คริส แอนเดอร์สัน: คุณเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ ทางคณิตศาสตร์ก็ว่าได้ คุณได้สอนที่ฮาร์วาด และ เอ็มไอที ตอนอายุน้อย และจากนั้น เอนเอสเอ ก็เรียกตัว มันเป็นอย่างไรบ้างครับ จิม ไซม่อนส์: เออ เอ็นเอสเอ -- นั่นคือ หน่วยความมั่นคงแห่งชาติ-- พวกเขาไม่ได้เรียกมาจริงๆ หรอกครับ พวกเขามีปฏิบัติการที่พรินส์ตัน ที่ซึ่งพวกเขาจ้างนักคณิตศาสตร์ ให้โจมตีรหัสลับ และอะไรแบบนั้น และผมรู้ว่ามันมีอยู่จริง และพวกเขาก็มีนโยบายที่ดีมากๆ เพราะคุณสามารถทำงานครึ่งเวลา กับคณิตศาสตร์ของคุณ และทำงานให้พวกเขาอย่างน้อนครึ่งเวลา และพวกเขาก็จ่ายให้เยอะด้วย ฉะนั้น นั่นเป็นการดึงตัวที่ยากที่จะยั้งได้ ผมก็เลยไปที่นั่น คริส: คุณเคยเป็นคนถอดรหัส จิม: เคยครับ คริส: จนกระทั่งคุณโดนไล่ออก จิม: อืม ผมถูกไล่ออก ใช่ครับ คริส: เป็นไงมาไงครับ จิม: อืม ยังไงน่ะหรอ ผมถูกไล่ออก เพราะว่า อืม ตอนนั้นเกิดสงครามเวียดนาม และหัวหน้าของหัวหน้าทั้งหลายในองค์กรผม เป็นแฟนพันธ์ุแท้สงคราม และเขียนบทความในนิตยสารนิวยอร์คไทมส์ ในหัวเรื่องจากปก เกี่ยวกับว่าเราจะชนะสงครามเวียดนามได้อย่างไร และผมไม่ชอบสงคราม ผมคิดว่ามันโง่เง่า ผมเลยเขียนจดหมายไปยังไทมส์ ซึ่งพวกเขาก็ตีพิมพ์ ว่าไม่ใช่ทุกคนหรอกที่ทำงานให้กับ แม็กซ์เวล เทเลอร์ ถ้าใครสักคนจะจำชื่อนั้นได้ เห็นด้วยกับแนวคิดของเขา และผมก็ให้เหตุผลของผม ... คริส: โอ้ โอเค ผมเห็นได้ว่านั่นอาจจะ -- จิม: ... ซึ่งมันต่างจากความคิดของ นายพลเทเลอร์ แต่สุดท้ายแล้ว ไม่มีใครยอมพูดอะไร แต่หลังจากนั้น ผมอายุ 29 ในตอนนั้น และก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาหาผม และพูดว่า เขาเป็นนักข่าว จากนิตยสารนิวส์วีค และเขาอยากจะสัมภาษณ์ผม และถามว่าผมทำอย่างไรกับความคิดของผม และผมบอกเขาไปว่า "ส่วนใหญ่ผมกำลัง ทำงานด้านคณิตศาสตร์ตอนนี้ และเมื่อสงครามจบ จากนั้นผมจะทำงานส่วนใหญ่ให้พวกเขา" จากนั้น ผมทำแต่เรื่องต้องใช้สมอง ที่ผมควรจะทำในตอนนั้น -- ผมบอกเจ้านายที่ผมอยู่ในสังกัด ว่าผมให้สัมภาษณ์ เขาถามว่า "คุณพูดว่าอะไร" ผมก็บอกเขาไปว่าผมพูดอะไร จากนั้น เขาบอกว่า "ผมต้องโทรหาเทเลอร์" เขาโทรหาเทเลอร์ ใช้เวลา 10 นาที ผมถูกไล่ออกห้านาทีหลังจากนั้น คริส: โอเค จิม: แต่มันก็ไม่เลว คริส: ก็ไม่เลวเลย เพราะว่าคุณได้ไปที่สโตนี่ บรู๊ค และรับงานเป็นนักคณิตศาสตร์ คุณเริ่มทำงานกับผู้ชายคนนี้ เขาเป็นใครครับ จิม: โอ้ [ชิยิง-เชน] เฉิน เฉินเป็นนักคณิตศาสตร์ที่เจ๋งที่สุดในศตวรรษนี้ และผมรู้จักเขา ตอนผมเป็นนักเรียนระดับปริญญาที่เบิร์กลีย์ และผมก็มีความคิดบางอย่าง และไปนำไปเสนอเขา และเขาก็ชอบพวกมัน เราทำงานนี้ด้วยกัน ซึ่งคุณคงเห็นได้ นั่นแหละครับ คริส: มันนำคุณไปสู่การตีพิมพ์ ผลงานชื่อดังร่วมกัน คุณอธิบายให้เราเข้าใจได้ไหมครับ ว่ามันเป็นงานเกี่ยวกับอะไร