1 00:00:00,840 --> 00:00:03,140 ในวิดีโอตอนที่แล้ว เราได้พูดถึงว่า 2 00:00:03,140 --> 00:00:11,030 ทำไมอะตอมทุกอะตอมจึง อยากมีอิเล็กตรอน 8 ตัวในชั้นนอกสุด 3 00:00:11,030 --> 00:00:14,510 เพราะว่านี่เป็นการจัดเรียงอิเล็กตรอน ที่ทำให้อะตอมมีความเสถียร (คงตัว) มากที่สุด 4 00:00:14,510 --> 00:00:17,740 และในความเป็นจริง เราจะสังเกตได้จากสิ่งรอบตัวเรา 5 00:00:17,740 --> 00:00:21,180 จริง ๆ นะครับ 6 00:00:21,180 --> 00:00:24,420 เราลองมาเริ่มดูกันนะครับว่า ในแต่ละ "หมู่ (group)" ของตารางธาตุ 7 00:00:24,420 --> 00:00:26,350 จะมีอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง 8 00:00:26,350 --> 00:00:30,220 หมู่ หรือ "group" ในตารางธาตุ หมายถึงธาตุที่อยู่ในแถวเดียวกันจากบนลงล่าง 9 00:00:30,220 --> 00:00:32,479 อย่างกลุ่มนี้ ตรงนี้ครับ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ผมจะเริ่มที่กลุ่มนี้ก่อน 10 00:00:32,479 --> 00:00:35,960 เพราะมันมีชื่อพิเศษ 11 00:00:35,960 --> 00:00:39,160 กลุ่มนี้ตรงนี้ เราเรียกว่า แก๊สเฉื่อย (noble gases) 12 00:00:39,160 --> 00:00:42,900 ถ้าคุณไล่จากบนลงล่างในกลุ่มนี้ คุณเห็นไหมครับว่าธาตุเหล่านี้มีอะไรที่เหมือนกัน 13 00:00:42,900 --> 00:00:45,970 ในคอลัมน์เดียวกันในตารางธาตุ มีอะไรที่เหมือนกันครับ? 14 00:00:45,970 --> 00:00:50,100 ครับ..ในวิดีโอตอนที่แล้ว เราเห็นแล้วว่าธาตุทุกชนิดในคอลัมน์เดียวกัน 15 00:00:50,100 --> 00:00:52,700 จะมีจำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากัน 16 00:00:52,700 --> 00:00:56,580 หรือมีจำนวนอิเล็กตรอนในชั้นนอกสุดเท่ากัน 17 00:00:56,580 --> 00:00:58,000 ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ 18 00:00:58,000 --> 00:01:01,160 คอลัมน์นี้ ตรงนี้ .. ซึ่งเราเรียนไปแล้วนะครับคือ โลหะอัลคาไล 19 00:01:01,160 --> 00:01:05,830 จะมีอิเล็กตรอน 1 ตัวอยู่ที่ชั้นนอกสุด 20 00:01:05,830 --> 00:01:10,830 และผมก็ได้บอกแล้วว่า ไฮโดรเจนนั้นไม่ถูกจัดเป็นโลหะอัลคาไล 21 00:01:10,830 --> 00:01:13,230 เพราะว่ามันไม่ได้มีคุณสมบัติเป็นโลหะ 22 00:01:13,230 --> 00:01:17,490 และมันก็ไม่ได้ต้องการที่อยากจะให้ อิเล็กตรอนเหมือนที่โลหะเป็น 23 00:01:17,490 --> 00:01:21,080 เมื่อเราพูดถึงคุณสมบัติของโลหะของธาตุหนึ่ง ๆ 24 00:01:21,080 --> 00:01:24,640 เราจะนึกถึงว่า ธาตุนั้นมีแนวโน้ม ที่จะให้อิเล็กตรอนมากน้อยแค่ไหน 25 00:01:24,640 --> 00:01:26,460 เราจะพูดเกี่ยวกับคุณสมบัติอื่นของโลหะ 26 00:01:26,460 --> 00:01:30,020 โดยเฉพาะคุณสมบัติที่เรารู้สึกว่า ถ้าเป็นโลหะ ต้องเงามัน 27 00:01:30,020 --> 00:01:32,610 นำไฟฟ้าได้ 28 00:01:32,610 --> 00:01:34,060 และเราจะดูด้วยว่ามันอยู่ในตารางธาตุกันอย่างไร 29 00:01:34,060 --> 00:01:35,760 แต่ตอนนี้ กลับมาที่เรากำลังคุยกันอยู่ก่อนนะครับ 30 00:01:35,760 --> 00:01:37,610 คอลัมน์นี้ ตรงนี้ 31 00:01:37,610 --> 00:01:48,390 เราเรียกว่า โลหะอัลคาไลเอิร์ธ 32 00:01:48,390 --> 00:01:54,340 ธาตุในคอลัมน์นี้จะมีอิเล็กตรอน 2 ตัว ในชั้นนอกสุด 33 00:01:54,340 --> 00:01:56,450 และจำได้ใช่ไหมครับว่า ธาตุทุกชนิดต้องการจะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอน = 8 34 00:01:56,450 --> 00:02:00,070 ถ้ามันเลือกวิธีที่จะหาอิเล็กตรอนมาเพิ่ม เพื่อให้ครบ 8 ตัว 35 00:02:00,070 --> 00:02:01,130 ก็ต้องใช้เวลาเยอะทีเดียว 36 00:02:01,130 --> 00:02:05,850 วิธีนี้ เราต้องหาอิเล็กตรอนมาเติมถึง 6 ตัว 37 00:02:05,850 --> 00:02:07,340 แล้วใครล่ะครับที่จะไปเอามา? 38 00:02:07,340 --> 00:02:09,090 เพราะไม่มีใครที่จะอยากให้อิเล็กตรอนเลย 39 00:02:09,090 --> 00:02:10,860 ตอนนี้ มันเกือบจะมีอิเล็กตรอนครบ 8 อยู่แล้ว 40 00:02:10,860 --> 00:02:15,350 ดังนั้น ถ้าเราให้อิเล็กตรอน น่าจะทำให้ครบ 8 อิเล็กตรอน ได้ง่ายกว่ามากนะครับ 41 00:02:15,350 --> 00:02:19,120 ในความเป็นจริง เวลาคุณมีอิเล็กตรอนแค่ 1 ตัวที่จะให้ออกไป 42 00:02:19,120 --> 00:02:22,150 ดังเช่นกรณี โลหะอัลคาไล 43 00:02:22,150 --> 00:02:24,980 ถ้าคุณมีอิเล็กตรอนเพียง 1 ตัวที่จะให้ออกไป และมันก็อยากจะทำแบบนี้จริง ๆ ครับ 44 00:02:24,980 --> 00:02:30,440 ดังนั้น ธาตุกลุ่มนี้ในธรรมชาติจะหายากมากครับ ที่จะเจอในรูปธาตุบริสุทธิ์ 45 00:02:30,440 --> 00:02:32,900 คำว่า "ธาตุบริสุทธิ์" ที่ผมพูดถึงนี้ หมายความว่า มันมีแต่ลิเทียมอย่างเดียว 46 00:02:32,900 --> 00:02:36,730 ไม่มีอย่างอื่นปนนะครับ หรือว่ามีโซเดียมอย่างเดียว 47 00:02:36,730 --> 00:02:37,950 หรือมีโปตัสเซียมอย่างเดียว 48 00:02:37,950 --> 00:02:42,530 ธาตุกลุ่มนี้เรามักจะพบมัน ทำปฏิกิริยากับอย่างสารอื่น 49 00:02:42,530 --> 00:02:44,470 อาจจะเป็นธาตุอื่นที่อยู่อีกด้านหนึ่งของตารางธาตุ 50 00:02:44,470 --> 00:02:46,520 เพราะว่าฝั่งนี้อยากจะให้อิเล็กตรอนมาก ๆ 51 00:02:46,520 --> 00:02:49,150 ในขณะที่ฝั่งนี้ก็อยากจะได้อิเล็กตรอนมาก ๆ 52 00:02:49,150 --> 00:02:51,340 ดังนั้น ก็เป็นไปได้ที่จะเกิดปฏิกิริยากันขึ้น 53 00:02:51,340 --> 00:02:56,200 ส่วนธาตุกลุ่มนี้ (โลหะอัลคาไลเอิร์ธ) ก็มีความไวต่อการเกิดปฏิกิริยานะครับ 54 00:02:56,200 --> 00:02:59,160 แต่อาจจะไม่เท่ากับโลหะอัลคาไล 55 00:02:59,160 --> 00:03:01,710 และเนื่องจากธาตุกลุ่มนี้ก็ 56 00:03:01,710 --> 00:03:06,210 มีจำนวนอิเล็กตรอนใกล้เคียงกับ 8 เช่นกัน 57 00:03:06,210 --> 00:03:12,420 แค่พยายามอีกนิดหน่อย.. 58 00:03:12,420 --> 00:03:14,670 เพียงเอาอิเล็กตรอนออกไป 2 ตัว 59 00:03:14,670 --> 00:03:16,820 แต่กลุ่มนี้ (โลหะอัลคาไล) เอาอิเล็กตรอนออกไป แค่ตัวเดียว (ก็ได้ 8 อิเล็กตรอนแล้ว) 60 00:03:16,820 --> 00:03:20,440 และเราก็เรียนแล้วว่า ธาตุกลุ่มนี้ ก็มีอิเล็กตรอน 2 ตัวที่ชั้นนอกสุด 61 00:03:20,440 --> 00:03:23,140 เราเรียกธาตุกลุ่มนี้ว่า.... 62 00:03:23,140 --> 00:03:26,710 โลหะทรานสิชัน... เพราะว่าเวลาคุณใส่อิเล็กตรอนเข้าไป 63 00:03:26,710 --> 00:03:31,410 มันจะเข้าไปเติมในชั้น d ของชั้นรองลงไป 64 00:03:31,410 --> 00:03:31,940 ใช่ไหมครับ? 65 00:03:31,940 --> 00:03:36,660 ดังนั้น ชั้นนอกสุดจะมีอิเล็กตรอน 2 ตัวเสมอ 66 00:03:36,660 --> 00:03:45,460 ตรงนี้เป็น period ที่ 4 ธาตุทั้งหมดตรงนี้ จะมีชั้นนอกสุดเป็น 4s2 67 00:03:45,460 --> 00:03:52,950 แต่เวลาเติมอิเล็กตรอน จะใส่ลงไปในชั้น 3d 68 00:03:52,950 --> 00:03:54,690 ตรงนี้มีอิเล็กตรอน 2 ตัว 69 00:03:54,690 --> 00:03:57,400 ดังนั้น ทั้งหมดตรงนี้จะมีอิเล็กตรอนที่ชั้นนอกสุด 2 ตัว 70 00:03:57,400 --> 00:04:01,190 ทั้งหมดนี้ก็จะคล้ายกับโลหะอัลคาไลเอิร์ธ 71 00:04:01,190 --> 00:04:06,320 ซึ่งต้องเสียอิเล็กตรอน 2 ตัว เพื่อจะทำให้ตัวเอง "มีความสุข" 72 00:04:06,320 --> 00:04:08,410 ที่ผมคิดนะครับ... 73 00:04:08,410 --> 00:04:11,810 ซึ่งมันอาจจะเป็นความจริง 74 00:04:11,810 --> 00:04:19,649 ก็คือธาตุเหล่านี้มีอิเล็กตรอนสำรองอยู่ครับ ในกรณีที่มันต้องเสียเวเลนซ์อิเล็กตรอนไป 75 00:04:19,649 --> 00:04:25,580 ตัวอย่าง เหล็กมี 2 เวเลนซ์อิเล็กตรอน 76 00:04:25,580 --> 00:04:29,890 แบบนี้... ถ้ามันเสียอิเล็กตรอนไป 77 00:04:29,890 --> 00:04:36,420 มันก็ยังมีอิเล็กตรอนสำรองอยู่ ในชั้น d ที่อยู่รองลงไป 78 00:04:36,420 --> 00:04:40,980 ดังนั้น ถ้ามันเสียอิเล็กตรอนในชั้น 4s2 ไป 79 00:04:40,980 --> 00:04:43,740 ก็ยังมีอิเล็กตรอนในชั้น 3d ที่มีระดับพลังงานสูง 80 00:04:43,740 --> 00:04:45,650 ซึ่งสามารถขึ้นมาแทนที่ได้ 81 00:04:45,650 --> 00:04:47,930 ส่วนตัวนี้ ผมใช้เครื่องหมายคำพูด " " นะครับ ก็เพราะว่า.. 82 00:04:47,930 --> 00:04:50,770 นี่เป็นวิธีที่ผมวาดภาพเอาเอง 83 00:04:50,770 --> 00:04:53,300 และเหตุผลที่ว่าทำไมผมจึงพูดถึงเรื่องนี้ 84 00:04:53,300 --> 00:04:58,020 เพราะโลหะมักจะชอบให้อิเล็กตรอน 85 00:04:58,020 --> 00:05:00,380 และธาตุเหล่านี้จะเกิดปฏิกิริยาด้วย 86 00:05:00,380 --> 00:05:03,680 มันบอกว่า...