0:00:04.230,0:00:05.250 เจริญพร 0:00:05.250,0:00:07.085 เร็วไปนิดหนึ่ง 0:00:07.085,0:00:15.032 แต่ว่าทุกคนพร้อมแล้วก็เริ่มเลย 0:00:15.032,0:00:17.677 เรื่องการปฏิบัติธรรม 0:00:17.677,0:00:20.168 เราอย่าคิดว่าเป็นเรื่องยาก 0:00:20.168,0:00:22.698 ส่วนใหญ่เราชอบคิดว่า 0:00:22.698,0:00:26.547 การปฏิบัติธรรมต้องไปทำอะไรที่มันยากๆ 0:00:26.547,0:00:29.526 ที่แท้แล้วการปฏิบัติธรรมอยู่ที่ตัวเราเอง 0:00:29.526,0:00:32.858 ถ้าเราคอยมีสติรู้ทันตัวเองบ่อยๆ 0:00:32.858,0:00:35.077 รู้ทันร่างกายรู้ทันจิตใจบ่อยๆ 0:00:35.077,0:00:39.436 สติจะเกิด 0:00:39.436,0:00:44.330 สติไม่ใช่เป็นของเกิดได้ง่ายๆ 0:00:44.330,0:00:47.829 เราต้องอาศัยค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ดู 0:00:47.829,0:00:50.807 ดูร่างกายบ่อยๆ ดูจิตใจบ่อยๆ 0:00:50.807,0:00:53.037 ถ้าเราได้เคล็ดลับตัวนี้ 0:00:53.037,0:00:54.937 แล้วการภาวนาจะง่าย 0:00:54.937,0:00:57.433 เรียกว่าง่ายเพราะมันไม่ได้ทำอะไร 0:00:57.433,0:00:59.615 เราใช้ชีวิตของเราปกติอย่างนี้ 0:00:59.615,0:01:02.060 หลวงพ่อปราโมทย์ท่านบอกเราบ่อยๆ 0:01:02.060,0:01:03.272 เวลาจะภาวนา 0:01:03.272,0:01:05.709 ใช้จิตธรรมดาปกติของมนุษย์นี่ล่ะ 0:01:05.709,0:01:07.338 แต่เราคอยฝึกสติ 0:01:07.338,0:01:09.070 คอยรู้ทันร่างกาย 0:01:09.070,0:01:12.114 รู้ทันจิตใจตัวเองบ่อยๆ 0:01:12.114,0:01:14.290 ร่างกายที่ตัวเองต้องรู้ 0:01:14.290,0:01:17.224 อย่างคนชอบทำอานาปานสติ 0:01:17.224,0:01:19.313 ก็ดูร่างกายหายใจออก 0:01:19.313,0:01:20.916 ดูร่างกายหายใจเข้า 0:01:20.916,0:01:22.129 คนละอัน 0:01:22.129,0:01:25.327 ส่วนใหญ่พอเราบอกให้ไปดูร่างกายหายใจออก 0:01:25.327,0:01:27.147 ไปดูร่างกายหายใจเข้า 0:01:27.147,0:01:31.194 นักปฏิบัติส่วนใหญ่จะไปเพ่งไปจ้อง 0:01:31.194,0:01:33.018 จ้องดูลมหายใจ 0:01:33.018,0:01:34.771 ตัวนี้คือการเพ่ง 0:01:34.771,0:01:37.268 แต่บางคนพอเราดูลมหายใจออก 0:01:37.268,0:01:38.677 ดูลมหายใจเข้า 0:01:38.677,0:01:40.400 ดูไปพักหนึ่งก็ไหลไปคิด 0:01:40.400,0:01:41.645 ไหลไปฟุ้งซ่าน 0:01:41.645,0:01:43.306 อันนี้คือหลงขาดสติ 0:01:43.306,0:01:45.888 ทำอย่างไรเราจะดูร่างกายหายใจออก 0:01:45.888,0:01:47.918 ร่างกายหายใจเข้าได้บ่อยๆ 0:01:47.918,0:01:49.310 ถ้าเราดูได้บ่อยๆ 0:01:49.310,0:01:51.554 ต่อไปร่างกายหายใจออกก็รู้สึกตัว 0:01:51.554,0:01:54.547 ร่างกายหายใจเข้าก็จะรู้สึกตัว 0:01:54.547,0:01:58.626 หัดสังเกตสภาวะไป 0:01:58.626,0:02:00.668 อย่างเราจงใจดูลมหายใจเข้า 0:02:00.668,0:02:02.387 ดูลมหายใจออก 0:02:02.387,0:02:03.884 นี่คือการเพ่ง 0:02:03.884,0:02:06.330 แต่ถ้าเราดูลมหายใจเข้าหายใจออก 0:02:06.330,0:02:08.432 แล้วใจไหลไปคิดไหลไปฟุ้งซ่าน 0:02:08.432,0:02:09.744 อันนี้คือขาดสติ 0:02:09.744,0:02:11.634 แต่ถ้าเรามีสติระลึกรู้ 0:02:11.634,0:02:13.759 เห็นร่างกายหายใจออกก็รู้ 0:02:13.759,0:02:15.894 เห็นร่างกายหายใจเข้าก็รู้ 0:02:15.894,0:02:17.478 อันนี้คือเรามีสติ 0:02:17.478,0:02:19.870 ถ้าคนชอบอานาปานสติ 0:02:19.870,0:02:22.853 อย่างหลวงพ่อปราโมทย์ท่านชอบตัวนี้ 0:02:22.853,0:02:25.168 เพราะท่านฝึกของท่านมาแต่เด็ก 0:02:25.168,0:02:28.794 สมัยที่พระอาจารย์หัดภาวนา 0:02:28.794,0:02:31.274 ตัวนี้พระอาจารย์ไม่ค่อยชอบหรอก 0:02:31.274,0:02:33.527 เพราะสมัยก่อนเป็นโรคภูมิแพ้ 0:02:33.527,0:02:34.951 หายใจไม่ค่อยได้ 0:02:34.951,0:02:37.404 ก็เลยไม่ค่อยชอบทำกรรมฐานตัวนี้ 0:02:37.404,0:02:39.654 แต่ว่าตัวที่พระอาจารย์ชอบทำคือ 0:02:39.654,0:02:41.638 ร่างกายเคลื่อนไหวเรารู้ 0:02:41.638,0:02:43.458 ร่างกายหยุดนิ่งเรารู้ 0:02:43.458,0:02:45.335 ร่างกายกระดุกกระดิกเรารู้ 0:02:45.335,0:02:48.322 ร่างกายเคลื่อนไหวตลอดเวลา 0:02:48.322,0:02:50.723 อย่างบางคนก็กระดุกกระดิก 0:02:50.723,0:02:52.101 บางคนก็เกาขา 0:02:52.101,0:02:54.362 บางคนก็ส่ายไปส่ายมา 0:02:54.362,0:02:55.919 ขยับไปขยับมา 0:02:55.919,0:02:59.838 คอยรู้สึก รู้สึกบ่อยๆ 0:02:59.838,0:03:02.335 ร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก 0:03:02.335,0:03:04.037 ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้สึก 0:03:04.037,0:03:06.648 เหมือนกันนะถ้าสมมติเรา 0:03:06.648,0:03:10.099 อย่างบางคนทำกรรมฐานเคลื่อนไหวทำจังหวะ 0:03:10.099,0:03:13.609 ถ้าเวลาทำจังหวะเราจดจ่อ 0:03:13.609,0:03:16.292 หรือว่าจงใจทำจังหวะมากเกินไป 0:03:16.292,0:03:19.135 จงใจดูร่างกายเคลื่อนไหวมากเกินไป 0:03:19.135,0:03:20.437 นี่คือการเพ่ง 0:03:20.437,0:03:23.087 หรือว่าเราเคลื่อนไหวไป 0:03:23.087,0:03:24.893 เคลื่อนไหวจนชำนาญ 0:03:24.893,0:03:26.444 จำแต่ละรูปได้ 0:03:26.444,0:03:29.453 ทำไปแล้วก็ใจเราเผลอเพลินไป 0:03:29.453,0:03:31.345 ไหลไปคิดไหลไปฟุ้งซ่าน 0:03:31.345,0:03:32.579 นี่คือขาดสติ 0:03:32.579,0:03:35.709 ฉะนั้นเคลื่อนไหวก็คอยรู้สึก 0:03:35.709,0:03:37.507 ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้สึก 0:03:37.507,0:03:39.734 ร่างกายกระดุกกระดิกก็รู้สึก 0:03:39.734,0:03:42.130 เราหัดดูไป ดูไปบ่อยๆ 0:03:42.130,0:03:44.811 ต่อไปร่างกายเคลื่อนไหวมันจะรู้สึกเอง 0:03:44.811,0:03:47.073 ร่างกายหยุดนิ่งมันจะรู้สึกเอง 0:03:47.073,0:03:48.705 ที่รู้สึกเองตัวนี้คือสติ 0:03:48.705,0:03:50.474 มันระลึกรู้ร่างกาย 0:03:50.474,0:03:53.584 อีกตัวหนึ่งร่างกายยืนก็รู้ 0:03:53.584,0:03:55.006 ร่างกายเดินก็รู้ 0:03:55.006,0:03:56.207 ร่างกายนั่งก็รู้ 0:03:56.207,0:03:59.306 ร่างกายนอนก็รู้ หัดดูไป 0:03:59.306,0:04:02.564 เหมือนกันถ้าเราเจตนาจะดู 0:04:02.564,0:04:04.738 จงใจดูร่างกายยืน ร่างกายเดิน 0:04:04.738,0:04:06.913 ร่างกายนั่ง ร่างกายนอน 0:04:06.913,0:04:08.568 อันนี้คือการเพ่ง 0:04:08.568,0:04:12.212 หรือว่าเวลาเราดูร่างกายยืน 0:04:12.212,0:04:15.773 ร่างกายเดิน ร่างกายนั่ง หรือร่างกายนอน 0:04:15.773,0:04:18.046 แต่เวลาเราดูไปดูมา 0:04:18.046,0:04:20.150 มันไหลไปคิดไหลไปเพลิดเพลิน 0:04:20.150,0:04:21.348 นี่คือขาดสติ 0:04:21.348,0:04:23.966 เราต้องมีสติอยู่กับการรู้ 0:04:23.966,0:04:26.107 รูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน 0:04:26.107,0:04:28.488 อันนี้ต้องไปค่อยหัดสังเกต 0:04:28.488,0:04:30.013 เวลาเราหัดดู 0:04:30.013,0:04:34.480 ถ้าเราจงใจเราเจตนาแรงคือการเพ่ง 0:04:34.480,0:04:37.496 แต่ว่าถ้าเราดูจนชำนาญ 0:04:37.496,0:04:38.924 เราคิดว่าเราดูอยู่ 0:04:38.924,0:04:41.200 แต่ว่ามันแอบไปคิดแอบไปฟุ้งซ่าน 0:04:41.200,0:04:43.008 คือหลงไป ขาดสติ 0:04:43.008,0:04:44.648 ทำอย่างไรเราจะฝึก 0:04:44.648,0:04:46.580 ให้มีสติอยู่กับร่างกายบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราฝึกตรงนี้ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราไปฝึกเดินจงกรมก็เห็นร่างกายเดินจงกรม 9:59:59.000,9:59:59.000 มีสติระลึกรู้อยู่ที่การเดินจงกรม 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่นักปฏิบัติส่วนใหญ่ที่ครูบาอาจารย์ท่านบอก 9:59:59.000,9:59:59.000 ร้อยทั้งร้อยเวลาเราไปเดินจงกรม 9:59:59.000,9:59:59.000 เราก็ไปเพ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่เพ่งบางทีเดินจงกรมไปเดินจนเพลินๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็ไหลไปคิดไหลไปฟุ้งซ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 อันนี้คือขาดสติ 9:59:59.000,9:59:59.000 มันคือว่าทำไมนักปฏิบัติส่วนใหญ่ 9:59:59.000,9:59:59.000 ปฏิบัติแล้วไม่ค่อยได้ผล 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะปฏิบัติแล้วมันไม่ค่อยมีสติ 9:59:59.000,9:59:59.000 ปฏิบัติแล้วส่วนใหญ่เพ่งเอา 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างพวกเราคนจีนที่ส่วนใหญ่ที่มาส่งการบ้าน 9:59:59.000,9:59:59.000 ส่วนใหญ่เราตั้งใจปฏิบัติกันมาก 9:59:59.000,9:59:59.000 ตั้งใจเรียน ตั้งใจภาวนากันมาก 9:59:59.000,9:59:59.000 พอถึงเวลาเราจงใจเยอะ 9:59:59.000,9:59:59.000 พอจงใจเยอะ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราจะกลัวหลงกลัวเผลออะไรอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราก็ไปเพ่งไว้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จะพุทโธแล้วก็เพ่งพุทโธ 9:59:59.000,9:59:59.000 จะดูลมหายใจแล้วก็ไปเพ่งลมหายใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 จะไปเดินจงกรม 9:59:59.000,9:59:59.000 เราก็ไปเพ่งการเดินจงกรม 9:59:59.000,9:59:59.000 สติเลยไม่เกิด 9:59:59.000,9:59:59.000 สติตัวนี้ที่ว่าไม่เกิดคือสัมมาสติ 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นเราต้องหัด 9:59:59.000,9:59:59.000 หัดดูให้มันถูก 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้ไปสบายๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่คือส่วนของร่างกาย 9:59:59.000,9:59:59.000 สภาวะของรูปธรรมที่เราต้องดู 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ต้องดูทั้งหมด 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูตัวที่เราถนั 9:59:59.000,9:59:59.000 ด ตัวไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องดูทั้งหมดหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ว่าถ้าคนที่ท่านสติไวๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 บางทีดูได้ทั้งหมด 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างหลวงพ่อปราโมทย์สมัยที่ท่านดู 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านดูลมหายใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนหลังท่านไปหัดดูร่างกายเคลื่อนไหว 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายหยุดนิ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายกระดุกกระดิกอะไรอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านก็หัดรู้สึกตัวตรงนี้ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านบอกว่ารู้สึกตัวตรงนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วสติของท่านไวสติท่านเยอะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านบอกตอนนอนนี่มันรู้สึกตัวตลอดเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายพลิกซ้ายพลิกขวาก็รู้หมดเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายเคลื่อนไหว 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายกระดุกกระดิกอะไรรู้สึกหมดเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านเลยบอกเลยนอนไม่ค่อยสนุกเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะว่าพอร่างกายขยับปุ๊บก็รู้สึกตัว 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายขยับปุ๊บก็รู้สึกตัวอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราไปหัดนะหัดให้มันรู้สึกตัวขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างตอนนั้นพระอาจารย์ที่เล่าให้ฟังวันก่อน 9:59:59.000,9:59:59.000 พระอาจารย์ก็หัดไปดูร่างกายเคลื่อนไหว 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายหยุดนิ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 หัดไปอยู่ 3-4 วัน 9:59:59.000,9:59:59.000 พอร่างกายเคลื่อนไหวตอนนั้นเราขาดสติ 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายเคลื่อนไหวมันรู้สึกตัวขึ้นมาเลย จิตตื่นออกมา 9:59:59.000,9:59:59.000 ตัวนี้จะว่ายากก็ยาก 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ว่าถ้าคนที่ค่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ฝึกมันจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เวลาเราฝึกก็คืออย่าจงใจเยอะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราจงใจมันคือการเพ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 ทีนี้เราไม่จงใจมันก็จะหลงขาดสติไป 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ว่าต้องคอยรู้ร่างกายรู้รูปบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้ไปจนกว่ามันจะจำสภาวะได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ต่อไปถ้ามันจำสภาวะของรูปธรรมทั้งหลาย 