สวัสดีครับ ทุกท่าน มันแปลก ๆ ดี เพราะว่าผมเขียนเอาไว้ว่า มนุษย์จะกลายเป็นแบบดิจิตัล แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ และมันจะมาเกิดขึ้นกับผม แต่นี่แหละครับ ผมในโลกเสมือน เอาล่ะครับทุกคน มาเริ่มกันเลยครับ มาเริ่มกันที่คำถามนะครับ มีผู้ชมท่านใดบ้างที่เป็นเผด็จการครับ (เสียงหัวเราะ) ครับ มันก็ยากนะครับที่จะตอบ เพราะว่าเราลืมกันไปแล้วว่าเผด็จการคืออะไร คนใช้คำว่า "เผด็จการ" ประหนึ่งคำครหาต่อสิ่งทั่วไป หรือไม่ก็ใช้มันสับสนปนเปกับคำว่าชาตินิยม ถ้าเช่นนั้น ลองมาใช้เวลาสองสามนาที เพื่อให้ความกระจ่างว่าเผด็จการคืออะไร และมันแตกต่างจากชาตินิยมอย่างไรนะครับ ชาตินิยมในระดับกลาง ๆ แสดงถึงความใจกว้างที่สุดอย่างหนึ่ง ของมนุษยชาติ ประเทศคือกลุ่มทางสังคม ของคนแปลกหน้าหลายล้าน ที่ไม่ได้รู้จักกันและกันจริง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ผมไม่รู้จักคนแปดล้านคน ที่เป็นประชากรอิสราเอลเช่นเดียวกับผม แต่เพราะด้วยชาตินิยมนี้เอง เราทุกคนต่างห่วงอาทรกันและกัน และร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพ มันดีมาก ๆ เลยครับ คนบางคนอย่าง จอห์น เลนนอน มีจินตนาการว่าโลกที่ปราศจากชาตินิยม จะเป็นแดนสวรรค์ที่สงบสุข แต่ที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่า เมื่อไร้ซึ่งชาตินิยม เราอาจดำรงชีวิตกัน แบบเผ่าแห่งความโกลาหล ถ้าคุณพิจารณาประเทศที่มั่งคั่ง และสงบสุขที่สุดในโลก อย่างเช่น สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น คุณจะเห็นว่าพวกเขา มีความเป็นชาตินิยมสูงมาก ในทางตรงข้าม ประเทศที่ ขาดความรู้สึกชาตินิยม อย่างเช่น คองโก โซมาลี อัฟกานิสถาน มีแนวโน้มที่จะรุนแรง และยากจน แล้วเผด็จการคืออะไร แล้วมันต่างจากชาตินิยมตรงไหน เอาล่ะครับ ชาตินิยมบอกผมว่า ประเทศของผมนั้นมีเอกลักษณ์ และผมก็มีภาระหน้าที่จำเพาะ ต่อประเทศของผม ในทางตรงข้าม เผด็จการบอกผมว่า ประเทศของผมนั้นยิ่งใหญ่ และผมก็มีภาระหน้าที่เฉพาะ เพียงเพื่อประเทศของผม ผมไม่ต้องใส่ใจใคร ๆ หรืออะไรอื่นนอกจากประเทศของผม แน่ล่ะ โดยทั่วไป ผู้คนมีอัตลักษณ์ และความภัคดีมากมายต่อกลุ่มที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ผมอาจเป็นผู้ที่รักชาติ ภัคดีต่อประเทศของผม และในเวลาเดียวกัน ผมก็ภัคดีต่อครอบครัวของผม เพื่อนบ้านของผม วิชาชีพของผม มนุษยชาติโดยรวม ความจริง และความงาม แน่ล่ะว่า เมื่อผมมีอัตลักษณ์ และความภัคดีที่หลากหลาย บางครั้งก็สร้างความขัดแย้ง และความซับซ้อนขึ้น แต่ว่า แล้วใครหรือที่บอกคุณ ว่าชีวิตเราจะเรียบง่าย ชีวิตคนเรานั้นซับซ้อน ยอมรับเสียเถอะครับ เผด็จการคือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อมนุษย์พยายามที่จะละเลยความซับซ้อน