มันมีดินแดนเพียงบางแห่งและบางมุม บนโลกของเราใบนี้ ที่เป็นบ้านอันเอื้ออาทรของมนุษย์ แต่เราก็มีชีวิตรอดกันมาได้ บรรพบุรุษเริ่มแรกของพวกเรา เมื่อพวกเขาพบบ้านและแหล่งอาศัย พวกเขากล้าที่จะเข้าไป ยังพื้นที่ซึ่งไม่เป็นที่คุ้นเคย เพื่อค้นหาโอกาสที่ดีกว่า และในฐานะลูกหลาน ของนักสำรวจเหล่านั้น เรามีเลือดของเหล่าผู้พเนจร ไหลอยู่ในเส้นเลือดของพวกเรา แต่ในเวลาเดียวกัน เราถูกทำให้ไขว้เขวโดยขนมปัง และความอลหม่าน และได้ร่วมก่อกรรมทำสงคราม ที่เราได้เดิมพันกันและกัน มันเหมือนว่าเราได้หลงลืม ความปรารถนาในการสำรวจ เรา ในฐานะสายพันธุ์หนึ่ง เราวิวัฒนาการมาอย่างมีอัตลักษณ์ จากโลก บนโลก และโดยโลก และเราพอใจในสถานะภาพความเป็นอยู่ ที่เราความพอใจที่มีต่อมัน ก็ค่อย ๆ เพิ่มพูน และเราก็ยุ่ง เกินกว่าที่จะสังเกตว่าทรัพยากรนี้ มีอยู่อย่างจำกัด และชีวิตของดวงอาทิตย์ของเราก็จำกัด ในขณะที่ดาวอังคารและภาพยนตร์ ที่เกี่ยวข้องกับมัน ได้ค้ำจุนสนับสนุน พื้นฐานของการเดินทางไปในอวกาศ น้อยคนนักที่จะตระหนักว่า โครงสร้างที่เปราะบางของสายพันธุ์เรา ไม่ได้ถูกตระเตรียมให้พร้อมกับ การเดินทางอันยาวไกลในอวกาศเลย ลองนึกถึงการเดินทางเข้าไป ในอุทยานป่าไม้ในท้องถิ่นของคุณดู เพื่อเป็นการทดสอบอะไรไว ๆ ยกมือขึ้นนะคะ ถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถ มีชีวิตรอดในป่าเขียวชะอุ่มนี้ได้ เป็นเวลาสักสองสามวัน ค่ะ นั่นก็หลายคนทีเดียว แล้วถ้าสักสองสามสัปดาห์ล่ะคะ นั่นก็มีมากในระดับนึง แล้วถ้าสักสองสามเดือนล่ะคะ นั่นก็ค่อนข้างดูดีเช่นกัน ทีนี้ ลองนึกถึงว่า อุทยานป่าไม้ในท้องถิ่นที่ว่านี้ มีฤดูหนาวที่ยาวนานมาก ๆ คำถามเดิมค่ะ ใครที่คิดว่า จะมีชีวิตรอดสักสองสามวันได้บ้างคะ นั่นค่อนข้างมากทีเดียว แล้วถ้าสักสองสามสัปดาห์ล่ะคะ เอาล่ะ เล่นดูขำ ๆ ลองนึกดูว่า ถ้าแหล่งน้ำแห่งเดียวที่มีอยู่ ถูกกักอยู่ใต้ก้อนน้ำแข็ง ลึกลงไปหลายไมล์ในพื้นดิน ธาตุอาหารในดินมีอยู่น้อยมาก จนเราไม่พบพืชผักอะไรเลย และแน่นอน มันแทบจะไม่มี ชั้นบรรยากาศอะไรเลย ตัวอย่างดังกล่าว เป็นเพียง บางความท้าทายที่เราจะต้องเผชิญ บนดาวเคราะห์อย่างดาวอังคาร แล้วเราจะหุ้มเกราะให้ตัวเอง เพื่อที่จะเดินทางไกล จากฤดูร้อนอันแสนสุขได้อย่างไร เราจะส่งเสบียงไปจากโลกเรื่อย ๆ อย่างนั้นหรือ หรือเราจะสร้างลิฟต์อวกาศ หรือสายพานการส่งที่ยาวมาก ๆ ที่ผูกดาวเคราะห์ที่คุณเลือก ไว้กับดาวบ้านเกิดของเรา แล้วถ้าเราจะปลูกอาหาร อย่างที่เราปลูกบนโลกอย่างไรล่ะ แต่ฉันคิดไปไกลกว่านั้น ในการเดินทางไปยังอวกาศของเรา เพื่อหาบ้านใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงนี้ เราควรที่จะใช้เวลาให้มากกว่านี้ ในการเดินทาง ในอวกาศ บนยานอวกาศ ที่หน้าตาเหมือนกระป๋องปิดตาย ซึ่งบางทีอาจต้องใช้เวลาหลายชั่วคน คนใช้เวลาในอวกาศต่อเนื่องกันยาวนานที่สุด คือประมาณ 12 ถึง 14 เดือน จากประสบการณ์ในอวกาศของนักบินอวกาศ เรารู้ว่าการใช้เวลาในที่ซึ่งมีแรงโน้มถ่วงน้อย ทำให้มวลกระดูกลดลง กล้ามเนื้อลีบ เกิดปัญหาหลอดเลือดหัวใจ และภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ มากมาย ทั่งทางกายภาพและทางจิตใจ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแรงโน้มถ่วงที่น้อย หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแรงโน้มถ่วง ของดาวเคราะห์ที่เราไปอยู่อย่างนั้นหรือ สรุปคร่าว ๆ ก็คือ การเดินทางในอวกาศ จะเต็มไปด้วยภยันตรายต่าง ๆ ทั้งที่เรารู้และไม่รู้ ที่แล้วมา เราได้มองหา เทคโนโลยีใหม่ทางกลศาสตร์ หรือหุ่นยนต์ยุคใหม่ ที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างความมั่นใจ ต่อการเดินทางในอวกาศของเรา แม้ว่ามันจะเจ๋งมากก็ตาม ฉันเชื่อว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่เราจะเสริมยักษ์อิเล็กทรอนิคเหล่านี้ ด้วยสิ่งที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้นไว้แล้ว จุลชีพ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ที่ตัวมันเอง สามารถเจริญเติบโต สมบูรณ์ได้ด้วยตัวเอง มันคือจักรกลที่มีชีวิต มันต้องการทรัพยากรไม่มาก ในการมีชีวิตอยู่ มีความยืดหยุ่นมากต่อการออกแบบ และต้องการเพียงพื้นที่เล็ก ๆ อย่างเช่นในหลอดพลาสติก การศึกษาในสาขานี้ที่สามารถทำให้เรา ใช้คุณสมบัติของจุลชีพได้ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ชีวสังเคราะห์ มันเป็นสาขาหนึ่งที่พัฒนาต่อยอดมาจาก วิชาชีวโมเลกุล ซึ่งทำให้เรามียาปฏิชีวนะ วัคซีน และวิธีการที่ดีกว่าในการสังเกต ความแตกต่างเล็กน้อยในทางกายวิภาค ของร่างกายมนุษย์ การใช้เครื่องมือจากชีวสังเคราะห์ ตอนนี้เราสามารถแก้ไขยีน ได้ในสิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ด้วยความเร็วและความแม่นยำที่น่าทึ่ง ด้วยข้อจำกัดของอุปกรณ์ที่สร้างโดยมนุษย์ ชีวสังเคราะห์จะเป็นวิธีที่เราจะวิศวกรรม ไม่เพียงแต่อาหารของเรา เชื้อเพลิงของเรา และสิ่งแวดล้อม แต่ยังจะวิศวกรรมตัวเราเอง ให้ชดเชยกับความไม่เหมาะสม ทางกายภาพของเรา และทำให้เรามั่นใจว่าเราจะมีชีวิตรอดในอวกาศ เพื่อเป็นการยกตัวอยาง ว่าเราจะใช้ชีวสังเคราะห์อย่างไร ในการพัฒนาการสำรวจอวกาศ ให้เราลองมองไปยังสิ่งแวดล้อมบนดาวอังคาร องค์ประกอบของดินบนดาวอังคาร