เฮ้..มาเอาอิเล็กตรอนฉันไปสิ 87 00:05:03,680 --> 00:05:06,680 และพวกนี้ ก็จะเริ่มบอกว่า 88 00:05:06,680 --> 00:05:09,260 คุณเติมอิเล็กตรอนในชั้น d อยู่นั่นแหละ ผมเอาอิเล็กตรอน 2 ตัวนี้ไปก่อนแล้วนะ 89 00:05:09,260 --> 00:05:11,420 แต่ผมไม่ได้มีอิเล็กตรอนแค่ 2 ตัวข้างนอกนั้นนี่ครับ 90 00:05:11,420 --> 00:05:13,520 ผมยังมีอิเล็กตรอนอีก 91 00:05:13,520 --> 00:05:16,050 เก็บไว้ในชั้น d 92 00:05:16,050 --> 00:05:18,690 ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในโลหะทรานสิชัน 93 00:05:18,690 --> 00:05:21,470 ก็จะเหมือนกับที่พบในโลหะทั่วไป 94 00:05:21,470 --> 00:05:24,110 ตรงนี้ก็เป็นโลหะนะครับ... อย่าดูทั้งหมู่นะครับ 95 00:05:24,110 --> 00:05:27,960 ที่เป็นโลหะ ให้ดูที่สี ตรงนี้ครับ 96 00:05:27,960 --> 00:05:31,940 กลุ่มนี้เป็นโลหะที่มีอิเล็กตรอนจำนวนมากที่จะให้ได้ 97 00:05:31,940 --> 00:05:35,370 ไม่เพียงแต่จะมีอิเล็กตรอนจำนวนมากตรงนี้ แต่ยังมีอิเล็กตรอนที่อยู่ในชั้น d ด้วย 98 00:05:35,370 --> 00:05:37,660 ซึ่งเวลามันอยู่ในสภาวะธาตุบริสุทธิ์ 99 00:05:37,660 --> 00:05:39,820 เวลาที่ผมพูดอย่างนี้ หมายความว่า 100 00:05:39,820 --> 00:05:41,450 คุณจะมีกล่องใบใหญ่ ๆ 1 กล่องสำหรับอะลูมิเนียม 101 00:05:41,450 --> 00:05:45,700 อะลูมิเนียม จะไม่ทำปฏิกิริยากับสารอื่น เช่น อ๊อกซิเจน 102 00:05:45,700 --> 00:05:47,500 ดังนั้น มันก็จะอยู่เป็นก้อนอะลูมิเนียมอยู่อย่างนั้น 103 00:05:47,500 --> 00:05:47,810 ใช่ไหมครับ? 104 00:05:47,810 --> 00:05:49,640 ถ้าคุณมีอะลูมิเนียมอยู่จำนวนหนึ่ง 105 00:05:49,640 --> 00:05:51,840 สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ จะมีพันธะโลหะ ซึ่งอะตอมของอะลูมิเนียมทั้งหมดนี้ก็จะบอกว่า.. 106 00:05:51,840 --> 00:05:54,550 คุณรู้มั้ย ผมมีอิเล็กตรอนเหลือตรงนี้ 107 00:05:54,550 --> 00:05:59,470 ในกรณีของอะลูมิเนียม มีอิเล็กตรอน 3 ตัวอยู่ที่ชั้นนอกสุด 108 00:05:59,470 --> 00:06:04,040 แต่ผมมีอิเล็กตรอนในชั้น d ด้วย 109 00:06:04,040 --> 00:06:06,600 ผมจะเอาอิเล็กตรอนมาแบ่งกับอะตอม อื่น ๆ ของอะลูกมิเนียมนะครับ 110 00:06:06,600 --> 00:06:09,170 ดังนั้น คุณก็จะได้ "ทะเล" ของ อะตอมอะลูมิเนียม 111 00:06:09,170 --> 00:06:10,430 ซึ่งดึงดูดกันอยู่ 112 00:06:10,430 --> 00:06:12,750 หรือคุณได้สร้าง "ทะเลอิเล็กตรอน" ของอะลูมิเนียม นั่นเอง 113 00:06:12,750 --> 00:06:16,500 คุณจะมีอิเล็กตรอนจำนวนมาก 114 00:06:16,500 --> 00:06:22,620 แทรกอยู่ระหว่างอะตอม และเนื่องจากอะตอมเหล่านี้ได้ 115 00:06:22,620 --> 00:06:24,270 ให้อิเล็กตรอนไปใช้ร่วมกันแล้ว มันก็เลยดึงดูดกัน 116 00:06:24,270 --> 00:06:24,950 ถูกต้องไหมครับ? 117 00:06:24,950 --> 00:06:30,030 ดังนั้น อะตอมจริง ๆ แล้ว ตรงนี้ ก็จะกลายเป็น Al3+ 118 00:06:30,030 --> 00:06:31,405 เพราะได้ให้อิเล็กตรอนไป 3 ตัว 119 00:06:31,405 --> 00:06:33,470 ผมจะยังไม่พูดมากไปกว่านี้นะครับ 120 00:06:33,470 --> 00:06:35,410 ตอนนี้ เพียงต้องการให้คุณเข้าใจว่า มันอยู่กันอย่างไร 121 00:06:35,410 --> 00:06:38,320 และทำไมโลหะจึงนำไฟฟ้าได้ดีมาก 122 00:06:38,320 --> 00:06:41,320 ก็เพราะว่า ไฟฟ้าคือการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน 123 00:06:41,320 --> 00:06:46,330 หากต้องการให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ คุณต้องมีอิเล็กตรอนจำนวนมากเผื่อไว้รอบ ๆ 124 00:06:46,330 --> 00:06:48,980 ดังนั้น ธาตุที่อยู่บริเวณนี้ จึงเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีมาก 125 00:06:48,980 --> 00:06:53,650 ที่จริงแล้ว เงิน (silver) เป็น ตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุด 126 00:06:53,650 --> 00:06:57,240 เงิน..ตรงนี้ครับ เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุดบนโลกนี้ 127 00:06:57,240 --> 00:07:01,440 แต่เราไม่เอามาใช้ในสายไฟ แต่กลับใช้ทองแดงแทน 128 00:07:01,440 --> 00:07:04,300 ก็เพราะว่า ทองแดงนั้นหาได้ง่ายกว่าเงิน 129 00:07:04,300 --> 00:07:06,140 แต่จริง ๆ แล้ว เงินเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุดครับ 130 00:07:06,140 --> 00:07:09,340 ...ตามที่ผมคิด 131 00:07:09,340 --> 00:07:11,010 เมื่อคุณเติมอิเล็กตรอนลงในออร์บิทัลหนึ่ง 132 00:07:11,010 --> 00:07:12,890 ออร์บิทัลนั้นจะเข้าสู่สภาวะเสถียร (คงตัว) 133 00:07:12,890 --> 00:07:16,140 ดังนั้น ธาตุเหล่านี้ มีอิเล็กตรอนในชั้น d เต็มหมดแล้ว 134 00:07:16,140 --> 00:07:18,960 ในขณะที่ธาตุตรงนี้ (ทรานสิชัน) ชั้น d ยังไม่เต็ม 135 00:07:18,960 --> 00:07:21,970 ดังนั้น มันจึงมีอิเล็กตรอนเผื่อจำนวนมาก ซึ่งดีมากสำหรับการนำไฟฟ้า 136 00:07:21,970 --> 00:07:24,120 เอาละครับ นี่คือสิ่งที่ผมคิดเอา 137 00:07:24,120 --> 00:07:26,000 ผมไม่เคยทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่นะครับ 138 00:07:26,000 --> 00:07:29,100 แต่อยากจะให้แนวคิดแก่คุณว่า ทำไมธาตุเหล่านี้จึงนำไฟฟ้าได้ 139 00:07:29,100 --> 00:07:32,370 สำหรับโลหะทรานสิชัน 140 00:07:32,370 --> 00:07:33,870 ธาตุกลุ่มนี้เราถือว่าเป็นโลหะ 141 00:07:33,870 --> 00:07:35,940 แต่จัดเป็นอีกกลุ่มหนึ่งคือ โลหะทรานสิชัน 142 00:07:35,940 --> 00:07:37,960 ก็เพราะว่า มันยังมีที่ให้เติมอิเล็กตรอนในชั้น d 143 00:07:37,960 --> 00:07:40,600 แต่โลหะทรานสิชันนี่ฟังดูแล้ว 144 00:07:40,600 --> 00:07:41,390 ไม่น่าจะดีเท่าโลหะนะครับ 145 00:07:41,390 --> 00:07:45,610 แต่ถ้าคุณมานั่งคิดถึงโลหะ ..คุณก็จะนึกถึง "เหล็ก" เป็นอันดับแรก 146 00:07:45,610 --> 00:07:49,020 และผมก็ต้องคิดถึง เงิน ทองแดง และทอง ด้วย 147 00:07:49,020 --> 00:07:51,270 ดังนั้น การที่เรียกธาตุเหล่านี้ว่าเป็น โลหะทรานสิชัน อาจจะไม่ค่อยยุติธรรมนักนะครับ 148 00:07:51,270 --> 00:07:55,230 ผมไม่คิดว่าอะลูมิเนียมจะเป็นโลหะ มากไปกว่าที่เหล็กเป็น 149 00:07:55,230 --> 00:07:58,140 แต่ในการจัดประเภทของธาตุในทางเคมี 150 00:07:58,140 --> 00:08:04,700 อะลูมิเนียมมีความเป็นโลหะมากกว่า โลหะทรานสิชันตรงนี้ 151 00:08:04,700 --> 00:08:07,280 เดี๋ยวให้ผมเขียนเวเลนซ์อิเล็กตรอนก่อนนะครับ 152 00:08:07,280 --> 00:08:09,220 ธาตุทั้งหมดตรงนี้มี 3 เวเลนซ์อิเล็กตรอน 153 00:08:09,220 --> 00:08:13,720 4,5,6,7 154 00:08:13,720 --> 00:08:18,150 ตรงนี้ จะมีอิเล็กตรอน 3 ตัวในชั้นนอกสุด 155 00:08:18,150 --> 00:08:21,420 ดังนั้น ถ้ามันให้อิเล็กตรอน ก็น่าจะ ง่ายกว่ารับเข้ามา 156 00:08:21,420 --> 00:08:25,990 แต่ก็ไม่แน่ครับ ในบางกรณี ก็อาจจะมีรับอิเล็กตรอนเหมือนกัน 157 00:08:25,990 --> 00:08:27,910 โดยเฉพาะ โบรอน 158 00:08:27,910 --> 00:08:31,180 มีบางครั้งที่โบรอนรับอิเล็กตรอน 5 ตัว 159 00:08:31,180 --> 00:08:32,820 แม้ว่าดูจะยาก 160 00:08:32,820 --> 00:08:35,090 แต่ก็ง่ายกว่าที่จะให้ 3 อิเล็กตรอน 161 00:08:35,090 --> 00:08:39,340 ดังนั้น พวกที่เป็นโลหะจึงอยู่เฉพาะตรงนี้ (ไม่รวมโบรอน) 162 00:08:39,340 --> 00:08:43,230 และอย่างที่คุณเห็นนะครับ ถ้าคุณดูไล่ลงมาในตารางธาตุ 163 00:08:43,230 --> 00:08:46,650 คุณจะเจอโลหะที่มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน จำนวนมากขึ้น 164 00:08:46,650 --> 00:08:50,730 อย่างเช่น ตะกั่ว (lead) 165 00:08:50,730 --> 00:08:52,120 ก็จัดเป็นโลหะ 166 00:08:52,120 --> 00:08:53,690 แม้ว่าจะมี 4 เวเลนซ์อิเล็กตรอน 167 00:08:53,690 --> 00:09:00,490 นี่ก็เพราะว่า อะตอมมันมีขนาดใหญ่มาก รัศมีใหญ่มาก 168 00:09:00,490 --> 00:09:03,030 จนชั้นนอกสุดไกลจากนิวเคลียสมาก 169 00:09:03,030 --> 00:09:05,150 ดังนั้น มันจะให้อิเล็กตรอนได้ง่าย 170 00:09:05,150 --> 00:09:08,510 ถ้าคุณดูที่คาร์บอน 171 00:09:08,510 --> 00:09:10,470 ซึ่งมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนอยู่ใกล้กับนิวเคลียสมาก 172 00:09:10,470 --> 00:09:11,820 ดังนั้น อิเล็กตรอนจะถูกปล่อย ออกไปยากมาก 173 00:09:11,820 --> 00:09:15,290 คาร์บอนจึงชอบที่จะรับอิเล็กตรอน จากอะตอมอื่นมากกว่า 174 00:09:15,290 --> 00:09:16,840 เพื่อให้ได้อิเล็กตรอนครบ 8 ตัว 175 00:09:16,840 --> 00:09:20,270 ในขณะที่เวเลนซ์อิเล็กตรอนของธาตุกลุ่มนี้ อยูไกลจากนิวเคลียสมาก 176 00:09:20,270 --> 00:09:23,070 จึงมีโอกาสที่จะกำจัดอิเล็กตรอนออกไป 177 00:09:23,070 --> 00:09:25,440 เพื่อให้ตัวเองมีอิเล็กตรอนครบ 8 ตัวในชั้นนอกสุด 178 00:09:25,440 --> 00:09:27,960 คล้ายกับซีนอน 179 00:09:27,960 --> 00:09:32,260 และถ้าคุณดูไปเรื่อย ๆ ถึงกลุ่มนี้ ก็จะไม่ใช่โลหะอีกต่อไป 180 00:09:32,260 --> 00:09:32,600 ถูกต้องไหมครับ? 181 00:09:32,600 --> 00:09:36,330 เพราะธาตุเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะ รับอิเล็กตรอน เวลาเกิดปฏิกิริยา 182 00:09:36,330 --> 00:09:38,820 และช่องสีเหลืองนี้ เป็นกลุ่มที่ มีความไวต่อการเกิดปฏิกิริยาสูงมาก 183 00:09:38,820 --> 00:09:43,720 โดยเฉพาะการทำปฏิกิริยากับโลหะอัลคาไล 184 00:09:43,720 --> 00:09:46,030 โลหะจะอยู่ตรงนี้ ส่วนตรงนี้เราเรียกว่า ฮาโลเจน นะครับ 185 00:09:46,030 --> 00:09:48,620 คุณอาจจะเคยได้ยินคำนี้มาก่อน 186 00:09:48,620 --> 00:09:54,980 หลอดฮาโลเจน 187 00:09:54,980 --> 00:10:00,070 การที่เราเรียกอย่างนั้น ไม่ได้เรียกผิดนะครับ 188 00:10:00,070 --> 00:10:02,560 ผมอาจจะทำวิดีโอเกี่ยวกับหลอดฮาโลเจนในอนาคตนะครับ 189 00:10:02,560 --> 00:10:05,260 สุดท้าย กลุ่มนี้เป็นแก๊สเฉื่อย 190 00:10:05,260 --> 00:10:07,760 ที่น่าสนใจเกี่ยวกับแก๊สเฉื่อยก็คือ 191 00:10:07,760 --> 00:10:10,000 มันมีอิเล็กตรอน 8 ตัวที่ชั้นนอกสุด 192 00:10:10,000 --> 00:10:11,540 ใช่ไหมครับ 193 00:10:11,540 --> 00:10:12,220 ยกเว้น ฮีเลียม 194 00:10:12,220 --> 00:10:13,850 ซึ่งมีอิเล็กตรอน 2 ตัวที่ชั้นนอกสุด ถูกต้องไหมครับ? 195 00:10:13,850 --> 00:10:22,290 การจัดเรียงอิเล็กตรอนของฮีเลียมคือ 1s2 196 00:10:22,290 --> 00:10:24,040 นี่คือ นีออน 197 00:10:24,040 --> 00:10:28,050 จะเป็น 1s2, 2s2, 2p6 198 00:10:28,050 --> 00:10:30,510 ซึ่งมีอิเล็กตรอน 8 ตัวในชั้นนอกสุด 199 00:10:30,510 --> 00:10:31,370 ดังนั้น มันก็มีความสุขแล้วครับ 200 00:10:31,370 --> 00:10:32,960 อาร์กอน ก็เช่นเดียวกัน 201 00:10:32,960 --> 00:10:38,010 ชั้นนอกสุดจะเป็น 3s2, 3p6 202 00:10:38,010 --> 00:10:41,050 คริปตอน จะมีอิเล็กตรอนชั้นนอกสุดเป็น 203 00:10:41,050 --> 00:10:43,000 4s2, 4p6 (ในวิดีโอพูดผิด) 204 00:10:43,000 --> 00:10:47,840 และก็มี 3d 205 00:10:47,840 --> 00:10:50,070 แต่ว่าชั้นนอกสุดจะมีอิเล็กตรอนครบ 8 ตัว 206 00:10:50,070 --> 00:10:51,000 ดังนั้น มันก็มีความสุข 207 00:10:51,000 --> 00:10:52,680 ธาตุเหล่านี้ จึงไม่อยากจะไปทำปฏิกิริยากับใคร 208 00:10:52,680 --> 00:10:54,700 คล้ายกับว่า ธาตุอื่น ๆ สามารถเกิด ปฏิกิริยาต่าง ๆ ได้ 209 00:10:54,700 --> 00:10:57,720 ก็เกิดไป 210 00:10:57,720 --> 00:10:58,960 แต่พวกเรามีความสุขแล้ว 211 00:10:58,960 --> 00:11:00,850 แล้วเราก็ไม่อยากให้หรือรับอิเล็กตรอนจากใคร 212 00:11:00,850 --> 00:11:08,460 ธาตุกลุ่มนี้จึงเฉื่อยมาก ๆ (ไม่ทำปฏิกิริยากับใคร) 213 00:11:08,460 --> 00:11:11,550 คุณทราบไหมครับ สมัยก่อน ตอนที่ยังมีการสร้างเรือเหาะ 214 00:11:11,550 --> 00:11:17,150 ที่มีชื่อเสียงอย่างเรือเหาะฮินเดนเบอร์ก 215 00:11:17,150 --> 00:11:19,290 ตอนนั้น เขาใช้ไฮโดรเจน 216 00:11:19,290 --> 00:11:22,380 ซึ่งไฮโดรเจนเป็นธาตุที่ค่อนข้างจะ ไวต่อการเกิดปฏิกิริยา 217 00:11:22,380 --> 00:11:24,560 และก็ติดไฟง่ายมาก ดังนั้น มันจึงระเบิดอย่างรวดเร็ว 218 00:11:24,560 --> 00:11:29,630 สมัยนี้ เวลาทำลูกโป่งสำหรับตัวตลกหรือเด็ก ๆ 219 00:11:29,630 --> 00:11:33,930 แทนที่จะใช้ไฮโดรเจน เดี๋ยวนี้นิยมใช้ฮีเลียมมากกว่า 220 00:11:33,930 --> 00:11:36,840 เพราะฮีเลียมเป็นแก๊สเฉื่อย มีความไวต่อการเกิดปฏิกิริยาน้อยมาก 221 00:11:36,840 --> 00:11:41,150 และก็มีโอกาสระเบิดได้น้อยมาก 222 00:11:41,150 --> 00:11:42,790 ถ้าเอามาใช้ในงานวันเกิดเด็ก ๆ 223 00:11:42,790 --> 00:11:45,300 เอาละครับ...ผมคงจบเพียงแค่นี้สำหรับวิดีโอตอนนี้ 224 00:11:45,300 --> 00:11:47,780 ในตอนต่อไป เราจะมาพูดกันนิดหน่อยเกี่ยวกับแนวโน้มของธาตุในตารางธาตุครับ 225 00:11:47,780 --> 00:11:50,820 เกี่ยวกับแนวโน้มของคุณสมบัติต่าง ๆ ของธาตุในตารางธาตุครับ