WEBVTT 00:00:00.461 --> 00:00:01.988 ตัวตนที่แท้จริง มีจริงหรือเปล่า? 00:00:01.988 --> 00:00:04.338 มันอาจจะเป็นคำถามที่ฟังดูแปลกๆ 00:00:04.338 --> 00:00:06.897 เพราะ คุณอาจจะเคยถามว่า 00:00:06.897 --> 00:00:09.225 เราจะหาตัวตนของเราได้อย่างไร 00:00:09.225 --> 00:00:11.259 จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวตนของเราคืออะไร 00:00:11.259 --> 00:00:12.223 เป็นต้น NOTE Paragraph 00:00:12.223 --> 00:00:15.591 ความคิดว่าตัวตนที่แท้มีจริง 00:00:15.591 --> 00:00:16.634 ดูชัดเจน 00:00:16.634 --> 00:00:19.895 ถ้าจะมีอะไรที่แท้ในโลกนี้ มันก็คือตัวคุณนั่นแหล่ะ 00:00:19.895 --> 00:00:21.840 ผมไม่ค่อยแน่ใจนัก 00:00:21.840 --> 00:00:24.457 อย่างน้อย เราเข้าใจมันมากขึ้นหน่อย 00:00:24.457 --> 00:00:28.291 แน่นอนว่า สิ่งต่างๆ รอบตัวเรา 00:00:28.291 --> 00:00:30.498 หล่อหลอมความคิดให้เราเชื่อมั่น 00:00:30.498 --> 00:00:34.249 ว่าแต่ละคนมีแก่นความเชื่อ 00:00:34.249 --> 00:00:37.683 มีบางอย่างที่บอกตัวตน ให้คำจำกัดความ ความเป็นตัวเรา 00:00:37.683 --> 00:00:40.003 เหมือนจะดูแน่แท้ และไม่เปลี่ยนแปลง 00:00:40.003 --> 00:00:41.813 ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น 00:00:41.813 --> 00:00:43.107 ดวงชะตาราศี 00:00:43.107 --> 00:00:46.147 คนทั่วไปยึดถือกับเรื่องนี้มากๆ 00:00:46.147 --> 00:00:48.111 บางคนก็ใส่ราศีเกิดไว้ในเฟซบุ๊ก 00:00:48.111 --> 00:00:49.594 ราวกับมันมีความหมาย 00:00:49.594 --> 00:00:52.271 เรารู้กระทั่งปีนักษัตรจีน 00:00:52.271 --> 00:00:54.724 แล้วยังมีการทำนายแบบวิทยาศาสตร์ 00:00:54.724 --> 00:00:57.781 หลายหลากวิธี เช่นการประเมินบุคลิกตัวตน 00:00:57.781 --> 00:01:00.454 เช่น การทดสอบของไมเออร์ส-บริกส์ 00:01:00.454 --> 00:01:01.835 ผมไม่รู้ว่าคุณเคยลองทดสอบไหม 00:01:01.835 --> 00:01:03.739 บริษัทมากมายใช้แบบทดสอบนี้ในการรับสมัครงาน 00:01:03.739 --> 00:01:07.036 ด้วยการตอบคำถามมากมาย 00:01:07.036 --> 00:01:10.792 ซึ่งมันจะบ่งบอกบุคลิกนิสัยตัวตนของคุณ 00:01:10.792 --> 00:01:14.093 แน่นอน มันเป็นที่นิยมมาก 00:01:14.093 --> 00:01:15.761 ตามนิตยสาร จะเห็นได้ว่า 00:01:15.761 --> 00:01:19.223 ตรงมุมซ้ายของเล่ม จะมีโฆษณาไว้เกือบทุกเล่ม 00:01:19.223 --> 00:01:21.333 การทำนายบุคลิกนิสัย 00:01:21.333 --> 00:01:23.113 แล้วเราก็ชอบหยิบมันขึ้นมา 00:01:23.113 --> 00:01:24.361 มันยากจะห้ามใจ 00:01:24.361 --> 00:01:27.226 ที่จะลองทำแบบทดสอบเพื่อประเมินว่า เรามีสไตล์การเรียนแบบไหน 00:01:27.226 --> 00:01:30.354 ลักษณะความรัก หรือ สไตล์การทำงานเป็นอย่างไร? 00:01:30.354 --> 00:01:32.954 