1 00:00:00,613 --> 00:00:03,652 ทำไมเราถึงเรียนคณิตศาสตร์กันครับ? 2 00:00:03,652 --> 00:00:06,200 หลักๆ เลยก็เพราะเหตุผลสามอย่าง 3 00:00:06,200 --> 00:00:07,828 การคำนวณ 4 00:00:07,828 --> 00:00:09,728 การใช้ประโยชน์ 5 00:00:09,728 --> 00:00:12,415 และสุดท้าย ซึ่งน่าเสียดาย 6 00:00:12,415 --> 00:00:14,520 ที่เราให้เวลากับมันน้อยที่สุด 7 00:00:14,520 --> 00:00:16,442 ก็คือการสร้างแรงบันดาลใจ 8 00:00:16,442 --> 00:00:18,714 คณิตศาสตร์คือศาสตร์ของระบบแบบแผน 9 00:00:18,714 --> 00:00:22,072 เราเรียนคณิตศาสตร์เพื่อฝึกคิดอย่างมีตรรกะ 10 00:00:22,072 --> 00:00:24,599 มีวิจารณญาณ และสร้างสรรค์ 11 00:00:24,599 --> 00:00:27,525 แต่คณิตศาสตร์ที่เราเรียนกันในโรงเรียนส่วนใหญ่ 12 00:00:27,525 --> 00:00:29,844 ไม่ช่วยให้เราเกิดแรงบันดาลใจเลย 13 00:00:29,844 --> 00:00:31,269 เวลานักเรียนถามว่า 14 00:00:31,269 --> 00:00:32,944 "ทำไมเราต้องเรียนเรื่องนี้?" 15 00:00:32,944 --> 00:00:34,905 เขามักได้คำตอบว่า เขาต้องใช้มัน 16 00:00:34,905 --> 00:00:38,170 ในการสอบ หรือในวิชาคณิตศาสตร์ขั้นสูงขึ้นไป 17 00:00:38,170 --> 00:00:39,972 แต่จะดีกว่าไหมครับ 18 00:00:39,972 --> 00:00:42,490 ถ้าบางครั้งเราจะเรียนคณิตศาสตร์ 19 00:00:42,490 --> 00:00:45,439 เพียงเพราะว่ามันสนุกและสวยงาม 20 00:00:45,439 --> 00:00:47,529 หรือเพราะมันทำให้เราตื่นเต้น 21 00:00:47,529 --> 00:00:49,251 ผมรู้ว่าหลายคนไม่เคยมีโอกาสเห็น 22 00:00:49,251 --> 00:00:51,570 ว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร 23 00:00:51,570 --> 00:00:53,399 งั้นผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ 24 00:00:53,399 --> 00:00:55,740 โดยใช้ชุดตัวเลขที่ผมชอบที่สุด 25 00:00:55,740 --> 00:00:58,468 เลขฟีโบนักชี (Fibonacci) (เสียงปรบมือ) 26 00:00:58,468 --> 00:01:00,520 เย้ ที่นี่มีคนชอบเลขฟีโบนักชีด้วย 27 00:01:00,520 --> 00:01:01,836 เยี่ยมเลย 28 00:01:01,836 --> 00:01:03,952 เราสามารถชื่นชมความงามของตัวเลขชุดนี้ 29 00:01:03,952 --> 00:01:05,830 ได้หลายรูปแบบ 30 00:01:05,830 --> 00:01:08,539 ในด้านการคำนวณ 31 00:01:08,539 --> 00:01:10,216 มันเข้าใจได้ง่าย 32 00:01:10,216 --> 00:01:12,770 เริ่มจาก 1 บวก 1 ได้ 2 33 00:01:12,770 --> 00:01:14,773 1 บวก 2 ได้ 3 34 00:01:14,773 --> 00:01:17,787 2 บวก 3 ได้ 5 3 บวก 5 ได้ 8 35 00:01:17,787 --> 00:01:19,312 เป็นอย่างนี้เรื่อยไป 36 00:01:19,312 --> 00:01:21,489 ที่จริง คนที่เราเรียกว่าฟีโบนักชี 37 00:01:21,489 --> 00:01:24,669 มีชื่อจริงว่าลีโอนาโด แห่งเมือง พิซา (Leonardo of Pisa) 38 00:01:24,669 --> 00:01:27,722 ตัวเลขพวกนี้ปรากฏในหนังสือของเขา ชื่อ "Liber Abaci" 39 00:01:27,722 --> 00:01:29,372 ซึ่งสอนให้คนในโลกตะวันตก 40 00:01:29,372 --> 00:01:32,199 รู้จักวิธีคิดเลขคณิตที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ 