WEBVTT 00:00:00.800 --> 00:00:04.100 คราวนี้ผมจะแสดงวิธีโปรดของผมในการหา 00:00:04.100 --> 00:00:05.770 อินเวอร์สของเมทริกซ์ขนาด 3 คูณ 3 00:00:05.770 --> 00:00:07.220 และที่จริงผมคิดว่ามันสนุกกว่ากันเยอะ 00:00:07.220 --> 00:00:09.150 และคุณจะมีโอกาสพลาดน้อยลง 00:00:09.150 --> 00:00:11.020 แต่หากผมจำไม่ผิดในวิชาพีชคณิต 2 เขาไม่ได้ 00:00:11.020 --> 00:00:12.760 สอนวิธีนี้ในพีชคณิต 2 00:00:12.760 --> 00:00:14.900 นั่นคือสาเหตุที่ผมสอนอีกวิธีก่อนหน้านี้ 00:00:14.900 --> 00:00:16.170 แต่ลองดูวิธีนี้กัน 00:00:16.170 --> 00:00:20.140 และในวิดีโอหน้า ผมจะบอกคุณว่าทำไมมันถึงใช้ได้ 00:00:20.140 --> 00:00:21.310 เพราะมันสำคัญเสมอ 00:00:21.310 --> 00:00:23.780 ในพีชคณิตเชิงเส้น นี่คือหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ 00:00:23.780 --> 00:00:26.670 ผมว่ามันสำคัญมากที่จะรู้วิธีทำ 00:00:26.670 --> 00:00:28.790 ก่อน จากนั้นค่อยมาเรียนว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น 00:00:28.790 --> 00:00:30.430 เพราะวิธีการ มันคล่องตัวกว่ามาก 00:00:30.430 --> 00:00:32.880 มันใช้แค่เลขคณิตพื้นฐาน 00:00:32.880 --> 00:00:34.380 เป็นส่วนใหญ่ 00:00:34.380 --> 00:00:39.070 แต่สาเหตุที่มันใช้ได้ มันลึกกว่ามาก 00:00:39.070 --> 00:00:41.170 ผมจึงเก็บไว้ในวิดีโอต่อ ๆ ไป 00:00:41.170 --> 00:00:43.820 คุณมักจะคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ลึกซึ้งขึ้นตอน 00:00:43.820 --> 00:00:46.550 คุณเริ่มมั่นใจว่าอย่างน้อยคุณเข้าใจว่ามันทำ อย่างไร 00:00:46.550 --> 00:00:49.730 เอาล่ะ ลองกลับมาดูเมทริกซ์เดิมของเรา 00:00:49.730 --> 00:00:51.090 มันคือเมทริกซ์เดิมที่ 00:00:51.090 --> 00:00:52.280 ผมทำในวิดีโอที่แล้วใช่ไหม 00:00:52.280 --> 00:01:03.850 มันคือ 1,0,1,0,2,1,1,1,1 00:01:03.850 --> 00:01:07.160 และเราอยากหาอินเวอร์สของเมทริกซ์นี้ 00:01:07.160 --> 00:01:08.910 นี่คือสิ่งที่เราจะทำ 00:01:08.910 --> 00:01:12.710 มันเรียกว่า Gauss-Jordan elimination เป็นวิธีหา 00:01:12.710 --> 00:01:13.720 อินเวอร์สของเมทริกซ์ 00:01:13.720 --> 00:01:15.840 และวิธีทำคือ -- มันอาจดูเหมือนเวทมนตร์ 00:01:15.840 --> 00:01:18.860 มันอาจดูเหมือนวิชาหมอผี แต่ผมว่า 00:01:18.860 --> 00:01:20.370 คุณจะเห็นในวิดีโอหน้าว่ามันเข้าใจได้ไม่ยาก 00:01:20.370 --> 00:01:22.770 วิธีทำคือเราจะเพิ่มเติมเมทริกซ์นี้ 00:01:22.770 --> 00:01:23.560 เพิ่มเติมนี่หมายความอย่างไร 00:01:23.560 --> 00:01:25.440 มันหมายถึง เราจะเพิ่มอะไรบางอย่างเข้าไป 