9:59:59.000,9:59:59.000 ที่พระอาจารย์เล่าให้ฟังได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เวลามันเคลื่อนไหวมันรู้สึกของมันเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 คล้ายๆ รู้สึกว่าร่างกายมันเคลื่อนไหวมันก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายหยุดนิ่งมันก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายยืนเดินนั่งนอนก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายหายใจออก 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายหายใจเข้าก็จะรู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่ล่ะคือการฝึกสติของการดูร่างกาย 9:59:59.000,9:59:59.000 ส่วนการดูเวทนา 9:59:59.000,9:59:59.000 บางคนชอบดูเวทนา 9:59:59.000,9:59:59.000 เวทนาก็มีความสุข 9:59:59.000,9:59:59.000 ความทุกข์ ความเฉยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 อันนี้เวทนาทางใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 เวทนาทางกายก็มีสุขเวทนากับทุกขเวทนา 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ส่วนใหญ่ดูเวทนาทางกายมันดูยาก 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องอาศัยสมาธิสูงๆ หน่อย 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ว่าตัวที่ดูง่ายดูเวทนาทางใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 เวทนาทางใจเกิดตลอดเวลา 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างตอนนี้เรามีความสุข 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือเรามีความทุกข์หรือว่าเราเฉยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราก็รู้ไป 9:59:59.000,9:59:59.000 รู้ไปจนกว่ามันจะจำสภาวะของเวทนาพวกนี้ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 สติก็จะเกิดขึ้นมาเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 จริงๆ ครูบาอาจารย์บางท่านก็บอกตัวเวทนานี่ดูง่าย 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่จริงๆ มันแล้วแต่คนถนัด 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราถนัดเราก็ดู 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราไม่ถนัดเราก็ไปดูตัวอื่น 9:59:59.000,9:59:59.000 ตัวอีกตัวหนึ่งคือตัวความปรุงแต่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 ปรุงจิต ปรุงกุศล ปรุงอกุศล 9:59:59.000,9:59:59.000 เราหัดดูไป 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตมีความโกรธเราก็รู้ทัน 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตไม่โกรธเราก็รู้ทัน 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตมีความโลภเราก็รู้ทัน 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตไม่มีความโลภเราก็รู้ทัน 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือจิตหลงเราก็รู้ทัน 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตไม่หลงเราก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ส่วนใหญ่จิตหลงจิตไม่หลงจะดูยาก 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตหลงนี่มีหลายตัว 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างตัวฟุ้งซ่าน ตัวหดหู่ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราค่อยๆ สังเกตไป 9:59:59.000,9:59:59.000 เราหัดดูสภาวะไป 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างตัวความโกรธนี่มีเยอะแยะเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราค่อยๆ สังเกต 9:59:59.000,9:59:59.000 โกรธแรงๆ โกรธเบาๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือว่าหงุดหงิดอะไรอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างรำคาญอะไรอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราหัดดูไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราค่อยๆ สังเกต 9:59:59.000,9:59:59.000 ค่อยๆ ดูสภาวะของนามธรรมเหล่านี้ไปเรื่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ต่อไปจิตมันจำสภาวะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ของนามธรรมทั้งหลายเหล่านี้ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตจะตื่นออกมาเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราจำสภาวะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ของรูปของนามธรรมทั้งหลาย 9:59:59.000,9:59:59.000 ที่เราฝึกดูสภาวะตัวนี้บ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้ามันจำรูปจำนามธรรมพวกนี้บ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตจะตื่นออกมาเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วพอมันตื่นออกมาเราจะรู้สึกเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 เราไม่ได้ทำอะไร 9:59:59.000,9:59:59.000 มันแค่รู้ของมันเฉยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ว่าถ้าเรายังบังคับร่างกายบังคับจิตใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือว่ายังไหลไปคิดเรื่องกรรมฐาน 9:59:59.000,9:59:59.000 ไหลไปคิดเรื่องร่างกาย 9:59:59.000,9:59:59.000 ไหลไปคิดเรื่องนามธรรมเรื่องจิตใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 สติไม่เกิด 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจไม่ตื่นออกมา 9:59:59.000,9:59:59.000 ฝึกตัวนี้บ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราฝึกพวกนี้ได้บ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจจะตื่นออกมา 9:59:59.000,9:59:59.000 ต่อไปร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก 9:59:59.000,9:59:59.000 นามธรรมเกิดก็รู้สึก 9:59:59.000,9:59:59.000 เราค่อยๆ ฝึกสติอยู่กับร่างกายอยู่กับจิตใจบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเรามีสติตัวนี้ได้มันเกิดสัมมาสติขึ้นมาได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ที่เราระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม 9:59:59.000,9:59:59.000 ในร่างกายในจิตใจของเราตัวนี้ได้บ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 สัมมาสมาธิจะเกิดขึ้นมาเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 สมัยที่พระอาจารย์ฝึกไม่ได้ว่า. 9:59:59.000,9:59:59.000 ..