิ, x เท่ากับ 1 72 00:03:11,620 --> 00:03:13,350 ฉันสามารถใช้กฎได้แล้ว 73 00:03:13,350 --> 00:03:15,520 เมื่อ x เท่ากับ 1, ฉันก็ปล่อย 2 ออกมา 74 00:03:15,520 --> 00:03:18,750 ดังนั้น f ของ 1 จะเท่ากับ 2 75 00:03:18,750 --> 00:03:22,290 ฉันจะปล่อย f ของ 1, ซึ่งเท่ากับ 2 ออกมาในกรณีนั้น 76 00:03:22,290 --> 00:03:24,420 นั่นคือเรื่องทั้งหมดของฟังก์ชัน 77 00:03:24,420 --> 00:03:29,120 ทีนี้, เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ, แล้วลองทำโจทย์ 78 00:03:29,120 --> 00:03:31,620 ตัวอย่างกัน เขาบอกว่าเราแต่ละฟังก์ชัน 79 00:03:31,620 --> 00:03:35,010 ต่อไปนี้, จงหาค่าฟังก์ชันต่างๆ -- 80 00:03:35,010 --> 00:03:37,570 พวกนี้คือกล่องต่างๆ ที่เขาสร้างขึ้นมา -- ที่ 81 00:03:37,570 --> 00:03:39,070 จุดต่างๆ 82 00:03:39,070 --> 00:03:42,800 ลองทำตอน a ก่อน เขากำหนดกล่องขึ้นมา 83 00:03:42,800 --> 00:03:47,880 f ของ x เท่ากับลบ 2x บวก 3 84 00:03:47,880 --> 00:03:51,790 เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ f ของลบ 3 85 00:03:51,790 --> 00:03:54,300 ทีนี้ f ของลบ 3, นี่บอกเราว่า 86 00:03:54,300 --> 00:03:55,430 เราต้องทำยังไงกับ x? 87 00:03:55,430 --> 00:03:57,110 ผมจะได้อะไร? 88 00:03:57,110 --> 00:04:00,060 เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมเจอ x, ผมก็แทนที่มันด้วยลบ 3 89 00:04:00,060 --> 00:04:02,060 มันก็จะเท่ากับ ลบ 2 90 00:04:02,060 --> 00:04:04,780 ขอผมทำแบบนี้แล้วกัน, คุณจะได้เห็นว่าผมทำอะไรอยู่ 91 00:04:04,780 --> 00:04:06,520 ลบ 3 นั่น, ผมจะใช้สีเข้ม 92 00:04:06,520 --> 00:04:13,130 มันลบลบ 2 คูณลบ 3 บวก 3 93 00:04:13,130 --> 00:04:16,149 สังเกตว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มี x, ผมจะใส่ ลบ 3 ลงไป 94 00:04:16,149 --> 00:04:19,250 ผมก็รู้ว่ากล่องปริศนานี้จะตอบอะไรออกมา 95 00:04:19,250 --> 00:04:21,600 นี่จะเท่ากับ ลบ 2 คูณลบ 3 96 00:04:21,600 --> 00:04:25,640 ได้ 6 บวก 3, ซึ่งเท่ากับ 9 97 00:04:25,640 --> 00:04:29,470 ดังนั้น f ของลบ 3 เท่ากับ 9 98 00:04:29,470 --> 00:04:32,130 แล้ว f ของ 7 ล่ะ? 99 00:04:32,130 --> 00:04:36,340 ผมจะทำเหมือนเดิมอีกครั้งนึง -- ผมจะใช้ 7 100 00:04:36,340 --> 00:04:43,120 เป็นสีเหลืองนะ -- f ของ 7 จะเท่ากับลบ 2 101 00:04:43,120 --> 00:04:47,650 คูณ 7 บวก 3 102 00:04:47,650 --> 00:04:50,480 - 103 00:04:50,480 --> 00:04:55,140 แล้วนี่เท่ากับลบ 14 บวก 3, ซึ่งเท่ากับ 104 00:04:55,140 --> 00:04:57,260 ลบ 