00:01:25.440 --> 00:01:26.830 ผมจะวาดเส้นแบ่ง 00:01:26.830 --> 00:01:28.486 บางคุณก็ไม่วาด 00:01:28.486 --> 00:01:31.290 แต่หากผมวาดเส้นแบ่งตรงนี้ 00:01:31.290 --> 00:01:34.080 ผมจะใส่อะไรลงไปอีกฝั่งนึง 00:01:34.080 --> 00:01:37.640 ผมจะใส่ identity matrix ขนาดเท่ากันลงไป 00:01:37.640 --> 00:01:41.140 นี่มีขนาด 3 คูณ 3 งั้นผมก็ใส่ identity matrix ขนาด 3 คูณ 3 ลงไป 00:01:41.140 --> 00:01:51.600 ดังนั้นมันคือ 1,0,0,0,1,0,0,0,1 00:01:51.600 --> 00:01:54.870 ใชได้แล้ว แล้วเราจะทำอะไรต่อ 00:01:54.870 --> 00:01:58.670 ที่ผมจะทำต่อไปคือ โอเปอเรชันของแถว (row operations) 00:01:58.670 --> 00:01:59.620 ง่าย ๆ ไปเรื่อย ๆ 00:01:59.620 --> 00:02:02.940 ผมจะบอกคุณว่าโอเปอเรชันของแถว 00:02:02.940 --> 00:02:04.610 พวกนี้คืออะไร 00:02:04.610 --> 00:02:07.440 แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมทำอะไรกับแถวนี้ ผมต้องทำ 00:02:07.440 --> 00:02:09.360 กับแถวที่คู่กันนี้ด้วย 00:02:09.360 --> 00:02:12.690 และเป้าหมายผมคือทำโอเปอเรชัน 00:02:12.690 --> 00:02:14.150 ต่าง ๆ ทางซ้าย 00:02:14.150 --> 00:02:15.830 และแน่นอน ต้องทำทางขวา 00:02:15.830 --> 00:02:18.690 แบบเดียวกัน จนกระทั่งผมได้ identity 00:02:18.690 --> 00:02:21.320 matrix ทางซ้ายมือ 00:02:21.320 --> 00:02:23.310 จากนั้นเมื่อผมได้ identity matrix ทางซ้ายมือ 00:02:23.310 --> 00:02:26.400 สิ่งที่เหลือทางขวามือก็คือ 00:02:26.400 --> 00:02:28.690 อินเวอร์สของเมทริกซ์ตั้งตั้น 00:02:28.690 --> 00:02:32.680 และเมื่อนี่กลายเป็น identity matrix นั่น 00:02:32.680 --> 00:02:34.950 จะเรียกว่า reduced row echelon form 00:02:34.950 --> 00:02:36.320 ผมจะพูดถึงมันอีกที 00:02:36.320 --> 00:02:39.200 มันมีชื่อและคำบรรยายหลายอย่างในพีชคณิตเชิงเส้น 00:02:39.200 --> 00:02:41.480 แต่ที่จริงมันเป็นหลักง่าย ๆ 00:02:41.480 --> 00:02:44.790 แต่ช่างเถอะ ลองมาเริ่มทำดูแล้วจะเห็น 00:02:44.790 --> 00:02:45.180 ชัดขึ้น 00:02:45.180 --> 00:02:47.290 อย่่างน้อยกระบวนการจะชัดขึ้น 00:02:47.290 --> 00:02:49.460 แต่สาเหตุว่าทำไมมันถึงใช้ได้นี่ไม่แน่ 00:02:49.460 --> 00:02:51.610 อย่างแรกเลย ผมบอกว่า ผมกำลังจะทำโอเปอเรชัน 00:02:51.610 --> 00:02:52.280 ต่าง ๆ ตรงนี้ 00:02:52.280 --> 00:02:53.950 โอเปอเรชันที่ทำได้มีอะไรบ้าง 00:02:53.950 --> 00:02:55.720 มันเรียกว่าโอเปอเรชันของแถวพื้นฐาน 00:02:55.720 --> 00:02:57.920 มันหลายสิ่งที่ผมทำได้ 00:02:57.920 --> 00:03:01.970 