จิม: ไม่ได้ครับ (เสียงหัวเราะ) จิม: ผมหมายถึง ผมคงอธิบายให้บางคนเข้าใจได้ (เสียงหัวเราะ) คริส: แล้วถ้าอธิบายอันนี้ล่ะครับ จิม: คงได้กับไม่กี่คนหรอกครับ ไม่มากหรอก คริส: ผมคิดว่าคุณบอกผมว่า มันมีอะไรเกี่ยวกับทรงกลม ลองเริ่มจากตรงนั้นไหมครับ จิม: ครับ มันเกี่ยวครับ แต่ผมขอพูดเกี่ยวกับงานนั้น -- มันเกี่ยวข้องกันนะครับ แต่ก่อนที่ผมจะพูดถึงเรื่องนั้น -- งานนั้นมันเป็นคณิตศาสตร์ชั้นดี ผมรู้สึกชอบมันมาก เฉินก็เช่นกัน มันเป็นจุดเริ่มต้นของสาขาย่อยเล็กๆ ที่ตอนนี้กำลังเติบโต แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น มันสามารถนำไปใช้กับฟิสิกส์ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่รู้จักมันเลย -- อย่างน้อยผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฟิสิกส์ และผมไม่คิดว่าเฉินก็ไม่ได้รู้มาก และประมาณ 10 ปีหลังจากงานตีพิมพ์ออกมา ชายที่ชื่อว่า เอ็ด วิทเทน ในพรินสตัน เริ่มที่จะใช้มันกับทฤษฎีสตริง และคนในรัสเซียก็เริ่มจะใช้มัน กับสิ่งที่เรียกว่า "สสารควบแน่น" ทุกวันนี้ สิ่งเหล่านั้นที่ถูกเรียกว่า ค่าคงที่ เฉิน-ไซมอนส์ ได้กระจายออกมาทั่วทั้งวงการฟิสิกส์ และมันก็น่าทึ่ง เราไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับฟิสิกส์ มันไม่เคยเกิดขึ้นกับผม ที่จะรู้สึกว่ามันน่าจะใช้กับฟิสิกส์ได้ แต่นั่นแหละคณิตศาสตร์ -- คุณไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คริส: มันเหลือเชื่อมากเลยครับ ฉะนั้น เรากำลังพูดถึงเรื่องการวิวัฒนาการ ของความคิดมนุษย์ ที่อาจ หรืออาจจะไม่สัมผัสกับความจริง อย่างไรก็ดี คุณคิดทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ได้ โดยไม่รู้เรื่องฟิสิกส์ แล้วค้นพบในอีกสองทศวรรษต่อมา ว่ามันถูกนำไปปรับใช้ได้ เพื่ออธิบายโลกทางฟิสิกส์อย่างลึกซึ้ง มันเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ จิม: พระเจ้าคงทราบครับ (เสียงหัวเราะ) แต่มีนักฟิสิกส์ชื่อดังชื่อว่า [ยูจีน] วิกเนอร์ และเขาเขียนบทความเกี่ยวกับ ประสิทธิภาพที่ไม่สมเหตุสมผลของคณิตศาสตร์ อย่างไรก็ดี คณิตศาสตร์นี้ ซึ่งหยั่งรากในโลกแห่งความจริง ในบางแง่มุม -- เราเรียนรู้ที่จะนับ จะวัด ทุกๆ คนก็ทำกัน -- และจากนั้นมันก็เติบโตด้วยตัวของมัน แต่บ่อยครั้ง มันก็ย้อนกลับมาเพื่อกู้วิกฤติ ทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปเป็นตัวอย่างหนึ่ง [เฮอร์มัน] มินคอฟฟสกี มีเรขาคณิตนี้ และไอสไตน์ก็ตระหนักว่า "เฮ้ย นี่มันใช่เลย ที่ฉันจะใช้คำนวณสัมพันธภาพทั่วไป" ฉะนั้น คุณไม่อาจรู้เลย มันเป็นปริศนา มันคือปริศนา คริส: งั้น นี่คืองานทางคณิตศาสตร์แห่งความคงที่ เล่าให้เราฟังหน่อยครับ จิม: ครับ นั่นกระดิ่ง -- มันเป็นทรงกลม และมันก็มีโครงระแนงรอบๆ -- พวกตารางเหล่านั้น ที่ผมกำลังจะแสดงให้เห็นตอนนี้ ถูกสำรวจไว้แต่แรกโดย [เลโอนาร์ด] ยูเลอร์ นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ในยุค 1700 และมันก็ค่อยๆ เติบโต เป็นสาขาในวิชาคณิตศาสตร์ที่สำคัญมากๆ โทโพโลยีเชิงพีชคณิต, เรขาคณิต เอกสารตรงนั้นมีที่มาจากสิ่งนี้ ฉะนั้น มันเป็นอย่างนี้ครับ มันมีแปดจุดยอด 12 ขอบ, หกหน้า และถ้าคุณมองมันแบบต่าง -- จุดยอดหักออกด้วยขอบบวกด้วยหน้า -- คุณจะได้สอง โอเค ดี สอง นั่นเป็นเลขที่ดี นี่คือวิธีการที่แตกต่างในการทำ -- นี่คือส่วนที่เป็นสามเหลี่ยมที่คลุมอยู่ ที่มี 12 จุดยอด และ 30 มุม และ 20 หน้า, 20 ช่อง จุดยอดหักออกด้วยขอบบวกด้วยหน้า ก็ยังคงเท่ากับสอง อันที่จริง คุณสามารถทำแบบนี้ แบบไหนก็ได้ -- คลุมสิ่งนี้ด้วยโพลีกอนและสามเหลี่ยม แบบใดๆ ก็ตาม และผสมมันเข้าด้วยกัน และคุณเอาจุดยอดลบด้วยขอบ บวกด้วยหน้า -- คุณจะได้สอง นี่คือรูปที่ต่างกัน นี่คือทรงห่วงยาง หรือพื้นผิวของโดนัท 16 จุดยอด ถูกปกคลุมโดยสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหล่านี้ 32 มุม 16 หน้า จุดยอดหักออกด้วยขอบได้คำตอบเป็นศูนย์ มันออกมาเป็นศูนย์เสมอ ทุกครั้งทีคุณปกคลุมทรงห่วงยาง ด้วยสี่เหลี่ยมหรือสามเหลี่ยม หรืออะไรแนวนั้น คุณจะได้ศูนย์ ฉะนั้นมันจึงถูกเรียกว่า ลักษณะ ยูเลอร์ และมันเป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า ค่าคงที่โทโพโลจี มันน่าอัศจรรย์ไม่น้อย ไม่ว่าคุณจะทำอย่างไรกับมัน คุณจะได้ตำคอบเดิมเสมอ ฉะนั้น นั่นเป็นแหล่งแรกของผลักดัน จากกลางยุค 1700 เข้าไปในเรื่องซึ่งตอนนี้เรียกว่า โทโพโลจีเชิงเรขาคณิต คริส: และงานของคุณใช้แนวคิดแบบนี้ และขับเคลื่อนมัน เข้าไปยังทฤษฎีที่มีมิติมากกว่านั้น วัสดุที่มีมิติมาก และค้นพบค่าคงที่ใหม่ จิม: ครับ มันมีค่าคงที่มิติมากอยู่แล้ว คลาส พอนทริอจิน (Pontryagin) -- อันที่จริงมันมีคลาส เฉิน มันมีสาขาของชนิดค่าคงที่เหล่านี้ ผมพยายามที่จะทำงานกับหนึ่งในนั้น และการจำลองมันค่อนข้างจะเกี่ยวกับการจัดการ แทนที่จะเป็นในวิธีแบบที่เราทำกันทั่วไป และนั่นก็นำไปสู่งานนี้ และเราก็ได้เปิดเผยสิ่งใหม่บางอย่าง แต่ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะ คุณ ยูเลอร์ -- ผู้เขียนงานทางคณิตศาสตร์ไว้ถึง 70 ฉบับ และมีลูกๆ 13 คน ที่คงนั่งโยกขึ้นลงบนตักของเขา ขณะที่เขาเขียนสิ่งเหล่านี้ -- ถ้ามันไม่ใช่เพราะคุณ ยูเลอร์ มันก็คงจะไม่มีค่าคงที่พวกนี้ คริส: ครับ ฉะนั้น อย่างน้อย นั่นก็ทำให้เราได้ผู้ที่มีความคิดเป็นเลิศ มาพูดถึงการฟื้นฟูใหม่กันดีกว่า เพราะว่าคุณเอาคิดที่เป็นเลิศ และเคยเป็นคนถอดรหัสที่เอ็นเอสเอ คุณเริ่มที่จะกลายเป็นคนถอดรหัส ในอุตสาหกรรมการเงิน ผมคิดว่าคุณอาจไม่เชื่อ ทฤษฎีที่มีประสิทธิภาพทางการตลาด อย่างไรก็ดี คุณพบหนทางที่จะสร้างเงินได้ ที่น่าทึ่งในรอบสองทศวรรษ ผมได้รับทราบมาว่า