11 105 00:04:57,260 --> 00:05:03,940 คุณใส่ลงใน -- ขอผมทำให้ชัดเจนที่สุดเลย -- คุณใส่ 7 106 00:05:03,940 --> 00:05:11,060 ลงในฟังก์ชันของเรา f ตรงนี้ แล้วมันก็ปล่อยค่าลบ 11 ออกมา 107 00:05:11,060 --> 00:05:13,310 นั่นคือสิ่งที่นี่บอกเราตรงนี้ 108 00:05:13,310 --> 00:05:14,760 นี่คือกฎ 109 00:05:14,760 --> 00:05:18,470 นี่ก็เหมือนกับสิ่งที่ผมทำตรงนี้เป๊ะ 110 00:05:18,470 --> 00:05:20,980 นี่คือกฎของฟังก์ชัน 111 00:05:20,980 --> 00:05:24,430 ลองทำสองอันต่อไปกัน 112 00:05:24,430 --> 00:05:25,200 ผมจะไม่ทำข้อ b 113 00:05:25,200 --> 00:05:26,330 คุณเก็บตอน b เล่นๆ แล้วกัน 114 00:05:26,330 --> 00:05:29,650 ผมจะทำตอน c หลังจากนั้น, เป็นเรื่องของเวลา 115 00:05:29,650 --> 00:05:32,540 ทีนี้เราอยู่ที่ f ของ 0 116 00:05:32,540 --> 00:05:33,810 ตรงนี้ผมจะใช้สีเดียวนะ 117 00:05:33,810 --> 00:05:35,300 ผมว่าคุณคงเข้าใจแล้ว f ของ 0 118 00:05:35,300 --> 00:05:37,500 เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเห็น x, เราก็ใส่ 0 ลงไป 119 00:05:37,500 --> 00:05:40,005 ได้ ลบ 2 คูณ 0 บวก 3 120 00:05:40,005 --> 00:05:43,100 - 121 00:05:43,100 --> 00:05:44,345 ทีนี้, นั่นจะเป็น 0 122 00:05:44,345 --> 00:05:47,300 แล้ว f ของ 0 เป็ฯ 3 123 00:05:47,300 --> 00:05:49,000 แล้วอันสุดท้าย f ของ z 124 00:05:49,000 --> 00:05:51,720 เขาพยายามทำให้มันเป็นนามธรรม 125 00:05:51,720 --> 00:05:52,780 ผมจะใช้สีบอกความหมายแล้วกัน 126 00:05:52,780 --> 00:05:55,800 ทีนี้ f ของ z 127 00:05:55,800 --> 00:05:59,150 ขอผมใช้ z อีกสีนึงนะ 128 00:05:59,150 --> 00:06:00,900 f ของ z 129 00:06:00,900 --> 00:06:06,210 ทุกที่ที่เราเห็น x ตอนนี้เราจะ 130 00:06:06,210 --> 00:06:07,750 แทนมันด้วย z 131 00:06:07,750 --> 00:06:09,240 ลบ 2 132 00:06:09,240 --> 00:06:12,040 แทนที่จะใส่ x, เราก็ใส่ z ตรงนี้ 133 00:06:12,040 --> 00:06:13,860 เราจะใส่ z สีส้มตรงนี้ 134 00:06:13,860 --> 00:06:19,760 ลบ 2 คูณ z บวก 3 135 00:06:19,760 --> 00:06:24,330 และนั่นคือคำตอบเรา f ของ z เท่ากับ ลบ 2z บวก 3 136 00:06:24,330 --> 00:06:28,110 ถ้าคุณจินตนาการกล่องขึ้นมา, ฟังก์ชัน f 137 00:06:28,110 --> 00:06:38,130 คุณใส่ z ลงไป, คุณก็จะได้ ลบ 2 138 00:06:38,130 --> 00:06:43,480 คูณค่า z อะไรก็ตาม แล้วบวก 3 139 00:06:43,480 --> 00:06:44,520 นั่นคือสิ่งที่มันบอก 140 00:06:44,520 --> 00:06:47,830 มันดูเป็นนามธรรมหน่อย, แต่ว่าแนวคิดเหมือนเดิม 141 00:06:47,830 --> 00:06:52,030 ทีนี้ลองทำตอน c ตรงนี้ดู 142 00:06:52,030 --> 00:06:53,330 ขอผมลบนี่หน่อยนะ 143 00:06:53,330 --> 00:06:55,820 ผมไม่มีที่แล้ว 144 00:06:55,820 --> 00:06:59,102 ขอผมลบเจ้าพวกนี้ก่อน 145 00:06:59,102 --> 00:07:02,910 ขอผมลบเจ้าพวกนี้ก่อน 146 00:07:02,910 --> 00:07:03,810 เราทำตอน c ได้แล้ว 147 00:07:03,810 --> 00:07:05,370 ผมจะข้ามตอน b ไป 148 00:07:05,370 --> 00:07:07,710 คุณทำตอนนั้นเองได้ 149 00:07:07,710 --> 00:07:10,830 ตอน b 150 00:07:10,830 --> 00:07:13,430 เขาบอกเราว่า -- นี่คือนิยามฟังก์ชัน 151 00:07:13,430 --> 00:07:16,680 โทษที, ผมบอกว่าผมจะทำตอน c 152 00:07:16,680 --> 00:07:18,610 นี่คือนิยามฟังก์ชันของเรา 153 00:07:18,610 --> 00:07:26,300 f ของ x เท่ากับ 5 คูณ 2 ลบ x ส่วน 11 154 00:07:26,300 --> 00:07:29,440 ลองแทนค่า x ต่างๆ ดู, ค่า 155 00:07:29,440 --> 00:07:32,620 นำเข้าต่างๆ ไปในฟังก์ชัน 156 00:07:32,620 --> 00:07:39,900 งั้น f ของลบ 3 เท่ากับ 5 คูณ 2 ลบ -- เมื่อไหร่ก็ตาม 157 00:07:39,900 --> 00:07:42,250 ที่เจอ x, เราก็ใส่ลบ 3 ลงไป 158 00:07:42,250 --> 00:07:45,620 2 ลบ ลบ 2 บวก 11 159 00:07:45,620 --> 00:07:48,700 นี่เท่ากับ 2 บวก 3 160 00:07:48,700 --> 00:07:50,870 นี่เท่ากับ 5 161 00:07:50,870 --> 00:07:53,260 แล้วคุณได้ 5 คูณ 5 ส่วน 11 162 00:07:53,260 --> 00:07:57,120 นั่นเท่ากับ 25/11 163 00:07:57,120 --> 00:07:57,850 ลองทำอันนี้ดู 164 00:07:57,850 --> 00:07:59,990 f ของ 7 165 00:07:59,990 --> 00:08:06,680 สำหรับฟังก์ชันที่สองตรงนี้, f ของ 7 เท่ากับ 5 166 00:08:06,680 --> 00:08:11,160 คูณ 2 ลบ -- ทีนี้ค่า x เราได้ 7 167 00:08:11,160 --> 00:08:14,360 2 ลบ 7 ส่วน 11 168 00:08:14,360 --> 00:08:15,540 นี่จะเท่ากับอะไร? 169 00:08:15,540 --> 00:08:18,250 2 ลบ 7 ได้ลบ 5 170 00:08:18,250 --> 00:08:23,780 5 คูณลบ 5 ได้ ลบ 25/11 171 00:08:23,780 --> 00:08:27,410 แล้วสุดท้าย, เรามีอีกสองตัว f ของ 0 172 00:08:27,410 --> 00:08:35,000 นั่นเท่ากับ 5 คูณ 2 ลบ 0 แล้วนี่ก็แค่ 2 173 00:08:35,000 --> 00:08:36,130 5 คูณ 2 ได้ 10 174 00:08:36,130 --> 00:08:38,850 นี่เลยเท่ากับ 10/11 175 00:08:38,850 --> 00:08:39,840 อีกอันนึง 176 00:08:39,840 --> 00:08:42,059 f ของ z 177 00:08:42,059 --> 00:08:43,299 ทุกครั้งที่เราเจอ x, เราก็ 178 00:08:43,299 --> 00:08:44,490 แทนมันด้วย z 179 00:08:44,490 --> 00:08:49,960 มันเท่ากับ 5 คูณ 2 ลบ z ส่วน 11 180 00:08:49,960 --> 00:08:50,630 นั่นก็คือคำตอบ 181 