41 00:01:32,199 --> 00:01:33,920 ในแง่การใช้ประโยชน์ 42 00:01:33,920 --> 00:01:36,103 เลขฟีโบนักชีปรากฏอยู่ในธรรมชาติ 43 00:01:36,103 --> 00:01:37,960 บ่อยมากจนน่าแปลกใจ 44 00:01:37,960 --> 00:01:39,700 เช่น จำนวนกลีบดอกไม้ 45 00:01:39,700 --> 00:01:41,562 ส่วนใหญ่เป็นเลขฟีโบนักชี 46 00:01:41,562 --> 00:01:44,332 หรือวงเกสรของดอกทานตะวัน 47 00:01:44,332 --> 00:01:45,743 หรือตาของสัปปะรด 48 00:01:45,743 --> 00:01:48,137 ก็มักเป็นเลขฟีโบนักชีเช่นกัน 49 00:01:48,137 --> 00:01:51,640 ที่จริง เลขฟีโบนักชียังมีประโยชน์ ในการใช้งานอีกหลายอย่าง 50 00:01:51,640 --> 00:01:54,200 แต่ที่ผมคิดว่าน่าทึ่งมากที่สุด 51 00:01:54,200 --> 00:01:56,934 คือระบบแบบแผนที่สวยงามที่เกิดจากเลขชุดนี้ 52 00:01:56,934 --> 00:01:59,128 ผมขอนำเสนอรูปแบบหนึ่งที่ผมชอบมาก 53 00:01:59,128 --> 00:02:01,349 สมมติว่าคุณชอบคิดเลขยกกำลังสอง 54 00:02:01,349 --> 00:02:04,024 เอ จริงๆ มีใครไม่ชอบเลขยกกำลังด้วยหรือครับ (เสียงหัวเราะ) 55 00:02:04,040 --> 00:02:06,280 เรามาดูเลขยกกำลังสอง 56 00:02:06,280 --> 00:02:08,131 ของเลขฟีโบนักชีตัวแรกๆ กัน 57 00:02:08,131 --> 00:02:10,161 1 ยกกำลังสอง ได้ 1 58 00:02:10,161 --> 00:02:12,478 2 ยกกำลังสอง ได้ 4 3 ยกกำลังสอง ได้ 9 59 00:02:12,478 --> 00:02:15,651 5 ยกกำลังสอง ได้ 25 และเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ 60 00:02:15,651 --> 00:02:17,552 ทีนี้ คุณคงไม่แปลกใจนัก 61 00:02:17,552 --> 00:02:20,380 เมื่อคุณบวกเลขฟีโบนักชีที่อยู่ติดกัน 62 00:02:20,380 --> 00:02:22,412 แล้วได้เลขฟีโบนักชีตัวถัดไป ใช่ไหมครับ 63 00:02:22,412 --> 00:02:23,807 เพราะมันถูกสร้างมาแบบนั้น 64 00:02:23,807 --> 00:02:25,580 แต่คุณคงไม่คาดคิดว่าจะมีอะไรพิเศษ 65 00:02:25,580 --> 00:02:28,656 เกิดขึ้นเมื่อคุณบวกเลขกำลังสองเข้าด้วยกัน 66 00:02:28,656 --> 00:02:30,002 แต่ลองดูนี่ครับ 67 00:02:30,002 --> 00:02:32,003 1 บวก 1 ได้ 2 68 00:02:32,003 --> 00:02:34,765 1 บวก 4 ได้ 5 69 00:02:34,765 --> 00:02:36,960 5 บวก 9 ได้ 13 70 00:02:36,960 --> 00:02:40,173 9 บวก 25 ได้ 34 71 00:02:40,173 --> 00:02:42,832 และใช่ครับ มันเป็นระบบแบบแผนอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ 72 00:02:42,832 --> 00:02:44,453 ที่จริง มีอีกอย่างหนึ่ง 73 00:02:44,453 --> 00:02:46,297 สมมติว่าคุณอยากบวกเลขกำลังสอง 74 00:02:46,297 --> 00:02:48,795 ของเลขฟีโบนักชีตัวแรกๆ เข้าด้วยกัน 75 00:02:48,795 --> 00:02:50,403 ดูซิว่าจะเป็นอย่างไร 76 00:02:50,403 --> 00:02:52,542 1 บวก 1 บวก 4 ได้ 6 77 00:02:52,542 --> 00:02:55,547 บวก 9 เข้าไปอีก ได้ 15 78 00:02:55,547 --> 00:02:57,760 บวก 25 เข้าไป ได้ 40 79 00:02:57,760 --> 00:03:00,551 บวก 64 เข้าไปอีก ก็ได้ 104 80 00:03:00,551 --> 00:03:02,203 ทีนี้ ดูเลขพวกนี้นะครับ 81 00:03:02,203 --> 00:03:04,587 มันไม่ใช่เลขฟีโบนักชี 82 00:03:04,587 --> 00:03:06,466 แต่ถ้าคุณดูดีๆ 83 00:03:06,466 --> 00:03:08,349 คุณจะเห็นเลขฟีโบนักชี 84 00:03:08,349 --> 00:03:10,527 ซ่อนอยู่ข้างใน 85 00:03:10,527 --> 00:03:12,597 เห็นไหมครับ เดี๋ยวผมบอกให้ 86 00:03:12,597 --> 00:03:16,330 6 คือ 2 คูณ 3 15 คือ 3 คูณ 5 87 00:03:16,330 --> 00:03:18,389 40 คือ 5 คูณ 8 88 00:03:18,389 --> 00:03:21,317 2, 3, 5, 8, เห็นอะไรไหมล่ะครับ 89 00:03:21,317 --> 00:03:22,504 (เสียงหัวเราะ) 90 00:03:22,504 --> 00:03:24,659 ฟีโบนักชีไง! 91 00:03:24,659 --> 00:03:28,442 ทีนี้ นอกจากการค้นพบแบบแผนที่เป็นระบบนี้จะสนุกแล้ว 92 00:03:28,442 --> 00:03:30,924 การทำความเข้าใจว่าทำไมมันจึงเป็นแบบนี้ 93 00:03:30,924 --> 00:03:32,882 ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ 94 00:03:32,882 --> 00:03:34,771 เรามาดูสมการเมื่อกี้กัน 95 00:03:34,771 --> 00:03:38,639 ทำไมเลขยกกำลังสองของ 1, 1, 2, 3, 5, และ 8 96 00:03:38,639 --> 00:03:41,184 จึงรวมกันได้เท่ากับ 8 คูณ 13 97 00:03:41,184 --> 00:03:44,145 ผมจะแสดงให้ดูด้วยภาพวาดง่ายๆ 98 00:03:44,145 --> 00:03:46,832 เราเริ่มจากสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด 1 คูณ 1 99 00:03:46,832 --> 00:03:50,997 แล้วเราก็วางสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด 1 คูณ 1 อีกอันลงไป 100 00:03:50,997 --> 00:03:54,405 รวมกัน เราก็ได้สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 1 คูณ 2 101 00:03:54,405 --> 00:03:56,954 ทีนี้ผมจะวางสี่เหลี่ยมขนาด 2 คูณ 2 ลงไปข้างล่าง 102 00:03:56,954 --> 00:03:59,749 แล้วก็ สี่เหลี่ยมขนาด 3 คูณ 3 ไว้ข้างๆ 103 00:03:59,749 --> 00:04:01,750 ต่อด้วยสี่เหลี่ยมขนาด 5 คูณ 5 ไว้ข้างล่าง 104 00:04:01,750 --> 00:04:03,662 แล้วก็สี่เหลี่ยมขนาด 8 คูณ 8 ไว้ข้างๆ 105 00:04:03,662 --> 00:04:06,234 จนได้สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ใช่ไหมครับ 106 00:04:06,234 --> 00:04:08,150 ทีนี้ ผมขอถามคำถามง่ายๆ 107 00:04:08,150 --> 00:04:11,806 สี่เหลี่ยมผืนผ้านี้มีพื้นที่เท่าไหร่ครับ 108 00:04:11,806 --> 00:04:13,777 จะคิดอย่างนี้ก็ได้ ว่า 109 00:04:13,777 --> 00:04:16,307 มันคือผลรวมของพื้นที่ 110 00:04:16,307 --> 00:04:18,173 ของสี่เหลี่ยมจตุรัสที่อยู่ข้างใน 111 00:04:18,173 --> 00:04:19,532 เหมือนตอนที่เราสร้างมันขึ้นมา 112 00:04:19,532 --> 00:04:21,704 เราเอาเลข 1 ยกกำลังสอง บวก 1 ยกกำลังสอง 113 00:04:21,704 --> 00:04:23,937 บวก 2 ยกกำลังสอง บวก 3 ยกกำลังสอง 114 00:04:23,937 --> 00:04:26,536 บวก 5 ยกกำลังสอง บวก 8 ยกกำลังสอง ใช่ไหมครับ 115 00:04:26,536 --> 00:04:28,393 นั่นคือพื้นที่ที่เราได้ 116 00:04:28,393 --> 00:04:30,719 แต่จะคิดอีกอย่างก็ได้ เพราะมันเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า 117 00:04:30,719 --> 