อาร์ เอส เอ แอนนิเมท เลน แมคกิลคริสต์ - ซีกสมอง และ การสร้างสังคมตะวันตก เรื่องราวการแบ่งซีกสมองนั้น เป็นสิ่งที่นักประสาทวิทยาไม่อยากพูดถึงอีกต่อไป มันเป็นเรื่องราวที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในทศวรรษที่ 60 และ 70 หลังจากการผ่าตัดแยกสมองครั้งแรก และมันก็กลายเป็นเรื่องที่รู้กันแพร่หลายโดยทั่วไป จากนั้นมากลับถูกพิสูจน์ว่าผิดทั้งหมด มันไม่จริงที่ว่าสมองส่วนหนึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเหตุผล และอีกส่วนหนึ่งเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก สมองทั้งสองส่วนเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งกับทั้งสองหน้าที่ มันไม่จริงที่ว่าการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับสมองซีกซ้าย ไม่ใช่ส่วนสำคัญในสมองซีกขวา มันไม่จริงที่ว่าการมองเห็นภาพขึ้นอยู่กับสมองซีกขวาเท่านั้น มันมีส่วนที่อยู่ในซีกซ้ายมากมาย และเมื่อความเชื่อเดิมๆ สิ้นไป ผู้คนจึงเลิกพูดถึงมัน แต่โดยแท้จริงปัญหาจะยังไม่หมดไป เพราะว่าอวัยวะนี้ [สมอง] ซึ่งทั้งหมดนั้นเกี่ยวกับการเชื่อมความสัมพันธ์ ถูกแบ่งแยกกันอย่างสลับซับซ้อน มันอยู่ภายในพวกเราทุกคน และมันถูกแบ่งแยกมากขึ้นตลอดเส้นทางพัฒนาการของมนุษย์ สัดส่วนของ "คอร์ปัส คาโลซัม" ต่อปริมาตรของ "เฮมิสเฟียร์" ได้เล็กลงตลอดช่วงวิวัฒนาการ และ เรื่องราวยิ่งสลับซับซ้อน เมื่อคุณตระหนักความจริงว่า ในการทำงานหลักหากไม่ใช่เป็นของ "คอร์ปัส คาโลซัม" โดยแท้จริงก็เพื่อยับยั้ง "เฮมิสเฟียร์" อีกข้างหนึ่ง ดังนั้นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่กำลังดำเนินไป เกี่ยวข้องกับการแยกส่วนต่างๆ ออกจากกัน และไม่เพียงแต่สมองจะอสมมาตร [ภาพวาดของสมองส่วน "ยาคอพเลเวียน ทอร์ค" มองจากด้านล่าง] มันกว้างกว่าตรงด้านหลังข้างซ้าย และกว้างกว่าตรงด้านขวาข้างหน้า และยื่นออกไปข้างหน้าและข้างหลัง มันราวกับว่ามีใครจับสมองไว้จากด้านล่าง และบิดมันไปตามเข็มนาฬิกา ทั้งหมดนั้นเกี่ยวกับอะไร? ถ้าใครต้องการเนื้อที่สมองมากขึ้น เขาจะทำมันขึ้นอย่างสมมาตร กะโหลกศีรษะนั้นสมมาตร กล่องที่ใช้บรรจุสิ่งเหล่านี้นั้น มีรูปทรงสมมาตร ทำไมต้องไปมีปัญหากับการขยาย "เฮมิสเฟียร์" ข้างหนึ่งออกนิดหน่อย และอีกข้างออกอีกนิดหน่อย เว้นแต่ว่าทั้งสองข้างทำหน้าที่ต่างกัน พวกมันทำหน้าที่อะไรเล่า? แน่ละ มันไม่ใช่แค่เราที่มีสมองแบ่งซีกเช่นนี้ นกต่างๆ และสัตว์อื่นๆ ต่างก็มีสมองในแบบเดียวกัน ผมคิดว่าวิธีง่ายที่สุดที่จะคิดถึงมัน ก็โดยการจินตนาการ นกพยายามเสาะหากินเมล็ดพืชจากพื้นที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดก้อนหิน มันต้องพุ่งเป้าสนใจในมุมแคบๆ และอย่างชัดเจน บนเมล็ดพืชเล็กๆ และสามารถจิกแยกมันออกมาจากกรวดบนพื้น แต่ในขณะเดียวกัน ถ้ามันจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป มันยังต้อง มีความระแวดระวังให้ความสนใจกับสิ่งต่างๆ รอบตัว มันต้องระวังสัตว์นักล่า, หรือสัตว์ที่เป็นมิตร, พวกเดียวกัน หรืออะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้น มันดูเหมือนว่าพวกนก และสัตว์ต่างๆ ต้องพึ่งพาใช้งานสมองซีกซ้ายของพวกมันมากทีเดียว สำหรับการเพ่งความสนใจในมุมแคบ ไปยังบางสิ่งที่พวกมันรู้จักอยู่แล้ว นับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกมัน และพวกมันใช้สมองซีกขวาคอยระวังภัยในมุมกว้าง สำหรับอะไรก็ตามที่อาจเกิดขึ้น โดยปราศจากการตระหนักรู้ว่าอะไรอาจเกิดขึ้น พวกมันใช้สมองซีกขวาด้วยสำหรับการเชื่อมความสัมพันธ์กับโลก ดังนั้นพวกมันจึงจับคู่ผสมพันธุ์กัน และผูกสัมพันธ์กับคู่ของพวกมันมากขึ้น ด้วยการใช้สมองซีกขวา แต่แล้วเมื่อคุณย้อนกลับมายังมนุษย์ มันเป็นความจริงว่า ในหมู่มนุษย์ด้วยกันนั้น การให้ความสนใจชนิดนี้ เป็นความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงอย่างหนึ่ง สมองซีกขวานั้นให้ความตื่นตัว เตรียมพร้อม ระแวดระวัง อย่างต่อเนื่อง ในมุมกว้าง เปิดโล่ง ส่วนสมองซีกซ้ายนั้นให้ความสนใจในรายละเอียด พุ่งเป้าสนใจในมุมแคบ ผู้คนที่สูญเสียสมองซีกขวาไปนั้น จะมีอาการที่ขอบเขตการให้ความสนใจสิ่งต่างๆ แคบลง [ปรากฏการณ์ร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้ได้รับความทุกข์อาจไม่รับรู้ความรู้สึกของร่างกายซีกซ้าย] แต่มนุษย์นั้นแตกต่างออกไป สิ่งที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ คือ สมองส่วนหน้าของพวกเขา และจุดประสงค์ของสมองส่วนนี้ ก็คือ เพื่อปิดกั้นสมองส่วนที่เหลือ เพื่อหยุดเหตุที่เกิดขึ้นทันทีทันใด ดังนั้นจึงถอยหลังได้ทันเวลา และเว้นระยะห่างด้วยความฉับไวอันเกิดจากประสบการณ์ นั่นช่วยให้เราสามารถทำสองสิ่ง มันช่วยให้เราสามารถทำสิ่งที่พวกนักประสาทวิทยามักบอกพวกเราเสมอ ในสิ่งที่เราทำได้ดี... ซึ่งเป็นการเอาชนะพวกอื่นด้วยสติปัญญา "อันเป็นการใช้เล่ห์เหลี่ยมกลลวง" และนั่นมันน่าสนใจสำหรับผม เพราะว่ามันถูกต้องอย่างยิ่ง พวกเราสามารถอ่านใจและเจตนาของคนอื่นๆ และถ้าเราต้องการเราสามารถหลอกลวงพวกเขาได้ แต่เรื่องเล็กน้อยที่มักทำให้พลาดโอกาสอย่างน่าแปลกใจเสมอๆ ในที่นี้ นั่นก็คือ ม้นช่วยให้เราเอาใจใส่ในเบื้องแรก เพราะว่าม้นมีระยะห่างที่จำเป็นบางชนิดในสังคมมนุษย์ ถ้าคุณประสบปัญหา คุณก็เพียงฟัดกับมัน แต่ถ้าคุณสามารถถอยหลังและเห็นบุคคลอื่นเป็นปัจเจกชนเช่นเดียวกับผม ผู้ซึ่งอาจมีความสนใจ และคุณค่า และความรู้สึก เช่นเดียวกับของผม หลังจากนั้นคุณสามารถสร้างความสัมพันธ์ มันมีระยะห่างที่จำเป็นบางชนิด อย่างเช่นที่ใช้ในการอ่าน หากใกล้เกินไป คุณก็ไม่สามารถเห็นอะไร หากไกลเกินไป คุณก็ไม่สามารถอ่านมัน ดังนั้นระยะห่างในสังคมมนุษย์ที่ถูกจัดวางไว้ จึงเป็นความสร้างสรรค์อันลึกซึ้งของทั้งหมดในความเป็นมนุษย์ ทั้งเล่ห์เหลี่ยมกลลวง และค่านิยมเกี่ยวกับมนุษย์และเทวะ บัดนี้เพื่อจัดการเกี่ยวกับเล่ห์เหลี่ยมกลลวง เพื่อชักนำควบคุมสังคมมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากมาย พวกเราจำเป็นต้องมีความสามารถที่จะใช้, ปฏิบัติต่อกันกับสังคมมนุษย์ และใช้มันเพื่อประโยชน์ของพวกเรา อาหารเป็นจุดเริ่มต้น แต่ทว่า, ด้วยความสามารถในการทำความเข้าใจด้วยสมองซีกซ้ายของเรา เราใช้มือขวาของพวกเราสำหรับหยิบจับสิ่งของ และสร้างเครื่องไม้เครื่องมือ เราใช้ส่วนที่เกี่ยวกับภาษาด้วยเพื่อเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เราใช้พูดถึงกัน มันให้รายละเอียดของสิ่งต่างๆ ดังนั้นเมื่อเรารู้ถึงความสำคัญของบางสิ่งบางอย่างแล้ว และเราต้องการความถูกต้องเที่ยงตรงเกี่ยวกับมัน เราใช้สมองซีกซ้ายในการทำหน้าที่นั้น และเพื่อทำสิ่งนั้น เราต้องการชุดความเป็นจริงที่ง่ายขึ้น มันไม่ใช่เรื่องดี หากคุณกำลังต่อสู้ในสนามรบหนึ่ง, มีข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับชนิดของพืชที่เจริญเติบโต.. บนภูมิประเทศของการสู้รบ สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้คือรายละเอียดเฉพาะเจาะจงว่า สิ่งต่างๆ ที่แน่นอนนั้นอยู่ที่ไหน พวกมันมีความสำคัญต่อคุณ ดังนั้นคุณจึงมีแผนที่แบบหนึ่ง และธงเล็กๆ ถึงมันไม่ใช่ความเป็นจริง แต่มันก็ใช้งานได้ดีกว่า ความรู้ใหม่ของสมองซีกขวา ทำให้มันเป็นเรื่องถกเถียงโต้แย้งกัน เกิดขึ้นเสมอกับการมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่อาจแตกต่างกันออกไปสำหรับความคาดหวังของเรา มันเห็นสิ่งต่างๆ ในบริบท, มันเข้าใจในความหมายโดยนัย, โดยการอุปมา, โดยภาษากาย, โดยการแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า มันกระทำโดยจำเป็นให้นามธรรมกลายเป็นสังคมมนุษย์ที่มีรูปร่างขึ้น, ที่ซึ่งเราตั้งอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างนามธรรม กับสังคมมนุษย์ที่เป็นรูปธรรม มันทำให้เข้าใจคนแต่ละคน ไม่ใช่เป็นเพียงกลุ่มคนต่างๆ โดยแท้จริงมันทำให้มีความโน้มเอียงในการใช้ชีวิต ที่นอกเหนือไปจากเป็นไปตามกลไก และนี่บ่งชี้ว่า แม้ในคนถนัดซ้ายที่ใช้สมองซีกขวาในชีวิตประจำวัน เพื่อควบคุมการใช้งานเครื่องมือด้วยมือซ้ายของพวกเขา มันเป็นสมองซีกซ้ายของพวกเขา, ไม่ใช่สมองซีกขวาของพวกเขา, ที่สั่งการให้ใช้งานเครื่องมือ และเครื่องจักรต่างๆ ดังนี้จึงเป็นเรื่องน่าสนใจมาก และเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อร่างกายออกไป ร่างกายกลายเป็นกลุ่มของชิ้นส่วนต่างๆ ในสมองซีกซ้าย ถ้าผมต้องสรุปรวมมันทั้งหมดเข้าด้วยกัน, ผมจะ, ผมจะปลีกตัวออกมาจากสิ่งต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมด ที่เราเคยพูดกัน ความมีเหตุผล และ จินตนาการ... ขอให้ผมทำมันให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง สำหรับการจินตนาการ คุณจำเป็นต้องใช้สมองทั้งสองซีก สำหรับความมีเหตุผล คุณจำเป็นต้องใช้สมองทั้งสองซีก ดังนั้น, ถ้าผมต้องสรุปรวมสิ่งนี้เข้าด้วยกัน, ผมจะพูดว่าโลกของสมองซีกซ้ายนั้นขึ้นอยู่กับภาษาที่มีความหมายตรง