00:08:50,630 --> 00:08:51,910 เรากระจาย 5 เข้าไปได้ 182 00:08:51,910 --> 00:08:57,210 คุณก็บอกว่านี่ก็เหมือนกับ 10 ลบ 5z ส่วน 11 183 00:08:57,210 --> 00:09:00,260 เราเขียนมันในรูปความชัน-ค่าตัดแกนก็ได้ 184 00:09:00,260 --> 00:09:06,000 มันก็เหมือนกับ ลบ 5/11 z บวก 10/11 185 00:09:06,000 --> 00:09:06,990 มันเหมือนกันหมด 186 00:09:06,990 --> 00:09:10,430 และนั่นก็คือค่าของ f ของ z 187 00:09:10,430 --> 00:09:11,590 ทีนี้ 188 00:09:11,590 --> 00:09:15,510 ฟังก์ชัน, เราบอกว่า, ถ้าคุณให้ค่า x มาค่าหนึ่ง, ผม 189 00:09:15,510 --> 00:09:16,470 จะบอกผลลัพธ์ให้ 190 00:09:16,470 --> 00:09:19,120 ผมจะให้ค่า f ของ x แก่คุณ 191 00:09:19,120 --> 00:09:23,040 และถ้านี่คือฟังก์ชันของ x, คุณให้ค่า x, มันจะ 192 00:09:23,040 --> 00:09:26,550 สร้าง f ของ x ออกมา 193 00:09:26,550 --> 00:09:29,680 มันสามารถให้ f ของ x สำหรับ x แต่ละตัวได้ค่าเดียว 194 00:09:29,680 --> 00:09:32,840 คุณไม่สามารถมีฟังก์ชันที่ให้ค่าสองค่า 195 00:09:32,840 --> 00:09:34,700 จาก x ตัวเดียวได้ 196 00:09:34,700 --> 00:09:37,540 คุณไม่สามารถมีฟังก์ชัน -- มันจะผิด 197 00:09:37,540 --> 00:09:42,790 นิยามฟังก์ชัน -- f ของ x เท่ากับ 3 ถ้า 198 00:09:42,790 --> 00:09:45,230 x เท่ากับ 0 199 00:09:45,230 --> 00:09:49,240 หรือมันอาจเท่ากับ 4 ถ้า x เท่ากับ 0 200 00:09:49,240 --> 00:09:53,170 เพราะในกรณีนี้, เราไม่รู้ว่า f ของ 0 คืออะไร 201 00:09:53,170 --> 00:09:54,090 มันจะเท่ากับอะไร? 202 00:09:54,090 --> 00:09:56,330 มันบอกว่า ถ้า x เท่ากับ 0ฅ มันควรเป็น 3 หรือมันควร-- 203 00:09:56,330 --> 00:09:57,310 เราไม่รู้ 204 00:09:57,310 --> 00:09:57,830 เราไม่รู้ 205 00:09:57,830 --> 00:09:58,190 เราไม่รู้ 206 00:09:58,190 --> 00:10:01,550 นี่ไม่ใช่ฟังก์ชันแม้ว่ามัน 207 00:10:01,550 --> 00:10:02,800 จะดูเหมือนฟังก์ชัน 208 00:10:02,800 --> 00:10:07,700 - 209 00:10:07,700 --> 00:10:12,250 คุณไม่สามารถมีค่า f ของ x ถึงสองค่าจากค่า x ค่าเดียว 210 00:10:12,250 --> 00:10:16,020 ลองดูว่ากราฟเหล่านี้อันไหนเป็นฟังก์ชัน 211 00:10:16,020 --> 00:10:18,390 เวลาหา, คุณก็บอกว่า, ดูที่ค่า x ใดๆ 212 00:10:18,390 --> 00:10:21,850 ตรงนี้ -- เลือกค่า x ขึ้นมา -- ฉันต้องได้ค่า f ของ x ค่าเดียว 213 00:10:21,850 --> 00:10:25,090 นี่คือ y เท่ากับ f ของ x ตรงนี้ 214 00:10:25,090 --> 00:10:28,950 ผมมีแค่ค่าเดียว -- ที่ x นั่น, 215 00:10:28,950 --> 00:10:30,550 นั่นคือค่า y ตรงนี้ 216 