1 00:00:00,000 --> 00:00:05,000 อาร์ เอส เอ แอนนิเมท 2 00:00:05,000 --> 00:00:09,000 เลน แมคกิลคริสต์ - ซีกสมอง และ การสร้างสังคมตะวันตก 3 00:00:09,000 --> 00:00:14,000 เรื่องราวการแบ่งซีกสมองนั้น เป็นสิ่งที่นักประสาทวิทยาไม่อยากพูดถึงอีกต่อไป 4 00:00:14,000 --> 00:00:18,000 มันเป็นเรื่องราวที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในทศวรรษที่ 60 และ 70 5 00:00:18,000 --> 00:00:21,000 หลังจากการผ่าตัดแยกสมองครั้งแรก 6 00:00:21,000 --> 00:00:24,000 และมันก็กลายเป็นเรื่องที่รู้กันแพร่หลายโดยทั่วไป 7 00:00:24,000 --> 00:00:28,000 จากนั้นมากลับถูกพิสูจน์ว่าผิดทั้งหมด 8 00:00:28,000 --> 00:00:32,000 มันไม่จริงที่ว่าสมองส่วนหนึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเหตุผล 9 00:00:32,000 --> 00:00:35,000 และอีกส่วนหนึ่งเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก 10 00:00:35,000 --> 00:00:37,000 สมองทั้งสองส่วนเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งกับทั้งสองหน้าที่ 11 00:00:37,000 --> 00:00:41,000 มันไม่จริงที่ว่าการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับสมองซีกซ้าย 12 00:00:41,000 --> 00:00:44,000 ไม่ใช่ส่วนสำคัญในสมองซีกขวา 13 00:00:44,000 --> 00:00:47,000 มันไม่จริงที่ว่าการมองเห็นภาพขึ้นอยู่กับสมองซีกขวาเท่านั้น 14 00:00:47,000 --> 00:00:49,000 มันมีส่วนที่อยู่ในซีกซ้ายมากมาย 15 00:00:49,000 --> 00:00:52,000 และเมื่อความเชื่อเดิมๆ สิ้นไป ผู้คนจึงเลิกพูดถึงมัน 16 00:00:52,000 --> 00:00:55,000 แต่โดยแท้จริงปัญหาจะยังไม่หมดไป 17 00:00:55,000 --> 00:00:57,000 เพราะว่าอวัยวะนี้ [สมอง] ซึ่งทั้งหมดนั้นเกี่ยวกับการเชื่อมความสัมพันธ์ 18 00:00:57,000 --> 00:01:00,000 ถูกแบ่งแยกกันอย่างสลับซับซ้อน 19 00:01:00,000 --> 00:01:02,000 มันอยู่ภายในพวกเราทุกคน 20 00:01:02,000 --> 00:01:06,000 และมันถูกแบ่งแยกมากขึ้นตลอดเส้นทางพัฒนาการของมนุษย์ 21 00:01:06,000 --> 00:01:12,000 สัดส่วนของ "คอร์ปัส คาโลซัม" ต่อปริมาตรของ "เฮมิสเฟียร์" ได้เล็กลงตลอดช่วงวิวัฒนาการ และ 22 00:01:12,000 --> 00:01:19,000 เรื่องราวยิ่งสลับซับซ้อน เมื่อคุณตระหนักความจริงว่า ในการทำงานหลักหากไม่ใช่เป็นของ "คอร์ปัส คาโลซัม" 23 00:01:19,000 --> 00:01:23,000 โดยแท้จริงก็เพื่อยับยั้ง "เฮมิสเฟียร์" อีกข้างหนึ่ง 24 00:01:23,000 --> 00:01:28,000 ดังนั้นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่กำลังดำเนินไป เกี่ยวข้องกับการแยกส่วนต่างๆ ออกจากกัน 25 00:01:28,000 --> 00:01:32,000 และไม่เพียงแต่สมองจะอสมมาตร [ภาพวาดของสมองส่วน "ยาคอพเลเวียน ทอร์ค" มองจากด้านล่าง] 26 00:01:32,000 --> 00:01:38,000 มันกว้างกว่าตรงด้านหลังข้างซ้าย และกว้างกว่าตรงด้านขวาข้างหน้า และยื่นออกไปข้างหน้าและข้างหลัง 27 00:01:38,000 --> 00:01:41,000 มันราวกับว่ามีใครจับสมองไว้จากด้านล่าง และบิดมันไปตามเข็มนาฬิกา 28 00:01:44,000 --> 00:01:47,000 ทั้งหมดนั้นเกี่ยวกับอะไร? 29 00:01:47,000 --> 00:01:51,000 ถ้าใครต้องการเนื้อที่สมองมากขึ้น เขาจะทำมันขึ้นอย่างสมมาตร กะโหลกศีรษะนั้นสมมาตร 30 00:01:51,000 --> 00:01:53,000 กล่องที่ใช้บรรจุสิ่งเหล่านี้นั้น มีรูปทรงสมมาตร 31 00:01:53,000 --> 00:01:58,000 ทำไมต้องไปมีปัญหากับการขยาย "เฮมิสเฟียร์" ข้างหนึ่งออกนิดหน่อย และอีกข้างออกอีกนิดหน่อย 32 00:01:58,000 --> 00:02:00,000 เว้นแต่ว่าทั้งสองข้างทำหน้าที่ต่างกัน 33 00:02:00,000 --> 00:02:01,000 พวกมันทำหน้าที่อะไรเล่า? 34 00:02:01,000 --> 00:02:03,000 แน่ละ มันไม่ใช่แค่เราที่มีสมองแบ่งซีกเช่นนี้ 35 00:02:03,000 --> 00:02:07,000 นกต่างๆ และสัตว์อื่นๆ ต่างก็มีสมองในแบบเดียวกัน 36 00:02:07,000 --> 00:02:09,000 ผมคิดว่าวิธีง่ายที่สุดที่จะคิดถึงมัน ก็โดยการจินตนาการ 37 00:02:09,000 --> 00:02:15,000 นกพยายามเสาะหากินเมล็ดพืชจากพื้นที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดก้อนหิน 38 00:02:15,000 --> 00:02:20,000 มันต้องพุ่งเป้าสนใจในมุมแคบๆ และอย่างชัดเจน บนเมล็ดพืชเล็กๆ 39 00:02:20,000 --> 00:02:25,000 และสามารถจิกแยกมันออกมาจากกรวดบนพื้น 40 00:02:25,000 --> 00:02:27,000 แต่ในขณะเดียวกัน ถ้ามันจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป มันยังต้อง 41 00:02:27,000 --> 00:02:37,000 มีความระแวดระวังให้ความสนใจกับสิ่งต่างๆ รอบตัว มันต้องระวังสัตว์นักล่า, หรือสัตว์ที่เป็นมิตร, พวกเดียวกัน หรืออะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้น 42 00:02:37,000 --> 00:02:43,000 มันดูเหมือนว่าพวกนก และสัตว์ต่างๆ ต้องพึ่งพาใช้งานสมองซีกซ้ายของพวกมันมากทีเดียว 43 00:02:43,000 --> 00:02:49,000 สำหรับการเพ่งความสนใจในมุมแคบ ไปยังบางสิ่งที่พวกมันรู้จักอยู่แล้ว นับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกมัน 44 00:02:49,000 --> 00:02:53,000 และพวกมันใช้สมองซีกขวาคอยระวังภัยในมุมกว้าง 45 00:02:53,000 --> 00:02:56,000 สำหรับอะไรก็ตามที่อาจเกิดขึ้น โดยปราศจากการตระหนักรู้ว่าอะไรอาจเกิดขึ้น 46 00:02:56,000 --> 00:02:59,000 พวกมันใช้สมองซีกขวาด้วยสำหรับการเชื่อมความสัมพันธ์กับโลก 47 00:02:59,000 --> 00:03:04,000 ดังนั้นพวกมันจึงจับคู่ผสมพันธุ์กัน และผูกสัมพันธ์กับคู่ของพวกมันมากขึ้น 48 00:03:04,000 --> 00:03:06,000 ด้วยการใช้สมองซีกขวา 49 00:03:06,000 --> 00:03:09,000 แต่แล้วเมื่อคุณย้อนกลับมายังมนุษย์ 50 00:03:09,000 --> 00:03:14,000 มันเป็นความจริงว่า ในหมู่มนุษย์ด้วยกันนั้น การให้ความสนใจชนิดนี้ เป็นความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงอย่างหนึ่ง 51 00:03:14,000 --> 00:03:20,000 สมองซีกขวานั้นให้ความตื่นตัว เตรียมพร้อม ระแวดระวัง อย่างต่อเนื่อง ในมุมกว้าง เปิดโล่ง 52 00:03:20,000 --> 00:03:25,000 ส่วนสมองซีกซ้ายนั้นให้ความสนใจในรายละเอียด พุ่งเป้าสนใจในมุมแคบ 53 00:03:25,000 --> 00:03:31,000 ผู้คนที่สูญเสียสมองซีกขวาไปนั้น จะมีอาการที่ขอบเขตการให้ความสนใจสิ่งต่างๆ แคบลง 54 00:03:31,000 --> 00:03:33,000 [ปรากฏการณ์ร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้ได้รับความทุกข์อาจไม่รับรู้ความรู้สึกของร่างกายซีกซ้าย] 55 00:03:33,000 --> 00:03:36,000 แต่มนุษย์นั้นแตกต่างออกไป 56 00:03:36,000 --> 00:03:38,000 สิ่งที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ คือ สมองส่วนหน้าของพวกเขา 57 00:03:38,000 --> 00:03:44,000 และจุดประสงค์ของสมองส่วนนี้ ก็คือ เพื่อปิดกั้นสมองส่วนที่เหลือ 58 00:03:44,000 --> 00:03:47,000 เพื่อหยุดเหตุที่เกิดขึ้นทันทีทันใด 59 00:03:47,000 --> 00:03:52,000 ดังนั้นจึงถอยหลังได้ทันเวลา และเว้นระยะห่างด้วยความฉับไวอันเกิดจากประสบการณ์ 60 00:03:52,000 --> 00:03:54,000 นั่นช่วยให้เราสามารถทำสองสิ่ง 61 00:03:54,000 --> 00:03:59,000 มันช่วยให้เราสามารถทำสิ่งที่พวกนักประสาทวิทยามักบอกพวกเราเสมอ ในสิ่งที่เราทำได้ดี... 62 00:03:59,000 --> 00:04:03,000 ซึ่งเป็นการเอาชนะพวกอื่นด้วยสติปัญญา "อันเป็นการใช้เล่ห์เหลี่ยมกลลวง" 63 00:04:03,000 --> 00:04:07,000 และนั่นมันน่าสนใจสำหรับผม เพราะว่ามันถูกต้องอย่างยิ่ง 64 00:04:07,000 --> 00:04:12,000 พวกเราสามารถอ่านใจและเจตนาของคนอื่นๆ และถ้าเราต้องการเราสามารถหลอกลวงพวกเขาได้ 65 00:04:12,000 --> 00:04:21,000 แต่เรื่องเล็กน้อยที่มักทำให้พลาดโอกาสอย่างน่าแปลกใจเสมอๆ ในที่นี้ นั่นก็คือ ม้นช่วยให้เราเอาใจใส่ในเบื้องแรก 66 00:04:21,000 --> 00:04:24,000 เพราะว่าม้นมีระยะห่างที่จำเป็นบางชนิดในสังคมมนุษย์ 67 00:04:24,000 --> 00:04:26,000 ถ้าคุณประสบปัญหา คุณก็เพียงฟัดกับมัน 68 00:04:26,000 --> 00:04:31,000 แต่ถ้าคุณสามารถถอยหลังและเห็นบุคคลอื่นเป็นปัจเจกชนเช่นเดียวกับผม 