ช่วงแรกไม่ได้ว่าฝึกยากเย็นอะไร 9:59:59.000,9:59:59.000 ฝึกหัดดูสภาวะอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้สึก 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนที่ฝึกมันมีเจตนาแต่ไม่ได้เจตนาแรง 9:59:59.000,9:59:59.000 เจตนาแรงๆ คือการเพ่งร่างกาย 9:59:59.000,9:59:59.000 ตัวนี้จะทำให้สัมมาสติไม่เกิด 9:59:59.000,9:59:59.000 เราหัดดูไปสบายๆ อย่างนี้ล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ตามดูร่างกายไปบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 พอมันจำรูปของร่างกาย 9:59:59.000,9:59:59.000 รูปร่างกายตอนนั้นที่พระอาจารย์ดูรูปของร่างกายคือ 9:59:59.000,9:59:59.000 รูปเคลื่อนไหว รูปหยุดนิ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 รูปกระดุกกระดิก 9:59:59.000,9:59:59.000 พอมันจำรูปของพวกนี้ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ต่อไปเราเคลื่อนไหว 9:59:59.000,9:59:59.000 สติมันเกิดของมันเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนสติมันเกิดของมันเองเรายังรู้สึก 9:59:59.000,9:59:59.000 เออ แปลกดี 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่คิดว่าตอนที่เราหลงๆ แล้วเราเคลื่อนไหว 9:59:59.000,9:59:59.000 สติมันจะเกิด 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างหลวงพ่อปราโมทย์ท่านเคยเล่า 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนนั้นท่านไปดูสายหลวงพ่อเทียน 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำกรรมฐานเคลื่อนไหวหยุดนิ่งอะไรอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำจังหวะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านไปดูแล้วตอนแรกท่านเป็นคนโทสะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ให้ไปทำครบทั้งเซ็ตของจังหวะนั้น 14 หรืออะไรนั่น 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านบอกว่าทำแล้วมันเยอะไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านไม่ชอบ อะไรที่เยอะๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูแล้วมันรำคาญ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านก็เลยไปขยับมือ 9:59:59.000,9:59:59.000 มือเคลื่อนไหวก็รู้สึก 9:59:59.000,9:59:59.000 มือกำก็รู้สึก มือแบก็รู้สึก 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำขยับมือแล้วรู้สึกไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านบอกทำอยู่ไม่กี่วันหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 วันหนึ่งเดินไปที่ถนน 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นเพื่อน 9:59:59.000,9:59:59.000 เพื่อนสนิท เพื่อนเก่า 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ได้เจอกันนานอยู่ตรงข้ามถนน 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนที่เห็นดีใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ว่าไม่เห็นจิต 9:59:59.000,9:59:59.000 พอขาก้าวจะข้ามถนนไปนี่ 9:59:59.000,9:59:59.000 ด้วยความที่ท่านเคยฝึกขยับมือจนสติเกิดแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 พอขาก้าวปุ๊บ 9:59:59.000,9:59:59.000 สติมันเกิดเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 มันรู้ทัน 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่คือสติที่เกิดอัตโนมัติ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราต้องฝึกจนกว่าสติมันจะเกิดอัตโนมัติ 9:59:59.000,9:59:59.000 สติอัตโนมัติเป็นเรื่องที่ทำเอาไม่ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่มันรู้สึกตัวของมันเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเรายังบังคับให้มันเกิดมันไม่เกิด 9:59:59.000,9:59:59.000 ส่วนใหญ่มันจะเพ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือไปคิดจะให้มันเกิดก็ไม่เกิด 9:59:59.000,9:59:59.000 ส่วนใหญ่มันจะฟุ้งซ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 เราค่อยๆ ฝึกนะตัวนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 มันต้องเห็นทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นตัวสภาวะจริงๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วมีสติคอยระลึกรู้บ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 จะดูร่างกายหายใจออกก็ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จะดูร่างกายหายใจเข้าก็ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือดูรูปหายใจออก 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูรูปหายใจเข้า 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูรูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน 9:59:59.000,9:59:59.000 รูปเคลื่อนไหว รูปหยุดนิ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 เราหัดดูไป 9:59:59.000,9:59:59.000 จริงๆ รูปมีมากกว่านี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ว่าอันนี้คือเหมาะกับพวกเรา 9:59:59.000,9:59:59.000 เหมาะกับพวกเราที่ไม่ได้ทรงสมาธิ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตไม่ได้ทรงฌาน 9:59:59.000,9:59:59.000 จริงๆ อย่างรุ่นครูบาอาจารย์ท่านดูกัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านดูกันถึงธาตุ 4 อย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ในร่างกายแต่ละอวัยวะ 9:59:59.000,9:59:59.000 พอแยกๆ ออกไปกลายเป็นธาตุ 9:59:59.000,9:59:59.000 ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ตัวนี้มันยาก 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าให้เราไปภาวนาส่วนใหญ่ก็จะคิดเอา 9:59:59.000,9:59:59.000 ทีนี้รูปที่เราดูได้ง่ายๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างที่พระอาจารย์เล่า 9:59:59.000,9:59:59.000 