00:04:34,367 พื้นที่ก็เท่ากับความสูงคูณฐาน 118 00:04:34,367 --> 00:04:36,414 ความสูงก็คือ 8 119 00:04:36,414 --> 00:04:39,317 ส่วนฐานคือ 5 บวก 8 120 00:04:39,317 --> 00:04:43,255 ซึ่งก็คือเลขฟีโบนักชีตัวถัดไป เลข 13 ใช่ไหมครับ 121 00:04:43,255 --> 00:04:46,618 พื้นที่ของสี่เหลี่ยมผืนผ้านี้ก็เลยเท่ากับ 8 คูณ 13 122 00:04:46,618 --> 00:04:48,880 เพราะเราคำนวณพื้นที่อย่างถูกต้อง 123 00:04:48,880 --> 00:04:50,567 ด้วยสองวิธีที่แตกต่างกัน 124 00:04:50,567 --> 00:04:52,739 ตัวเลขนี้จึงตรงกัน 125 00:04:52,739 --> 00:04:56,130 นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเลขยกกำลังสองของ 1, 1, 2, 3, 5, และ 8 126 00:04:56,130 --> 00:04:58,421 จึงรวมกันได้เท่ากับ 8 คูณ 13 127 00:04:58,421 --> 00:05:00,795 ทีนี้ ถ้าเราทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ 128 00:05:00,795 --> 00:05:04,773 เราจะได้สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 13 คูณ 21 129 00:05:04,773 --> 00:05:07,167 21 คูณ 34 เช่นนี้ไปเรื่อยๆ 130 00:05:07,167 --> 00:05:08,576 ทีนี้ลองดูนี่นะครับ 131 00:05:08,576 --> 00:05:10,769 ถ้าคุณเอา 13 ตั้ง หารด้วย 8 132 00:05:10,769 --> 00:05:12,812 จะได้ 1.625 133 00:05:12,812 --> 00:05:16,239 ถ้าคุณเอาเลขมากตั้ง หารด้วยเลขน้อยไปเรื่อยๆ 134 00:05:16,239 --> 00:05:19,112 สัดส่วนที่ได้จะเข้าใกล้ 135 00:05:19,112 --> 00:05:21,765 1.618 มากขึ้นเรื่อยๆ 136 00:05:21,765 --> 00:05:25,066 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เรียกกันว่าสัดส่วนทองคำ (Golden Ratio) 137 00:05:25,066 --> 00:05:27,662 เป็นตัวเลขที่ทำให้นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ 138 00:05:27,662 --> 00:05:30,908 และศิลปินต่างพากันหลงใหลมาหลายศตวรรษ 139 00:05:30,908 --> 00:05:33,139 เอาล่ะ ที่ผมแสดงตัวเลขชุดนี้ให้คุณดู 140 00:05:33,139 --> 00:05:35,164 ก็เพราะ มันเหมือนกับเรื่องอื่นๆ ในคณิตศาสตร์ 141 00:05:35,164 --> 00:05:37,131 คือ ผมว่ามันมีด้านที่สวยงาม 142 00:05:37,131 --> 00:05:39,146 ซึ่งไม่ได้รับความสนใจมากนัก 143 00:05:39,146 --> 00:05:40,713 ในโรงเรียนของเรา 144 00:05:40,713 --> 00:05:43,546 เราใช้เวลามากมายเรียนการคำนวณ 145 00:05:43,546 --> 00:05:46,302 แต่โปรดอย่าลืมด้านการใช้ประโยชน์ 146 00:05:46,302 --> 00:05:49,756 รวมทั้งประโยชน์ที่อาจจะสำคัญที่สุด 147 00:05:49,756 --> 00:05:51,832 นั่นคือการเรียนรู้ที่จะคิด 148 00:05:51,832 --> 00:05:53,789 ถ้าผมสามารถสรุปเรื่องนี้ด้วยประโยคเดียว 149 00:05:53,789 --> 00:05:55,250 ผมขอบอกว่า 150 00:05:55,250 --> 00:05:58,610 คณิตศาสตร์ไม่ใช่แค่การแก้สมการหาค่า X 151 00:05:58,610 --> 00:06:01,535 แต่มันคือการค้นหา "why" หรือเหตุผลว่า "ทำไม" ด้วย 152 00:06:01,535 --> 00:06:03,350 ขอบคุณมากครับ 153 00:06:03,350 --> 00:06:07,757 (เสียงปรบมือ)