69 00:04:31,000 --> 00:04:36,000 ผู้ซึ่งอาจมีความสนใจ และคุณค่า และความรู้สึก เช่นเดียวกับของผม 70 00:04:36,000 --> 00:04:38,000 หลังจากนั้นคุณสามารถสร้างความสัมพันธ์ 71 00:04:38,000 --> 00:04:40,000 มันมีระยะห่างที่จำเป็นบางชนิด อย่างเช่นที่ใช้ในการอ่าน 72 00:04:40,000 --> 00:04:43,000 หากใกล้เกินไป คุณก็ไม่สามารถเห็นอะไร หากไกลเกินไป คุณก็ไม่สามารถอ่านมัน 73 00:04:43,000 --> 00:04:51,000 ดังนั้นระยะห่างในสังคมมนุษย์ที่ถูกจัดวางไว้ จึงเป็นความสร้างสรรค์อันลึกซึ้งของทั้งหมดในความเป็นมนุษย์ 74 00:04:51,000 --> 00:04:53,000 ทั้งเล่ห์เหลี่ยมกลลวง 75 00:04:53,000 --> 00:04:54,000 และค่านิยมเกี่ยวกับมนุษย์และเทวะ 76 00:04:54,000 --> 00:05:00,000 บัดนี้เพื่อจัดการเกี่ยวกับเล่ห์เหลี่ยมกลลวง เพื่อชักนำควบคุมสังคมมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากมาย 77 00:05:00,000 --> 00:05:03,000 พวกเราจำเป็นต้องมีความสามารถที่จะใช้, ปฏิบัติต่อกันกับสังคมมนุษย์ และใช้มันเพื่อประโยชน์ของพวกเรา 78 00:05:03,000 --> 00:05:05,000 อาหารเป็นจุดเริ่มต้น 79 00:05:05,000 --> 00:05:12,000 แต่ทว่า, ด้วยความสามารถในการทำความเข้าใจด้วยสมองซีกซ้ายของเรา เราใช้มือขวาของพวกเราสำหรับหยิบจับสิ่งของ และสร้างเครื่องไม้เครื่องมือ 80 00:05:12,000 --> 00:05:17,000 เราใช้ส่วนที่เกี่ยวกับภาษาด้วยเพื่อเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เราใช้พูดถึงกัน มันให้รายละเอียดของสิ่งต่างๆ 81 00:05:17,000 --> 00:05:25,000 ดังนั้นเมื่อเรารู้ถึงความสำคัญของบางสิ่งบางอย่างแล้ว และเราต้องการความถูกต้องเที่ยงตรงเกี่ยวกับมัน เราใช้สมองซีกซ้ายในการทำหน้าที่นั้น 82 00:05:25,000 --> 00:05:28,000 และเพื่อทำสิ่งนั้น เราต้องการชุดความเป็นจริงที่ง่ายขึ้น 83 00:05:28,000 --> 00:05:37,000 มันไม่ใช่เรื่องดี หากคุณกำลังต่อสู้ในสนามรบหนึ่ง, มีข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับชนิดของพืชที่เจริญเติบโต.. บนภูมิประเทศของการสู้รบ 84 00:05:37,000 --> 00:05:42,000 สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้คือรายละเอียดเฉพาะเจาะจงว่า สิ่งต่างๆ ที่แน่นอนนั้นอยู่ที่ไหน พวกมันมีความสำคัญต่อคุณ 85 00:05:42,000 --> 00:05:50,000 ดังนั้นคุณจึงมีแผนที่แบบหนึ่ง และธงเล็กๆ ถึงมันไม่ใช่ความเป็นจริง แต่มันก็ใช้งานได้ดีกว่า 86 00:05:50,000 --> 00:05:53,000 ความรู้ใหม่ของสมองซีกขวา ทำให้มันเป็นเรื่องถกเถียงโต้แย้งกัน 87 00:05:53,000 --> 00:05:56,000 