รูปร่างกายหายใจออก 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายหายใจเข้า 9:59:59.000,9:59:59.000 อันนี้รูปที่เราดูได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือรูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน 9:59:59.000,9:59:59.000 อันนี้เราดูได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 รูปเคลื่อนไหว รูปหยุดนิ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 อันนี้เราดูได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 นามธรรมอย่างจิตมีความสุขเรารู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตมีความทุกข์เรารู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเฉยๆ เรารู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเรามีความโกรธเรารู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเราไม่มีความโกรธเรารู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตเรามีความโลภเราก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตไม่มีความโลภเราก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตหลงเราก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตไม่หลงเราก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตฟุ้งซ่านจิตหดหู่เราก็หัดรู้ไป 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่คือสภาวธรรมที่เราดูได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราดูตัวนี้ได้บ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 สัมมาสติจะเกิดเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ฝึกไปมันไม่ยากหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 เราอย่าไปคร่ำเคร่งกับการภาวนา 9:59:59.000,9:59:59.000 หรืออย่าไปคิดธรรมะเอา 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ดูให้เห็นเนื้อแท้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ให้เห็นแก่นสารของการปฏิบัติ 9:59:59.000,9:59:59.000 คือต้องเห็นสภาวะ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วมีตามรู้ตามดูบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 จนจิตจำสภาวะของรูปธรรมนามธรรมได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ต่อไปสัมมาสติจะเกิดขึ้นเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 สมัยก่อนพระอาจารย์ฝึก 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ได้คิดว่ามันจะเกิด 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนนั้นเรียนกับหลวงพ่อไม่เข้าใจหรอกเรื่องสติ 9:59:59.000,9:59:59.000 พอไม่เข้าใจเราก็ไปหัดทำเลยง่ายๆ อย่างนี้ล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 บางทีเราเดินอยู่เห็นของที่เราชอบ 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็เห็นราคะมันพุ่งขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 สติระลึกรู้ทันราคะก็ดับไปได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เออ เขาดูกันอย่างนี้เอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนที่ดูนี่ไม่ได้เจตนาจะเห็นมันเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะว่าจริงๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ตาเรามองสิ่งภายนอก 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่กิเลสมันพุ่งขึ้นมาจากในใจเรา 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นราคะมันพุ่งขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 สติมันเห็น เป็นแค่คนเห็น 9:59:59.000,9:59:59.000 เป็นแค่คนรู้คนดูเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 ราคะดับไปเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจก็เบิกบาน ใจก็มีความสุข 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจเบิกบานเราก็เห็น 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจเรามีความสุขเราก็เห็น 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็ยังอัศจรรย์เลย 9:59:59.000,9:59:59.000 แค่เราฝึกจนสติมันเกิด 9:59:59.000,9:59:59.000 กิเลสมันดับไปต่อหน้าต่อตาเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 โดยเราไม่ได้ทำอะไรเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 บางทีอย่างตอนทำงานคนมาพูดขัดใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นโทสะมันพุ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 ตอนที่คุยกับเขาจิตก็ยังส่งออกนอก 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่เขาพูดแล้วเราโมโห 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นโทสะมันพุ่งขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 สติระลึกรู้ ก็แค่เห็นนะ 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นโทสะมันพุ่งขึ้นมานี่โทสะก็ดับไปเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 เราไม่ได้ทำอะไรเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 สติระลึกรู้ของมันเอง 9:59:59.000,9:59:59.000 โทสะก็ดับไปเลยต่อหน้าต่อตา 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจก็มีความสุข 9:59:59.000,9:59:59.000 มีความเบิกบานขึ้นมาแทน 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่คือฝึกจนได้สัมมาสติอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 หรืออย่างเราดูร่างกาย 9:59:59.000,9:59:59.000 เราขาดสติอยู่ 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายเคลื่อนไหวมันรู้สึกตัวของมันเองเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 หรืออย่างหลวงพ่อ 9:59:59.000,9:59:59.000 ชอบยกตัวอย่างเรื่องอานาปานสติ 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างเราหายใจออกก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราหายใจเข้าก็รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายหายใจออกเราก็รู้สึก 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายหายใจเข้าเราก็รู้สึก 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างพอคนมายั่วให้เราโกรธ 