คุณเป็นคนลักษณะแบบไหน NOTE Paragraph 00:01:32.954 --> 00:01:36.987 ผมว่า เราต่างมีความเข้าใจโดยสามัญสำนึกว่า 00:01:36.987 --> 00:01:39.634 มันเป็นสิ่งที่บอกแก่นแท้ตัวตน 00:01:39.634 --> 00:01:41.168 ที่เราค้นหา 00:01:41.168 --> 00:01:44.424 และความจริงแท้เกี่ยวกับตัวเรานี้ 00:01:44.424 --> 00:01:46.864 จะเป็นเช่นนี้ไป ไม่เปลี่ยนตลอดชีวิต 00:01:46.864 --> 00:01:50.615 และนี่เป็นสิ่งที่ผมไม่เชื่อนัก 00:01:50.615 --> 00:01:52.457 แต่ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่า 00:01:52.457 --> 00:01:55.285 ผมไม่เชื่อแนวคิดนี้ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนแปลก 00:01:55.285 --> 00:01:59.082 แต่มันมีเรื่องราวที่ยาวนาน 00:01:59.082 --> 00:02:01.251 นี่คือแนวคิดแบบพื้นๆ 00:02:01.251 --> 00:02:02.287 คุณมีตัวตนของคุณ 00:02:02.287 --> 00:02:05.595 มีความเป็นปัจเจกบุคคล 00:02:05.595 --> 00:02:10.227 ในชีวิตของคุณ สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณก็คือ 00:02:10.227 --> 00:02:12.446 คุณสะสมประสบการณ์ต่าง ๆ 00:02:12.446 --> 00:02:14.716 มีความทรงจำ 00:02:14.716 --> 00:02:16.966 และความทรงจำก็ช่วยสร้างความเป็นคุณ 00:02:16.966 --> 00:02:19.623 สมมติ คุณอยากทานคุ้กกี้ 00:02:19.623 --> 00:02:22.418 หรือจะเป็นสิ่งอื่นที่เราไม่อยากพูดถึงก็ตาม 00:02:22.418 --> 00:02:24.293 ตอน 11 โมงเช้า ที่โรงเรียน 00:02:24.293 --> 00:02:26.274 คุณจะมีความเชื่อ 00:02:26.274 --> 00:02:28.187 นี่คือหมายเลขทะเบียน จากคนในอเมริกา 00:02:28.187 --> 00:02:30.959 ผมไม่ทราบว่าหมายเลขทะเบียน ที่เขียนว่า "messiah 1" 00:02:30.959 --> 00:02:33.251 เป็นการบอกได้ว่าคนขับศรัทธาในพระเมสสิยาห์ 00:02:33.251 --> 00:02:35.445 หรือว่าคนขับคือพระเมสสิยาห์ 00:02:35.445 --> 00:02:38.158 ทั้งสองแบบ ก็คือเชื่อว่ามีพระเมสสิยาห์จริง ๆ 00:02:38.158 --> 00:02:39.620 เรามีความรู้ 00:02:39.620 --> 00:02:41.878 เรามีความรู้สึกและประสบการณ์ 00:02:41.878 --> 00:02:44.395 ไม่ใช่เพียงแค่ความฉลาดทางปัญญา 00:02:44.395 --> 00:02:46.998 ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นที่มาของสามัญสำนึก 00:02:46.998 --> 00:02:48.150 ของบุคคลนั้น 00:02:48.150 --> 00:02:54.441 คนที่เข้ามาในชีวิตเราก็มาเป็น ส่วนหนึ่งในประสบการณ์ของเรา NOTE Paragraph 00:02:54.441 --> 00:02:56.960 ผมอยากจะบอกว่า 00:02:56.960 --> 00:03:00.395 มันมีความผิดพลาดที่กับความคิดเช่นนี้ 00:03:00.395 --> 00:03:02.853 และผมจะแสดงให้เห็นด้วยสไลด์แผ่นเดียว 00:03:02.853 --> 00:03:09.708 มันไม่ใช่ตัวตนของคุณเป็นศูนย์กลาง ประสบการณ์ทั้งหลายเหล่านี้หรอก 00:03:09.708 --> 