และทำให้ชีวิตง่ายเกินไปสำหรับตนเอง เผด็จการปฎิเสธอัตลักษณ์ทั้งหมด ยกเว้นอัตลักษณ์ของชาติ และเน้นย้ำว่า ผมมีภาระหน้าที่ เพียงเพื่อประเทศของผม ถ้าประเทศของผมต้องการ ให้ผมสละชีพเพื่อครอบครัว ผมก็ต้องทำเช่นนั้นเพื่อครอบครัวของผม ถ้าประเทศของผมต้องการ ให้ฆ่าคนเป็นล้าน ๆ ผมก็จะต้องฆ่าคนเป็นล้าน ๆ และถ้าประเทศของผมต้องการ ให้ผมทรยศต่อความจริงและความงาม ผมก็ควรที่จะทรยศต่อความตริงและความงาม ยกตัวอย่างเช่น เผด็จการ ประเมินค่าศิลปะอย่างไร เผด็จการตัดสินว่าภาพยนตร์ จะเป็นภาพยนตร์ที่ดีหรือแย่อย่างไร ครับ มันง่ายมาก ๆ เลยครับ พวกเขามีมาตรวัดเพียงชนิดเดียว ถ้าภาพยนตร์นั้น สนองต่อความสนใจของประเทศ มันคือภาพยนตร์ที่ดี ถ้าภาพยนตร์ไม่ได้สนองตอบ ต่อความสนใจของประเทศ ก็เป็นภาพยนตร์ไม่ดี แค่นั้นแหละครับ คล้ายกัน เผด็จการตัดสินอย่างไร ว่าเราจะสอนอะไรให้กับเด็ก ๆ ที่โรงเรียน เช่นกันครับ มันง่ายมากเลย พวกเขาใช้มาตรวัดเดียวเท่านั้น คุณสอนอะไรก็ตามที่สนองตอบ ต่อความสนใจของประเทศให้กับลูก ๆ ความจริงนั้นไม่ได้สลักสำคัญเลยแม้แต่น้อย เอาล่ะครับ ความสยดสยอง ของสงครามโลกครั้งที่สองและการสังหารหมู่ ย้ำเตือนเราถึงผลพวงอันโหดร้าย ของแนวคิดดังกล่าว แต่โดยทั่วไป เมื่อเราพูดถึง ความชั่วร้ายของเผด็จการ เราทำเช่นนั้นในแบบที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะว่าเรามักจะบรรยายว่าเผด็จการ เป็นอสุรกายที่แฝงกายอยู่ โดยปราศจากการอธิบายจริง ๆ ว่าทำไมมันถึงล่อตาล่อใจนัก มันคล้าย ๆ กับภาพยนตร์ฮอลลีวูด ที่บรรยายถึงคนร้าย -- อย่าง โวลเดอมอร์ หรือเซารอน หรือดาร์ธเวเดอร์ -- ว่าเป็นคนที่อัปลักษณ์ ใจร้าย และโหดเหี้ยม พวกเขาโหดเหี้ยมกับคนของตัวเองด้วยซ้ำ เวลาผมดูภาพยนตร์เหล่านี้ ผมไม่เคยเข้าใจเลย -- ใครจะไปหลงเชื่ออยากจะเป็นติดตาม คนน่ารังเกียจอย่างวโวลเดอมอร์ ปัญหาที่เกี่ยวกับปิศาจเหล่านี้ก็คือ ก็เพราะว่าในชีวิตจริง ปิศาจพวกนี้ไม่ได้น่าตาอัปลักษณ์ พวกมันดูงามยิ่งนัก นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่คริสต์ศาสนา รู้จักมันเป็นอย่างดี นั่นคือสาเหตุว่าทำไมศิลปะในศาสนาคริสต์ [ถึงแตกต่าง] เมื่อเทียบกับของฮอลิวู๊ด ซาตามมักจะถูกบรรยายว่า เป็นชายงามหล่อเหลา นั่นคือสาเหตุว่าทำไมมันถึงยากยิ่ง ที่จะยั้งใจจากการยั่วเย้าของซาตาน และทำไมมันถึงยากยิ่ง ที่จะยั้งใจจากการยั่วเย้าของเผด็จการ เผด็จการทำให้มนุษย์มองตนเอง ว่าอยู่ในสิ่งที่งามที่สุด และสำคัญที่สุดในโลก นั่นก็คือประเทศของเรา และจากนั้นคนก็จะคิดว่า "พวกเขาสอนเราว่า เผด็จการมันน่ารังเกียจ แต่พอฉันมองกระจก ฉันกลับเห็นบางสิ่งที่งามที่สุด