ผมสามารถแทนที่แถวใด ๆ ด้วยแถวนั่น 00:03:01.970 --> 00:03:03.680 คูณกับเลขสักตัว 00:03:03.680 --> 00:03:04.960 ผมทำมันได้ 00:03:04.960 --> 00:03:08.260 ผมสามารถสลับสองแถวใด ๆ ได้ 00:03:08.260 --> 00:03:10.850 และแน่นอน หากผมสลับสมมุติแถวแรกกับแถวสอง 00:03:10.850 --> 00:03:12.450 ผมก็ต้องสลับตรงนี้เช่นกัน 00:03:12.450 --> 00:03:17.410 และผมสามารถบวกหรือลบแถวนึงกับอีกแถวได้ 00:03:17.410 --> 00:03:20.590 ตอนผมทำอย่างนั้น-- ตัวอย่างเช่น ผมสามารถเอาแถวนี้ 00:03:20.590 --> 00:03:23.790 มาแล้วแทนที่มันด้วยแถวนี้บวกแถวนี้ 00:03:23.790 --> 00:03:25.520 และคุณจะเห็นว่าผมหมายถึงอะไรในไม้ช้า 00:03:25.520 --> 00:03:27.500 และคุณรู้ว่า หากคุณรวมมัน คุณอาจบอก 00:03:27.500 --> 00:03:29.880 ว่าผมกำลังคูณแถวนี้ด้วยลบ 1 และบวก 00:03:29.880 --> 00:03:32.580 มันกับแถวนี้ และแทนที่แถวนี้ด้วยอันนั้น 00:03:32.580 --> 00:03:36.690 หากคุณเริ่มรู้สึกว่ามันคือสิ่งที่คุณ 00:03:36.690 --> 00:03:40.290 เรียนตอนคุณแก้ระบบสมการ 00:03:40.290 --> 00:03:42.510 เชิงเส้น นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ 00:03:42.510 --> 00:03:45.990 เพราะเมทริกซ์ที่จริงแล้วเป็นวิธีที่ดีในการ 00:03:45.990 --> 00:03:48.130 แสดงระบบสมการ แล้วผมจะสอนคุณต่อไป 00:03:48.130 --> 00:03:51.430 แต่เอาล่ะ ลองทำโอเปอเรชันของแถวพื้นฐาน 00:03:51.430 --> 00:03:55.100 เพื่อให้ฝั่งซ้ายกลายเป็น reduced row echelon form 00:03:55.100 --> 00:03:57.780 นั่นคือชื่อสวย ๆ ของการบอกว่า ลองเปลี่ยนมัน 00:03:57.780 --> 00:03:59.610 เป็น identity matrix 00:03:59.610 --> 00:04:00.660 ลองดูว่าเราต้องทำอะไรบ้าง 00:04:00.660 --> 00:04:02.290 เราอยากได้ 1 ตลอดแถวนี้ 00:04:02.290 --> 00:04:03.750 เราอยากได้พวกนี้เป็น 0 00:04:03.750 --> 00:04:07.870 ลองดูว่าเราจะหามันดี ๆ ได้อย่างไร 00:04:07.870 --> 00:04:10.560 ขอผมเขียนเมทริกซ์อีกที 00:04:10.560 --> 00:04:16.350 ลองหาทางทำให้ตรงนี้เป็น 0 00:04:16.350 --> 00:04:17.445 นั่นจะทำให้สะดวกขึ้น 00:04:17.445 --> 00:04:19.769 งั้นผมจะเก็บสองแถวบนไว้เหมือนเดิม 00:04:19.769 --> 00:04:21.209 1,0,1 00:04:21.209 --> 00:04:23.000 แล้วผมก็มีเส้นแบ่ง 00:04:23.000 --> 00:04:24.370 1,0,0 00:04:24.370 --> 00:04:25.450 ผมไม่ได้ทำอะไรเลย 00:04:25.450 --> 00:04:27.000 ผมไม่ได้ทำอะไรกับแถวที่สอง 00:04:27.000 --> 00:04:28.875 0,2,1 00:04:33.460 --> 00:04:36.700 0,1,0 00:04:36.700 --> 00:04:40.120 และที่ผมจะทำ ผมจะแทนแถวนี้ -- 00:04:40.120 --> 