และนามธรรม... ให้ผลที่มีความชัดเจน และความสามารถเพื่อควบคุมใช้งานสิ่งต่างๆ ที่รู้จัก, ที่กำหนด, ที่แยกออกมา, ที่อยู่นิ่ง, ที่พิจารณาแบบแยกส่วน, ที่ชัดแจ้ง, ที่มีสภาพธรรมชาติทั่วไป, แต่ตายในท้ายที่สุด สมองซีกขวา, นั้นแตกต่างกัน, ให้ผลแก่โลกของแต่ละคน ของการเปลี่ยนแปลง, ของพัฒนาการ, ของการเชื่อมต่อระหว่างกัน, ของความหมายโดยนัย, ของการเป็นตัวเป็นตน, ของสิ่งมีชีวิต ภายในบริบทของโลกที่มีชีวิต แต่ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง, ไม่เคยเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งทั้งหมด, ไม่เคยรู้ได้อย่างสมบูรณ์, และโลกนี้ตั้งอยู่ในความสัมพันธ์ที่แน่นอนอย่างหนึ่ง สมองซีกซ้ายทำหน้าที่สื่อกลางของความรู้ความเข้าใจ อย่างไรก็ดี อยู่ภายในระบบปิด มีข้อดีของลักษณะที่สมบูรณ์แบบ แต่ลักษณะที่สมบูรณ์แบบเช่นนั้น ในท้ายที่สุดต้องจ่ายด้วยราคาของความรู้สึกโดดเดี่ยว มีเรื่องยุ่งยากอย่างหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของสังคมมนุษย์สองแบบ พวกเขาเสนอสังคมมนุษย์สองชุดให้เรา และเห็นได้ชัดว่าเราจับมันรวมกันด้วยวิธีต่างๆ ตลอดเวลา เราจำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งที่แน่นอนต่างๆ เพื่อจัดการกับสังคมมนุษย์ แต่เพื่อการทำความเข้าใจมันในภาพกว้าง เราจำเป็นต้องใช้ความรู้ความเข้าใจที่มาจากสมองซีกขวา และผมขอแนะนำคุณว่า มันอยู่ในประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมตะวันตก สิ่งต่างๆ ได้เริ่มต้นในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล ในยุคออกัสตัน และในศตวรรษที่ 15/16 ด้วยการสมดุลอย่างน่าอัศจรรย์ของซีกสมองเหล่านี้ แต่ในแต่ละกรณี มันค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปสู่มุมมองของสมองซีกซ้าย ทุกวันนี้เราอาศัยอยู่ในสังคมมนุษย์ที่ขัดแย้งกัน เราแสวงหาความสุข และมันนำไปสู่ความไม่พึงพอใจ และมันนำไปสู่ความทุกข์ร้อน และมันนำไปสู่การพุ่งสูงขึ้นของภาวะความเจ็บป่วยทางจิต เรามุ่งแสวงหาอิสรภาพ แต่เดี่ยวนี้เราอาศัยอยู่ในสังคมมนุษย์ที่มีการเฝ้าดูผ่านกล้องโทรทัศน์วงจรปิดมากขึ้น ชีวิตประจำวันของเราถูกครอบงำด้วยสิ่งที่ เดอ ท็อกเกอร์วิลล์ เรียกว่า "เครือข่ายของกฎเกณฑ์หยุมหยิมเข้าใจยาก ที่ปกป้องลักษณะภายนอกของชีวิต และเสรีภาพที่บีบคั้น" เรามีข้อมูลความรู้มากขึ้น แต่เรากลับใช้มัน และเข้าใจมันน้อยลงทุกที เราควรฉลาดขึ้น มีความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันอย่างหนึ่งที่ผมรู้ในฐานะจิตแพทย์ ระหว่างเคราะห์กรรม และความสมหวัง ระหว่างการหักห้ามใจ และเสรีภาพ ระหว่างความรู้ความเข้าใจของส่วนต่างๆ และสติปัญญาเกี่ยวกับส่วนต่างๆ ทั้งหมด อีกครั้งที่แบบจำลองเครื่องจักรถูกทึกทักให้ตอบทุกสิ่ง แต่มันทำไม่ได้ คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เท่าที่เป็นมาความมีเหตุผลเป็นพื้นฐานในการเปลี่ยนแปลงฉับพลันของการหยั่งรู้ ไม่มีวิธีใดที่คุณสามารถพิสูจน์ด้วยเหตุผลว่า ความมีเหตุผลเป็นวิธีที่ดีในการมองสังคมมนุษย์ เรารู้ได้เองว่ามันช่วยได้มาก และนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่ปลายด้านหนึ่งของกระบวนการ ความมีเหตุผลที่เรารู้จากทฤษฎีของ Gödel, จากที่ปาสคาลพูดไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อนหน้า Gödel, ว่าจุดปลายต่างๆ ของความมีเหตุผล ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของความมีเหตุผล ในสังคมมนุษย์สมัยใหม่ เราได้พัฒนาบางสิ่งที่ไม่น่าดูเช่นสังคมมนุษย์สมองซีกซ้าย เราให้ลำดับความสำคัญแก่สิ่งเสมือนจริงเหนือสิ่งจริง ทฤษฎีความรู้กลายเป็นสิ่งสำคัญ ระบบบริหารที่มีพิธีรีตรองเจริญรุ่งเรือง อย่างไรก็ดีภาพที่เห็นยังแยกเป็นชิ้นๆ มีลักษณะเฉพาะอย่างอยู่มากมาย พวกทำอย่างไรกลายมาเป็นพวกทำอะไร และความต้องการควบคุม นำไปสู่ความหวาดระแวงในสังคม ที่เราต้องการให้รัฐบาลควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ทำไมเปลี่ยนไปเช่นนี้? ผมคิดว่ามีสามเหตุผล เหตุผลหนึ่งคือการพูดเรื่องสมองซีกซ้ายนั้นโน้มน้าวมาก เพราะว่ามันเอาทุกสิ่งที่พบว่าไม่เข้ากันกับแบบจำลองนี้ออก และตัดมันออกไป ดังนั้นแบบจำลองเฉพาะนี้สอดคล้องต้องกันในตัวเองทั้งหมด เพราะว่ามันถูกทำให้เป็นเช่นนั้น ผมเรียกสมองซีกซ้ายด้วยว่าเป็นแบร์ลุสโคนี่แห่งสมอง... [เสียงผู้ชมหัวเราะ] เพราะว่ามันควบคุมสื่อกลาง, มันส่งเสียงในนามของตัวมันเอง สมองซีกขวานั้นไม่มีเสียง และมันไม่สามารถสร้างข้อโต้แย้งเช่นเดียวกันนี้ และผมคิดด้วยว่า มีผลกระทบในแบบห้องโถงกระจกเงา หากเราติดอยู่ในนั้นมากขึ้นเท่าไร เราก็จะตัดทอนและทำตรงข้ามในสิ่งต่างๆ ที่อาจนำเราออกมาข้างนอกมากขึ้นเท่านั้น และเราเพียงแต่เห็นภาพสะท้อนกลับไปกลับมามากขึ้น ในสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้, เกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้, เกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้... และผมเพียงต้องการทำมันให้ชัดเจน, ผมไม่ได้ต่อต้าน อะไรก็ตามที่สมองซีกซ้ายมีเสนอให้ ไม่มีใครสามารถเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้น ในยุคสมัยที่เราละเลยเหตุผล และเราละเลยการใช้ภาษาอย่างระมัดระวัง ไม่มีใครสามารถเข้าใจลึกซึ้งมากกว่าตัวผมเอง เกี่ยวกับภาษา และเกี่ยวกับเหตุผล มันเป็นเพียงว่า ผมเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับสมองซีกขวา และสิ่งจำเป็นเพื่อส่งคืนความรู้ไปยังบริบทที่กว้างมากขึ้น อย่างไรก็ตามปรากฏออกมาว่าความคิดของไอน์สไตน์นั้นเกี่ยวกับโครงสร้างของสมอง เขาได้กล่าวว่า... การหยั่งรู้ของจิตเป็นพรสวรรค์ และจิตที่เข้าใจเหตุผลเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ เราได้สร้างสังคมที่เคารพนับถือผู้รับใช้ แต่กลับลืมพรสวรรค์ [เสียงระฆัง] [จบวิดิทัศน์] [โฆษณา RSA]