00:03:11.321 ผมคิดแปลกใช่ไหม 00:03:11.321 --> 00:03:13.079 ถ้าไม่ใช่แล้วอะไรล่ะ 00:03:13.079 --> 00:03:16.348 ความทรงจำ ความต้องการ เจตนา การรับรู้ต่างๆ 00:03:16.348 --> 00:03:18.291 เป็นต้น 00:03:18.291 --> 00:03:20.549 สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ เพราะมีสิ่งเหล่านี้ 00:03:20.549 --> 00:03:22.618 เป็นองค์ประกอบรวมกันขึ้น 00:03:22.618 --> 00:03:26.407 มันหล่อรวมกันในหลายรูปแบบ 00:03:26.407 --> 00:03:28.997 มันรวมกันเป็นบางส่วน หรือว่า เกือบทุกส่วน 00:03:28.997 --> 00:03:32.324 เพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย และสมอง 00:03:32.324 --> 00:03:35.387 แต่ยังมีการเล่าเรื่อง เรื่องราวที่เราบอกเกี่ยวกับตัวเอง NOTE Paragraph 00:03:35.387 --> 00:03:38.282 บอกเล่าประสบการณ์ เวลาเรานึกถึงอดีต 00:03:38.282 --> 00:03:40.514 เราทำสิ่งนี้เพราะสิ่งนั้น 00:03:40.514 --> 00:03:44.126 ดังนั้นสิ่งที่เราโหยหา ส่วนหนึ่งก็มาจากสิ่งที่เราเชื่อถือ ศรัทธา 00:03:44.126 --> 00:03:47.692 และสิ่งที่เราจำได้ ก็บอกเราว่าเรารู้ 00:03:47.692 --> 00:03:50.354 มันมีหลายสิ่งหลายอย่าง 00:03:50.354 --> 00:03:53.393 เช่น ความเชื่อ ความต้องการ การรับรู้ความรู้สึก ประสบการณ์ 00:03:53.393 --> 00:03:55.823 มันเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน 00:03:55.823 --> 00:03:59.371 และมันก็คือคุณ 00:03:59.371 --> 00:04:04.208 มองในมุมหนึ่ง มันก็เป็นแตกต่างจาก แนวคิดแบบพื้นๆ เล็กน้อย 00:04:04.208 --> 00:04:06.462 ในอีกมุม มันก็ต่างกันมากมาย NOTE Paragraph 00:04:06.462 --> 00:04:08.638 การสลับสับเปลี่ยนระหว่างความคิดของตัวเอง 00:04:08.638 --> 00:04:12.034 ว่ามันคือ ประสบการณ์ชีวิตทั้งหมด 00:04:12.034 --> 00:04:14.977 หรือเป็นแค่การรวบรวม 00:04:14.977 --> 00:04:16.999 เอาทุกๆ ประสบการณ์ไว้ด้วยกัน 00:04:16.999 --> 00:04:19.847 คุณก็เป็นผลรวมจากทุกๆ ส่วน 00:04:19.847 --> 00:04:21.969 ทุกส่วนเหล่านั้นก็เป็นส่วนทางกายภาพ 00:04:21.969 --> 00:04:23.871 สมอง ร่างกาย ขา แขน 00:04:23.871 --> 00:04:26.174 แต่มันไม่ได้สำคัญอะไรหรอก 00:04:26.174 --> 00:04:28.847 ต่อให้คุณผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ คุณก็ยังเป็นคนเดิม 00:04:28.847 --> 00:04:31.227 แต่ถ้าคุณผ่าตัดเปลี่ยนความทรงจำ คุณจะยังเป็นคนเดิมอยู่ไหม 00:04:31.227 --> 00:04:34.602 ถ้าคุณผ่าตัดเปลี่ยนความเชื่อ คุณจะเป็นคนเดิมอยู่ไหม 00:04:34.602 --> 00:04:39.501 มันเป็นวิธีที่เราเข้าใจว่าอะไรคือตัวเราเอง 00:04:39.501 --> 00:04:43.962 ไม่ใช่กายภาพที่ถาวรที่มีประสบการณ์ 00:04:43.962 --> 00:04:46.360 แต่เป็นการสะสมประสบการณ์ต่างๆ ทั้งหมด 00:04:46.360 --> 00:04:48.971 อาจจะฟังดูแปลกนะ NOTE Paragraph 00:04:48.971 --> 00:04:51.055 แต่ผมว่ามันไม่แปลก 00:04:51.055 --> 00:04:52.914 ฟังดูธรรมดาเข้าใจได้นะ 00:04:52.914 --> 00:04:57.215 เพราะผมเพียงอยากให้คุณ คิดโดยการเปรียบเทียบ 00:04:57.215 --> 00:05:00.172 คิดถึงสิ่งไหนก็ได้ในจักรวาล 00:05:00.172 --> 00:05:02.922 เว้นจากแรงโน้มถ่วงหรือพลังงานพื้นฐาน ก่อนนะ 00:05:02.922 --> 00:05:05.657 ลองคิดถึงน้ำดูสิ 00:05:05.657 --> 00:05:08.198 ผมไม่เก่งวิทยาศาสตร์หรอก 00:05:08.198 --> 00:05:11.213 เราอาจจะบอกได้ว่าน้ำมีไฮโดรเจนสองส่วน 00:05:11.213 --> 00:05:13.099 และออกซิเจนหนึ่งส่วน 00:05:13.099 --> 00:05:14.747 ใครๆ ก็คงรู้จักดี 00:05:14.747 --> 00:05:18.212 ผมหวังว่าคงไม่มีใครในห้องนี้ เวลานึกถึงน้ำแล้ว 00:05:18.212 --> 00:05:22.414 มองเห็นว่าน้ำ 00:05:22.414 --> 00:05:25.051 เป็นอะตอมของไฮโดรเจน และ ออกซิเจน 00:05:25.051 --> 00:05:26.244 ซึ่งมันก็เป็นส่วนประกอบของน้ำ 00:05:26.244 --> 00:05:27.099 แน่นอน ไม่มีใครคิด 00:05:27.099 --> 00:05:30.351 เราก็รู้และเข้าใจว่า 00:05:30.351 --> 00:05:32.083 น้ำก็มาจาก 00:05:32.083 --> 00:05:37.117 การรวมตัวของไฮโดรเจนและออกซิเจน 00:05:37.117 --> 00:05:39.030 ทุกๆ สิ่งในจักรวาลก็เหมือนกัน 00:05:39.030 --> 00:05:43.199 ลองดูตัวอย่างเช่น นาฬิการผมก็ได้ 00:05:43.199 --> 00:05:46.562 มันมีหน้าปัด มีเข็มนาฬิกา 00:05:46.562 --> 00:05:48.362 มีกลไก และ แบตเตอรี 00:05:48.362 --> 00:05:49.523 แต่ชิ้นส่วนเหล่านี้ 00:05:49.523 --> 00:05:51.128 เราไม่คิดว่า สิ่งนี้เรียกว่านาฬิกา 00:05:51.128 --> 00:05:53.861 จากการเอาส่วนประกอบเหล่านี้มารวมกัน 00:05:53.861 --> 00:05:56.897 แต่เรารู้ชัดว่าถ้าเราเอา ส่วนประกอบของนาฬิกา 00:05:56.897 --> 00:05:58.994 มารวมกัน เราก็ประกอบเป็นนาฬิกาได้ 00:05:58.994 --> 00:06:01.638 ทุกสิ่งในจักรวาล ก็เป็นเช่นนี้ 00:06:01.638 --> 00:06:03.944 เราก็ไม่ต่างกันหรอก NOTE Paragraph 00:06:03.944 --> 00:06:05.508 ทำไมถึงมองว่า 00:06:05.508 --> 00:06:09.460 เราไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดจากการรวมตัวของส่วนต่าง ๆ 00:06:09.460 --> 00:06:14.328 แต่เป็นสิ่งถาวร ที่ประกอบไปด้วยส่วนๆ ต่างๆ 00:06:14.328 --> 00:06:17.438 ความคิดนี้ไม่ใช่ของใหม่หรอก 00:06:17.438 --> 00:06:19.113 มันสืบทอดมายาวนาน 00:06:19.113 --> 00:06:20.463 คุณพบความคิดนี้ในศาสนาพุทธ 00:06:20.463 --> 00:06:23.009 พบในปรัชญาศตวรรษที่ 17 และ 18 00:06:23.009 --> 00:06:26.604 ในปัจจุบัน คนชอบคิด แบบล็อค และ ฮูม (Locke and Hume) 00:06:26.604 --> 00:06:28.687 แต่ก็น่าสนใจว่า