00:04:42.260 แค่ให้คุณรู้ว่าผมอยากทำอะไร ผมอยากได้ 00:04:42.260 --> 00:04:43.490 0 ตรงนี้ 00:04:43.490 --> 00:04:46.540 ตอนนี้ผมใกล้ได้ 00:04:46.540 --> 00:04:48.200 identity matrix แล้วตรงนี้ 00:04:48.200 --> 00:04:50.080 และผมจะได้ 0 มาอย่างไร 00:04:50.080 --> 00:04:55.750 ที่ผมทำได้คือ ผมแทนที่แถวนี้ด้วย แถวนี้ 00:04:55.750 --> 00:04:57.280 ลบแถวนี้ 00:04:57.280 --> 00:05:00.000 ดังนั้นผมก็แทนแถวที่สามด้วย แถวที่สาม 00:05:00.000 --> 00:05:01.630 ลบแถวแรก 00:05:01.630 --> 00:05:04.040 แถวสาม ลบ แถวแรก ได้เท่าไหร่ 00:05:04.040 --> 00:05:07.340 1 ลบ 1 ได้ 0 00:05:07.340 --> 00:05:10.670 1 ลบ 0 ได้ 1 00:05:10.670 --> 00:05:13.860 1 ลบ 1 ได้ 0 00:05:13.860 --> 00:05:16.150 ผมคิดทางซ้ายเสร็จแล้ว ทีนี้ผมต้องทำ 00:05:16.150 --> 00:05:16.900 ทางขวาเหมือนกัน 00:05:16.900 --> 00:05:20.300 ผมต้องแทนที่แถวนี้ ด้วยนี่ ลบ นี่ 00:05:20.300 --> 00:05:24.010 นั่นคือ 0 ลบ 1 ได้ ลบ 1 00:05:24.010 --> 00:05:26.610 0 ลบ 0 ได้ 0 00:05:26.610 --> 00:05:29.810 แล้วก็ 1 ลบ 0 ได้ 1 00:05:29.810 --> 00:05:31.270 ใช้ได้ 00:05:31.270 --> 00:05:32.800 ตอนนี้ผมอะไรต่อ 00:05:32.800 --> 00:05:37.830 แถวนี้ตรงนี้ แถวที่สามนี่ มันมี 0 และ 0 -- มัน 00:05:37.830 --> 00:05:40.530 เหมือนกับสิ่งที่ผมอยากได้สำหรับแถวที่สอง 00:05:40.530 --> 00:05:41.720 ของ identity matrix 00:05:41.720 --> 00:05:43.470 ทำไมผมไม่ลองสลับสองแถวนี้ดูล่ะ 00:05:43.470 --> 00:05:45.360 ทำไมผมไม่สลับแถวแรกกับแถวที่สองดูล่ะ 00:05:45.360 --> 00:05:46.740 ลองทำดู 00:05:46.740 --> 00:05:49.590 ผมจะสลับแถวแรกกับแถวที่สอง 00:05:49.590 --> 00:05:50.950 ดังนั้นแถวแรกยังอยู่เหมือนเดิม 00:05:50.950 --> 00:05:54.790 1,0,1 00:05:54.790 --> 00:05:57.760 จากนั้นอีกฝั่งหนึ่งก็ยังอยู่เหมือนเดิม 00:05:57.760 --> 00:06:01.830 และผมจะสลับแถวสองกับแถวสาม 00:06:01.830 --> 00:06:05.020 ตอนนี้แถวสองของผมคือ 0,1,0 00:06:05.020 --> 00:06:06.990 และผมต้องสลับทางขวามือด้วย 00:06:06.990 --> 00:06:09.520 มันคือ ลบ 1,0,1 00:06:09.520 --> 00:06:12.540 ผมแค่สลับสองอันนี่ 00:06:12.540 --> 00:06:14.450 จนแถวที่สามตอนนี้กลายเป็น 00:06:14.450 --> 00:06:15.450 สิ่งที่เคยเป็นแถวสองมาก่อน 00:06:15.450 --> 00:06:17.920 0,2,1 00:06:17.920 --> 00:06:21.990 และ 0,1,0 00:06:21.990 --> 00:06:23.160 ใช้ได้ 00:06:23.160 --> 00:06:24.770 ทีนี้ผมทำอะไรได้อีก 00:06:24.770 --> 00:06:26.910 มันจะดีมากหากผมมี 0 ตรงนี้ 00:06:26.910 --> 00:06:30.070 นั่นจะทำให้มันใกล้กับ identity matrix เข้าไปอีก 00:06:30.070 --> 00:06:32.260 แล้วผมจะทำยังไงให้ได้ 0 ตรงนี้ 00:06:32.260 --> 00:06:37.390 อืม จะเกิดอะไรขึ้นหากผมลบ 2 คูณแถวนี้ จาก แถวหนึ่ง 00:06:37.390 --> 00:06:40.360 เพราะนี่จะเป็น 1 คูณ 2 ได้ 2 00:06:40.360 --> 00:06:44.920 หากผมลบมันออกจากนี่ ผมจะได้ 0 ตรงนี้ 00:06:44.920 --> 00:06:47.140 งั้นลองทำดู 00:06:47.140 --> 00:06:50.250 ดังนั้นแถวแรกก็โชคดี 00:06:50.250 --> 00:06:51.260 มันไม่ต้องทำอะไร 00:06:51.260 --> 00:06:52.580 แค่รออยู่เฉย ๆ 00:06:52.580 --> 00:06:58.670 1,0,1,1,0,0 00:06:58.670 --> 00:07:02.120 ส่วนแถวสองไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตอนนี้ 00:07:02.120 --> 00:07:05.430 ลบ 1,0,1 00:07:05.430 --> 00:07:07.110 ผมบอกว่าผมจะทำอะไรนะ 00:07:07.110 --> 00:07:13.240 ผมจะหัก 2 คูณแถวสอง จากแถวสาม 00:07:13.240 --> 00:07:18.960 ดังนั้นนี่คือ 0 ลบ 2 คูณ 0 ได้ 0 00:07:18.960 --> 00:07:23.990 2 ลบ 2 คูณ 1 นั่นก็ได้ 0 00:07:23.990 --> 00:07:29.150 1 ลบ 2 คูณ 0 ก็ได้ 1 00:07:29.150 --> 00:07:38.210 0 ลบ 2 คูณลบ 1 ได้ -- จำไว้ก่อน 0 ลบ 00:07:38.210 --> 00:07:39.880 2 คูณลบ 1 00:07:39.880 --> 00:07:44.520 นั่นเท่ากับ 0 ลบ ลบ 2 ก็เลยเป็นบวก 2 00:07:44.520 --> 00:07:47.970 1 ลบ 2 คูณ 0 00:07:47.970 --> 00:07:49.810 นั่นยังเท่ากับ 1 เหมือนเดิม 00:07:49.810 --> 00:07:53.240 0 ลบ 2 คูณ 1 00:07:53.240 --> 00:07:54.490 ได้เท่ากับ ลบ 2 00:07:57.190 --> 00:07:58.130 ผมทำถูกไหม 00:07:58.130 --> 00:07:58.810 ผมอยากตรวจให้แน่ใจ 00:07:58.810 --> 00:08:04.800 0 ลบ 2 คูณ -- โอเค 2 คูณ ลบ 1 ได้ ลบ 2 00:08:04.800 --> 00:08:06.910 แล้วผมลบมัน เลยได้ บวก 00:08:06.910 --> 00:08:08.150 โอเค ใกล้แล้ว 00:08:08.150 --> 00:08:11.140 มันดูคล้ายกับ identity matrix หรือ reduced row 00:08:11.140 --> 00:08:11.680 echelon form แล้ว 00:08:11.680 --> 00:08:12.950 ยกเว้น 1 นี่ตรงนี้ 00:08:12.950 --> 00:08:16.740 งั้นสุดท้ายผมจะมาจัดการแถวบน 00:08:16.740 --> 00:08:18.450 แล้วผมทำอะไรได้ 00:08:18.450 --> 00:08:23.170 ถ้าผมแทนที่แถวบนด้วย แถวบนลบ 00:08:23.170 --> 00:08:24.060 แถวล่างล่ะ 00:08:24.060 --> 00:08:25.480 เพราะหากผมลบแถวนี้จากแถวนั้น 00:08:25.480 --> 00:08:26.550 มันจะได้ 0 ตรงนี้ 00:08:26.550 --> 00:08:27.790 งั้นลองทำดู 00:08:27.790 --> 00:08:29.720 ผมจะแทนที่แถวบนด้วยแถวบน 00:08:29.720 --> 00:08:31.790 ลบแถวที่สาม 00:08:31.790 --> 00:08:35.570 นั่นคือ 1 ลบ 0 ได้ 1 00:08:35.570 --> 00:08:38.659 0 ลบ 0 ได้ 0 00:08:38.659 --> 00:08:41.000 1 ลบ 1 ได้ 0 00:08:41.000 --> 00:08:43.559 นั่นคือจุดมุงหมายของเรา 00:08:43.559 --> 00:08:48.000 จากนั้น 1 ลบ 2 ได้ ลบ 1 00:08:48.000 --> 00:08:53.490 0 ลบ 1 ได้ ลบ 1 00:08:53.490 --> 00:08:58.950 0 ลบ ลบ 2 นั่นเท่ากับ บวก 2 00:08:58.950 --> 00:09:02.460 นอกนั้นแถวอื่นยังเหมือนดิม 00:09:02.460 --> 00:09:07.590 0,1,0 ลบ 1,0,1 00:09:07.590 --> 00:09:15.550 จากนั้น 0,0,1,2,1 ลบ 2 00:09:15.550 --> 00:09:16.640 แล้วเราก็ได้มันมา 00:09:16.640 --> 00:09:18.650 เราได้ทำโอเปอเรชันกับ 00:09:18.650 --> 00:09:19.720 ทางซ้ายมือ 00:09:19.720 --> 00:09:21.380 แล้วก็เราทำโอเปอเรชันแบบเดียวกัน 00:09:21.380 --> 00:09:22.960 ทางขวามือ 00:09:22.960 --> 00:09:25.670 อันนี้กลายเป็น identity matrix หรือ 00:09:25.670 --> 00:09:27.410 reduced row echelon form 00:09:27.410 --> 00:09:30.530 และเราหามันมาด้วย Gauss-Jordan elimination 00:09:30.530 --> 00:09:32.180 แล้วนี่คืออะไร 00:09:32.180 --> 00:09:36.570 นี่คือก็อินเวอร์สของเมทริกซ์เดิมนั่นเอง 00:09:36.570 --> 00:09:38.960 อันนี้คูณอันนี้จะเท่ากับ identity matrix 00:09:38.960 --> 00:09:46.750 ดังนั้นหากนี่คือ a นี่ก็คือ a อินเวอร์ส 00:09:46.750 --> 00:09:47.580 และนี่คือทั้งหมดที่คุณต้องทำ 00:09:47.580 --> 00:09:49.700 อย่างที่คุณเห็น ผมใช้เวลาแค่ครึ่งเดียว 00:09:49.700 --> 00:09:53.260 แถมใช้เลขน้อยกว่าตอนที่ 00:09:53.260 --> 00:09:56.310 ผมใช้แอดจอยต์และโคแฟกเตอร์กับ 00:09:56.310 --> 00:09:58.110 ดีเทอร์มีแนนต์ 00:09:58.110 --> 00:09:59.990 หากคุณคิดดี ๆ ผมจะบอกใบ้ว่าทำไม 00:09:59.990 --> 00:10:01.420 มันถึงใช้ได้ 00:10:01.420 --> 00:10:06.910 ทุกโอเปอเรชันที่ผมทำทางด้านซ้าย 00:10:06.910 --> 00:10:10.570 คุณอาจมองมันเหมือนกับการคูณ -- รู้ไหม 00:10:10.570 --> 00:10:12.370 จากนี่มานี่ ผมคูณ 00:10:12.370 --> 00:10:14.500 คุณอาจบอกว่ามันมีเมทริกซ์อยู่ 00:10:14.500 --> 00:10:16.240 หากผมคูณเมทริกซ์นั่นเข้าไป มันจะ 00:10:16.240 --> 00:10:17.670 ทำโอเปอเรชันพวกนี้ 00:10:17.670 --> 00:10:20.250 จากนั้นผมก็ต้องคูณเมทริกซ์อีกตัว 00:10:20.250 --> 00:10:21.550 เพื่อทำโอเปอเรชันนี้ 00:10:21.550 --> 00:10:24.250 ที่สุดแล้วที่เราทำก็คือ การคูณเมทริกซ์ 00:10:24.250 --> 00:10:26.440 เป็นชุดเข้าไป 00:10:26.440 --> 00:10:28.500 และหากคุณคูณเมทริกซ์ทั้งหมด เราเรียกว่า 00:10:28.500 --> 00:10:31.410 elimination matrices ด้้วยกัน คุณจะได้ 00:10:31.410 --> 00:10:34.070 คูณเมทริกซ์นี่กับอินเวอร์ส 00:10:34.070 --> 00:10:35.590 ผมกำลังบอกอะไรกันแน่ 00:10:35.590 --> 00:10:43.470 หากเรามี a จะไปจากนี่มานี่ เราต้อง 00:10:43.470 --> 00:10:47.300 คูณ a กับ elimination matrix 00:10:47.300 --> 00:10:49.630 หากมันทำให้คุณงง ก็ช่างมันเถอะ 00:10:49.630 --> 00:10:51.990 แต่นี่เป็นหลักที่ฉลาดมาก 00:10:51.990 --> 00:10:55.250 เราได้หักล้างอะไรไปบ้าง 00:10:55.250 --> 00:10:58.470 เราได้หักล้างเทอม 3,1 00:10:58.470 --> 00:11:01.120 เราคูณมันด้วย elimination matrix 00:11:01.120 --> 00:11:03.670 3,1, จนได้ตรงนี้ 00:11:03.670 --> 00:11:05.740 จากนั้นเพื่อไปจากนี่มานี่ เราได้คูณ 00:11:05.740 --> 00:11:07.220 เมทริกซ์อีกตัวเข้าไป 00:11:07.220 --> 00:11:07.970 ผมจะบอกคุณอีกที 00:11:07.970 --> 00:11:09.160 ผมจะแสดงให้เห็นว่าเราสร้าง 00:11:09.160 --> 00:11:10.940 elimination matrices พวกนี้อย่างไร 00:11:10.940 --> 00:11:12.830 เราคูณมันด้วย elimination matrix 00:11:12.830 --> 00:11:16.150 ที่จริง เราสลับแถวกันตรงนี้ 00:11:16.150 --> 00:11:17.070 ผมไม่รู้ว่าคุณอยากเรียกมันว่าอะไร 00:11:17.070 --> 00:11:21.240 คุณอาจเรียกมันว่าเมทริกซ์สลับแถว 00:11:21.240 --> 00:11:24.730 เราสลับแถวสองกับแถวสาม 00:11:24.730 --> 00:11:28.830 จากนั้นเราก็คูณมันด้วย elimination matrix 00:11:28.830 --> 00:11:31.110 -- เราทำอะไรลงไปทีนี้ 00:11:31.110 --> 00:11:34.030 เราได้กำจัดนี่ นี่อยู่ที่แถวสาม 00:11:34.030 --> 00:11:36.270 คอลัมน์สอง 3,2 00:11:36.270 --> 00:11:39.320 สุดท้าย เพื่อมาตรงนี้ เราได้คูณมันด้วย 00:11:39.320 --> 00:11:40.470 elimination matrix อีกตัว 00:11:40.470 --> 00:11:41.740 เราต้องหักล้างเทอมนี้ตรงนี้ 00:11:41.740 --> 00:11:44.220 เราได้หักล้างแถว หนึ่ง คอลัมน์ สาม 00:11:47.200 --> 00:11:49.590 ผมอยากให้คุณรู้ตอนนี้ว่ามันไม่่สำคัญ 00:11:49.590 --> 00:11:51.420 นักว่าเมทริกซ์เหล่านี้หน้าตาอย่างไร 00:11:51.420 --> 00:11:53.210 ผมจะแสดงวิธีที่เราสร้างเมทริกซ์เหล่านี้ทีหลัง 00:11:53.210 --> 00:11:55.530 แต่ผมแค่อยากให้คุณเชื่อว่า 00:11:55.530 --> 00:11:58.600 โอเปอเรชันเหล่านี้สามารถทำได้ด้วยการคูณ 00:11:58.600 --> 00:12:01.040 เมทริกซ์บางตัวเข้าไป 00:12:01.040 --> 00:12:03.510 แต่ที่เรารู้ตอนนี้คือ เมื่อคูณเมทริกซ์ทั้งหมด 00:12:03.510 --> 00:12:06.760 นี่ เราจะได้ identity matrix 00:12:06.760 --> 00:12:07.930 