มันคงไม่ใช่เผด็จการหรอกมั้ง" ผิดครับ นั่นแหละ ปัญหาของเผด็จการ เมื่อคุณมองกระจกแห่งเผด็จการ คุณเห็นตัวเองงามเสียยิ่งกว่าตัวจริงของคุณ ในช่วงยุค 1930 เมื่อชาวเยอรมัน มองกระจกเผด็จการ พวกเขาเห็นประเทศเยอรมันนี เป็นสิ่งที่งามที่สุดในโลก ถ้าตอนนี้ ชาวรัสเซียมองดูกระจกเผด็จการ พวกเขาก็จะเห็นว่ารัสเซียงามที่สุดในโลก และถ้าอิสราเอลมองกระจกเผด็จการ พวกเขาก็จะเห็นว่าอิสราเอล เป็นสิ่งที่งามที่สุดในโลก มันไม่ได้หมายความว่า ตอนนี้เราเผชิญหน้า กับสิ่งที่มาจากยุค 1930 เผด็จการและระบอบเผด็จการอาจกลับมา แต่มันจะกลับมาในรูปแบบใหม่ รูปแบบซึ่งมีความสอดคล้องมากกว่า กับโลกในศตวรรษที่ 21 แห่งเทคโนโลยีใหม่ แต่โบราณ ดินแดนเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม การเมืองก็ได้รับ ความยากลำบากในการควบคุมดินแดน และระบอบเผด็จการจงใจให้ดินแดนทั้งหมด ถูกครอบครองโดยผู้ปกครองเพียงคนเดียว หรือโดยกลุ่มคณาธิปไตยเล็ก ๆ และในยุคปัจจุบัน จักรกลได้เข้ามามีบทบาทเหนือดินแดน การเมืองก็ได้รับความยากลำบาก ในการควบคุมจักรกล และระบอบเผด็จการก็จงใจ ที่จะกำหนดให้จักรกลส่วนมาก ตกอยู่ในกำมือของรัฐบาล หรือในกลุ่มอภิชนกลุ่มเล็ก ๆ ตอนนี้ ข้อมูลเข้ามาแทนที่ ทั้งดินแดนและจักรกล และกลายมาเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด การเมืองก็เจออุปสรรค ในการควบคุมการถ่ายเทของข้อมูล และตอนนี้ ระบอบเผด็จการก็จงใจ ที่จะให้ข้อมูลส่วนใหญ่ ตกอยู่ในกำมือของรัฐบาล หรือในกลุ่มอภิชนกลุ่มเล็ก ๆ ภัยสูงสุดที่ประชาธิปไตยลัทธิเสรีนิยม กำลังเผชิญอยู่ ก็คือการปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ จะทำให้ระบอบเผด็จการมีประสิทธิภาพ และมีความสามารถในการควบคุมมากขึ้น ในศตวรรษที่ 20 ประชาธิปไตยและระบบทุนนิยม เอาชนะเผด็จการและคอมมิวนิสต์ได้ ก็เพราะว่าประชาธิปไตยทำได้ดีกว่า ในเรื่องการจัดการข้อมูลและการตัดสินใจ ด้วยเทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 20 มันไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ที่จะควบคุมข้อมูลมหาศาล และอำนาจที่มากมายไว้ในที่เดียว แต่มันก็ไม่ได้เป็นกฎตามธรรมชาติ ที่การจัดการข้อมูลที่ถูกรวมศูนย์ จะมีประสิทธิภาพน้อยกว่าเสมอไป เมื่อเทียบกับการกระจายการจัดการข้อมูล การผุดขึ้นของปัญญาประดิษฐ์ และการเรียนรู้ของจักรกล มันอาจช่วยให้การจัดการข้อมูล ที่มีปริมาณมากมายมหาศาลนี้ มีประสิทธิภาพสูงมากในที่เดียว เพื่อทำการตัดสินใจทั้งหมดในที่ที่เดียว และจากนั้นการจัดการข้อมูลที่ถูกรวมศูนย์ ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเทียบกับ การจัดการข้อมูลที่ถูกกระจายออกไป และแล้ว จุดบกพร่องหลัก ของผู้ใช้อำนาจปกครองแบบเผด็จการ ในศตวรรษที่ 20 -- ความพยายามของพวกเขา ที่จะควบคุมข้อมูลไว้ในที่เดียว -- มันได้กลายเป็นจุดแข็งที่สุดของพวกเขา ภัยทางเทคโนโลยีอื่น ที่กำลังสั่นคลอนอนาคตของประชาธิปไตย ก็คือการผสมผสานเทคโนโลยีสารสนเทศ กับเทคโนโลยีทางชีวภาพ ซึ่งอาจส่งผลลัพธ์ เป็นการสร้างอัลกอริธึม ที่รู้จักตัวตนของผมดีกว่าตัวผมเอง และเมื่อคุณได้อัลกอริธึมดังกล่าวมาแล้ว ระบบภายนอก อย่างเช่น รัฐบาล ไม่สามารถที่จะคาดการณ์การตัดสินใจของผมได้ มันยังสามารถกำกับความรู้สึก และอารมณ์ของผมได้ด้วย ผู้นำเผด็จการอาจไม่สามารถ จัดการสาธารณะสุขที่ดีให้กับผมได้ แต่เขาจะสามารถทำให้ผมรักเขาได้ และทำให้ผมชังฝ่ายตรงข้ามได้ ประชาธิปไตยจะต้องดิ้นรนเอาตัวรอด จากการพัฒนานั้นอย่างยากลำบาก เพราะสุดท้ายแล้ว ประชาธิปไตยไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ความมีเหตุผลของมนุษย์ มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของมนุษย์ ระหว่างการเลือกตั้งและการรณรงค์หาเสียง คุณจะไม่ถูกถามว่า "คุณคิดอย่างไร" แต่จะถูกถามว่า "รู้สึกอย่างไร" และถ้าใครบางคนสามารถกำกับ อารมณ์องคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาธิปไตยก็จะกลายเป็น การแสดงหุ่นเชิดทางอารมณ์ แล้วเราจะทำอย่างไร เพื่อที่จะป้องกันการกลับมาของเผด็จการ และการผุดขึ้นของระบอบเผด็จการใหม่ คำถามแรกเลยที่เรากำลังเผชิญก็คือ ใครล่ะที่ควบคุมข้อมูล ถ้าคุณเป็นวิศวกร ก็จงหาวิธีป้องกัน ไม่ให้ข้อมูลที่มากเกินไป ตกอยู่ในกำมือของคนไม่กี่คน และหาทางที่จะทำให้เรามั่นใจว่า อย่างน้อยการจัดการข้อมูลที่กระจายออกไป มีประสิทธิภาพทัดเทียม กับการจัดการข้อมูลที่ถูกรวมศูนย์ นี่จะเป็นการป้องกันประชาธิปไตย ได้อย่างดีที่สุด แล้วพวกเราคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นวิศวกรล่ะ คำถามแรกที่กำลังเผชิญหน้าเราก็คือ ทำอย่างไรเราจึงจะไม่ถูกกำกับ โดยผู้ที่ควบคุมข้อมูล ศัตรูแห่งประชาธิปไตยลัทธิเสรีนิยม มีวิธีการของพวกเขา ล้วงเอาความรู้สึกของพวกเรา ไม่ใช่อีเมล ไม่ใช่บัญชีธนาคาร -- พวกเขาล้วงเอาความรู้สึกกลัว เกลียดและโอหังของเรา และจากนั้นใช้ความรู้สึกเหล่านี้ เพื่อทำให้เกิดขั้วฝ่ายและเกิดการทำลายล้าง ประชาธิปไตยจากภายใน อันที่จริงแล้ว นี่คือวิธีการ ที่ซิลิคอน แวลลีย์ เป็นผู้บุกเบิก เพื่อที่จะขายสินค้าให้เรา แต่ตอนนี้ ศัตรูแห่งประชาธิปไตย กำลังใช้วิธีการเดียวกันนี้ ในการขายความกลัว เกลียดและโอหังให้กับเรา พวกเขาไม่สามารถสร้างความรู้สึกเหล่านี้ ได้จากอากาศธาตุ พวกเขาศึกษา จุดอ่อนที่มีอยู่แล้วของพวกเรา และจากนั้นก็ใช้มันโจมตีพวกเรา ดังนั้น หน้าที่ความรับผิดชอบ ของพวกเราทุกคน ก็คือ การรู้จักเข้าใจจุดอ่อนของพวกเรา และเราจะต้องมั่นใจว่า มันจะไม่กลายมาเป็นอาวุธ ในมือของศัตรูแห่งประชาธิปไตย การรู้จักเข้าใจจุดอ่อนของพวกเราเอง จะยังช่วยให้เราหลีกเลี่ยงกับดัก ของกระจกเผด็จการ ดังที่เราได้อธิบายไปก่อนหน้านี้แล้ว เผด็จการหาประโยชน์จากความโอหังของเรา มันทำให้เรามองเห็นตัวของเรา งามยิ่งว่าที่เราเป็นอยู่อย่างแท้จริง นี่คือการทำให้ลุ่มหลง แต่ถ้าคุณรู้จักตนเองดีแล้ว คุณจะไม่หลงไปกับสิ่งสรรเสริญเกินจริงนี้ ถ้าใครบางคนเอากระจกมาตั้งไว้ตรงหน้าคุณ ซ่อนทุกมุมแห่งความอัปลักษณ์ของคุณ และทำให้คุณมองเห็นตัวเอง งามกว่าและดูมีค่าความสำคัญ มากกว่าตัวตนของคุณจริง ๆ แล้วล่ะก็ จงทุบกระจกนั้นซะ ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ) คริส แอนเดอร์สัน: ยูวาล ขอบคุณครับ พระเจ้าช่วย มันยอดจริง ๆ ครับที่ได้เจอคุณอีกครั้ง แล้ว ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณกำลังเตือนพวกเรา ถึงภัยสองประการในที่นี้ ประการแรกก็คือความเป็นไปได้ ที่เผด็จการในรูปแบบที่น่าเย้ายวนจะผุดขึ้น แต่ที่ใกล้เคียงกับสิ่งนั้น ระบอบเผด็จการ ที่อาจไม่ได้เป็นเผด็จการเสียทีเดียว แต่ควบคุมข้อมูลทุกอย่าง ผมสงสัยว่า จะมีอะไร ที่เราต้องตระหนักอีกไหม ที่บางคนในที่นี้ ได้แสดงความเห็นกันแล้ว ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับรัฐบาล แต่เป็นบริษัทใหญ่ที่ควบคุมข้อมูลทั้งหมด คุณจะเรียกมันว่าอะไรครับ และเราควรจะต้องเป็นกังวลกับมันแค่ไหน ยูวาล โนอาห์ ฮาราริ: ท้ายที่สุดนะครับ มันไม่ได้ต่างกันมากหรอก ระหว่างบริษัทกับรัฐบาล เพราะอย่างที่ผมบอก คำถามของเราคือ ใครกันล่ะที่ควบคุมข้อมูล นั่นแหละ รัฐบาลที่แท้จริง ถ้าคุณเรียกมันว่าบริษัทหรือรัฐบาล -- ถ้ามันเป็นบริษัท และมันควบคุมข้อมูลจริง ๆ นั่นแหละครับ รัฐบาลตัวจริงของเรา ความแตกต่าง เป็นเรื่องของภาพลักษณ์มากกว่าความจริง คริส: แต่อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยถ้ามันเป็นบริษัท ก็คงจะมีกลไกการตลาดสักอย่าง ที่จะทลายมันลงมาได้ ผมหมายถึง ถ้าเพียงแค่ผู้บริโภคตัดสินใจ ว่าบริษัทนี้ไม่ได้อยู่ในความสนใจ ของพวกเขาต่อไปอีกแล้ว มันก็จะเปิดประตูให้กับอีกตลาดหนึ่ง มันง่ายที่เราจะคิดไปในแนวทางนั้น มากกว่าที่จะจินตนาการว่า เกิดการลุกฮือของประชาชนโค่นล้มรัฐบาล ที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ยูวาล:ครับ เรายังไปไม่ถึงจุดนั้น แต่ก็อีกล่ะครับ ถ้าบริษัทรู้จักคุณดี มากกว่าที่คุณรู้จักตัวเองจริง ๆ -- อย่างน้อย มันก็สามารถกำกับอารมณ์ ในส่วนที่ลึกที่สุดและความปรารถนาของคุณได้ และคุณก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ คุณจะคิดว่านี่เป็นตัวตนของคุณเอง