สิ่งน่าทึ่งที่คุณได้ทำ ไม่ใช่เพียงแค่ ขนาดของผลตอบแทนทางการเงิน แต่เป็นการที่คุณได้พวกมันมา ด้วยความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่น้อยเหลือเชื่อ เมื่อเทียบกับ อุตสาหกรรมกองทุนบริหารความเสี่ยงอื่นๆ คุณทำอย่างนั้นได้อย่างไรครับ จิม: ผมทำมันโดยการรวมเข้ากลุ่มคนที่ยอดเยี่ยม และผมก็เริ่มทำการค้า ผมเริ่มเบื่อคณิตศาสตร์นิดหน่อย ผมอยู่ในวัย 30 ปลายๆ มีเงินไม่มาก ผมเริ่มทำการค้า และมันก็ไปได้สวยมาก ผมทำเงินได้ค่อนข้างมากเพราะโชคช่วย คือผมหมายถึง ผมคิดว่ามันมาจากโชคล้วนๆ มันไม่ใช่เพราะแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ แต่เมื่อมองดูข้อมูลสักพัก ผมก็รู้ว่า มันดูเหมือนมีโครงสร้างบางอย่างตรงนั้น และผมก็จ้างนักคณิตศาสตร์จำนวนหนึ่ง และเริ่มสร้างแบบจำลอง -- เป็นอะไรบางอย่างที่เราทำ ตอนอยู่ที่ ไอดีเอ [สถาบันวิเคราะห์ความมั่นคง] คุณออกแบบอัลกอริธึม คุณทดสอบมันในคอมพิวเตอร์ มันได้ผมไหม หรือมันไม่ได้ผล อะไรแบบนั้น คริส: ขอผมดูได้ไหมครับ เพราะว่านี่เป็นกราฟทั่วๆ ไปของโภคภัณฑ์ ผมมองดูแล้วผมก็บอกว่า "นั่นมันก็แค่ขึ้นๆ ลงๆ แบบสุ่ม -- บางทีแนวโน้มขึ้นนิดหน่อย ตลอดช่วงเวลา" เป็นไปได้อย่างไรที่คุณมองที่สิ่งนั้น และเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ได้เป็นแค่อะไรอย่างสุ่ม จิม: ในอดีต -- มันคือ กราฟในแบบเก่าๆ โภคภัณฑ์ หรือการแลกเปลี่ยนค่าเงิน มีแนวโน้มทิศทาง ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแนวโน้มที่อ่อนมาก ที่คุณเห็นตรงนี้ แต่อาจเป็นแนวโน้มในช่วง และถ้าคุณคิด โอเค ผมกำลังจะคาดเดาวันนี้ โดยความเคลื่อนไหวเฉลี่ยใน 20 วันที่ผ่านมา -- บางที นั่นอาจเป็นการคาดเดาที่ดี และอันที่จริง หลายปีก่อน ระบบที่ว่านี้น่าจะได้ผล -- ไม่ค่อยดีนัก แต่น่าจะได้ผล คุณอาจทำเงิน คุณอาจเสียเงิน คุณอาจได้เงิน แต่มันมีค่าเทียบเท่ากับทั้งปี และคุณอาจทำเงินได้นิดหน่อยระหว่างช่วงนั้น มันเป็นระบบที่เก่ามาก คริส: ฉะนั้น คุณอาจะทดสอบหลายๆ แนวโน้ม และดูว่า ยกตัวอย่างเช่น แนวโน้ม 10 วัน หรือ 15 วัน ใช้คาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปได้หรือไม่ จิม: แน่นอน คุณอาจลองทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้น และดูว่าอะไรที่ใช้การได้ดีที่สุด สิ่งที่เป็นไปตามแนวโน้มอาจดีในยุค 60 และมันก็แบบว่าใช้ได้ในยุค 70 แต่พอถึงยุค 80 มันก็ไม่ได้เรื่อง คริส: เพราะว่าใครๆ ก็คงเห็นมัน แล้ว คุณนำหน้าคนอื่นๆ ได้อย่างไรครับ จิม: พวกเราล้ำหน้าคนอื่นๆ โดยหาวิธีอื่น -- วิธีระยะสั้นกว่า ในบางแง่มุม จริงๆ ก็คือการรวบรวม เอาข้อมูลปริมาณมาก และเราต้องจัดการมันด้วยมือในอดีต พวกเราไปยังแหล่งสำรองกลาง และคัดลอก ค่าการแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์ และอะไรพวกนั้น