ออกมา 00:12:07.930 --> 00:12:11.450 ดังนั้นชุดเมทริกซ์ทั้งหมดนี่ เมื่อคุณ 00:12:11.450 --> 00:12:13.600 คูณทั้งหมดเข้าด้วยกัน มันต้อง 00:12:13.600 --> 00:12:15.370 เท่ากับอินเวอร์สของเมทริกซ์ 00:12:15.370 --> 00:12:18.420 หากผมคูณเมทริกซ์ที่ใช้หักล้างเทอมและสลับแถว 00:12:18.420 --> 00:12:22.420 ทั้งหมด มันจะเท่ากับอินเวอร์สของ a 00:12:22.420 --> 00:12:23.680 เพราะหากคุณคูณทั้งหมดนี่กับ 00:12:23.680 --> 00:12:26.130 a คุณจะได้ว่ามันเป็นอินเวอร์ส 00:12:26.130 --> 00:12:28.630 มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 00:12:28.630 --> 00:12:31.780 หากเมทริกซ์พวกนี้รวมตัวกันเป็นอินเวอร์ส 00:12:31.780 --> 00:12:36.400 เมทริกซ์ หากผมคูณมัน หากผมคูณ identity matrix 00:12:36.400 --> 00:12:40.620 คูณเจ้าพวกนี้ -- elimination matrix พวกนี้ อันนี้คูณ 00:12:40.620 --> 00:12:41.270 นั่นเท่ากับนั่น 00:12:41.270 --> 00:12:42.970 อันนี้คูณอันนั้นเท่ากับอันนั้น 00:12:42.970 --> 00:12:44.510 อันนี้คูณอันนั้นเท่ากับอันนั้น 00:12:44.510 --> 00:12:45.360 ไปเรื่อย ๆ 00:12:45.360 --> 00:12:48.870 ที่สุดแล้ว ผมคูณ -- หากคุณนับทุกอย่างเข้า 00:12:48.870 --> 00:12:53.050 ด้วยกัน -- จะได้อินเวอร์สคูณ identity matrix 00:12:53.050 --> 00:12:55.520 ดังนั้นหากคุณคิดแค่ในภาพกว้าง ๆ -- ผมไม่อยาก 00:12:55.520 --> 00:12:56.470 ให้คุณงง 00:12:56.470 --> 00:12:57.910 มันดีแล้วหากคุณเข้าใจ 00:12:57.910 --> 00:13:00.370 ที่ผมทำ 00:13:00.370 --> 00:13:03.500 แต่สิ่งที่ผมทำตามขั้นตอนพวกนี้ ที่สุดแล้วผม 00:13:03.500 --> 00:13:07.800 กำลังคูณทุกสองข้างของเมทริกซ์เพิ่มเติมนี้ 00:13:07.800 --> 00:13:10.450 ด้วยอินเวอร์ส ก็ว่าได้ 00:13:10.450 --> 00:13:13.080 ดังนั้นผมคูณอันนี้ด้วยอินเวอร์ส จนได้ 00:13:13.080 --> 00:13:14.300 identity matrix 00:13:14.300 --> 00:13:16.740 และแน่นอน หากผมคูณอินเวอร์สเมทริกซ์กับ 00:13:16.740 --> 00:13:19.130 identity matrix ผมจะได้อินเวอร์สเมทริกซ์ออกมา 00:13:19.130 --> 00:13:20.990 เอาล่ะ ผมไม่อยากให้คุณงง 00:13:20.990 --> 00:13:22.410 หวังว่าคุณคงได้แนวคิดไปบ้าง 00:13:22.410 --> 00:13:25.130 ผมจะกลับมาพร้อมกับตัวอย่างที่ชัดกว่านี้ 00:13:25.130 --> 00:13:27.850 แต่หวังว่าคุณคงเห็นว่ามันไม่เลอะเทอะ 00:13:27.850 --> 00:13:30.115 เท่าวิธีที่เราทำด้วยแอดจอยต์และโคแฟกเตอร์ กับ 00:13:30.115 --> 00:13:32.540 เมทริกซ์ไมเนอร์กับดีเทอร์มีแนนต์ ฯลฯ 00:13:32.540 --> 00:13:35.290 เอาล่ะ แล้วพบกันใหม่ในวิดีโอหน้าครับ