ยังมีความคิดหนึ่ง 00:06:28.687 --> 00:06:32.731 ที่ได้รับการยืนยันจากวิชาประสาทวิทยา 00:06:32.731 --> 00:06:36.375 อย่าง พอล บร็อคส์ (Paul Broks) เขาเป็นนักจิตวิทยาคลินิกด้านประสาท 00:06:36.375 --> 00:06:37.574 เขากล่าวว่า 00:06:37.574 --> 00:06:39.956 "เรามีสัญชาตญาณอยู่ลึก ๆ ว่ามี เรามีตัวตน, 00:06:39.956 --> 00:06:42.505 มี แก่นสารสำคัญ และยากที่จะแปรเปลี่ยน" 00:06:42.505 --> 00:06:45.516 ผมคิดว่า อาจจะขจัดออกไปไม่ได้ด้วย 00:06:45.516 --> 00:06:49.443 แต่ความรู้ทางประสาทวิทยา ได้ชี้ให้เห็นว่าไม่มีศูนย์สั่งการของสมอง 00:06:49.443 --> 00:06:51.733 ที่เชื่อมโยงมันเข้าด้วยกัน 00:06:51.733 --> 00:06:54.203 ถ้าคุณสำรวจสมองดู 00:06:54.203 --> 00:06:58.220 ว่าสมองรับรู้เกี่ยวกับ ตัวตนของตัวเองอย่างไร 00:06:58.220 --> 00:07:02.004 คุณจะพบว่ามันไม่มี ส่วนใดส่วนหนึ่งในสมอง 00:07:02.004 --> 00:07:05.303 ไม่มีศูนย์กลางการสั่งงาน 00:07:05.303 --> 00:07:07.888 มันเป็นกระบวนการต่าง ๆ มากมายในสมองเรา 00:07:07.888 --> 00:07:10.987 ที่ทำงานของแต่ละส่วน ๆ ไปอย่างอิสระ 00:07:10.987 --> 00:07:14.097 แต่เพราะมันเชื่อมโยงกัน 00:07:14.097 --> 00:07:16.958 เราถึงรับรู้เกี่ยวกับตัวตนตัวเอง 00:07:16.958 --> 00:07:20.447 ผมใช้ศัพท์ว่ากลอุบายของอีโก้ (Ego trick) 00:07:20.447 --> 00:07:25.106 เช่นเดียวกับกลไกของจักรกล 00:07:25.106 --> 00:07:27.586 มันไม่ใช่ว่าเราไม่มีอยู่ 00:07:27.586 --> 00:07:30.870 มันเป็นเพียงกลลวง ที่ทำให้เรารู้สึกถึงข้างในตัวเองว่า 00:07:30.870 --> 00:07:34.356 มันอะไรบางอย่างที่ทำงานประสานกัน NOTE Paragraph 00:07:34.356 --> 00:07:37.493 คุณอาจจะคิดว่า ความคิดนี้ไม่ถูกต้อง 00:07:37.493 --> 00:07:39.825 หรือคุณคิดว่าถ้ามันถูก 00:07:39.825 --> 00:07:43.576 ว่าแต่ละคนมีตัวตน 00:07:43.576 --> 00:07:45.561 เป็นสิ่งไม่เที่ยง 00:07:45.561 --> 00:07:49.493 หรือมันหมายความว่าตัวตน เป็นเพียงภาพมายา 00:07:49.493 --> 00:07:51.807 มันหมายถึงเราไม่มีอยู่จริงเช่นนั้นหรือ 00:07:51.807 --> 00:07:53.615 ไม่มีตัวตนที่แท้จริง 00:07:53.615 --> 00:07:56.696 หลายคนก็พูดถึงมันว่าเป็นเพียงภาพมายา 00:07:56.696 --> 00:08:00.674 นักจิตวิทยาสามท่าน โทมัส เมทซิงเกอร์, บรูซ ฮูด 00:08:00.674 --> 00:08:02.978 ซูซาน แบล็คมอร์ 00:08:02.978 --> 00:08:05.963 ต่างกล่าวถึงภาษามายา 00:08:05.963 --> 00:08:08.029 ตัวตนเป็นภาพลวงตา มันเรื่องไม่มีอยู่จริง 00:08:08.029 --> 00:08:11.075 แต่ผมว่ามันเปล่าประโยชน์ ที่จะคิดแบบนี้ 00:08:11.075 --> 00:08:11.852 กลับมาที่นาฬิกา 00:08:11.852 --> 00:08:15.904 นาฬิกาไม่ใช่ภาพลวงตา 00:08:15.904 --> 00:08:18.152 แต่เป็นการรวมตัวของส่วนต่างๆ 00:08:18.152 --> 00:08:20.109 เช่นกัน เราก็ไม่ใช่ภาพมายา 00:08:20.109 --> 00:08:25.552 จริงๆแล้ว เราคือการรวมกัน ของส่วนประกอบอันซับซ้อน 00:08:25.552 --> 00:08:27.137 จากส่วนต่างๆ รวมกัน 00:08:27.137 --> 00:08:29.012 ไม่ได้แปลว่าเราไม่มีอยู่จริง 00:08:29.012 --> 00:08:31.911 ผมขอเปรียบเปรยอย่างนี้ 00:08:31.911 --> 00:08:34.516 ลองคิดถึงน้ำตก 00:08:34.516 --> 00:08:38.123 ในอาร์เจนตินา มีน้ำตก อิกัวซู (Iguazu) 00:08:38.123 --> 00:08:40.625 ตัวอย่างเช่นนี้ 00:08:40.625 --> 00:08:43.919 สามารถบอกได้หลายอย่าง 00:08:43.919 --> 00:08:46.029 ว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้ 00:08:46.029 --> 00:08:47.462 มันมองได้ว่ามันเปลี่ยนแปลงตลอด 00:08:47.462 --> 00:08:50.309 น้ำก็เซาะไหลไปตามช่องทางใหม่ ๆ 00:08:50.309 --> 00:08:52.600 ตามกระแสและสภาพอากาศ NOTE Paragraph 00:08:52.600 --> 00:08:57.024 บางที่อาจจะแห้งไป น้ำก็ไหลไปที่ใหม่ 00:08:57.024 --> 00:09:00.511 น้ำในน้ำตก 00:09:00.511 --> 00:09:03.413 ก็ต่างกันไปในแต่ละหยด 00:09:03.413 --> 00:09:06.165 น้ำตกอิกัวซูก็ไม่ใช่ภาพมายา 00:09:06.165 --> 00:09:07.798 ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอยู่จริง 00:09:07.798 --> 00:09:11.132 เราต้องพยายามเข้าใจมัน 00:09:11.132 --> 00:09:13.361 อย่างเป็นสิ่งที่มีประวัติศาสตร์ 00:09:13.361 --> 00:09:16.003 ที่ทำให้มันคงอยู่ 00:09:16.003 --> 00:09:18.799 แต่มันเป็น กระบวนการ เป็นของไหล ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา NOTE Paragraph 00:09:18.799 --> 00:09:22.531 ผมคิดว่า กรอบความเข้าใจนี้ ทำให้เราเข้าใจตัวเอง 00:09:22.531 --> 00:09:24.195 เป็นแบบจำลองอิสระ 00:09:24.195 --> 00:09:27.231 เพราะถ้าคุณคิดว่าคุณเป็น อะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง 00:09:27.231 --> 00:09:30.237 และเหมือนเดิมตลอด ชีวิตคุณแล้วละก็ 00:09:30.237 --> 00:09:32.807 คุณอาจจะติดกับดักมันอยู่ 00:09:32.807 --> 00:09:35.418 คุณเกิดมาพร้อมแก่นแท้ 00:09:35.418 --> 00:09:38.101 คุณจะเป็นเช่นนั้นจนกว่าจะตาย 00:09:38.101 --> 00:09:41.130 ถ้าเชื่อในชีวิตหลังความตาย บางทีก็อาจจะคงมีต่อไป 00:09:41.130 --> 00:09:44.100 ถ้าคุณคิดแบบนั้น 00:09:44.100 --> 00:09:47.880 ไม่ใช่เป็นสิ่ง แต่เป็น กระบวนการ 00:09:47.880 --> 00:09:49.407 ที่เปลี่ยนแปลงได้ 00:09:49.407 --> 00:09:50.944 ผมคิดว่ามันค่อนข้างจะเป็นอิสระ 00:09:50.944 --> 00:09:53.812 ต่างจากน้ำตกนะ 00:09:53.812 --> 00:09:56.307 พวกเรามีความสามารถ 00:09:56.307 --> 00:09:59.929 ในการพัฒนาตัวเอง 00:09:59.929 --> 00:10:02.302 