เกิดขึ้นเสมอกับการมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่อาจแตกต่างกันออกไปสำหรับความคาดหวังของเรา 88 00:05:56,000 --> 00:06:03,000 มันเห็นสิ่งต่างๆ ในบริบท, มันเข้าใจในความหมายโดยนัย, โดยการอุปมา, โดยภาษากาย, โดยการแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า 89 00:06:03,000 --> 00:06:09,000 มันกระทำโดยจำเป็นให้นามธรรมกลายเป็นสังคมมนุษย์ที่มีรูปร่างขึ้น, ที่ซึ่งเราตั้งอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างนามธรรม กับสังคมมนุษย์ที่เป็นรูปธรรม 90 00:06:09,000 --> 00:06:12,000 มันทำให้เข้าใจคนแต่ละคน ไม่ใช่เป็นเพียงกลุ่มคนต่างๆ 91 00:06:12,000 --> 00:06:16,000 โดยแท้จริงมันทำให้มีความโน้มเอียงในการใช้ชีวิต ที่นอกเหนือไปจากเป็นไปตามกลไก 92 00:06:16,000 --> 00:06:23,000 และนี่บ่งชี้ว่า แม้ในคนถนัดซ้ายที่ใช้สมองซีกขวาในชีวิตประจำวัน เพื่อควบคุมการใช้งานเครื่องมือด้วยมือซ้ายของพวกเขา 93 00:06:23,000 --> 00:06:29,000 มันเป็นสมองซีกซ้ายของพวกเขา, ไม่ใช่สมองซีกขวาของพวกเขา, ที่สั่งการให้ใช้งานเครื่องมือ และเครื่องจักรต่างๆ 94 00:06:29,000 --> 00:06:30,000 ดังนี้จึงเป็นเรื่องน่าสนใจมาก 95 00:06:30,000 --> 00:06:32,000 และเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อร่างกายออกไป 96 00:06:32,000 --> 00:06:36,000 ร่างกายกลายเป็นกลุ่มของชิ้นส่วนต่างๆ ในสมองซีกซ้าย 97 00:06:36,000 --> 00:06:42,000 ถ้าผมต้องสรุปรวมมันทั้งหมดเข้าด้วยกัน, ผมจะ, ผมจะปลีกตัวออกมาจากสิ่งต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมด ที่เราเคยพูดกัน 98 00:06:42,000 --> 00:06:44,000 ความมีเหตุผล และ จินตนาการ... ขอให้ผมทำมันให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง 99 00:06:44,000 --> 00:06:47,000 สำหรับการจินตนาการ คุณจำเป็นต้องใช้สมองทั้งสองซีก 100 00:06:47,000 --> 00:06:50,000 สำหรับความมีเหตุผล คุณจำเป็นต้องใช้สมองทั้งสองซีก 101 00:06:50,000 --> 00:06:56,000 ดังนั้น, ถ้าผมต้องสรุปรวมสิ่งนี้เข้าด้วยกัน, ผมจะพูดว่าโลกของสมองซีกซ้ายนั้นขึ้นอยู่กับภาษาที่มีความหมายตรง และนามธรรม... 102 00:06:57,000 --> 00:07:01,000 ให้ผลที่มีความชัดเจน และความสามารถเพื่อควบคุมใช้งานสิ่งต่างๆ ที่รู้จัก, 103 00:07:01,000 --> 00:07:09,000 ที่กำหนด, ที่แยกออกมา, ที่อยู่นิ่ง, ที่พิจารณาแบบแยกส่วน, ที่ชัดแจ้ง, ที่มีสภาพธรรมชาติทั่วไป, แต่ตายในท้ายที่สุด 104 00:07:09,000 --> 00:07:13,000 สมองซีกขวา, นั้นแตกต่างกัน, ให้ผลแก่โลกของแต่ละคน 105 00:07:13,000 --> 00:07:20,000 