เพราะว่ามันไม่ปรากฏในคอมพิวเตอร์ พวกเราได้ข้อมูลมากมาย และคนที่ฉลาดมากๆ -- นั่นคือกุญแจสำคัญ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะจ้างคนมาทำการค้าพื้นฐาน ได้อย่างไร ผมเคยจ้างมาบ้าง -- บางคนก็ทำเงิน บางคนก็ไม่ทำเงิน ผมไม่ได้สร้างธุรกิจจากสิ่งนั้น แต่ผมรู้ว่าจะจ้างนักวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร เพราะว่า ผมมีประสบการณ์ในภาคส่วนนั้น ฉะนั้น นั่นคือสิ่งที่เราทำ และแบบจำลองเหล่านี้ก็ดีขึ้น และดีขึ้น อย่างช้าๆ และดียิ่งๆ ขึ้น คริส: คุณได้รับการกล่าวอ้างว่า ได้ทำสิ่งที่สำคัญในยุคการฟื้นฟู ซึ่งคือการสร้างวัฒนธรรมนี้ สร้างคนกลุ่มนี้ ผู้ซึ่งไม่ได้เป็นแค่มือปืนรับจ้าง ที่ใช้เงินหลอกล่อให้ทำงานได้ ความมุ่งมั่นของพวกเขา คือการได้ทำงานกับคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จิม: เราหวังว่ามันควรจะจริง แต่บางส่วนของมันก็คือเงิน คริส: พวกเขาจะทำเงินมาก จิม: ผมไม่อาจบอกได้ว่า ไม่มีใครมาที่นี่ เพราะว่าเงิน ผมคิดว่าหลายๆ คนมาก็เพราะเงิน แต่พวกเขายังมา เพราะว่ามันน่าจะสนุก คริส: การเรียนรู้ของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีบทบาทในเรื่องนี้อย่างไรครับ จิม: ในบางแง่มุม สิ่งที่เราทำคือการเรียนรู้ของเครื่องคอมพิวเตอร์ คุณมองที่ข้อมูลมากมาย และพยายามกระตุ้น รูปแบบที่คาดเดาได้ต่างๆ จนกระทั่งคุณทำได้ดีขึ้น และดีขึ้น มันไม่จำเป็นที่มันจะต้องสนองตอบต่อตัวเอง ในแบบที่เราทำ แต่มันก็ได้ผล คริส: รูปแบบที่คาดเดาได้ต่างๆ เหล่านี้ อาจแปลกประหลาด และเหนือการคาดเดา ผมหมายถึง คุณดูที่ทุกอย่าง ใช่ไหมครับ คุณดูสภาพดินฟ้าอากาศ ความยาวของกระโปรง ความคิดเห็นทางการเมือง จิม: ครับ ความยาวของกระโปรง เราไม่ได้ลอง คริส: แล้วอะไรครับ จิม: ก็ทุกอย่างล่ะครับ ทุกอย่างที่วิเคราะห์ย่อยลงไปได้ -- ยกเว้นความยาวชายผ้า อากาศ, รายงานประจำปี รายงานไตรมาส, ประวัติของตัวข้อมูลเอง, ปริมาณ ว่ามาได้เลย อะไรก็ตามที่มี พวกเรานำข้อมูลหลายเทระไบต์เข้ามาทุกวัน และเก็บมันและส่งมัน และทำให้มันพร้อมสำหรับการวิเคราะห์ คุณมองหาความผิดปกติ คุณกำลังมองหา -- อย่างที่คุณบอก สมมติฐานตลาดที่มีประสิทธิภาพ มันไม่ถูกต้อง คริส: แต่ความผิดปกติใดๆ อาจเป็นแค่สิ่งบังเอิญ แล้ว ความลับคือแค่มองที่ความผิดปกติต่างๆ หลายๆ อย่าง และดูว่าเมื่อไรที่มันอยู่ในแนวเดียวกันใช่ไหมครับ จิม: ความผิดปกติใดๆ อาจเป็นเรื่องอย่างสุ่ม อย่างไรก็ดี ถ้าคุณมีข้อมูลเพียงพอ คุณสามารถบอกว่ามันไม่ใช่ คุณสามารถเห็นความผิดปกติที่ยังคงอยู่ เป็นเวลานานอย่างมีนัยสำคัญ ความน่าจะเป็นของมันที่เป็นอย่างสุ่ม ไม่ได้สูง แต่สิ่งเหล่านี้จางหายไปหลังจากช่วงหนึ่ง ความผิดปกติอาจถูกทำให้หายไป ฉะนั้น คุณจะต้องเป็นผู้นำของธุรกิจ คริส: หลายคนตอนนี้มองที่ อุตสาหกรรมกองทุนบริหารความเสี่ยง