ฉะนั้น ในทางทฤษฎีนี้ ครับ ทางทฤษฎี คุณสามารถลุกขึ้นสู้กับบริษัทได้ เช่นเดียวกับที่ทางทฤษฎี คุณก็สามารถลุกขึ้นสู้กับระบอบเผด็จการได้ แต่ในความเป็นจริง มันยากเป็นอย่างยิ่งครับ คริส: แล้วใน "โฮโม ดีอัส" คุณอ้างว่า นี่จะเป็นศตวรรษ ที่มนุษย์จะกลายเป็นพระเจ้า ไม่ว่าจะจากการพัฒนาของปัญญาประดิษฐ์ หรือด้วยพันธุวิศวกรรม แนวคิดเกี่ยวกับระบอบการเมือง ที่เปลี่ยนไปและลมสลายนี้ มีผลต่อมุมมองของคุณ ในเรื่องความเป็นไปได้อย่างไรครับ ยูวาล: ผมคิดว่าจะทำให้มันเป็นไปได้มากขึ้น และจะทำให้มันก็จะเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น เพราะว่าในช่วงเวลาแห่งวิกฤติ มนุษย์จะยอมเสี่ยง ในเรื่องที่ตามปกติแล้วพวกเขาจะไม่ทำ และมนุษย์จะยอม ใช้เทคโนโลยีที่ให้ผลลัพธ์สูง ที่มีความเสี่ยงมากทุกอย่าง วิกฤติการณ์เหล่านี้อาจทำหน้าทีเดียวกัน กับสงครามโลกทั้งสองครั้งในศตวรรษที่ 20 สงครามโลกทั้งสองครั้ง ได้เร่งการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใหม่ และอันตรายอย่างรวดเร็ว และสิ่งเดียวกันนี้ก็อาจเกิดขึ้น ในศตวรรษที่ 21 ผมหมายความว่า คุณต้องบ้าหน่อย ๆ ใช้เทคโนโลยีบางอย่างก่อนเวลาอันควร เช่น พันธุวิศวกรรม แต่ตอนนี้คุณมีคนบ้า ๆ มากขึ้น แล้วพวกเขาก็มีอำนาจ อยู่ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ฉะนั้น ความเป็นไปได้จึงกำลังจะมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลอง คริส: ถ้าอย่างนั้น ยูวาล สรุปว่า ด้วยวิสัยทัศน์ที่เด่นชัดของคุณนี้ ถ้าลองหมุนเวลาไปอีก 30 ปีข้างหน้า คุณเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้น -- มนุษยชาติตะเกียกตะกายผ่านมันไปได้ แล้วหันกลับมาพูดว่า "ว้าว เกือบไปแล้วเชียว รอดแล้วเรา" หรือว่าไม่ใช่แบบนั้นครับ ยูวาล: ถึงตอนนี้ เราได้เอาชนะวิกฤตการณ์ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะถ้าคุณพิจารณา เรื่องประชาธิปไตยลัทธิเสรีนิยม และถ้าคุณคิดว่าตอนนี้มันแย่มาก ลองตรองดูว่ามันแย่กว่านี้มากแค่ไหน เมื่อย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1938 หรือ 1968 นี่มันเทียบกับไม่ได้เลย เป็นแค่วิกฤติการณ์เล็ก ๆ เท่านั้นเอง แต่เราก็แน่ใจไม่ได้หรอก เพราะว่า ในฐานะที่ผมเป็นนักประวัติศาสตร์ ผมรู้ว่าคุณไม่ควรที่จะดูถูก ระดับความโง่ของมนุษย์ (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) มันเป็นหนึ่งในอำนาจอันทรงพลัง ที่ก่อร่างสร้างประวัติศาสตร์ของเรา คริส: ยูวาล ช่างน่ายินดีเหลือเกิน ที่คุณมาอยู่กับเราในวันนี้ ขอบคุณมากครับ ที่มาในรูปแบบภาพและเสียง สวัสดียามเย็นนะครับ สำหรับกรุงเทลอาวีฟ ยูวาล ฮาราริ ครับทุกท่าน ยูวาล: ขอบคุณมากครับ (เสียงปรบมือ)