00:10:30,550 --> 00:10:32,970 หรือคุณอาจลากเส้นดิ่งทดสอบ, ซึ่งบอกว่า ณ 217 00:10:32,970 --> 00:10:35,720 จุดใดๆ ถ้าคุณลากเส้นดิ่ง -- สังเกตว่าเส้นดิ่ง 218 00:10:35,720 --> 00:10:37,570 คือค่า x ค่าหนึ่ง 219 00:10:37,570 --> 00:10:41,920 มันแสดงว่าผมมีค่า y ณ จุดนั้นเพียงค่าเดียว 220 00:10:41,920 --> 00:10:43,630 นี่เลยเป็นฟังก์ชันตามนิยาม 221 00:10:43,630 --> 00:10:46,240 เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณลากเส้นดิ่ง, มันจะตัด 222 00:10:46,240 --> 00:10:47,610 กราฟครั้งเดียวเสมอ 223 00:10:47,610 --> 00:10:50,410 นี่เลยเป็นฟังก์ชันจริง 224 00:10:50,410 --> 00:10:52,220 ทีนี้แล้วอันนี้ล่ะ? 225 00:10:52,220 --> 00:10:53,960 ผมสามารถลากเส้นดิ่ง, สมมติว่า, 226 00:10:53,960 --> 00:10:55,230 ที่จุดนั่นตรงนั้น 227 00:10:55,230 --> 00:10:58,650 สำหรับค่า x นั่น, ความสัมพันธ์นี้มี 228 00:10:58,650 --> 00:11:00,860 ค่า f ของ x เป็นไปได้สองค่า 229 00:11:00,860 --> 00:11:04,550 f ของ x อาจเป็นค่านั้น หรือ f ของ x อาจเป็นค่านั้น 230 00:11:04,550 --> 00:11:05,270 จริงไหม? 231 00:11:05,270 --> 00:11:07,520 มันตัดกราฟสองครั้ง 232 00:11:07,520 --> 00:11:08,840 นี่เลยไม่ใช่ฟังก์ชัน 233 00:11:08,840 --> 00:11:11,150 ผมทำสิ่งที่ผมบรรยายไว้ตรงนี้ 234 00:11:11,150 --> 00:11:15,090 สำหรับค่า x ค่าหนึ่ง, เรากำลังบอกว่ามีค่า y 235 00:11:15,090 --> 00:11:16,800 สองค่าที่เท่ากับ f ของ x ได้ 236 00:11:16,800 --> 00:11:19,220 นี่เลยไม่ใช่ฟังก์ชัน 237 00:11:19,220 --> 00:11:20,830 ตรงนี้, ก็เหมือนกัน 238 00:11:20,830 --> 00:11:22,310 คุณลากเส้นดิ่งตรงนี้ 239 00:11:22,310 --> 00:11:24,540 คุณตัดกราฟสองที 240 00:11:24,540 --> 00:11:26,000 นี่เลยไม่ใช่ฟังก์ชัน 241 00:11:26,000 --> 00:11:30,590 คุณกำนหดค่า y เป็นไปได้ถึงสองค่าสำหรับค่า x ค่าเดียว 242 00:11:30,590 --> 00:11:31,490 ลองทำฟังก์ชันนี้บ้าง 243 00:11:31,490 --> 00:11:33,160 มันเหมือนฟังก์ชันหน้าตาประหลาด 244 00:11:33,160 --> 00:11:34,750 ดูเหมือนเครื่องหมายถูกกลับหัว 245 00:11:34,750 --> 00:11:37,020 แต่ทุกครั้งที่คุณลากเส้นดิ่ง, คุณจะตัด 246 00:11:37,020 --> 00:11:38,720 แก้ครั้งเดียว 247 00:11:38,720 --> 00:11:40,420 มันเลยเป็นฟังก์ชัน 248 00:11:40,420 --> 00:11:43,470 ทุกๆ x, คุณมีค่า y จับคู่ได้ค่าเดียว 249 00:11:43,470 --> 00:11:46,450 หรือจับคู่ค่า f ของ x ได้ค่าเดียวเท่านั้น 250 00:11:46,450 --> 00:11:48,960 เอาล่ะ, หวังว่าคุณคงได้ประโยชน์บ้างนะ