แล้วก็แบบว่า ... ตะลึงไปเลย ที่ว่ามันสร้างความมั่งคั่งมากมายเหลือเกิน และมีคนเก่งๆ มากมายไปยังที่นั่น คุณกังวลบ้างไหมครับ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมนั่น แล้วก็อุตสาหกรรมการเงินในแบบทั่วไป แบบว่าเหมือนอยู่บนรถไฟที่วิ่งหนีออกไป ที่ -- ผมไม่รู้สิครับ -- ที่ช่วยเพิ่มความไม่เท่าเทียมกันหรือเปล่าครับ คุณจะเอาชนะมันอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในอุตสาหกรรมกองทุนบริหารความเสี่ยง จิม: ผมคิดว่าในสามหรือสี่ปีที่ผ่านมา กองทุนบริหารความเสี่ยงไม่ได้เป็นไปอย่างดี เราทำได้อย่างยอมเยี่ยมเลยล่ะ แต่อุตสาหกรรมกองทุนบริหารความเสี่ยง ในภาพรวม ไม่ได้เป็นไปอย่างสวยงาม ตลาดหลักทรัพย์ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง อยู่ในขาขึ้นอย่างที่ทุกคนทราบ และอัตราส่วนผลตอบแทนทางด้านราคาก็เติบโต ฉะนั้นความมั่งคั่งมากมายที่ถูกสร้างขึ้นใน -- เอาเป็นว่า ห้าหรือหกปีให้หลัง -- ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยกองทุนบริหารความเสี่ยง คนอาจถามผมว่า "กองทุนบริหารความเสี่ยงเป็นอย่างไร" ผมจะบอกว่า "หนึ่ง และ 20 " ซึ่งหมายถึง -- ตอนนี้มันสอง และ 20 -- ค่าธรรมเนียมคงที่สองเปอร์เซ็นต์ และกำไร 20 เปอร์เซ็นต์ กองทุนบริหารความเสี่ยงเป็นอะไรที่ต่างออกไป คริส: ว่ากันว่า คุณเก็บค่าธรรมเนียม ให้สูงขึ้นกว่านั้นอีกนิด จิม: เราเก็บค่าธรรมเนียม ที่สูงที่สุดในโลกครั้งหนึ่ง ห้า และ 44 นั่นคือสิ่งที่เราเก็บ คริส: ห้า และ 44 งั้นก็ คงที่ห้าเปอร์เซ็นต์ และส่วนเพิ่ม 44 เปอร์เซ็นต์ คุณยังเงินทำให้ผู้ลงทุนของคุณ อย่างมากมายน่าทึ่ง จิม: เราได้ผลตอบแทนกับมาดี ใช่ครับ หลายคนหัวเสียเอามากๆ: "คุณเก็บค่าธรรมเนียมซะสูงได้อย่างไร" ผมบอกว่า "โอเค คุณถอนออกไปก็ได้นะ" แต่ "ผมจะได้มากกว่านี้ได้อย่างไรล่ะ" นั่นแหละที่คนเป็น -- (เสียงหัวเราะ) ณ จุดหนึ่ง อย่างที่ผมคิดว่าผมบอกคุณ เราซื้อจากนักลงทุนทั้งหมด เพราะมันมีกำลังผลิตสำหรับกองทุน คริส: แต่เราควรกังวลไหมเกี่ยวกับ อุตสาหกรรมกองทุนบริหารความเสี่ยง ที่จะดึงนักคณิตศาสตร์เยี่ยมๆ และผู้มีพรสวรรค์อื่นๆของโลก มากเกินไป เพื่อให้ทำงานกับสิ่งนั้น แทนที่จะไปแก้ปัญหาอื่นๆ ในโลก จิม: ครับ มันไม่ใช่แค่คณิตศาสตร์ เราจ้างนักบินอวกาศ และนักฟิสิกส์ และอะไรแนวนั้น ผมไม่คิดว่าเราจะต้องกังวลเกี่ยวกับมันมากนัก มันยังคงเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก และอันที่จริง การนำวิทยาศาสตร์ มาสู่โลกแห่งการลงทุน ได้พัฒนาโลกดังกล่าว มันลดความไม่แน่นอน มันเพิ่มสภาพคล่อง การกระจายตัวนั้นแคบลง เพราะว่าคนค้าอะไรแนวๆ นั้น ฉะนั้น ผมไม่กังวลเท่าไร ถ้าไอสไตน์ ลุกขึ้นมาและเริ่มตั้งกองทุนบริหารความเสี่ยง คริส: ตอนนี้ คุณอยู่ในช่วงหนึ่งในชีวิตของคุณ ที่คุณจะลงทุนจริงๆ แม้ว่า สุดท้ายที่ปลายห่วงโซ่อุปทาน -- ที่จริงคุณกำลังเร่งคณิตศาสตร์ไปทั่วอเมริกา นี่คือภรรยาของคุณ มาริลิน คุณกำลังทำงานเกี่ยวกับการกุศลด้วยกัน เล่าให้ผมฟังหน่อยสิครับ จิม: ครับ มาริลิน ก่อตั้ง -- นั่นครับ เธออยู่ตรงนั้น ภรรยาคนสวยของผม -- เธอก่อตั้งมูลนิธิมาเกือบ 20 ปีแล้ว ผมคิดว่าตั้งแต่ยุคปี 94 ผมบอกว่า 93 แต่เธอบอกว่ามันเป็น 94 แต่มันก็สักปีในสองปีนั้นแหละครับ (เสียงหัวเราะ) เราก่อตั้งมูลนิธิ เป็นวิธีง่ายๆ ที่เราจะได้ทำการกุศล เราเก็บหนังสือ และทำสิ่งอื่นๆ เราไม่ได้มีวิสัยทัศน์ในเวลานั้น แต่วิสัยทัศน์ก็ค่อยๆ เกิดขึ้นมา -- ซึ่งคือการจะมุ่งความสนใจ ไปยังคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และนั่นคือสิ่งที่เราทำ ราวๆ หกปีก่อน ผมออกจากยุคเรืองอำนาจ และผมไปทำงานที่มูลนิธิ และนั่นคือสิ่งที่เราทำ คริส: และคณิตศาสตร์สำหรับอเมริกา โดยหลักแล้วก็คือ การลงทุนกับครูคณิตศาสตร์ทั่วทั้งประเทศ จัดให้พวกเขามีรายได้เพิ่ม ให้การสนับสนุนพวกเขา และให้การอบรม และได้พยายามจริงๆ ที่จะทำให้มันมีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้มันเป็นการเรียกร้อง ที่บรรดาครูต่างปรารถนาให้มีขึ้น จิม: ครับ -- แทนที่จะหวดครูแย่ๆ ซึ่งก่อปัญหาทางจรรยาบรรณ ให้กับทั้งวงการการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เรามุ่งไปที่การเฉลิมฉลองให้กับคนดี และให้การยกย่องพวกเขา ครับ พวกเราให้เงินเพิ่มเติมกับพวกเขา 15,000 ดอลล่าร์ต่อปี เรามีครูคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ 800 คน ในมหานครนิวยอร์ค ในโรงเรียนรัฐทุกๆ วันนี้ เป็นแกนหลัก พวกเขามีจรรยาบรรณที่ดี พวกเขาคงอยู่ในวงการนี้ ปีถัดไป มันจะกลายเป็น 1,000 คน และนั่นจะเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ ของครูคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ในโรงเรียนรัฐใน [นคร] นิวยอร์ก (เสียงปรบมือ) คริส: จิม นี่คืออีกโครงการหนึ่ง ที่คุณให้การสนับสนุนในเชิงการกุศล: การทำวิจัยในเรื่องต้นกำเนิดชีวิต ผมเดาว่าอย่างนั้น ที่เรากำลังมองอยู่นี่คืออะไรครับ จิม: ผมจะเก็บไว้สักครู่ และจากนั้นผมจะบอกคุณ ว่าคุณกำลังมองอะไรอยู่ กำเนิดชีวิตเป็นคำถามที่น่าสนใจ เรามาถึงที่นี่ได้อย่างไร ครับ มันมีสองคำถาม อย่างแรกคือ ทางนั้นคืออะไร จากธรณีวิทยา ถึง ชีววิทยา -- พวกเรามาถึงนี่ได้อย่างไร และอีกคำถามคือ เราเริ่มต้นด้วยอะไร วัสดุสารอะไร ถ้ามันจะมี เราจะต้องทำตามหนทางนี้หรือ นั่นคือสองคำถามที่น่าสนใจอย่างมาก คำถามแรกคือทางที่ซับซ้อน จากธรณีวิทยาไปจนถึงอาร์เอ็นเอ หรืออะไรบางอย่างเช่น -- พวกมันได้ทำงานได้อย่างไร และสิ่งอื่นๆ เราต้องลงมือทำงานกับอะไร ครับ มันมากกว่าที่เราคิด ภาพตรงนี้ คือดาวที่กำลังถูกสร้างขึ้น ตอนนี้ ทุกๆ ปี ในทางช้างเผือกของเรา