9:59:59.000,9:59:59.000 ลมหายใจมันผิดจังหวะ 9:59:59.000,9:59:59.000 พอผิดจังหวะปุ๊บ 9:59:59.000,9:59:59.000 สติมันก็เกิดของมันเองเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 มันรู้ตอนนี้โกรธแล้วนี่ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราฝึกไปนะแล้วถ้าเรามีสตินี่ 9:59:59.000,9:59:59.000 ชีวิตเราก็จะดีขึ้นเยอะเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 กิเลสก็จะค่อยๆ ลดลงไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราฝึกสัมมาสติของเราได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทีนี้พอเรามีสัมมาสติบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราฝึกได้จนดูได้บ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูได้แทบทั้งวัน 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจก็จะมีสัมมาสมาธิขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างที่พระอาจารย์เล่าให้ฟัง 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างตอนที่เราเห็นโทสะมันพุ่งขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 เรามีสติระลึกรู้ทัน 9:59:59.000,9:59:59.000 โทสะมันดับไป 9:59:59.000,9:59:59.000 โทสะมันดับไปเกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมาขณะหนึ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตที่รู้ตื่นเบิกบานขึ้นมาขณะหนึ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วเราเห็นสภาวะอะไรต่อไปอีกนี่ 9:59:59.000,9:59:59.000 บางทีเราเห็นจิต 9:59:59.000,9:59:59.000 ที่รู้ตื่นเบิกบานขึ้นมาขณะหนึ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 บางทีเราเห็นใจมันไหลไป 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตที่ไหลก็คือจิตที่มันหลงนั่นล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 เรามีสติรู้ทัน 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตที่หลงมันดับไป 9:59:59.000,9:59:59.000 เกิดจิตที่รู้สึกตัว 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตที่รู้ตื่นเบิกบาน 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือว่าจิตที่ไม่หลงขึ้นมาขณะหนึ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 เดี๋ยวมันก็ไหลไปที่ร่างกายได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เรามีสติรู้ทัน 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตที่ไหลไปที่ร่างกายก็ดับไป 9:59:59.000,9:59:59.000 เกิดจิตที่รู้สึกตัวตั้งมั่นขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่มันจะรู้สึกตัวตั้งมั่นได้ทีละขณะๆๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ถ้าเราฝึกบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทีละขณะนี่มันเหมือนจะทรงจิตผู้รู้ขึ้นมาได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 หลวงพ่อใช้บอกว่ามีจิตผู้รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แบบรู้แบบเด่นดวงขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 คือจริงๆ มันไม่ได้เด่นดวงอะไรหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ว่าจิตผู้รู้มันต่อเนื่อง 9:59:59.000,9:59:59.000 มันก็เหมือนกับทรงจิตผู้รู้ไว้ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วมันก็จะเห็นร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตใจทำงานก็รู้สึก 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราฝึกจนมีใจที่ตั้งมั่นขึ้นมาได้แล้วนี่ 9:59:59.000,9:59:59.000 เรื่องทำวิปัสสนาจะไม่ใช่เรื่องยากแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 การทำวิปัสสนาก็ทำไปเหมือนเดิมล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็ดูสภาวะเกิดดับไปเหมือนเดิมล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ทีนี้จิตมันจะหมาย 9:59:59.000,9:59:59.000 ลงไปรู้ว่าทุกสภาวะที่เราดูนี่มันไม่เที่ยง 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือว่าเห็นทุกสภาวะนี่มันถูกบีบคั้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ทนอยู่ในสภาวะเดียวไม่ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือว่าเห็นสภาวธรรมทั้งหลาย 9:59:59.000,9:59:59.000 มันไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา 9:59:59.000,9:59:59.000 มันเป็นอนัตตา 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราดูไปบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ปัญญาจะค่อยๆ เกิดขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ตัวนี้มันเกิดจากเราเริ่มต้นจากการที่เรามีสติหัดดูสภาวะ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ถ้าเราไปทำวิธีอื่น 9:59:59.000,9:59:59.000 เราไม่เห็นสภาวะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่มีสัมมาสติเกิดขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่มีสัมมาสมาธิเกิดขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 เรื่องเดินปัญญาจะเป็นเรื่องยาก 9:59:59.000,9:59:59.000 ส่วนใหญ่สายที่เขาทำ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วไม่เกิดจิตผู้รู้ขึ้นมานี่แล้วจะไปเดินปัญญา 9:59:59.000,9:59:59.000 ส่วนใหญ่จะไปคิดเอา 9:59:59.000,9:59:59.000 พอไปคิดเอา 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วได้ความรู้ความเห็นอะไรเกิดขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็คิดว่าเข้าใจธรรมะ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่จริงๆ ไม่ได้เข้าใจธรรมะหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะว่าจิตมันผิด 9:59:59.000,9:59:59.000 ส่วนใหญ่ไปเห็นอะไรแล้วก็จะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ...ถ้าภาษาในธรรมะเรียกว่าเกิดวิปัสสนู 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นเราค่อยๆ ฝึกไป 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่าไปอยากได้ผล 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราอยากได้ผลส่วนใหญ่จะจงใจ 9:59:59.000,9:59:59.000 จะทำด้วยความอยาก 9:59:59.000,9:59:59.000 ผลที่ทำด้วยความอยากนี่มันเป็นโลภะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำให้เราทุกข์ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไม่ได้ทำให้เราเกิดปัญญา 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ว่าเรามีสติรู้กายรู้ใจบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ฝึกให้มีฉันทะที่จะดูตัวนี้ได้บ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราฝึกให้ดูร่างกายดูจิตใจได้บ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 เดี๋ยวสัมมาสติมันเกิด 9:59:59.000,9:59:59.000 สัมมาสมาธิมันเกิด 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วปัญญามันจะเกิดตามมา 9:59:59.000,9:59:59.000 พวกเราต้องจับหลักตรงนี้ให้แม่นๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราจับหลักตรงนี้ได้แม่น 9:59:59.000,9:59:59.000 เราจะไปทำรูปแบบ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราจะทำได้เลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำได้อย่างสบายๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างเวลาทำกรรมฐานเวลาทำรูปแบบ 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือว่าเรียกว่าทำสมาธิก็ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เวลาเราไปฝึกรูปแบบฝึกสมาธินี่ 9:59:59.000,9:59:59.000 จะมีสภาวะ 3 อัน 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างเราไปฝึกที่เล่าให้ฟัง 9:59:59.000,9:59:59.000 สมมติเราทำกรรมฐานที่เราทำ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราจงใจเยอะมันคือการเพ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ว่าถ้าเราทำกรรมฐาน 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างเช่นเรานึกพุทโธๆๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราจงใจเยอะมันคือการเพ่งพุทโธ 9:59:59.000,9:59:59.000 ตัวนี้ไม่ได้สติที่ดีไม่ได้สมาธิที่ดี 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ถ้าเราพุทโธๆ ไปสบายๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วจิตก็อยู่กับพุทโธ 9:59:59.000,9:59:59.000 ตัวนี้ได้สมาธิ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่เป็นสมาธิแบบอารัมมณูปนิชฌาน 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ถ้าเราพุทโธๆ ไป 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วใจก็ไหลไปคิดอื่นๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ฟุ้งซ่านคือขาดสติคือการหลง 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างเวลาเราเดินจงกรมเราเห็นร่างกายมันเดิน 9:59:59.000,9:59:59.000 เรามีสติรู้ร่างกายมันเดิน 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นร่างกายเดินจงกรมไป 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ถ้าเราเจตนาแรงจงใจแรง 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่คือการเพ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 เพ่งร่างกายที่เดินจงกรม 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเพ่งร่างกายที่เดินจงกรม 9:59:59.000,9:59:59.000 สมาธิที่ดีก็จะไม่เกิด 9:59:59.000,9:59:59.000 จะเป็นสมาธิแบบเพ่งซึ่งเอาไปทำอะไรต่อไม่ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ถ้าเราดูร่างกายเดินจงกรม 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นร่างกายมันเดินจงกรมไปสบายๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตอยู่กับการเดินจงกรม อันนี้ได้สมาธิ 9:59:59.000,9:59:59.000 สมาธิแบบอารัมมณูปนิชฌาน 9:59:59.000,9:59:59.000 จำเป็นนะเป็นสมาธิที่เอาไว้ใช้พักผ่อน 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ถ้าเดินจงกรม 9:59:59.000,9:59:59.000 บางคนเดินจนชำนาญใช่ไหม 9:59:59.000,9:59:59.000 เดินไปก็คิดเรื่องโน้นไปคิดเรื่องนี้ไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายก็เดิน 9:59:59.000,9:59:59.000 เดินจงกรมอยู่แต่ว่าใจไหลคิดฟุ้งซ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 ไหลหลงไปเรื่องโน้นไปเรื่องนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 อันนี้คือขาดสติ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราทิ้งเรื่องหลักของการมีสติ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำกรรมฐานไม่ค่อยได้ผล 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ถ้าเรามีสติ 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำกรรมฐานอะไรก็จะได้ผลขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 ต้องจับหลักการภาวนาให้แม่นๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วเราค่อยๆ เดินไป 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างพื้นฐานพวกเราเป็นคนเมือง 9:59:59.000,9:59:59.000 สมาธิเราน้อย 9:59:59.000,9:59:59.000 พอสมาธิเราน้อยเราจะฝึกสัมมาสติ 9:59:59.000,9:59:59.000 มันจะฝึกยากหน่อย 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่อย่างหลวงพ่อปราโมทย์นี่ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านฝึกสมาธิของท่านมาก่อน 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านฝึกมาตั้ง 22 ปี 9:59:59.000,9:59:59.000 จนมีความชำนาญในเรื่องของสมาธิ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วสมาธิที่ท่านชำนาญนี่เป็นสมาธิ 9:59:59.000,9:59:59.000 ที่แบบเป็นสัมมาสมาธิ 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจตั้งมั่นอยู่กับตัว 9:59:59.000,9:59:59.000 ฝึกมาได้ตั้งแต่เด็กแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 พอท่านไปเจอครูบาอาจารย์ 9:59:59.000,9:59:59.000 ไปเจอหลวงปู่ดูลย์ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านสอนให้ดูจิต 9:59:59.000,9:59:59.000 ที่หลวงปู่ดูลย์สอนท่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 “อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง” 