ของการเปลี่ยนแปลง, ของพัฒนาการ, ของการเชื่อมต่อระหว่างกัน, ของความหมายโดยนัย, ของการเป็นตัวเป็นตน, ของสิ่งมีชีวิต ภายในบริบทของโลกที่มีชีวิต 106 00:07:20,000 --> 00:07:28,000 แต่ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง, ไม่เคยเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งทั้งหมด, ไม่เคยรู้ได้อย่างสมบูรณ์, และโลกนี้ตั้งอยู่ในความสัมพันธ์ที่แน่นอนอย่างหนึ่ง 107 00:07:28,000 --> 00:07:33,000 สมองซีกซ้ายทำหน้าที่สื่อกลางของความรู้ความเข้าใจ อย่างไรก็ดี อยู่ภายในระบบปิด 108 00:07:33,000 --> 00:07:38,000 มีข้อดีของลักษณะที่สมบูรณ์แบบ แต่ลักษณะที่สมบูรณ์แบบเช่นนั้น ในท้ายที่สุดต้องจ่ายด้วยราคาของความรู้สึกโดดเดี่ยว 109 00:07:38,000 --> 00:07:43,000 มีเรื่องยุ่งยากอย่างหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของสังคมมนุษย์สองแบบ 110 00:07:43,000 --> 00:07:47,000 พวกเขาเสนอสังคมมนุษย์สองชุดให้เรา และเห็นได้ชัดว่าเราจับมันรวมกันด้วยวิธีต่างๆ ตลอดเวลา 111 00:07:47,000 --> 00:07:50,000 เราจำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งที่แน่นอนต่างๆ เพื่อจัดการกับสังคมมนุษย์ 112 00:07:50,000 --> 00:07:55,000 แต่เพื่อการทำความเข้าใจมันในภาพกว้าง เราจำเป็นต้องใช้ความรู้ความเข้าใจที่มาจากสมองซีกขวา 113 00:07:55,000 --> 00:08:01,000 และผมขอแนะนำคุณว่า มันอยู่ในประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมตะวันตก 114 00:08:01,000 --> 00:08:04,000 สิ่งต่างๆ ได้เริ่มต้นในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล ในยุคออกัสตัน 115 00:08:04,000 --> 00:08:09,000 และในศตวรรษที่ 15/16 ด้วยการสมดุลอย่างน่าอัศจรรย์ของซีกสมองเหล่านี้ 116 00:08:09,000 --> 00:08:14,000 แต่ในแต่ละกรณี มันค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปสู่มุมมองของสมองซีกซ้าย 117 00:08:16,000 --> 00:08:19,000 ทุกวันนี้เราอาศัยอยู่ในสังคมมนุษย์ที่ขัดแย้งกัน 118 00:08:19,000 --> 00:08:21,000 เราแสวงหาความสุข และมันนำไปสู่ความไม่พึงพอใจ 119 00:08:21,000 --> 00:08:27,000 และมันนำไปสู่ความทุกข์ร้อน และมันนำไปสู่การพุ่งสูงขึ้นของภาวะความเจ็บป่วยทางจิต 120 00:08:27,000 --> 00:08:34,000 เรามุ่งแสวงหาอิสรภาพ แต่เดี่ยวนี้เราอาศัยอยู่ในสังคมมนุษย์ที่มีการเฝ้าดูผ่านกล้องโทรทัศน์วงจรปิดมากขึ้น 121 00:08:34,000 --> 00:08:41,000 ชีวิตประจำวันของเราถูกครอบงำด้วยสิ่งที่ เดอ ท็อกเกอร์วิลล์ เรียกว่า "เครือข่ายของกฎเกณฑ์หยุมหยิมเข้าใจยาก ที่ปกป้องลักษณะภายนอกของชีวิต 122 00:08:41,000 --> 00:08:45,000 และเสรีภาพที่บีบคั้น" 123 00:08:45,000 --> 00:08:52,000 เรามีข้อมูลความรู้มากขึ้น แต่เรากลับใช้มัน และเข้าใจมันน้อยลงทุกที เราควรฉลาดขึ้น 124 00:08:52,000 --> 00:08:58,000 มีความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันอย่างหนึ่งที่ผมรู้ในฐานะจิตแพทย์ ระหว่างเคราะห์กรรม และความสมหวัง 125 00:08:58,000 --> 00:09:00,000 ระหว่างการหักห้ามใจ และเสรีภาพ 126 00:09:00,000 --> 00:09:04,000 ระหว่างความรู้ความเข้าใจของส่วนต่างๆ และสติปัญญาเกี่ยวกับส่วนต่างๆ ทั้งหมด 127 00:09:04,000 --> 00:09:09,000 อีกครั้งที่แบบจำลองเครื่องจักรถูกทึกทักให้ตอบทุกสิ่ง แต่มันทำไม่ได้ 128 00:09:09,000 --> 00:09:14,000 คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เท่าที่เป็นมาความมีเหตุผลเป็นพื้นฐานในการเปลี่ยนแปลงฉับพลันของการหยั่งรู้ 129 00:09:14,000 --> 00:09:18,000 ไม่มีวิธีใดที่คุณสามารถพิสูจน์ด้วยเหตุผลว่า ความมีเหตุผลเป็นวิธีที่ดีในการมองสังคมมนุษย์ 130 00:09:18,000 --> 00:09:19,000 เรารู้ได้เองว่ามันช่วยได้มาก 131 00:09:19,000 --> 00:09:21,000 และนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ 132 00:09:21,000 --> 00:09:28,000 ที่ปลายด้านหนึ่งของกระบวนการ ความมีเหตุผลที่เรารู้จากทฤษฎีของ Gödel, จากที่ปาสคาลพูดไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อนหน้า Gödel, 133 00:09:28,000 --> 00:09:32,000 ว่าจุดปลายต่างๆ ของความมีเหตุผล ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของความมีเหตุผล 134 00:09:32,000 --> 00:09:37,000 ในสังคมมนุษย์สมัยใหม่ เราได้พัฒนาบางสิ่งที่ไม่น่าดูเช่นสังคมมนุษย์สมองซีกซ้าย 135 00:09:37,000 --> 00:09:39,000 เราให้ลำดับความสำคัญแก่สิ่งเสมือนจริงเหนือสิ่งจริง 136 00:09:39,000 --> 00:09:41,000 ทฤษฎีความรู้กลายเป็นสิ่งสำคัญ 137 00:09:41,000 --> 00:09:46,000 ระบบบริหารที่มีพิธีรีตรองเจริญรุ่งเรือง อย่างไรก็ดีภาพที่เห็นยังแยกเป็นชิ้นๆ 138 00:09:46,000 --> 00:09:48,000 มีลักษณะเฉพาะอย่างอยู่มากมาย 139 00:09:48,000 --> 00:09:49,000 พวกทำอย่างไรกลายมาเป็นพวกทำอะไร 140 00:09:49,000 --> 00:09:54,000 และความต้องการควบคุม นำไปสู่ความหวาดระแวงในสังคม 141 00:09:54,000 --> 00:09:56,000 ที่เราต้องการให้รัฐบาลควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง 142 00:09:56,000 --> 00:09:58,000 ทำไมเปลี่ยนไปเช่นนี้? 