ซึ่งมีดาวแสนล้านดวง ดาวใหม่ประมาณสองดวงถูกสร้างขึ้น อย่าถามผมว่ามันถูกสร้างอย่างไร แต่พวกมันถูกสร้างขึ้น และมันใช้เวลาประมาณล้านปี เพื่อให้เข้าที่ ฉะนั้น ในระยะที่คงที่ มีดาวประมาณสองล้านดวง ที่ถูกสร้างขึ้นได้ตลอดเวลา นั่นเป็นสักแห่งหนึ่ง ในระยะที่จะเข้าที่ และมันก็มีขยะเหล่านี้ วนเวียนอยู่รอบๆ ฝุ่น และอะไรพวกนั้น และมันอาจจะก่อตัวเป็นระบบสุริยจักรวาล หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ที่สำคัญก็คือ -- ในฝุ่นเหล่านี้ที่วนเวียน อยู่รอบๆ ดาวที่กำลังก่อกำเนิด ถูกพบว่ามีโมเลกุลอินทรีย์อย่างมีนัยสำคัญ โมเลกุลไม่ใช่แค่ที่เหมือนมีเธน แต่เป็นฟอร์มาดิไฮด์ และไซยาไนด์ -- สิ่งที่เป็นโครงสร้างหลัก -- และเป็นต้นกำเนิดของชีวิต จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ฉะนั้น มันอาจเป็นอะไรที่คาดเดาได้ และมันอาจะเป็นอะไรที่เดาได้ ว่าดาวเคราะห์ทั่วไปในจักรวาล เริ่มต้นจากบางโครงสร้างหลากพื้นฐานเหล่านี้ ทีนี้ นั่นมันหมายความว่า มันจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ทั่วไปงั้นหรือ ก็บางที แต่มันเป็นคำถามที่ว่าหนทางนี้ มันซับซ้อนแค่ไหน จากพวกนั้น ที่เริ่มต้นบอบบาง เมล็ดเหล่านั้น เรื่อยมาจนเป็นชีวิต และเมล็ดส่วนใหญ่เหล่านี้ จะตกลงสู่โลกที่รกร้าง คริส: ฉะนั้นสำหรับคุณ โดยส่วนตัวเลย การค้นหาคำตอบให้กับคำถามที่ว่า เรามาจากไหน สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นอะไรบางอย่างที่คุณอยากจะได้เห็น จิม: อยากจะเห็นมากครับ และอยากที่จะรู้ -- ถ้าหากหนทางนั้นซับซ้อนเหลือเกิน และแทบจะเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นด้วยอะไร คุณก็อาจมีความโดดเด่นเป็นเอกภาพได้ แต่ในอีกแง่หนึ่ง เทียบได้เสมือนธุลีอินทรีย์นี้ทั้งหมด ที่กำลังล่องลอยอยู่ เราก็สามารถมีเพื่อนมากมายในโลกกว้าง มันคงจะดีมากถ้าได้รู้ คริส: จิม สองสามปีมานี้ ผมได้มีโอกาสพูดกับ อีลอน มัสค์ และผมถามเขาถึงความลับความสำเร็จของเขา และเขาก็จริงจังกับฟิสิกส์ใช่ไหมครับ ฟังคุณแล้ว ที่ผมได้ยินจากคุณก็คือ ให้จริงจังกับคณิตศาสตร์ ที่อบอวนอยู่กับคุณมาทั้งชีวิต มันทำให้อนาคตที่ไม่มีขอบเขตกับคุณ และตอนนี้ มันอนุญาตให้คุณตรวจสอบ ในอนาคตของคนพันล้านและเด็กพันล้าน ทั่วแอฟริกาและที่อื่นๆ มันจะเป็นวิทยาศาสตร์ได้ไหมที่ได้ผล เป็นไปได้ไหมที่คณิตศาสตร์จะได้ผล จิม: ครับ คณิตศาสตร์มันได้ผลแน่ๆ คณิตศาสตร์ได้ผลอย่างแน่นอน แต่มันก็สนุกดีครับ การที่ได้ทำงานกับมาริลิน และ การได้มาปล่อยมันออกไปก็เป็นอะไรที่เพลินมากๆ คริส: ผมเพิ่งรู้ว่า -- มันเป็นแนวคิดที่สร้างแรงบันดาลใจสำหรับผม ที่ว่าการจริงจังกับความรู้ ให้อะไรมากกว่าที่คิด ขอขอบคุณมากสำหรับชีวิตที่น่าทึ่งของคุณ และขอบคุณที่มาที่ TED ครับ ขอบคุณครับ จิม ไซม่อนส์ ครับ (เสียงปรบมือ)