ตอนนี้ เราต้องใคร่ครวญซักหน่อย 00:10:02.302 --> 00:10:05.392 ถ้าเราดู X-factor มากไป เราอาจจะเข้าใจไปว่า 00:10:05.392 --> 00:10:07.721 เราสามารถป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น 00:10:07.721 --> 00:10:09.039 มันไม่จริงเลย 00:10:09.039 --> 00:10:11.209 เมื่อเช้านี้ ผมเจอนักดนตรีที่ยอดเยี่ยมมาก 00:10:11.209 --> 00:10:14.927 ผมมั่นใจว่า ผมไม่สามารถเล่นได้แบบเขา 00:10:14.927 --> 00:10:17.324 ถ้าผมฝึกฝนมากๆ บางทีก็คงจะเก่งขึ้น 00:10:17.324 --> 00:10:20.328 แต่มันไม่มีความสามารถนี้ตั้งแต่เกิด 00:10:20.328 --> 00:10:22.985 มันมีขอบเขตที่เราจะฝึกฝนได้ 00:10:22.985 --> 00:10:25.460 มันมีขอบเขตที่เราจะสร้างตัวเราได้ 00:10:25.460 --> 00:10:28.122 แต่ยังไงเราก็มีความสามารถ 00:10:28.122 --> 00:10:32.112 ที่จะหล่อหลอมตัวเราเอง 00:10:32.112 --> 00:10:34.368 ตัวเราที่แท้จริง 00:10:34.368 --> 00:10:38.429 มันไม่ใช่อะไรที่เราต้องไปค้นพบ 00:10:38.429 --> 00:10:42.078 คุณไม่ต้องไปมองวิญญาณ แล้วจะเจอตัวเอง 00:10:42.078 --> 00:10:43.899 อย่างน้อย ส่วนที่คุณกำลังทำอยู่ 00:10:43.899 --> 00:10:46.290 ก็เป็นการสร้างตัวตนคุณเอง 00:10:46.290 --> 00:10:48.213 และนี่เป็นสิ่งที่สำคัญ 00:10:48.213 --> 00:10:50.179 โดยเฉพาะในแต่ละช่วงชีวิตที่กำลังเป็น 00:10:50.179 --> 00:10:51.578 คุณจะตระหนักว่า 00:10:51.578 --> 00:10:54.132 คุณเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดในช่วงไม่กี่ปี 00:10:54.132 --> 00:10:57.371 ถ้าคุณมีวีดิโอของตัวเองในช่วงสามสี่ปี 00:10:57.371 --> 00:11:00.651 คุณอาจจะรู้สึกอาย เพราะคุณจำตัวเองไม่ได้ NOTE Paragraph 00:11:00.651 --> 00:11:03.532 ผมอยากฝากบอกว่า สิ่งที่เราควรทำ 00:11:03.532 --> 00:11:06.592 คือคิดว่าพวกเรา สามารถเปลี่ยนแปลง 00:11:06.592 --> 00:11:07.645 แก้ไขตัวเราเอง 00:11:07.645 --> 00:11:08.941 จากพุทธวจนะนี้ 00:11:08.941 --> 00:11:11.360 "คนขุดบ่อน้ำสร้างทางน้ำ 00:11:11.360 --> 00:11:12.761 คนทำลูกธนูทำลูกธนูงอ 00:11:12.761 --> 00:11:15.226 ช่างไม้ทำให้ท่อนไม้งอ 00:11:15.226 --> 00:11:19.000 คนฉลาดพัฒนาตัวเอง" 00:11:19.000 --> 00:11:20.461 นี่เป็นสิ่งที่ผมอยากฝากไว้ 00:11:20.461 --> 00:11:27.668 ว่าตัวตนที่แท้ไม่ใช่สิ่งที่ คุณต้องไปค้นหา 00:11:27.668 --> 00:11:30.873 ไม่ใช่สิ่งลี้ลับที่คุณจะหาไม่เจอ 00:11:30.873 --> 00:11:32.574 สิ่งที่คุณเป็นอยู่ 00:11:32.574 --> 00:11:35.308 คือบางส่วนที่คุณได้ค้นเจอ 00:11:35.308 --> 00:11:37.701 และสิ่งที่คุณสร้างขึ้น 00:11:37.701 --> 00:11:42.197 ผมคิดว่ามันเป็นแง่มุมที่น่าสนใจนะครับ 00:11:42.197 --> 00:11:44.313 ขอบคุณมากครับ