คล้ายกับเถ้าถ่านภูเขาไฟในฮาวาย และมีสารอินทรีย์เล็กน้อย ลองตั้งสมมติฐานดูแบบว่า จะเป็นอย่างไรถ้าหากดินบนดาวอังคาร สามารถที่จะค้ำจุนให้พืชเจริญเติบโตได้จริง ๆ โดยไม่ต้องใช้ธาตุอาหาร ที่ถูกดัดแปลงให้เหมือนของโลก คำถามแรกที่เราควรจะถามก็คือ เราจะสร้างให้ดาวเคราะห์ของเรา ทนต่อความหนาวเย็นได้อย่างไร เพราะว่า โดยเฉลี่ยแล้ว อุณหภูมิของดาวอังคาร คือลบ 60 องศาเซลเซียส ซึ่งไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไร คำถามถัดไปที่เราควรถามคือ เราจะสร้างพืชที่ทนแล้งได้อย่างไร ลองพิจารณาว่า น้ำส่วนใหญ่ที่อยู่ในรูปของน้ำแข็ง ระเหยเร็วกว่าเวลาที่ฉันใช้พูดว่า "ระเหย" เสียอีก ค่ะ มันกลายเป็นว่า เราได้ทำสิ่งเหล่านี้แล้ว โดยการยืมยีนโปรตีนต้านเยือกแข็ง มาจากปลา และยีนทนความแห้งแล้ง จากพืชอย่างเช่นข้าว และนำมันใส่เข้าไปในพืช ที่ต้องการสิ่งเหล่านี้ ตอนนี้เรามีพืชที่สามารถทดความแห้งแล้ง และทนการเยือกแข็งที่รุนแรงที่สุดได้ พวกมันเป็นที่รู้จักกันบนโลกในชื่อ จีเอ็มโอ หรือสิ่งมีชีวิตที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม และเราพึ่งพาพวกมัน ในการป้อนปากท้องของมนุษยชาติ ธรรมชาติได้สร้างสิ่งเหล่านี้ไว้อยู่แล้ว โดยปราศจากความช่วยเหลือจากพวกเรา เราแค่พบกับวิธีการที่จะกระทำมัน อย่างแม่นยำเท่านั้นเอง แล้วทำไมเราถึงอย่างเปลี่ยนพันธุกรรมของพืช ให้เหมาะกับอวกาศด้วย ค่ะ ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น นั่นก็หมายความว่า เราจะต้องทำการวิศวกรรม พื้นที่อันกว้างใหญ่บนดาวเคราะห์ดวงใหม่ โดยปล่อยก๊าซบรรยากาศ เป็นล้านล้านแกลลอน และจากนั้นก็สร้างโดมแก้วยักษ์ เพื่อครอบมันเอาไว้ มันเป็นการลงทุนทางการก่อสร้าง ที่ไม่สมเหตุสมผลในความเป็นจริง ซึ่งมันจะกลายเป็นปฏิบัติการขนส่งสินค้า ที่มีราคาแพงไปอย่างรวดเร็ว ทางหนึ่งที่จะทำให้เรามั่นใจ ว่าเราจะมีเสบียงอาหาร และอากาศที่เราต้องการ คือนำสิ่งมีชีวิต ที่ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรม ให้สามารถเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ ที่โหดร้าย ไปกับเราด้วย สาระก็คือ การใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ช่วยทำให้เราปรับบรรยากาศดาวเคราะห์ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จากนั้นยังสามารถ ถูกดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อผลิตยาหรือเชื้อเพลิง ฉะนั้น เราสามารถใช้ชีวสังเคราะห์ เพื่อนำพืชที่ได้รับการวิศวกรรมไปกับเรา แต่เรายังทำอะไรได้อีกบ้าง ค่ะ ฉันบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าในฐานะที่เราเป็นสายพันธุ์หนึ่ง ที่วิวัฒนาการมากับดาวเคราะห์โลก อันที่จริงเราไม่ได้เปลี่ยนไปมากมายอะไร ภายในห้านาทีที่ผ่านมา คุณนั่งอยู่ตรงนั้นและฉันก็ยืนอยู่ตรงนี้ และ ถ้าเรากำลังจะถูกปล่อยลงบนดาวอังคาร ในตอนนี้เลย แม้ว่าเราจะมีอาหาร นำ้ อากาศ และชุดอวกาศที่เหมาะสม เราน่าจะต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพ ที่ไม่น่าจะดีสักเท่าไร ตั้งแต่ปริมาณรังสีประจุที่เข้ากระทบ กับพื้นผิวของดาวเคราะห์อย่างดาวอังคาร ที่ชั้นบรรยากาศเบาบางหรือไม่มีเลย เว้นเสียแต่ว่าเราวางแผน ที่จะอยู่ในโพรงโต้ดิน เมื่อเราอาศัย อยู่บนดาวเคราะห์ดวงใหม่ทุกดวง เราจะต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้ ที่จะป้องกันตัวเอง โดยปราศจากความต้องการ ที่จะต้องใส่เกราะหรือชุดอวกาศ ที่มีน้ำหนักเท่ากับน้ำหนักร่างกายของคุณ หรือความต้องการ ที่จะต้องหลบอยู่หลังกำแพงตะกั่ว ฉะนั้น ลองมาขอแรงบันดาลใจ จากธรรมชาติกัน ในบรรดาชีวิตมากมายบนโลก ยังมีสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อ เอ็กซ์ตรีโมไฟย์ หรือพวกที่ชอบอาศัย อยู่ในสถานที่ที่มีความรุนแรง ถ้าคุณจำได้จากวิชาชีววิทยา ตอนชั้นมัธยมปลาย และในบรรดาสิ่งมีชีวิตพวกนั้น ก็มีแบคทีเรีย ดีอิโนคอคคัส เรดิโอดูราน ซึ่งเรารู้ว่ามันสามารถทดความหนาวเย็น การเสียน้ำ ภาวะสุญญากาศ กรด และ ที่สำคัญ รังสี ได้ ในขณะที่มันทนต่อรังสี เรายังไม่เคยปรับปรุงยีน ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มันไม่ง่ายเลยที่จะทำอย่างนั้น มันมีปัจจัยหลายอย่าง ที่ส่งผลต่อการทนต่อรังสี และมันไม่ได้ง่าย ๆ เหมือนกับการถ่ายยีนเพียงยีนเดียว แต่มันต้องอาศัยความชาญฉลาด และระยะเวลา แต่ฉันก็คิดว่า มันก็ไม่ได้ยากเกินไปถ้าจะทำ แม้ว่าเราจะยืมเพียงแค่บางส่วน ที่มีความสามารถในการทนต่อรังสี มันก็คงจะดีกว่าสิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้ ซึ่งมีเพียงเมลานินในผิวหนังของเรา การใช้วิธีการทางชีวสังเคราะห์ เราสามารถเก็บเกี่ยวความสามารถ ของ ดีอิโนคอคคัส เพื่อให้ทนต่อระดับรังสีที่รุนแรงได้ อย่างที่เราเห็นว่ามันยุ่งยาก โฮเม เซเปียน หรือมนุษย์ มีวิวัฒนาการตลอดเวลา และยังคงมีวิวัฒนากรอย่างต่อเนื่อง หลายพันปีของการวิวัฒนาการ ไม่ได้เพียงแค่ทำให้มนุษย์เรา อย่างมนุษย์ชาวทิเบต ที่สามารถทน ต่อสภาวะที่มีออกซิเจนน้อยได้ แต่ยังทำให้มนุษย์ชาวอาร์เจนตินา สามารถบริโภคและกำจัดสารหนู ซึ่งเป็นสารเคมีที่สามารถฆ่าคนทั่ว ๆ ไปได้ ทุกวัน ร่างกายมนุษย์มีวิวัฒนาการ โดยการกลายพันธุ์ที่เกิดโดยบังเอิญ ที่บังเอิญทำให้มนุษย์บางคน ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะดี แต่ แต่ว่า แต่ละวิวัฒนาการต้องการสองสิ่ง ที่เราอาจไม่มีเสมอไป หรือสามารถที่จะมีมันได้ และพวกมันก็คือความตายและเวลา ในความพยายามของสายพันธุ์ของเรา ที่จะหาที่อยู่ในเอกภพ เราอาจไม่สามารถมีเวลาเพียงพอ ต่อการวิวัฒนาการตามธรรมชาติ เพื่อให้ได้มาซึ่งความสามารถเพิ่มเติม ในการอยู่รอดบนดาวเคราะห์นอกโลก เราอาศัยอยู่ในสิ่งที่ อี. โอ. วิลสัน ได้ให้ชื่อว่า เป็นยุคของการหลบหลีกยีน ซึ่งเป็นยุคที่เราซ่อมความผิดปกติของยีน อย่างซิย์สติกไฟโบรซิส หรือกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ ด้วยสิ่งทดแทนชั่วคราวจากภายนอก แต่ทุก ๆ วันที่ผ่านไป เราเข้าสู่ยุค ของการวิวัฒนาการอย่างจงใจ ช่วงเวลาที่เราในฐานะสายพันธุ์หนึ่ง จะมีความสามารถในการตัดสินว่า เราจะมีพันธุรรมของเราอย่างไร การเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ให้กับร่างกายมนุษย์ ไม่ได้เป็นประเด็นอีกแล้ว ว่ามันจะทำได้อย่างไร แต่เมื่อไรต่างหาก การใช้ชีวสังเคราะห์ เพื่อเปลี่ยนยีนที่เป็นองค์ประกอบ ของสิ่งมีชีวิตใดสิ่งมีชีวิตหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งของเราเอง ไม่ได้ปราศจากความลังเล ทางศีลธรรมและจริยธรรม การที่เราวิศวกรรมตัวเราเอง ทำให้เป็นมนุษย์น้อยลงหรือเปล่า แต่จะว่าไปแล้ว มนุษยชาติจะเป็นอะไร มากไปกว่าวัตถุธาตุจากดาว ที่เผอิญมีสติสัมปะชัญญะหรือเปล่า มนุษย์ผู้ทรงปัญญาควรจะกำกับ ให้ตัวเองไปในทิศทางใด แน่นอนล่ะ มันคงเป็นการเสียเวลา ถ้าจะมัวแต่นั่งชื่นชมมันไปวัน ๆ เราจะใช้ความรู้ของเรา เพื่อปกป้องตัวเราเอง จากอันตรายภายนอก และปกป้องตัวเราเอง จากตัวเราเองได้อย่างไร ฉันทิ้งคำถามเหล่านี้ไว้ ไม่ใช่เพื่อก่อให้เกิดความหวาดกลัว ต่อวิทยาศาสตร์ แต่เพื่อให้ความกระจ่าง เกี่ยวกับโอกาสต่าง ๆ ที่วิทยาศาสาตร์ได้มอบให้ และกำลังจะให้กับเราต่อไป เราจะต้องรวมมือกันในฐานะมนุษย์ เพื่อหารือและหาคำตอบ ด้วยความระมัดระวัง และความกล้าหาญ ดาวอังคารคือจุดหมาย แต่มันจะไม่ใช่ปลายทาง และพรมแดนสุดท้ายจริง ๆ ที่เราจะต้องข้ามไป ในการตัดสินใจว่าเราจะสามารถ และควรทำอะไรได้บ้างกับปัญญาของเรา อวกาศนั้นหนาวเย็น โหดร้าย และไม่เป็นมิตร หนทางของเราสู่ดวงดาว จะต้องพบกับการทดสอบ ที่จะนำมาซึ่งคำถาม ไม่เพียงแต่ว่าเราเป็นใคร แต่คำถามที่ว่าเราจะไปไหน และคำตอบจะขึ้นอยู่กับทางเลือก ในการใช้หรือไม่ใช้เทคโนโลยีของเรา ที่เราได้รวบรวมจากชีวิตต่าง ๆ และมันจะกำหนดสถานะของเรา ในเอกภพนี้ ขอบคุณค่ะ (เสียงปรบมือ)