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านไปตามดูจิตของท่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านดูได้ทั้งวันเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ที่ดูได้ทั้งวันเพราะว่าสมาธิท่านเยอะ 9:59:59.000,9:59:59.000 สมาธิท่านเยอะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ท่านก็จะดูได้ตลอดเวลา 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่สมาธิเราไม่เยอะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ส่วนใหญ่ของเราคนเมือง 9:59:59.000,9:59:59.000 ที่เยอะคือความฟุ้งซ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตมันชินที่จะฟุ้งซ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 อย่างยุคนี้เป็นยุคของเทคโนโลยี 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจฟุ้งซ่านเยอะมาก 9:59:59.000,9:59:59.000 สังเกตได้จาก 9:59:59.000,9:59:59.000 ...อันนี้พูดถึงคนไทย 9:59:59.000,9:59:59.000 คือคนจีนนี่พระอาจารย์ไม่รู้ว่า 9:59:59.000,9:59:59.000 ชอบติดโซเชียลมีเดียอะไรพวกนี้มากหรือเปล่า 9:59:59.000,9:59:59.000 หรือว่าชอบเล่นมือถือกันมากหรือเปล่า 9:59:59.000,9:59:59.000 พระอาจารย์ไม่รู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่คนไทยนี่ชอบมากเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ว่างไม่ได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ว่างปุ๊บก็จะหยิบมือถือขึ้นมาดูเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วส่วนใหญ่ดูแพล็บๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็จะเปลี่ยน 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูแพล็บๆ ก็จะเปลี่ยน 9:59:59.000,9:59:59.000 คือตัวนี้มันเป็นการทำลายสมาธิของเรา 9:59:59.000,9:59:59.000 เพราะว่าใจไม่เคยจดจ่อกับอะไรสักเรื่องหนึ่งเลย 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูอันนี้นิดหนึ่งเปลี่ยน 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูอันนี้นิดหนึ่งเปลี่ยน 9:59:59.000,9:59:59.000 ดูอันนี้หน่อยหนึ่งก็ข้ามไปอะไรอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ใจจะฟุ้งซ่านตลอด 9:59:59.000,9:59:59.000 เทคโนโลยีพวกนี้มันฝึกให้เราฟุ้งซ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 เมื่อก่อนเขาออกแบบมาเพื่อให้เราสะดวกสบาย 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่จริงๆ ความสะดวกสบายนี่ทำให้เราฟุ้งซ่านมากขึ้น 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นส่วนใหญ่พื้นฐานที่เรามีคือจิตที่มันฟุ้ง 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นเราไม่ค่อยมีสมาธิ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราต้องไปฝึก 9:59:59.000,9:59:59.000 ทำรูปแบบของเรานี่ 9:59:59.000,9:59:59.000 ฝึกให้มีสติเหมือนที่พระอาจารย์เล่าให้ฟัง 9:59:59.000,9:59:59.000 เราฝึกแล้วมีสติอยู่กับกรรมฐานบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 อยู่กับร่างกายบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 อยู่กับจิตใจบ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าสมมติตอนที่เราฝึก 9:59:59.000,9:59:59.000 เราใช้จิตที่สบายๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่ว่าเวลาเราฝึกจิต 9:59:59.000,9:59:59.000 มันอยู่กับอารมณ์กรรมฐานตัวนี้ได้สมถะที่ใช้พักผ่อน 9:59:59.000,9:59:59.000 เป็นอารัมมณูปนิชฌาน 9:59:59.000,9:59:59.000 ควรจะต้องทำ 9:59:59.000,9:59:59.000 แต่เวลาทำอย่าไปจริงจังมาก 9:59:59.000,9:59:59.000 จริงจังมากคือการเพ่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 จะไม่ได้สมาธิที่ดี 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นถ้าเรามีสมาธิตัวนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 แล้วเดี๋ยวเราค่อยพัฒนามาให้เป็นสัมมาสมาธิ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราเกิดสมาธิแบบพักผ่อนนี่ 9:59:59.000,9:59:59.000 จนช่วงหนึ่งจิตเราไม่ค่อยฟุ้งซ่าน 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตที่ไม่ค่อยฟุ้งซ่านมันอยู่กับอารมณ์กรรมฐานได้บ่อยๆ 9:59:59.000,9:59:59.000 ตัวนี้ได้สมาธิแบบพักผ่อนขึ้นมา 9:59:59.000,9:59:59.000 ของเราไม่ต้องเอาสมาธิแบบเข้าฌานอะไรอย่างนั้นหรอก 9:59:59.000,9:59:59.000 เอาสมาธิแบบพอใจมันสงบ 9:59:59.000,9:59:59.000 พอใจมันสงบเราหัดดูสภาวะไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราเห็นจิตหลงไปได้จิตไหลไปได้ 9:59:59.000,9:59:59.000 จิตที่หลงจิตที่ไหลมันดับไป 9:59:59.000,9:59:59.000 ก็จะเกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมาอัตโนมัตินั่นล่ะ 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราฝึกของเราไปอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เราก็จะเห็นเลยทั้งร่างกายทั้งจิตใจเป็นของถูกรู้ถูกดู 9:59:59.000,9:59:59.000 ตัวนี้มันเริ่มกระบวนการทำวิปัสสนาแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ถ้าเราเห็นร่างกายเป็นของถูกรู้ถูกดู 9:59:59.000,9:59:59.000 ร่างกายอยู่ส่วนหนึ่งจิตเป็นคนรู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 เวทนาอยู่ส่วนหนึ่งจิตเป็นคนรู้ 9:59:59.000,9:59:59.000 สังขารความปรุงแต่ง 9:59:59.000,9:59:59.000 ปรุงดีปรุงชั่ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ปรุงกุศลปรุงอกุศล 9:59:59.000,9:59:59.000 อยู่ส่วนหนึ่งมีจิตเป็นคนรู้คนดู 9:59:59.000,9:59:59.000 นี่เราเริ่มต้นกระบวนการทำวิปัสสนาแล้ว 9:59:59.000,9:59:59.000 ฉะนั้นเราดูไปเลยทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม 9:59:59.000,9:59:59.000 ทั้งรูปธรรมทั้งเวทนาทั้งตัวสังขารอย่างนี้ 9:59:59.000,9:59:59.000 ล้วนแต่เป็นของไตรลักษณ์ 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นมันไม่เที่ยงบ้าง 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นมันถูกบีบคั้นให้หายไปบ้าง 9:59:59.000,9:59:59.000 เห็นว่ามันไม่ใช่ตัวเราบ้าง 9:59:59.000,9:59:59.000 เราหัดดูไปบ่อยๆ