143 00:09:58,000 --> 00:09:59,000 ผมคิดว่ามีสามเหตุผล 144 00:09:59,000 --> 00:10:03,000 เหตุผลหนึ่งคือการพูดเรื่องสมองซีกซ้ายนั้นโน้มน้าวมาก 145 00:10:03,000 --> 00:10:08,000 เพราะว่ามันเอาทุกสิ่งที่พบว่าไม่เข้ากันกับแบบจำลองนี้ออก และตัดมันออกไป 146 00:10:08,000 --> 00:10:14,000 ดังนั้นแบบจำลองเฉพาะนี้สอดคล้องต้องกันในตัวเองทั้งหมด เพราะว่ามันถูกทำให้เป็นเช่นนั้น 147 00:10:14,000 --> 00:10:17,000 ผมเรียกสมองซีกซ้ายด้วยว่าเป็นแบร์ลุสโคนี่แห่งสมอง... 148 00:10:17,000 --> 00:10:19,000 [เสียงผู้ชมหัวเราะ] 149 00:10:19,000 --> 00:10:25,000 เพราะว่ามันควบคุมสื่อกลาง, มันส่งเสียงในนามของตัวมันเอง 150 00:10:25,000 --> 00:10:27,000 สมองซีกขวานั้นไม่มีเสียง 151 00:10:27,000 --> 00:10:30,000 และมันไม่สามารถสร้างข้อโต้แย้งเช่นเดียวกันนี้ 152 00:10:30,000 --> 00:10:34,000 และผมคิดด้วยว่า มีผลกระทบในแบบห้องโถงกระจกเงา 153 00:10:34,000 --> 00:10:39,000 หากเราติดอยู่ในนั้นมากขึ้นเท่าไร เราก็จะตัดทอนและทำตรงข้ามในสิ่งต่างๆ ที่อาจนำเราออกมาข้างนอกมากขึ้นเท่านั้น 154 00:10:39,000 --> 00:10:45,000 และเราเพียงแต่เห็นภาพสะท้อนกลับไปกลับมามากขึ้น ในสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้, เกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้, เกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้... 155 00:10:45,000 --> 00:10:47,000 และผมเพียงต้องการทำมันให้ชัดเจน, ผมไม่ได้ต่อต้าน 156 00:10:47,000 --> 00:10:49,000 อะไรก็ตามที่สมองซีกซ้ายมีเสนอให้ 157 00:10:49,000 --> 00:10:53,000 ไม่มีใครสามารถเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้น ในยุคสมัยที่เราละเลยเหตุผล 158 00:10:53,000 --> 00:10:55,000 และเราละเลยการใช้ภาษาอย่างระมัดระวัง 159 00:10:55,000 --> 00:10:59,000 ไม่มีใครสามารถเข้าใจลึกซึ้งมากกว่าตัวผมเอง เกี่ยวกับภาษา และเกี่ยวกับเหตุผล 160 00:10:59,000 --> 00:11:03,000 มันเป็นเพียงว่า ผมเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับสมองซีกขวา 161 00:11:03,000 --> 00:11:08,000 และสิ่งจำเป็นเพื่อส่งคืนความรู้ไปยังบริบทที่กว้างมากขึ้น 162 00:11:08,000 --> 00:11:15,000 อย่างไรก็ตามปรากฏออกมาว่าความคิดของไอน์สไตน์นั้นเกี่ยวกับโครงสร้างของสมอง 163 00:11:15,000 --> 00:11:21,000 เขาได้กล่าวว่า... การหยั่งรู้ของจิตเป็นพรสวรรค์ และจิตที่เข้าใจเหตุผลเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ 164 00:11:21,000 --> 00:11:26,000 เราได้สร้างสังคมที่เคารพนับถือผู้รับใช้ แต่กลับลืมพรสวรรค์ 165 00:11:26,000 --> 00:11:28,000 [เสียงระฆัง] 166 00:11:30,000 --> 00:11:32,000 [จบวิดิทัศน์] 167 00:11:36,000 --> 00:11:41,000 [โฆษณา RSA]